จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 84 ที่พึ่งของหลินหยุน
บทที่ 84 ที่พึ่งของหลินหยุน
ฉินลู่กับฉีหมิงยืนอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าบริเวณด้านข้างของศาลา โดยทั้งคู่ยืนประจันหน้ากัน
เส้เทียนหัวหันมองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง ถามว่า“ปรมาจารย์หลิ่ว ท่านคิดว่าพวกเขาทั้งสองใครจะเป็นผู้ชนะ? ”
หลิ่วเฉิงเฟิงเบิกตาขึ้น แล้วมองไปที่สองคนนั้น พูดด้วยท่าทีโอหังว่า“ฉินลู่เป็นผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลัง มีพลังยุทธ์ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูง ส่วนฉีหมิงก็เป็นผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลังเช่นกัน แต่มีพลังยุทธ์ในระดับขั้นพรแสวงชั้นต้น คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินลู่อย่างแน่นอน ประเมินว่าเขาคงจะประลองกับฉินลู่ ได้มากที่สุดไม่เกินสิบกระบวนท่า! ”
เส้เทียนหัวหน้าซีดแล้วพูดว่า“ฉีหมิงติดตามข้ามาเป็นเวลานาน ไม่เคยพบปะกับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อมาก่อน การประลองครั้งนี้ทำได้เพียงแค่รองรับสิบกระบวนท่าวิชาเท่านั้นเหรอ? ”
เป็นครั้งแรกที่ซูจื่อเหลียงจะได้เห็นการประลองยุทธ์ต่อสู้กันของนักบู๊ แปลกใจเป็นอย่างมาก จึงอดไม่ได้ที่จะถามหลินหยุนเบา ๆ ว่า“อาจารย์ ท่านคิดว่าสองคนนี้ใครจะเป็นผู้ชนะ? ”
หลินหยุนมองไปที่ทั้งสองคนครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า“ไม่ต้องถึงสิบกระบวนท่าวิชาหรอก แม้แต่กระบวนท่าเดียวก็รับมือไม่ไหวแล้ว”
ตอนที่ซูจื่อเหลียงพูดนั้น จงใจที่จะลดระดับเสียงให้เบาลง นอกจากหลินหยุนแล้วคนอื่นข้าง ๆ ก็ไม่มีใครได้ยิน
แต่ว่า เสียงที่พูดของหลินหยุนนั้นไม่ได้ลดเสียงให้เบาลง ทุกคนต่างก็ได้ยินกันหมด
ได้ยินหลินหยุนพูดเย้ยหยัน เส้เทียนหัวรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ถามกลับไปว่า“คุณท่านหลิน แม้ว่าพลังยุทธ์ของฉีหมิงจะด้อยกว่าฝ่ายตรงข้าม แต่คงไม่ถึงขนาดที่ว่ากระบวนท่าเดียวก็รับมือไม่ได้เลยเหรอ? ”
หลินหยุนพูดว่า“เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอย่างหนักจนสำเร็จอย่างมากในภายหลังที่อยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูง กับผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนในภายหลังอยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นต้น มันแตกต่างกันเพียงแค่ระดับเดียว แต่ว่าพลังยุทธ์มันแตกต่างกันอย่างมากเหมือนฟ้ากับเหว หากเขารับมือได้หนึ่งกระบวนท่า ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว”
หลินหยุนยังมีอีกคำพูดที่ยังไม่ได้พูดออกมา นั่นก็คือฉินลู่ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอย่างหนักจนสำเร็จอย่างมากในภายหลังที่อยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูงแบบธรรมดา ๆ ทั่วไป
หลิ่วเฉิงเฟิงเหลือบตาขาว จ้องมองไปที่หลินหยุนด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร พูดอย่างเย็นชาว่า“ข้าเพิ่งพูดไปว่าเขาสามารถรับมือได้สิบกระบวนท่า แต่นายกลับบอกว่าสามารถรับมือได้เพียงหนึ่งกระบวนท่า นายจงใจที่จะหักหน้าของข้าใช่ไหม? ”
หลินหยุนมองก็ไม่ได้มองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง พูดขึ้นว่า“มันเป็นความจริง”
หลิ่งเฉิงเฟิงไม่ได้รับรู้สัมผัสถึงกลิ่นอายความเป็นของนักบู๊ในกายของหลินหยุนเลย ในใจยังดูถูกมองข้ามหลินหยุนอยู่บ้าง
ตอนนี้หลินหยุนได้หักหน้าเขาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก
หลิ่วเฉิงเฟิงยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้นด้วยท่าทีที่เหยียดหยามว่า“นายเป็นใครกันวะ! คนธรรมดาสามัญทั่วไป กล้าพูดอวดดีเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างสองนักบู๊นี้ ใครให้ความมั่นใจกับนายมามากมายขนาดนี้? ”
เห็นหลิ่วเฉิงเฟิงพูดเหยียดหยามหลินหยุน ซูจื่อเหลียงโมโหขึ้นในพริบตา เมื่อก่อนตอนที่เป็นอันธพาลใช้ชีวิตเร่ร่อนไปทั่ว ใครที่กล้าดุด่าหัวหน้าของตน คนที่เป็นลูกน้องนั้นจะจัดการเขาผู้นั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย!
“แล้วนายล่ะเป็นใครกัน? กล้ากำเริบเสิบสานขนาดนี้! ” ซูจื่อเหลียงพูดขึ้นอย่างเย็นชา
หลิ่วเฉิงเฟิงมองไปที่ซูจื่อเหลียง แล้วมองหย่างเหยียดหยามไปที่หลินหยุนอีกครั้ง ยิ้มแล้วพูดว่า“ข้าเข้าในแล้ว! ”
“ไอ้หนุ่มน้อย เขาก็คือที่พึงของนายใช่ไหมล่ะ! มีนักบู๊ที่มีพรแสวงสูงสุดเป็นอาจารย์ ดังนั้นแกจึงกล้าที่จะไม่ไว้หน้าใครไม่มีใครอยู่ในสายตาขนาดนี้! ”
เส้เทียนหัวและอู๋กั๋วส้วงและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่ซูจื่อเหลียงด้วยความแปลกใจ พวกเขาก็รับรู้แต่แรกแล้วว่าซูจื่อเหลียงอยู่ที่นี่ ต่างก็คาดเดาว่าซูจื่อเหลียงคืออาจารย์ของหลินหยุน
ยิ่งตอนนี้หลิ่วเฉิงเฟิงได้พูดขึ้นอีก ทุกคนก็เชื่อมั่นในทันที ที่พึ่งของหลินหยุนก็คือซูจื่อเหลียง
เส้เทียนหัวลุกยืนขึ้น คารวะแสดงความเคารพไปยังซูจื่อเหลียง เป็นฝ่ายเข้าหาเพื่อสร้างความ
สัมพันธ์“ปรมาจารย์ผู้นี้ ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร? ”
ซูจื่อเหลียงเป็นผู้มีประสบการณ์ผ่านอะไรมามากมาย ทำไมจะมองไม่ออกว่าทุกคนได้เข้าใจผิดกันไปหมดแล้ว?
ยังดีที่ใบหน้าอารมณ์ของหลินหยุนไม่ได้แสดงความไม่พึงพอใจออกมา อย่างนี้จึงทำให้ซูจื่อเหลียงอุ่นใจได้บ้าง
แต่ว่า ซูจื่อเหลียงยังคงต้องการที่จะรีบอธิบายให้ชัดเจน หลีกเลี่ยงที่จะไม่ทำให้หลินหยุนไม่พอใจ
แต่ว่า เมื่อซูจื่อเหลียงกำลังจะเปิดปากพูด หลินหยุนกลับมองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง พูดว่า“ท่านคิดว่าใช่ก็ใช่ตามนั้นแล้วกัน! ”
สำหรับเส้เทียนหัว หลินหยุนไม่ได้ไปสนใจแม้แต่น้อย
หลิ่วเฉิงเฟิงพูดอย่างเย็นชาด้วยท่าทางที่เหยียดหยามว่า“ไอ้หนุ่มน้อย อาจารย์ของนายเป็นถึงผู้ที่มีพรแสวงสูงสุด แต่ว่ากลับรับลูกศิษย์ที่ชอบคุยโม้โอ้อวดแบบนายอย่างนี้ ถ้าหากข้ามีลูกศิษย์แบบนาย ข้าคงจะถีบส่งไปตั้งนานแล้ว หลีกเลี่ยงที่จะทำให้ตัวข้าเองต้องมาอับอายเสียหน้า! ”
ซูจื่อเหลียงโกรธมาก หลินหยุนก็เพียงแค่พูดความคิดเห็นที่แตกต่างกันกับของหลิ่วเฉิงเฟิงไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงต้องพูดโจมตีกันขนาดนี้ด้วย?
แต่ว่า เมื่อซูจื่อเหลียงกำลังที่จะตอบโต้หลิ่วเฉิงเฟิง พละกำลังอันอ่อนโยนกลับกดทับให้เขานั้นนั่งลงต่อไปอย่างเดิม
ซูจื่อเหลียงมองไปที่หลินหยุนด้วยความตกใจ เข้าใจว่าหลินหยุนคงไม่ต้องการให้เขาทะเลาะเบาะแว้งกับหลิ่วเฉิงเฟิง
ซูจื่อเหลียงไม่กล้าที่จะขัดขืนต่อความต้องการของหลินหยุนอย่างแน่นอน แต่ในใจยังคงมีความสงสัย หลินหยุนเก่งกาจกว่าหลิ่วเฉิงเฟิงชัดเจน แต่ทำไมถึงไม่ตอบโต้หลิ่วเฉิงเฟิง?
ขณะนี้ ฉินลู่กับฉีหมิงได้เริ่มประลองยุทธ์กันแล้ว
ฉินลู่ยืนอยู่กับที่ไม่ได้ขยับเขยื้อน ฉีหมิงเป็นผู้ออกอาวุธก่อน
ขาขวาของฉีหมิงกระทืบลงไปกับพื้นอย่างแรง ร่างกายของเขาประดุจดั่งเสือชีต้าห์ พุ่งกระโจนชกเข้าไปที่ฉินลู่หนึ่งหมัดอย่างจัง
หมัดนี้ของฉีหมิง เร็ว แม่น โหด พลังอานุภาพมากจนน่าตะลึง เส้เทียนหัวที่ดูอยู่นั้นถึงกับอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องชื่นชม!
“ฉีหมิงยอดเยี่ยมไปเลย หมัดนี้มีพละกำลังการจู่โจมมากกว่าที่ข้าเคยได้เห็นมาก่อนหน้านี้อีก! ” เส้เทียนหัวไม่เชื่อคำพูดของหลินหยุนและหลิ่วเฉิงเฟิงแม้แต่น้อย เมื่อก่อนฉีหมิงเพียงคนเดียวสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้เป็นสิบคนได้อย่างง่ายดาย ทำไมถึงสามารถรับมือได้เพียงแค่สิบกระบวนท่าเท่านั้น?
แต่ว่า เมื่อหมัดอันทรงพลังของฉีหมิง ยังไม่ได้ทันเข้าใกล้ประชิดตัวของฉินลู่ในระยะหนึ่งเมตร ฉินลู่ก็ชกออกมาหนึ่งหมัดเช่นกัน
พลังหมัดของฉินลู่นั้นไม่ได้ดูทรงพลังเหมือนกับของฉีหมิง เป็นพลังหมัดแบบง่าย ๆ สบาย ๆ แต่ว่าผลลัพธ์ที่ปรากฏเกินที่ทุกคนจะคาดคิด
พลังหมัดที่ทรงพลังของฉีหมิงนั้น โดนพลังหมัดของฉินลู่ที่ชกออกมาทีหลัง ทำลายพังพินาศย่อยยับไปอย่างง่ายดาย อีกทั้งฉีหมิงเองก็ถูกชกเข้าอย่างจังจนถึงกับกระเด็นลอยไปไกล
แล้วก็ล้มฟุบอยู่ที่บริเวณข้างศาลา กระอักเลือดออกมา สลบตายคาที่
เส้เทียนหัวลุกยืนขึ้น พูดด้วยสีหน้าที่หวาดกลัว“เป็นไปได้อย่างไร! ”
ทันใดนั้น ก็หันไปมองที่หลินหยุนด้วยท่าทางที่ตกตะลึง เมื่อครู่หลินหยุนพูดว่าแม้แต่เพียงหมัดเดียวฉีหมิงก็ไม่สามารถที่จะต้านทานได้ เขายังไม่อยากจะเชื่อ แต่สุดท้ายก็เสียหน้าอย่างแรง
“คุณท่านหลิน ท่านมองได้ทะลุปรุโปร่งเสียจริง! ” เส้เทียนหัวพูดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
ซูจื่อเหลียงเข้าใจแล้วว่า ทำไมหลินหยุนจึงไม่ยอมที่จะโต้เถียง การทะเลาะโต้เถียงมันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏชัดเจนได้อย่างไรกัน? หลินหยุนไม่สนใจที่จะไปโต้เถียงอะไรที่มันไร้สาระ แบบนี้ถึงเรียกว่ามีความมั่นใจในตนเองอย่างแท้จริง
หลิ่วเฉิงเฟิงหน้าแดง แต่เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ให้กับเด็กเมื่อวานซืน แล้วพูดขึ้นอย่างเย็นชาว่า“ก็แค่โชคดีเท่านั้น ไม่ควรที่จะพูดถึง! ”
ซูจื่อเหลียงอยากที่จะเดินเข้าไปตบหน้าหลิ่วเฉิงเฟิงสักสองฉาด เรื่องจริงปรากฎอยู่ตรงหน้าแล้ว เขายังทำเป็นไม่ยอมรับ ซูจื่อเหลียงรู้สึกว่าหลิ่วเฉิงเฟิงผู้นี้หน้าด้านยิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก
เพียงหมัดเดียวก็ชกจนฉีหมิงลอยกระเด็น ฉินลู่กอดอก พูดด้วยสีหน้าที่มีรอยยิ้มอย่างโอหังว่า“ยังมีใครจะมาประลองอีกไหม? พวกแกคนเมืองเว่ยเหอมีเพียงพวกขี้เมาหยำเปไม่ได้เรื่องไม่มีฝีมือเท่านั้นหรอกเหรอ? ”
เส้เทียนหัวมองไปที่หลิ่วเฉิงเฟิง ตอนนี้คงต้องเชิญให้หลิ่วเฉิงเฟิงแสดงฝีมือบ้างแล้ว
ซูจื่อเหลียงทนไม่ได้ต่อท่าทางอันหยิ่งผยองของหลิ่วเฉิงเฟิง อีกทั้งหลิ่วเฉิงเฟิงยังคงดูถูกหลินหยุน อยู่ตลอด ทำให้ซูจื่อเหลียงร้อนรนต้องการที่จะแสดงฝีมือของตนให้ทุกคนประจักษ์
ได้ยินฉินลู่เรียกผู้ท้าประลอง หลิ่วเฉิงเฟิงก็ยังคงอยู่ท่าทางที่หยิ่งยโส ซูจื่อเหลียงร้อนรน จึงพูดขึ้นว่า“ข้าเอง! ”
หลังจากพูดจบ ซูจื่อเหลียงมองไปที่หลินหยุน เห็นว่าหลินหยุนไม่ได้มีทีท่าที่จะขัดขวางแต่อย่างใด สีหน้าแสดงอาการดีใจ
“ข้าจะไปประลองกับเขาเอง! ” ซูจื่อเหลียงพูดกับเส้เทียนหัว
ซูจื่อเหลียงเต็มใจที่จะประลองยุทธ์ เป็นสิ่งที่เส้เทียนหัวปรารถนาอย่างแน่นอน รีบคำนับแล้วพูดว่า“หากปรมาจารย์สามารถเอาชนะเพื่อข้าได้ในยกนี้ ข้ายินดีที่จะมอบค่าตอบแทนให้ปรมาจารย์เป็นเงินสิบล้าน! ”
“ตกลงตามนี้! ” ซูจื่อเหลียงตอบตกลง เดิมทีเข้าเพียงต้องการหาคนมาประลองฝีมือเท่านั้น ถ้าหากสามารถทำเงินได้ด้วย ก็จะเป็นการดีขึ้นไปอีก
ซูจื่อเหลียงกระโดด ไปอยู่ที่ด้านหน้าตรงข้ามของฉินลู่
ฉินลู่มองซูจื่อเหลียง ท่าทางดูเคร่งขรึมขึ้น
ซูจื่อเหลียงเป็นนักบู๊ที่มีพรแสวงสูงสุด ระดับสูงกว่าเขาหนึ่งขั้น อีกทั้งลมหายใจในตัวของซูจื่อ เหลียงให้ความรู้สึกหนักแน่นมีพละกำลัง
มีคนหนึ่งในตระกูลฉิน คือผู้นำขบวนฉินอู๋ชีนั้นมีสีหน้าที่เคร่งขรึม“ฉินลู่แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่ได้มีทักษะติดตัวมาแต่กำเนิดแต่เกิดขึ้นจากการฝึกฝนอย่างหนักจนสำเร็จอย่างมากในภายหลังอยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูง แต่พลังยุทธ์ที่แท้จริงก็พอเทียบเท่าได้กับผู้ที่มีพรแสวงสูงสุด แต่ว่าเขาผู้นี้นั้นมีลมหายใจที่หนักแน่น ไม่เหมือนกับนักบู๊ที่มีพรแสวงสูงสุดธรรมดาทั่วไป”
“การประลองในครั้งนี้ของฉินลู่ เกรงว่าจะเป็นการต่อสู้ที่หนักหนาเลยทีเดียว! ”
เส้เทียนหัวถามไปยังหลิ่วเฉิงเฟิงว่า“ปรมาจารย์หลิ่ว ท่านคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ? ”
หลิ่วเฉิงเฟิงพูดว่า“ฉินลู่นั้นแม้ว่าจะมีความพลังสามารถที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนักจนสำเร็จอย่างมากในภายหลังอยู่ในระดับขั้นพรแสวงชั้นสูง แต่ดูจากพลังหมัดที่เขาใช้เอาชนะฉีหมิงแล้ว ความสามารถของเขาเทียบได้กับผู้ที่มีพรแสวงสูงสุด และแม้ว่าผู้นี้จะมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับพรแสวงสูงสุดก็ตาม แต่ด้วยอายุที่มาก จะสามารถเอาชนะฉินลู่ได้หรือไม่นั้นยากที่จะกล่าวได้”
เส้เทียนหัวมองไปที่หลินหยุน แล้วถามว่า“คุณท่านหลิน ท่านคิดว่าอย่างไร? ”
หลินหยุนพูดว่า“ในสิบกระบวนท่าแรกจะถูกกดดันอย่างหนัก หลังจากสิบกระบวนท่าไปแล้ว จะเอาชนะได้อย่างแน่นอน”