จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 856 สาวลึกลับ
เวลาเพียงสองวินาที ก็ทำให้งูหลามยักษ์รอดจากดาบไปได้อย่างหวุดหวิด แม้หางมันถูกฟันจนขาด แต่ร่างของมันไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ
“ยอมเสียหางเพื่อปกป้องตัวเอง!”
คราวนี้ แม้แต่หลินหยุนก็ยังแอบชื่นชมมันอยู่ในใจ
“แต่น่าเสียดาย แกจะมีหางสักกี่หางมารับดาบแทนได้ล่ะ?”
หลินหยุนยื่นมือออกไป ดาบเฮ่าเทียนได้ลอยกลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้ง
น้ำเสียงที่เรียบเฉยและเย็นชาดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง : “ข้ามีหนึ่งกระบี่ที่ทลายนภาได้!”
“เก้ากระบี่ต้าเต๋า ทะลุสวรรค์!”
หลินหยุนถือดาบยาวขึ้นมา แล้วใช้ดาบฟันไปที่งูหลามยักษ์นั่นอีกครั้ง
อานุภาพของดาบครั้งนี้ แม้ไม่น่าตกตะลึงเท่ากับดาบครั้งก่อน แต่พลังที่มันแผ่ซ่านออกมา กลับทำให้คนแอบตัวสั่นกันไปหมด
ดาบนั่นคมเป็นอย่างมาก สามารถตัดทลายนภาได้ แล้วในโลกใบนี้ยังมีอะไรที่สามารถขวางได้อีกล่ะ!
คราวนี้ งูยักษ์ร้องคำรามออกมาไม่ทันเลยด้วยซ้ำ มันถูกหลินหยุนฟันด้วยดาบขาดเป็นท่อน ๆ
ฟันไปที่หัวใจของงูมันถึงจะตาย กับงูหลามยักษ์ก็เช่นกัน
ถึงแม้พลังของงูหลามยักษ์อยู่ในระดับแดนรวมยา แต่เมื่อเทียบกับผู้บำเพ็ญเซียนที่แท้จริงอย่างหลินหยุน มันยังห่างชั้นกันอีกมาก
ประกอบกับเมื่อครู่นี้งูหลามยักษ์ถูกนักบู๊จำนวนหนึ่งทำลายพลังไปบางส่วนแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จะถูกหลินหยุนฟันเข้าอีกสองครั้ง
มองไปยังงูหลามยักษ์ที่เมื่อครู่นี้ยังทำตัวดุร้ายยิ่งใหญ่คับฟ้า ตอนนี้กลับถูกฟันขาดเป็นท่อน ๆ ลำตัวและหัวกระจัดกระจายไปคนละทาง
ชิ่งกั๋วถัยรวมทั้งนักบู๊คนอื่น ๆ ที่ยังอยู่ ต่างมีสีหน้าอึ้งและทึ่ง
“ดาบเมื่อครู่นี้……มีพลังเหมือนฟ้าและดิน……ทรงพลังยิ่งนัก!”
ชิ่งกั๋วถัยพึมพำคนเดียวว่า : “ดาบเล่มนั้น ทำให้คนไม่กล้าแม้แต่จะคิดต่อต้าน!”
“ถ้าหากฉันต้องประสบพบเจอกับดาบเล่มนั้น นอกจากหลับตารอความตาย ฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้อีก!”
ใบหน้าที่สวยงามของเฉินซีเยว่ เต็มไปด้วยความรู้สึกช็อก เธอมองไปที่หลินหยุนด้วยสายตายกย่องนับถืออีกครั้ง
“พลังของเขา แข็งแกร่งมากถึงระดับนี้เชียว!”
“ก่อนหน้านี้ ฉันไม่ควรไปดูถูกเขาเลยจริง ๆ!”
จางเทียนเยว่ ก็มีสีหน้ายกย่องนับถือเผยออกมาให้เห็น ความอิจฉาริษยาที่มีต่อหลินหยุนก่อนหน้า ตอนนี้ได้หายไปหมดแล้ว
ตอนที่เผชิญหน้ากับคนที่เป็นเหมือนดั่งเทพเจ้านั้น ความอิจฉาริษยาทั้งหมดก็ไม่หลงเหลืออีกแล้ว
คนเผชิญหน้ากับเทพ มีเพียงความเลื่อมใสศรัทธาและความยกย่องนับถือเท่านั้น
ส่วนหลินหลุน ในสายตาของทุกคนตอนนี้ เขาก็คือเทพองค์หนึ่ง!
หลินหยุนก้าวข้ามร่างที่ยังคงขยับตัวของงูหลามยักษ์ แล้วเดินไปยังหญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงมังกรคบเพลิง
หญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงมังกรคบเพลิงในตอนนี้ เต็มไปด้วยเลือด ตอนที่หลินหยุนเข้าไปใกล้มัน สามารถสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิโดยรอบที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งมีพลังทิพย์ที่แข็งแกร่งแผ่ซ่านออกมาด้วย
แน่นอนว่า คนธรรมดาไม่มีทางสัมผัสได้ถึงพลังทิพย์นี้ มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนเท่านั้นถึงสามารถสัมผัสได้ถึงพลังนี้อย่างชัดเจน
“คิดไม่ถึงเลยว่า บนโลกนี้ยังมีมังกรคบเพลิงอยู่ด้วย แม้เป็นโลกบำเพ็ญเซียน ก็พบเจอหญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงมังกรคบเพลิงได้ยากนัก”
หลินหยุนไม่ได้ยื่นมือออกไปเด็ด แต่ได้ใช้พลังทิพย์ ถอนหญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงมังกรคบเพลิงออกมาจากดิน
และระหว่างลงมือนั้น การเคลื่อนไหวของหลินหยุนได้เชื่องช้ามาก
การที่หลินหยุนระมัดระวังอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะทำให้ยาวิเศษได้รับความเสียหาย แต่เป็นเพราะ มังกรคบเพลิงครองอยู่บนพื้นที่นี้มาเป็นเวลานานหลายปี พื้นดินตรงนี้ถูกอุณหภูมิที่สูงและลมหายใจของมังกรแผดเผาอยู่เป็นเวลานานจนแข็งแกร่งยิ่งกว่าเครื่องลายครามเสียอีก
และวิธีเก็บหญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงมังกรคบเพลิงที่ดีที่สุด ก็คือถอนออกมาทั้งราก แบบนี้ถึงจะช่วยเก็บรักษาหญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงมังกรคบเพลิงไว้ได้ ทำให้ประสิทธิภาพของยาไม่สูญหายไป
ดังนั้น หลินหยุนจึงจำเป็นต้องใช้พลังทิพย์ ขุดดินที่แข็งมากตรงนี้ จากั้นได้ห่อหุ้มส่วนรากของหญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงมังกรคบเพลิงไว้ แล้วถอนออกมาทั้งรากทั้งโคน
ขั้นตอนนี้ ไม่ง่ายเลย
ชิ่งกั๋วถัยและคนอื่น ๆ มองท่าทางที่เชื่องช้าของหลินหยุน ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย
“เขากำลังทำอะไรน่ะ?”
“เอายาวิเศษมันยากขนาดนี้เลยเหรอ?”
เว่ยซิวหมิงเอ่ยพูดเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ : “อาจเป็นเพราะ ยาวิเศษนี้ไม่สามารถเก็บได้ด้วยวิธีธรรมดา”
หลินหยุนเก็บยาวิเศษนี้ ใช้เวลาไปประมาณสิบห้านาที
ในที่สุด หญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงมังกรคบเพลิงก็ถูกเขาถอนออกมาได้อย่างสมบูรณ์
สีหน้าของหลินหยุน มีความดีใจที่ยากจะพบเห็น เผยออกมา
และในตอนนี้เอง บนยอดเขาที่สูงและห่างไกลออกไปลูกนั้น ได้มีผู้หญิงสวมชุดสีดำ ยืนอยู่บนหินที่สูงสุดก้อนนั้นอย่างเงียบ ๆ พลางมองไปยังหลินหยุนที่อยู่ในหุบเขา
ด้านหลังของเธอ มีชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่ ซึ่งเป็นคนที่คอยขจัดความสงสัยให้กับบรรดานักบู๊มาตลอดทาง
“คุณหนู แค่ใช้ธนูพิฆาตปราณทิพย์ ก็ได้แค่ทำลายพลังเซียนของเขา แต่ไม่สามารถฆ่าเขาให้ตายได้”
“ถ้าใช้ทวนสังหารเทวดา สามารถทำลายร่างและวิญญาณเขาได้!”
“คุณแน่ใจว่าจะใช้แค่ธนูพิฆาตปราณทิพย์เหรอ?” ชายชราผู้นั้นเอ่ยถามด้วยความสงสัย
ในสายตาของหญิงชุดดำ มีประกายประหลาดแวบขึ้นมา
“ฉันไม่ให้เขาตายไปง่าย ๆ หรอก เขาโอหังที่ตัวเองเป็นเทพบำเพ็ญเซียน เลยไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตาไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นฉันก็จะทำลายพลังเซียนของเขา ทำให้เขากลายเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ทำลายสิ่งสำคัญที่สุดของเขาไปซะ ทำให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกที่ถูกคนอื่นเมินเฉย”
“ท่านไปเถอะ ค่ายกล กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว!”
ชายชราก้มหน้า โค้งคำนับพลางเอ่ย : “ครับ!”
ในหุบเขา จู่ ๆ หลินหยุนก็รู้สึก จึงแหงนหน้าไปมองยอดเขาที่หญิงชุดดำคนนั้นยืนอยู่
แต่ว่า หญิงชุดดำที่ยืนอยู่บนหินก้อนนั้น ได้หายตัวไปแล้ว
หลินหยุนรู้สึกเอะใจเล็กน้อย : “ฉันสัมผัสได้ถึงพลังเซียน!”
“บนโลกนี้ ยังมีผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นอีกเหรอ?”
ไม่รอให้หลินหยุนได้ครุ่นคิด พื้นดินที่เท้าเหยียบอยู่จู่ ๆ ก็ได้เกิดสั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง
“หา เกิดอะไรขึ้น? แผ่นดินไหวงั้นเหรอ?”
บรรดานักบู๊เหล่านั้นส่งเสียงร้องตาม ๆ กัน
หานหลิงเอ๋อก็หน้าถอดสี : “เกิดอะไรขึ้น เขาชื่อเสียแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในเขตแผ่นดินไหวนี่นา ทำไมถึงได้เกิดแผ่นดินไหวได้ล่ะ!”
หลินหยุนมองไปรอบทิศด้วยสีหน้าเรียบเฉย เอามือสองข้างไขว้หลัง : “นี่ไม่ใช่แผ่นดินไหว แต่เป็นฝีมือคน!”
บริเวณรอบหุบเขา จู่ ๆ ก็มียอดเขาลูกใหญ่โผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน เขาทุกลูกมีสีดำ เหมือนทำจากปูนเหล็ก ด้านบนมีลวดลายที่ดูซับซ้อนและลึกลับ
วินาทีที่ยอดเขาทั้งเก้าลูกโผล่ขึ้นมานั้น ระหว่างแผ่นฟ้าและผืนดิน ก็เหมือนมีตาข่ายขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็น คลุมเขาชื่อเสียแห่งนี้เอาไว้
หลินหยุนสามารถสัมผัสได้ว่า ชี่ทิพย์จากฟ้าดินที่อยู่รอบตัวนี้ ถูกดูดไปจนเกือบหมด
ชิ่งกั๋วถัยมองไปรอบ ๆ ทิศ แล้วร้องออกมาด้วยสีหน้าตกใจ : “นี่ดูเหมือนเป็นค่ายกลอันหนึ่ง!”
“ค่ายกลที่แข็งแกร่งมาก ค่ายกลนี้ ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย!”
“เป็นใครกัน ที่สามารถสร้างค่ายกลขนาดใหญ่และแข็งแกร่งอย่างนี้ได้?”
เว่ยซิวหมิงพูดออกมาด้วยสีหน้าตกตะลึง : “ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ค่ายกลที่คนในโลกบู๊จะสร้างขึ้นมาได้!”
“นี่มันค่ายกลซั่งกู่!”
จางเทียนเยว่มีสีหน้าตกใจ : “ค่ายกลซั่งกู่!”
“เป็นไปได้ยังไง!”
“ใครสามารถสร้างค่ายกลซั่งกู่ได้? ต่อให้เป็นเจ้าสำนักก็คงไม่มีทางทำได้?”
ความยากในการสร้างค่ายกลซั่งกู่ ก็เหมือนกับการขึ้นไปบนฟ้านั่นแหละ ด้วยความสามารถของนักบู๊ มันยากมากที่จะทำได้
ต้องบอกก่อนว่าค่ายกลซั่งกู่ ล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่แท้จริงถึงจะสร้างมันขึ้นมาได้ ด้วยพลังของนักบู๊ ยากที่จะสร้างมัน
แต่ว่า ไม่นานก็มีคนตอบสิ่งที่พวกเขาสงสัยได้
ร่างชุดดำร่างหนึ่ง ได้ลอยมาจากที่ไกล ๆ แล้วลงมายังยอดเขาที่งูหลามยักษ์ตัวนั้นเคยครอบครองอยู่
“หลินหยุน ลองดูอานุภาพของค่ายกลเก้าสร้อยตวัดมังกรนี้ดูซะ!”
เสียงของผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนเสียงของหุ่นยนต์ดังขึ้น ดูเหมือนจงใจปิดบังเสียงที่แท้จริงของตัวเอง
“จริงสิ ลืมบอกนายไปเลย ค่ายกลนี้ เป็นค่ายกลตวัดมังกรที่ใช้กักขังมังกรคบเพลิงอายุเกินร้อยปี!”
“แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานหน่อย แต่อานุภาพของค่ายกลน่าจะยังเหลืออีกห้าส่วน แต่นายไม่ใช่มังกรคบเพลิงตัวนั้น ฉะนั้นเพียงแค่อานุภาพที่เหลือห้าส่วน ก็น่าจะสามารถจัดการนายได้”
หลินหยุนมองไปที่เธอ แล้วเอ่ยถามเสียงราบเรียบ : “เธอเป็นใคร?”
หญิงชุดดำแสยะยิ้มพลางเอ่ย : “คนที่เคยถูกนายทำร้ายคนหนึ่ง”
หลินหยุนเอ่ยพูดเสียงราบเรียบ : “เธอก็เป็นผู้บำเพ็ญเซียนสินะ”