จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 883 คำขอร้องของโม่จือมิ่ง
สายตาของควีนจินก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
ในฐานะที่เธอเป็นนักบู๊คนหนึ่ง สำหรับความกระหายต่อพละกำลังนั้น ก็ต้องรุนแรงมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป
เมื่อได้ยินว่ายังมีวิชาบู๊ที่แข็งแกร่งกว่าวิทยายุทธ์ของนักบู๊อีกมาก ควีนจินก็ย่อมอยากจะสืบดูให้แน่ชัด
“วิทยายุทธ์ของผู้บำเพ็ญเซียน แข็งแกร่งมากขนาดไหนคะ?” ควีนจินถามด้วยความอยากรู้
“อันนี้ฉันไม่สามารถบรรยายได้หรอก ยังไงก็แข็งแกร่งกว่าวิชาบู๊ที่คุณฝึกฝนอยู่ถึงหมื่นเท่าเลยทีเดียว” หลินหยุนก็ไม่ได้ปิดบังอะไร
“มากกว่าหมื่นเท่า!” ควีนจินพูดด้วยอาการช็อก
มิน่าพลังความสามารถของหลินหยุนถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้ ที่แท้วิชาฝึกฝนของผู้บำเพ็ญเซียนนั้น ถึงกับรุนแรงได้ขนาดนี้!
“ปรมาจารย์หลินคะ คุณยังรับลูกศิษย์อีกไหมคะ?” ควีนจินถามขึ้นกะทันหัน
คำถามนี้ทำให้หลินหยุนอึ้งไปเลย เขานึกไม่ถึงว่า ความใฝ่ฝันที่อยากได้พละกำลังของควีนจินจะมีมากถึงเพียงนี้
“ความจริงแล้ว โลกของผู้บำเพ็ญเซียนนั้น ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คุณคิดเลย”
“ในโลกใบนั้น ยังโหดร้ายและอันตรายกว่าโลกบู๊เสียอีก ถ้าไม่ระวังเพียงแค่นิดเดียว ก็จะทำให้วิญญาณดับสูญไปได้”
“อีกทั้ง ด้วยอายุของคุณตอนนี้ ก็ได้ผ่านพ้นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการฝึกบำเพ็ญเซียนไปแล้ว”
“ถึงแม้แข็งขืนไปฝึกบำเพ็ญเซียนได้ก็ตาม ต่อไปก็ยากที่จะประสบความสำเร็จได้”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินหยุนแล้ว อารมณ์ตื่นเต้นของควีนจินก็สงบลงไปมาก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ต้องขอโทษด้วยที่ฉันเสียมารยาท!” ควีนจินพูดแล้วโค้งคำนับ
“ใช่แล้ว ตอนนี้ข่าวคราวที่คุณเป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกบู๊แล้ว คาดว่าอีกไม่นานก็จะต้องมีนักบู๊ที่กระหายพละกำลังพวกนั้น พุ่งเป้ามาหาคุณอย่างบ้าคลั่ง”
“ต่อจากนี้ไปคุณจะวางแผนรับมือยังไงล่ะคะ?”
สายตาของหลินหยุนส่องประกายจิตสังหารออกมา อุณหภูมิภายในห้องถึงกับลดลงทันที ทำให้ควีนจินรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“มาเท่าไหร่ก็ฆ่าเท่านั้นก็แล้วกัน ฆ่าจนพวกเขากลัวก็ย่อมไม่กล้ามาอีก”
น้ำเสียงของหลินหยุนเรียบเฉยมาก แต่ว่าจิตสังหารที่แฝงมากับคำพูดนั้น กลับล้ำลึกยิ่งกว่าทะเลเสียอีก
ในใจของควีนจินรู้สึกหนาวสั่น ตอนนี้ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่า ที่หลินหยุนพูดว่าโลกของผู้บำเพ็ญเซียนโหดร้ายมาก นี่ไม่ได้คุยโวเกินไป
เพราะว่ามีแต่คนที่ออกมาจากโลกที่โหดร้ายสุดขั้วเช่นนี้ จึงสามารถพูดถึงเรื่องฆ่าคนได้อย่างสบายอารมณ์เช่นนี้
“ถ้าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะคะ” ควีนจินพูดจบ ก็รีบเดินหนีออกไปจากห้องหลินหยุนทันที
รู้สึกกดดันหนักมากเกินไปแล้ว!
หลังจากที่ออกมาจากห้องของหลินหยุนแล้ว ควีนจินก็รู้สึกโล่งอก
เมื่อก่อนที่เพิ่งรู้จักหลินหยุนใหม่ๆนั้น เป็นเวลาที่หลินหยุนไปรักษาโรคให้เธอเป็นครั้งแรก ถึงแม้เธอจะรู้สึกว่าหลินหยุนชายหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนทั่วไปก็ตาม
แต่ว่า ในขณะนั้นหลินหยุนไม่ได้ทำให้เธอมีความรู้สึกกดดันที่หนักมากเช่นนี้เลย
ตอนนี้หลินหยุนเพียงแค่ปลดปล่อยกลิ่นอายเพียงเล็กน้อยออกมาเท่านั้น ก็สามารถทำให้เธอรู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัวแล้ว
นี่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเป็นนักบู๊ของควีนจินด้วยเช่นกัน
ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไปแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าหลินหยุนอาจจะมีความรู้สึกที่ดีกว่านี้ก็ได้ เพราะว่าคนธรรมดาทั่วไปไม่ได้มีความรู้สึกอ่อนไหวต่อชี่ทิพย์ฟ้าดินเหมือนพวกนักบู๊
ยิ่งมีความอ่อนไหวต่อชี้ทิพย์ฟ้าดินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถรับรู้ได้ถึงแรงกดดันในตัวของหลินหยุนมากเท่านั้น ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบจากกลิ่นอายในตัวของหลินหยุนมากขึ้น
หลังจากควีนจินจากไปแล้ว หลินหยุนก็นั่งจิบน้ำชา แล้วคิดวางแผนที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า
“นี่คิดจะโยนฉันเข้าไปในกองไฟสินะ!”
“เพื่อจะจัดการกับฉันแล้ว พยายามทุ่มเททุกอย่างกันจริงเลย”
“ตอนนี้สำนักชางฉองก็เดินมาตามทางที่ถูกต้องแล้ว รอเวลาอีกสักระยะหนึ่ง อาจไม่แน่จะสามารถสร้างอำนาจบารมีที่ยิ่งใหญ่พอที่จะไปต้านทานกับพลังอำนาจสูงสุดของโลกบู๊โบราณก็ได้”
“มีสำนักชางฉองคอยคุ้มครองชางฉองกรุ๊ปแล้ว แม่ครับก็สามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่แล้ว”
“ถึงแม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บจากการระเบิดของมุกดูดเลือดที่เขาชิงเสียก็ตาม แต่หลังจากที่บาดแผลได้หายดีแล้ว พละกำลังของฉันก็ได้เพิ่มขึ้นบ้างแล้ว”
“รออีกระยะหนึ่ง ฉันก็จะสามารถเข้าไปในแดนรวมยาระยะกลางได้แล้ว”
หลินหยุนส่งกระแสจิตเล็กน้อย หญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงที่ได้มาจากเขาชิงเสียต้นนั้น ก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว
“ต้องหายาบำรุงอีกสองอย่างให้ครบก่อน ฉันก็จะสามารถผลิตยากลั่นทิพย์เพลิงม่วง เพื่อกลั่นตัวอ่อนยาจางออกมา”
“เมื่อหล่อตัวอ่อนยาจางให้มั่นคงแล้ว ต่อไปก็จะสามารถผลิตยาทองที่มีระดับสูงยิ่งขึ้นได้”
“เมื่อชาติที่แล้ว ฉันแค่ได้รวมยาทองระดับดินเท่านั้นเอง ในชาตินี้ ฉันได้ครอบครองปรามสีม่วงหงเหมินแล้ว และยังมีหญ้าเผาจิตมังกรคบเพลิงต้นนี้มาหลวมตัวอ่อนยาจางอีก จะต้องรวมยาทองระดับฟ้าออกมาได้อย่างแน่นอน”
“คิดจะหายาบำรุงอีกสองชนิด คงต้องไปที่หุบเขาเทพยาสักครั้งแล้ว”
หลินหยุนตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ก็รีบเดินทางทันที
แต่ว่า เพิ่งก้าวเท้าออกไปจากประตู มือถือของเขาก็ดังขึ้นมา
เมื่อมองดูหน้าจอมือถือแล้ว ถึงกับเป็นโม่จือมิ่งที่โทรมา
“ดีจัง กำลังคิดจะไปหุบเขาเทพยาอยู่พอดี เขาก็โทรมาหาเองเลย”
หลินหยุนรับสายโทรศัพท์ แล้วถามอย่างเรียบๆว่า “มีธุระเหรอ?”
“ปรมาจารย์หลินครับ ตอนนี้ท่านว่างหรือเปล่าครับ? ผมมีเรื่องหนึ่งคิดอยากให้ท่านช่วยหน่อย?” ถึงแม้โม่จือมิ่งกำลังพยายามกลั้นความรู้สึกที่ตื่นเต้นของตัวเองไว้ แต่หลินหยุนก็ยังรับรู้ถึงความรู้สึกตื่นเต้นในใจของเขาตอนนี้ได้
“ฉันกำลังเตรียมตัวจะไปหุบเขาเทพยาอยู่พอดี รอให้ฉันไปถึงก่อนแล้วค่อยคุยกัน” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ
“ดีจังเลย งั้นผมจะรอต้อนรับอยู่ที่หุบหุบเขาเทพยานะครับ!” โม่จือมิ่งพูดด้วยความดีใจ
“ได้!” หลินหยุนตอบอย่างเรียบๆ
……
วิหารใหญ่ภายในหุบหุบเขาเทพยา
โม่จือมิ่งได้นำสมาชิกสำคัญกลุ่มหนึ่งของหุบเขาเทพยา มายืนรอต้อนรับหลินหยุน
“ยินดีต้อนรับท่านปรมาจารย์หลินครับ!”
เมื่อเห็นหลินหยุนมาถึงแล้ว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของหุบเขาเทพยาภายใต้การนำของโม่จือมิ่ง ก็โค้งตัวทำความเคารพอย่างเป็นระเบียบ
“ไม่ต้องเกรงใจครับ” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ แล้วกวาดสายตาไปยังผู้คน จากนั้นก็หยุดอยู่ตรงหน้าโม่จือมิ่ง
ทุกคนต่างก็ยืนตัวตรงขึ้น
โม่จือมิ่งมองดูหลินหยุนแล้วพูดว่า: “ปรมาจารย์หลินครับ นี่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหุบเขาเทพยาของพวกเรา ช่วงเวลาที่ผ่านมา ก็ได้ทุ่มเทกำลังแรงกายแรงใจให้กับหุบเขาเทพยาไม่ใช่น้อยเลย”
หลินหยุนพยักหน้า: “ฉันรู้แล้ว”
ไม่มีการชื่นชมอะไรเลย แต่ว่า คำพูดเพียงคำเดียวที่ว่าฉันรู้แล้วของปรมาจารย์หลิน กลับทำให้ในใจทุกคนต่างก็รู้สึกปลาบปลื้มยินดี
โม่จือมิ่งมองไปยังผู้คนทั้งหลาย แล้วพูดด้วยเสียงเข้มงวดว่า: “ทุกคนกลับไปก่อน! ฉันกับปรมาจารย์หลินยังมีเรื่องที่จะต้องคุยกันอีก”
“ครับ!”
ทุกคนต่างก็เดินแยกย้ายออกไปอย่างรู้กาลเทศะ
โม่จือมิ่งมองดูหลินหยุนแล้วพูดว่า “ปรมาจารย์หลิน พวกเราเข้าไปคุยข้างในเถอะ!”
“ได้” หลินหยุนตอบ
“เชิญทางนี้ครับ!” โม่จือมิ่งก็เดินนำหน้าไป แล้วพาหลินหยุนเดินเข้ามาในห้องห้องหนึ่ง
เมื่อเข้าไปในห้องแล้ว โม่จือมิ่งก็รินน้ำชาให้กับหลินหยุน แล้วพูดว่า: “ปรมาจารย์หลิน เชิญท่านนั่งพักผ่อนก่อนครับ!”
หลินหยุนรับน้ำชามา แต่ก็ไม่ได้ดื่ม กลับวางอยู่บนโต๊ะ
“คุณหาฉัน มีเรื่องอะไรเหรอ?”
หลินหยุนถามพลางมองไปยังโม่จือมิ่ง
สำหรับโม่จือมิ่งคนนี้แล้ว หลินหยุนก็ยังมีความรู้สึกที่ดีอยู่บ้าง ถึงแม้เขาได้สังหารผู้อาวุโสของตระกูลโม่ไปแล้วก็จริง แต่ว่าโม่จือมิ่งเป็นนักกลั่นยาที่แท้จริงคนหนึ่ง นิสัยใจคอก็ไม่เลวเลย
ดังนั้น สำหรับข้อเรียกร้องของโม่จือมิ่ง ถ้าไม่มากจนเกินไป โดยปกติแล้วหลินหยุนก็มักจะยอมรับปากตกลง
ทันใดนั้น โม่จือมิ่งก็คุกเข่าลงต่อหน้าหลินหยุน
สายตาหลินหยุนหวั่นไหวเล็กน้อย แล้วถามอย่างเรียบๆว่า “นี่เป็นเพราะอะไรเหรอ?”
โม่จือมิ่งพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ปรมาจารย์หลินครับ คราวนี้ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องช่วยผมด้วยนะครับ!”
หลินหยุนไม่ได้เพราะว่าเขาคุกเข่าขอร้องจึงตอบตกลงเขาไปเลย ก็ยังคงพูดอย่างเรียบๆว่า “คุณบอกมาก่อนว่าเป็นเรื่องอะไร”
โม่จือมิ่งในฐานะเป็นผู้รับผิดชอบดูแลหุบเขาเทพยา ถึงแม้ว่าตอนนี้ยอมสยบต่อหลินหยุนก็จริง แต่ว่าอำนาจบารมีของหุบเขาเทพยานั้นยิ่งใหญ่มากเพียงใด?
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหุบเขาเทพยาอยู่ในโลกมโนธรรมนั้น มีบริษัทที่สามารถเข้าไปอยู่ในระดับบริษัทชั้นนำห้าร้อยอันดับแรกทั่วโลกแล้ว แม้แต่ในโลกบู๊ก็ตาม ก็ยังมีฐานะที่ไม่ธรรมดาเลย
ในโลกมโนธรรมนั้น หุบเขาเทพยาก็เป็นทั้งหน่วยงานทางด้านธุรกิจ และเป็นทั้งหน่วยงานรักษาโรคด้วย
ได้รับการนับถือศรัทธาจากคนธรรมดาทั่วไปจำนวนมาก ทุกวันก็มีผู้คนจำนวนมากมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าหุบเขาเทพยาเพื่อขอรับยาอีกด้วย
ในโลกบู๊ก็เช่นเดียวกัน มีนักบู๊จำนวนมากที่ยังต้องการโอสถในปริมาณที่มากเช่นกัน
แม้แต่ยารักษาแผลทั่วไป คนส่วนใหญ่ก็มักจะมาขอรับที่หุบเขาเทพยานี้ทั้งนั้น
ส่วนโอสถที่ระดับสูงขึ้นพวกนั้น นอกจากที่หุบเขาเทพยาแล้ว ก็ยิ่งไม่สามารถหาได้จากที่อื่นอีกแล้ว
ดังนั้น จึงมีนักบู๊จำนวนมากมายต่างก็เป็นหนี้บุญคุณหุบเขาเทพยา อย่างเช่นคำบัญชาเทพยาก็เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดตัวอย่างหนึ่ง
ส่วนโม่จือมิ่งในฐานะผู้ดูแลรับผิดชอบหุบเขาเทพยาเช่นนี้ หลินหยุนคิดไม่ออกจริงๆว่า ในโลกนี้จะยังมีเรื่องอะไรที่จำเป็นต้องมาคุกเข่าขอความช่วยเหลือจากเขาได้อีก