จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 922 ธรรมเนียมของหลินหยุน
“นายกล้าเหรอ!” เจ้าบ้านลู๋มองหลินหยุนอย่างโมโห
คุณท่านหยันขมวดคิ้ว รู้สึกทนดูไม่ได้ เขากังวลว่าถ้าหลินหยุนทำอะไร ดันแต่จะทำให้เหตุการณ์ยิ่งไม่สามารถจัดการได้
การกลับไปของสามเสือตระกูลกู่ บางทีอาจไปร้องทุกข์กับตระกูลกู่ ให้ตระกูลกู่ทำให้ตระกูลหลินลำบากใจแทนพวกเขา
แต่นี่มันวุ่นวายถึงขั้นไม่จบไม่สิ้น
ทว่าถ้าหลินหยุนทำอะไรสามเสือตระกูลกู่ งั้นก็พูดยากแล้ว
ถ้าวุ่นวายถึงขั้นไม่จบไม่สิ้น ทั้งอูซุต้องพลอยลำบากไปด้วยแน่นอน
คุณท่านหยันมองหลินซื่อเฉิงที่เดินมา และพูดด้วยเสียงทุ้ม “ผู้มาจากแดนไกลคือแขก อย่าบอกนะว่าตระกูลหลินไม่ทำตามธรรมเนียมการต้อนรับแขกหรือไง”
หลินซื่อเฉิงขมวดคิ้ว แต่ไม่พูดอะไร เขาเชื่อว่าหลินหยุนทำอะไร รู้จักยับยั้งชั่งใจตัวเอง
หลินหยุนกวาดตามองคุณท่านหยัน สีหน้าไร้ความรู้สึก
จากนั้นเห็นเพียงตัวแวบหายไป หลินหยุนก้าวออกมา วินาทีต่อมา ก็ยืนอยู่ข้างเจ้าบ้านลู๋
เพียะ!
เสียงตบดังสนั่น
เจ้าบ้านลู๋โดนตบจนตัวปลิวออกไป และล้มลงตรงประตูบ้านตระกูลหลินอย่างแรง
ลูกน้องที่เจ้าบ้านลู๋พามา เห็นเหตุการณ์จึงรีบพุ่งเข้ามา
หลินหยุสะบัดมือทันที เหมือนไล่แมลงวันอย่างไรอย่างนั้น กำลังมหาศาลทำให้พวกลูกน้องของเจ้าบ้านลู๋ปลิวออกไป
จากนั้นหลินหยุนเอามือไพล่หลัง อำนาจที่มองไม่เห็นถูกกดดันออกมา
ทุกคนสัมผัสได้เพียงพละกำลังมหาศาล เหมือนเนินเขากดอยู่บนไหล่พวกเขา
ตุ้บๆ……
นอกจากตระกูลหลิน พวกที่มาครั้งนี้ ต่างพากันคุกเข่าลง ขนาดคุณท่านหยันก็ไม่เว้น
ทุกคนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ราวกับว่าคนที่ยืนอยู่หน้าพวกเขาเป็นเทพอย่างไรอย่างนั้น
ทุกคนเหมือนมด แม้เพียงชำเลืองมองดวงวิญญาณ ก็ไม่น่าเคารพ
หลินหยุนกวาดตามองคุณท่านหยัน พูดอย่างราบเรียบว่า “นี่คือธรรมเนียมของฉัน”
คุณท่านหยันหน้าซีดเผือด แต่อยากด่าหลินหยุนมาก
แต่เขาไม่สามารถพูดอะไรได้สักประโยค หรือเรียกว่าไม่กล้านั่นเอง
สองพ่อลูกฉินเห้าเทียน คุกเข่าบนพื้น ตัวสั่นงันงก
พวกเขารู้สึกไม่พอใจมาก แทบอยากสับหลินหยุนเป็นหมื่นชิ้น
แต่เขาไม่กล้าแม้กระทั่งแสดงท่าทีขัดขืนออกมา ตะเกียกตะ กายบนพื้น เหมือนคนใช้แสนต่ำต้อย
“เสี่ยวหยุน ทำอะไรก็ตามถึงระดับที่เหมาะสมแล้วหยุดซะ!” หลินซื่อเฉิงกังวลว่าหลินหยุนจะทำเป็นเรื่องใหญ่ เพราะถ้าคนมากมายเป็นอะไรในตระกูลหลิน ทางการจีนไม่ปล่อยไว้แน่
หลินหยุนหันมา อำนาจกดดันหายไป
ทันใดนั้นทุกคนเหมือนยกภูเขาออกจากอก ทรุดลงกับพื้น หอบหายใจแรง
จากนั้น เสียงราบเรียบของหลินหยุนดังขึ้น “ต่อไปถ้ามาสร้างความลำบากให้ตระกูลหลินอีก จุดจบไม่ง่ายแบบนี้แน่”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา มองร่างผอมของหลินหยุน จู่ๆ รู้สึกเหมือนเขาสูงตระหง่าน
“นี่ นี่มันพละกำลังอะไรกัน!”
“ปรมาจารย์ใช่ไหม”
นักบู๊ในบรรดาคนพวกนั้น มีสีหน้าตกตะลึง
“แต่ถึงเป็นปรมาจารย์ ก็ไม่มีพลานุภาพเช่นนี้!”
“แค่พูดก็ทำให้คนตกตะลึง!”
“นี่มันพลานุภาพระดับไหนกัน!”
เทียบกับคนทั่วไป ถึงนักบู๊พวกนี้มีเพียงแดนพรแสวง แต่กลับรู้ว่าฝีมือของหลินหยุนน่ากลัวขนาดไหน
“รีบไปกันเถอะ เราหาเรื่องคนๆ นี้ไม่ได้!”
นักบู๊พวกนั้นพูดกันเบาๆ และแอบล่าถอยออกไป
ฉินเห้าเทียนก็ไม่ลังเล ตวาดใส่ลูกน้องว่า “ประคองเจ้าบ้านลู๋ พวกเรากลับ!”
ตอนนี้พวกเขาทำอะไรหลินหยุนไม่ได้ แผนมาตระกูลหลินครั้งนี้ ล้มเหลวโดยสมบูรณ์
อยากแก้แค้นตระกูลหลิน ต้องให้ตระกูลกู่ลงมือ ขืนอยู่ต่อไป ดันแต่จะทำให้ตัวเองอับอายขายหน้า
อีกทั้งฉินเห้าเทียนก็ไม่ได้พูดเหตุการณ์อะไรอีก เจอคนสู้แบบไม่ธรรมดา อีกทั้งยังเหิมเกริมไม่สิ้นสุดแบบหลินหยุน ขืนพูดออกมาเพียงประโยคเดียว อาจจบชีวิตก็เป็นได้
เมื่อเห็นพวกฉินเห้าเทียนออกไป คุณท่านหยันลุกขึ้นตัวสั่นงันงก มองหลินซื่อเฉิงด้วยแววตาลึกซึ้ง
“ตระกูลหลิน ทำตัวให้ดีๆ ล่ะ!”
พูดจบ คุณท่านหยันจึงหันหลังเดินออกไป
พวกผู้มีชื่อเสียงของอูซุ ก็รีบก้มหน้าเดินตามหลังคุณท่านหยันออกไป
เมื่อทุกคนออกไปจากตระกูลหลิน หลินตงถิงออกมา มองหลินหยุนด้วยแววตาเหนื่อยใจแวบหนึ่ง
“เจ้าบ้าน ต่อไปตระกูลกู่ต้องลงมือแน่ เราจะรับมือยังไงครับ”
หลินซื่อเฉิงสีหน้าไม่เปลี่ยน พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เหตุผลอยู่ฝั่งเรา ถึงเป็นตระกูลกู่ ก็คงจะไม่ไร้เหตุผล!”
“พอแล้ว ลงไปเถอะ!”
หลินซื่อเฉิงพูดทิ้งท้าย ถึงคนในตระกูลหลินจะกังวล แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร
หลินซื่อเฉิงมองไปยังหลินโล่เฉินตรงมุม แล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “โล่เฉิน นายตามฉันมา!”
“ครับ!” หลินโล่เฉินอึ้งไป และพูดตอบเสียงขรึม
หลินหยุนมองเขาแวบหนึ่ง แล้วหันหลังเดินออกไป
ภายในห้อง หลินซื่อเฉิงนั่งบนเก้าอี้ มองหลินโล่เฉินที่ยืนอยู่ตรงหน้า
นี่เป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในตระกูลหลิน ก่อนหลินหยุนยังไม่มา เขาเป็นแบบอย่างของรุ่นหนุ่มสาวในตระกูลหลิน
ถ้าหลินหยุนไม่ได้กลับมาเกิดใหม่ รัศมีของหลินโล่เฉิน มีอิทธิพลต่อตระกูลหลินมาตลอด
แต่หลินโล่เฉินไม่มีทางพาตระกูลหลินเดินไปยังความรุ่งโรจน์ได้ ถึงเขามีความสามารถ แต่วิสัยทัศน์ของเขามีจำกัด
อีกทั้งมีหลุมอยู่ในใจหลินโล่เฉิน
ถ้าข้ามหลุมนี้ไปไม่ได้ หลินโล่เฉินไม่อาจรับผิดชอบสิ่งใหญ่ได้
หลุมนี้ก็คือตระกูลกู่
ในปีนั้นตระกูลกู่มายกเลิกการแต่งงานที่ตระกูลหลิน เป็นเรื่องแสนอัปยศในใจหลินโล่เฉิน เงามืดของเรื่องนี้ เหมือนฝันร้าย ครอบงำชีวิตของหลินโล่เฉิน
ผ่านไปหลายปี ดูภายนอกเหมือนหลินโล่เฉิน เดินออกมาจากเงามืด เรื่องยกเลิกการแต่งงานในตอนนั้นแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าบ้านหลิน หลินซื่อเฉิงรู้ดี คนมีความสามารถของตระกูลหลินคนนี้ ไม่เคยเดินออกจากเงามืดเรื่องยกเลิกการแต่งงานเลย
ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลกู่ ทำให้ความคิดของหลินโล่เฉินสับสน ถึงขนาดที่ความคิดหยุดชะงักไป
หลินซื่อเฉิงมองใบหน้าซีดของหลินโล่เฉิน ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ฉันรู้ว่าเรื่องในปีนั้น มีผลกระทบกับนายมาก แต่ยังไงนายต้องก้าวออกมาจากเรื่องนั้น”
“หลายปีมานี้ถึงภายนอกนายดูไม่มีเรื่องพวกนั้นแล้ว แต่ฉันรู้ นายยังไม่ก้าวข้ามหลุมที่อยู่ในใจ”
หลินโล่เฉินไม่ได้เถียง เขารู้ว่าปิดบังเจ้าบ้านไม่ได้
หลินซื่อเฉิงพูดต่อ “ครั้งนี้หลินหยุนทำร้ายเจ้าบ้านลู๋ ทำให้ฉินเห้าเทียนอับอาย ล่วงเกินสามเสือตระกูลกู่”
“ตระกูลกู่ต้องออกโรงแทนสามเสือตระกูลกู่แน่นอน ตระกูลหลินของเรา หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับตระกูลกู่ไม่ได้!”
“ฉันหวังว่าตอนนั้น นายจะฮึกเหิมขึ้นมาได้”
หลินซื่อเฉิงชี้แนะอย่างจริงใจ เขาหวังจากใจจริงว่า อัจฉริยะของตระกูลหลินคนนี้ จะมีชื่อเสียงสมชื่อ
ยังไงหลินหยุนก็คงไม่โดนผูกมัดจากฆราวาส และอนาคตของตระกูลหลินเกือบครึ่ง ต้องอยู่ในมือของอัจฉริยะของตระกูลหลินคนนี้
หลินโล่เฉินหน้าซีดเผือด กำมืออย่างไม่เป็นธรรมชาติ จนเส้นเลือดปูดขึ้นมา
แต่เขาไม่ได้ให้คำสัญญาใดๆ กับหลินซื่อเฉิง เพราะเขาไม่แน่ใจว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับตระกูลกู่และผู้หญิงคนนั้น เขาจะหวาดกลัวหรือเปล่า
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เขาไม่สามารถเดินออกจากเงาของผู้หญิงคนนั้นได้เลย
หลินซื่อเฉิงถอนหายใจ เขาก็ไม่อยากบังคับหลินโล่เฉินเหมือนกัน
“นายกลับไปคิดดีๆ เถอะ!”
“ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง ไม่เคยหลบหนี ถึงรู้ว่าไม่สามารถชนะศัตรูได้ พวกเขาก็จะมุ่งไปข้างหน้าอย่างห้าวหาญ”
หลินโล่เฉินกำหมัดแน่นขึ้นอีก
แต่ก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ
เขาโค้งตัวทำความเคารพหลินซื่อเฉิง และหันหลังเดินออกไป