จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 941 อีหลิงมีภัย
หวางเจ๋อขมวดคิ้ว
พวกนี้ยังไม่ใช่เหตุผลที่สำคัญที่สุดเหรอ?
เช่นนั้นแล้วอะไรจึงจะเป็นเหตุผลสำคัญที่สุดล่ะ
เขารู้สึกว่าพี่ชายที่เย่อหยิ่งของเขาคนนี้ กำลังแกล้งทำลึกลับซับซ้อน
หวางเซิ่งเฉียนมองเขาแวบเดียว แล้วหัวเราะขึ้นมา “ที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณชายตระกูลหงคนนั้น เพิ่งกลับมาจากอเมริกา”
หวางเจ๋อก็เข้าใจทันที
เป็นเพราะว่าคุณชายตระกูลหงอยู่ที่อเมริกามาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของปรมาจารย์หลินเลย
ดังนั้น เขาจึงไม่เกรงกลัวอะไร
เป็นเพราะว่าไม่รู้ ดังนั้นจึงไม่กลัว
คนที่ไม่เกรงกลัวอะไรเลย ก็ย่อมกล้าทำอะไรออกมาได้ทุกอย่าง ต่อให้คนในตระกูลของเขาพูดเตือนยังไงก็ไม่ยอมฟัง
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นละก็ ต่อให้เบื้องหลังมีอำนาจอิทธิพลที่แข็งแกร่งก็ตาม แต่ว่าเมื่อได้ยินชื่อปรมาจารย์หลินแล้ว ก็จะต้องเกิดความกลัวขึ้นในใจอย่างแน่นอน
เช่นนี้แล้ว ก็จะไม่สามารถสัมฤทธิผลตามที่ตระกูลหวางคาดหวังเอาไว้
จึงพูดได้ว่า คุณชายตระกูลหงคนนี้ เป็นแคนดิเดตที่เหมาะสมที่สุดในสายตาของตระกูลหวางตอนนี้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คุณชายตระกูลหงคนนี้ เคยได้หมั้นหมายกับตระกูลอีแห่งเจียงหนานมาก่อน
ถ้าเมื่อไหร่ที่ให้คุณชายตระกูลหงได้เห็นหน้าอีหลิงละก็ ตามข้อมูลที่หวางเจ๋อได้สืบหามานั้น เป็นไปได้ที่เขาจะต้องใช้กำลังฉุดตัวเธอกลับมาอย่างแน่นอน
“ในเมื่อพี่ใหญ่มีความเชื่อมั่นขนาดนี้ งั้นพวกเราก็นั่งรอดูบทบาทการแสดงของคุณชายหงคนนี้ก็แล้วกัน”
หวางเจ๋อมองดูหวางเซิ่งเฉียนที่มีท่าทีชอบถากถางกลั่นแกล้งผู้คน ในใจก็รู้สึกเลื่อมใสเล็กน้อย
ทุกคนต่างก็พูดว่าหวางเซิ่งเฉียนได้ออกจากบ้านตระกูลหวางไปตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อไปฝึกฝนวิทยายุทธ์ที่โลกบู๊โบราณ แต่ว่าดูไปแล้วเขากลับรู้เรื่องราวของชาวจีนในโลกมนุษย์ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนเลยทีเดียว
หลินหยุนยังไม่รู้ว่าทั้งสองพี่น้องตระกูลหวาง ก็ได้เริ่มวางแผนชั่วร้ายขึ้นมาใหม่อีกรอบหนึ่งแล้ว
กลับไปที่ตระกูลหลินพร้อมกับหลินซื่อเฉิง
เมื่อเห็นหลินโร่หลันกลับมาแล้ว สวี่เหม่ยเย้นก็ดีใจจนน้ำตาไหล จับมือทั้งสองข้างของหลินโร่หลันไว้ แล้วสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า กลัวว่าจะมีอะไรสึกหรอไปบ้าง
สวี่เหม่ยเย้นพลางเช็ดน้ำตาพลางถามด้วยความเจ็บใจว่า “คนร้ายพวกนั้นไม่ได้รังแกลูกใช่ไหม?”
หลินโร่หลันส่ายหน้าอย่างเรียบเฉย “ไม่ค่ะ แม่วางใจเถอะ ลูกสบายดีค่ะ!”
หลินโร่หลันมองดูหลินซื่อเฉิงที่สีหน้ายิ้มแย้ม และยังมีหลินหยุนที่สีหน้าเรียบเฉยยืนอยู่ข้างๆ แล้วพูดเสียงเบาๆว่า “โชคดีที่คุณปู่และหลินหยุนมาช่วยลูกไว้ได้ทันเวลา”
สวี่เหม่ยเย้นก็เช็ดน้ำตา สายตาที่มองไปยังหลินหยุนรู้สึกสับสนวุ่นวาย
“หลินหยุน ขอบคุณนะ!”
หลินหยุนไม่ได้พูดอะไร ได้แต่พยักหน้าอย่างเรียบๆ ถือว่าเป็นการตอบรับ
หลินตงเย่วก็ลุกขึ้นมาแล้วโค้งคำนับให้กับหลินหยุน “หลินหยุน เมื่อก่อนพวกเราทั้งครอบครัวทำไม่ดีกับนายไว้อย่างนั้น นายกลับใช้ความดีลบล้างความโกรธ ทำให้คนรุ่นอาวุโสอย่างฉันรู้สึกละอายใจยิ่งนัก”
“พวกเราทั้งครอบครัวเป็นหนี้บุญคุณนายมากมาย วันนี้ ฉันหลินตงเย่วขอสาบานที่นี่ว่า ต่อไปขอเพียงนายมีอะไรจะให้ฉันช่วย ต่อให้นายต้องการชีวิตฉัน ฉันก็จะไม่บ่นเลย”
หลินซื่อเฉิงหัวเราะแล้วพูดว่า “เอาเถอะเอาเถอะ เราต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน พูดอย่างนี้ก็เหมือนเป็นคนนอกแล้วล่ะ”
“ขอให้ต่อไปพวกเราต่างรักใคร่กลมเกลียวกัน ตระกูลหลินพวกเราจะต้องฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ในอดีตกลับคืนมาได้อย่างแน่นอน”
“คุณปู่พูดถูกแล้ว อย่างนี้ถึงจะเหมือนคนครอบครัวเดียวกันไงล่ะ!” หลินโร่สุ่ยก็กอดแขนของหลินซื่อเฉิงเอาไว้ เริ่มจะออดอ้อน ดวงตาที่กลมโตทั้งสองก็มองไปยังหลินหยุนด้วยท่าทางที่แสนน่ารัก
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย เป็นการตอบรับ
หลังจากที่ตระกูลหลินผ่านภัยอันตรายครั้งนี้ไปได้แล้ว ความสัมพันธ์ภายในครอบครัวก็ได้สนิทสนมมากขึ้นไม่น้อยเลย
จะใช้คำว่าครอบครัวสุขสันต์ก็ไม่มากจนเกินไป
ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้ในใจของหลินหยุนรู้สึกมีความสบายใจขึ้นมาก
ระหว่างคนในสายเลือดเดียวกัน ก็ควรจะเป็นเช่นนี้ ที่จะต้องมีความจริงใจต่อกันและกัน
ถ้าหากระหว่างคนในสายเลือดเดียวกัน ก็ยังคิดเล็กคิดน้อย เอาแต่ผลประโยชน์มาเป็นที่ตั้ง งั้นก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอกเลย
หลินหยุนก็ให้คำชี้แนะกับหลินซื่อเฉิงต่อไป หลังจากผ่านการสู้รบกับเซินถูแล้ว ในที่สุดหลินซื่อเฉิงก็สามารถหยั่งรู้ท่าแยกน้ำ ซึ่งเป็นท่าที่สองของสามท่าต้าเต๋าได้แล้ว
แต่ว่า ท่าแยกน้ำที่หลินซื่อเฉิงหยั่งรู้ออกมานั้น แตกต่างไปจากความหมายเดิมของหลินหยุนไป
แต่นี่ทำให้หลินหยุนรู้สึกชื่นชมมาก
เพราะว่า ท่าแยกน้ำที่หลินซื่อเฉิงหยั่งรู้ออกมานั้น ไม่ได้ด้อยไปกว่าท่าแยกน้ำที่หลินหยุนถ่ายทอดให้เลย
นี่ทำให้หลินหยุนต้องแอบเปลี่ยนวิธีการถ่ายทอดวิชาให้กับหลินซื่อเฉิงแล้ว
หลินหยุนรู้สึกว่า การหยั่งรู้ของหลินซื่อเฉิงนั้น อาจไม่แน่จะทำให้ค้นพบแนวทางของตัวเขาเองออกมา จนสามารถเกิดประสิทธิผลที่คาดไม่ถึงก็ได้
ในโลกนี้เดินทีก็ไม่มีทางเดินมาก่อน เมื่อคนเดินมากขึ้นก็จะกลายเป็นทางเดินขึ้นมาเอง
การฝึกฝนบำเพ็ญเพียรก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ทางเดินที่คนเคยเดินผ่านมานั้น ถึงแม้ว่าจะราบเรียบเดินสะดวกก็จริง แต่ว่ายังไงก็ไม่ใช่เป็นเส้นทางเดินของตัวเอง
ถึงแม้จะสามารถไปถึงจุดหมายปลายทางได้รวดเร็วก็ตาม แต่ว่าความรู้สึกที่ได้รับนั้น ยังไงก็เป็นเพียงความรู้สึกของคนที่ได้เดินก่อนหน้านั้น
มีแต่ต้องเปิดเส้นทางเดินใหม่ให้กับตัวเองเท่านั้น จึงจะสามารถค้นพบเส้นทางเดินของตัวเองออกมาได้
ดังนั้น ตอนนี้หลินหยุนก็เพียงแต่ส่งมอบสิ่งที่ควรจะถ่ายทอดให้กับหลินซื่อเฉิงเท่านั้น แต่หลังจากที่หลินซื่อเฉิงได้รับรู้แล้ว ก็จะไม่ไปสนใจอีกต่อไป
ทุกอย่างก็ปล่อยให้ตัวเขาไปเข้าใจเอาเอง
หลินหยุนก็พักอยู่ที่ตระกูลหลินสามวัน
จางซือจู่ก็โทรศัพท์มาหาอย่างกะทันหัน พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนมาก “หลินหยุน แย่แล้ว อีหลิงมีอันตราย นายรีบกลับมาเร็ว!”
หลินหยุนที่กำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่บนเก้าอี้ ถึงกับสะดุดทันที
หลังจากนั้น ก็เกิดพลังที่แปลกประหลาดขึ้นมา ทำลายข้าวของทั้งหมดบริเวณรอบๆภายในรัศมีหนึ่งเมตร จนละเอียดเป็นเถ้าถ่าน
“รอเดี๋ยว ฉันกำลังจะรีบเข้าไป” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ หลังจากพูดจบคนก็หายออกจากห้องไปแล้ว เหลือแต่ประตูห้องที่ถูกเปิดออกด้วยพลังแรง
หลังจากไม่กี่วินาทีที่ได้ยินเสียงอึกทึกแล้ว พวกหลินซื่อเฉิงก็รีบเข้ามาในห้องของหลินหยุน
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ที่นี่เหมือนได้ผ่านการต่อสู้มาก่อน!” หลินตงถิงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น
หลินซื่อเฉิงมองดูเศษผงที่หนาเป็นชั้นๆพวกนั้น และยังมีประตูห้องที่ถูกผลักออกอย่างแรงแล้ว ก็สามารถวิเคราะห์ได้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว
“แปลกจัง มีเรื่องอะไรกันแน่ ที่ทำให้เสี่ยวหยุนโกรธได้ถึงเพียงนี้?”
หลินซื่อเฉิงก็แอบนึกสงสัยในใจ
“ไม่เป็นไรหรอก เสี่ยวหยุนน่าจะมีเรื่องด่วนที่จะต้องกลับไปก่อน ด้วยพลังความสามารถของเขาแล้ว ไม่น่าจะมีอันตรายอะไร” หลินซื่อเฉิงพูด
“งั้นก็ดีแล้ว!” หลินตงถิงก็รู้สึกโล่งอก ตอนนี้เขาเป็นห่วงหลินหยุนด้วยความจริงใจ
อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ตระกูลหลินทั้งหมด ก็เห็นหลินหยุนเป็นเสาหลักไปแล้ว
ในขณะที่หลินหยุนรีบเดินทางไปยังสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์นั้น เซินถูก็ได้พาผู้อาวุโสสองคนมาถึงเขาคุนลุ้นของโลกบู๊โบราณ
ผู้อาวุโสใหญ่มองดูเขาคุนหลุนที่สูงตระหง่านยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขตนั้น ถอนหายใจแล้วพูดว่า “เจ้าบ้านครับ ในจำนวนสี่ผู้ตั้งมั่นรักษานั้น สำนักอู่หลิงและสำนักคงต้งต่างก็ปฏิเสธพวกเราไปแล้ว สำนักเอ๋อเหมยก็มีแต่ผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ ถ้าสำนักคุนหลุนยังปฏิเสธอีกละก็ งั้นพวกเราก็ไม่รู้จะไปหาใครมาจัดการกับหลินหยุนได้อีกแล้ว”
เซินถูสีหน้าบึ้งตึง “ไม่เป็นไร ต่อให้พ่ายแพ้ อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้สี่ผู้ตั้งมั่นรักษาเริ่มหันมาเพ่งเล็งหลินชางฉองได้บ้าง ฉันเชื่อว่า ตราบใดที่พวกเขารู้สึกว่าหลินชางฉองคุกคามพวกเขาแล้วละก็ พวกเขาก็จะต้องลงมืออย่างแน่นอน!”
“อึม” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว พวกเขาก็เดินออกมาจากสำนักคุนหลุนด้วยสีหน้าผิดหวัง
เซินถูแหงนหน้ามองดูท้องฟ้า “สงสัยว่า เป็นเพราะสวรรค์ยังไม่อยากให้หลินชางฉองตายมั้ง!”
“งั้นก็ให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสักระยะหนึ่งเถอะ!”
“กลับไปเถอะ ไปฝึกฝนบำเพ็ญเพียร เพื่อยกระดับพละกำลังของตระกูลเซินพวกเราให้สูงกว่านี้”
……
ขณะนี้ หลินหยุนก็ได้มาถึงสถาบันภาพยนตร์และโทรทัศน์แล้ว ก็ได้พบกับพวกจางซื่อจู่ที่อยู่ภายในหอพัก
“หลินหยุน ในที่สุดนายก็มาถึงสักที”
บนใบหน้าและตามร่างกายของพวกจางซือจู่นั้น ก็ยังมีบาดแผลอีกด้วย
หลินหยุนขมวดคิ้วแล้วถามว่า “เกิดเรื่องอะไรกันแน่?”
จางซือจู่พูดว่า “ก็ไม่รู้เป็นคนพวกไหนที่จู่ๆก็โผล่ออกมา ฉวยโอกาสที่อีหลิงออกไปกินข้าวข้างนอกกับเพื่อนๆ แล้วบังคับให้อีหลิงตามพวกเขาไปพบคนคนหนึ่ง”
“เมื่อพวกเราได้ข่าวแล้ว ก็รีบตามไปทันที หลังจากนั้นก็ต่อสู้กับคนพวกนั้น แต่ว่าสู้พวกเขาไม่ได้”
“สุดท้ายแล้ว อีหลีงเพราะอยากช่วยพวกเรา จึงยอมตกลงไปกับพวกเขา”
จางซือจู่พูดพลาง กำหมัดไว้แน่นด้วยสีหน้าละอายใจ
หลินหยุนมองไปยังเทพฟ้าผ่า เขาได้รับบาดเจ็บมากที่สุด
เทพฟ้าผ่าเข้าใจความหมายของหลินหยุน พยักหน้าแล้วพูดว่า “พวกนั้นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป มีหลายคนเป็นนักบู๊ที่มีพละกำลังไม่ธรรมดาเลย ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา”
หลินหยุนสีหน้าพูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “รู้ไหมว่าใครเป็นคนทำ?”
“ไม่รู้”
พวกจางซือจู่ต่างก็ส่ายหน้า
หลินหยุนขมวดคิ้ว “แล้วพวกเขาพูดอะไรอีกหรือเปล่า?”
พวกจางซือจู่คิดดูแล้วก็ส่ายหน้าอีกครั้งหนึ่ง
ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร และก็ไม่มีเบาะแสอะไรเหลือให้เลย ถ้าคิดจะตามหาอีหลิงก็คงเป็นเรื่องที่ยากแล้ว