จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 952 ยอดเขาจื่อจิง
ด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือในเขตชานเมืองของเมืองหลวง มีภูเขาลูกหนึ่ง ชื่อว่าเขาจื่อจิง
กล่าวกันว่า เขาจื่อจิงเมื่อหลายปีก่อน เป็นเมืองจักรพรรดิที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อราชวงศ์
ต่อมาภายหลัง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ราชวงศ์นั้นได้ตกต่ำลง เมืองจักรพรรดิจึงได้หายไปตามการตกต่ำของราชวงศ์
จากนั้น เขาจื่อจิงได้ผุดขึ้นมาจากพื้นดิน เพราะเป็นพื้นที่ภูเขาสูงชัน ปกติจึงไม่ค่อยมีคนมาที่นี่
สถานที่ที่เจียงร่อโจ๋เลือกเป็นสนามรบ ก็คือยอดเขาจื่อจิงนั่นเอง
ศึกชี้ขาดครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้ปล่อยข่าวออกไป แต่ก็ยังมีผู้คนมากมายให้ความสนใจมารับชมศึกครั้งนี้ที่ยอดเขาจื่อจิง
มีคนของสี่มหาตระกูล และทหารระดับสูงจากกองทัพ รวมถึงตระกูลที่สนิทสนมกับตระกูลหง
กลับกัน ทางด้านของหลินหยุน นอกจากเขาและฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียม ก็มีหงซานเหอที่ถือว่ายืนอยู่ฝ่ายเขาครึ่งหนึ่ง
ตอนนี้ เป็นเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ซีกหนึ่งของยอดเขาถูกแสงอาทิตย์สะท้อนแสงสีทองอร่าม
เขาจื่อจิงไม่ค่อยสูงจากระดับน้ำทะเลสักเท่าไหร่ บนยอดเขา มีพื้นที่ค่อนข้างราบอยู่ส่วนหนึ่ง สามารถมองเห็นพื้นดินได้ ก้อนหินจำนวนหนึ่ง มีสภาพเหมือนกับพื้นกระดาน
หงซิงกั๋วยืนอยู่ตรงกลางพื้นที่ราบตรงนั้น ด้านข้างมีกระถางธูปวางอยู่หนึ่งกระถาง ด้านในมีธูปจุดอยู่ด้วย เป็นการไหว้ภาพของหงเหวินหาวที่ได้เสียชีวิตไปแล้ว
ส่วนบริเวณรอบ ๆ เป็นผู้คนที่มารับชมศึกครั้งนี้
ผู้นำตระกูลแห่งสี่มหาตระกูล ได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน ตระกูลที่สนิทสนมกับตระกูลหงเหล่านั้น ก็ได้รวมตัวอยู่ด้วยกัน ส่วนคนในกองทัพก็รวมกันอยู่เป็นกลุ่ม
และยังมีนักบู๊มากมายที่ได้ยินข่าวรีบมาดูเทพสงครามแสดงฝีมือ แต่ละคนได้กระจัดกระจายอยู่บริเวณรอบ ๆ
หงซานเหอพาลูกน้องมาด้วยสองคน คนหนึ่งยืนอยู่ในมุมเงียบ ๆ คนเดียว มองดูหงซิงกั๋วอยู่ห่าง ๆ
เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าพวกกับคนอื่น
สำหรับตัวหลักของศึกชี้ขาดในครั้งนี้ กลับยังไม่ปรากฏตัว
บรรดาลูกหลานของสี่มหาตระกูลบางคน เริ่มรอไม่ไหวแล้ว จนไปรอหลินหยุนที่ระหว่างทางขึ้นเขา
ในบรรดาคนเหล่านี้ มีหวางเซิ่งเฉียน หวางเจ๋อ องค์หญิงจ้าวม่านหรู และยังมีเด็กอัจฉริยะของตระกูลจางและตระกูลหลิวด้วย
“ปรมาจารย์หลินคนนี้ได้ยินว่าเทพสงครามจะมาสู้ด้วยตัวเอง ยังจะกล้ามาสู้ด้วยอีกหรือเปล่า?” หนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย เหมือนดูถูกปรมาจารย์หลินอยู่บ้าง
“ป่านนี้แล้วยังไม่มา ใครจะไปรู้ล่ะ?” เด็กสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่ง แสยะยิ้มพลางพูดอย่างเหยียดหยาม เธอเป็นคนในตระกูลหวาง เป็นคนที่ต่อต้านหลินหยุนมาโดยตลอด
ไม่เพียงแต่คนหนุ่มสาวเหล่านี้เท่านั้นที่เอ่ยถาม เหล่าทหารจากกองทัพก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์อยู่เช่นกัน
แม้กระทั่ง ผู้นำตระกูลแห่งสี่มหาตระกูลไม่กี่คนนั้น ก็สงสัยเช่นเดียวกัน
ยังไงซะ ก็มีเพียงตระกูลหวางเท่านั้นที่ค่อนข้างรู้จักหลินหยุนเป็นอย่างดี อีกสามตระกูลที่เหลือ รู้เรื่องราวของหลินหยุนจากข้อมูลจำนวนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้รู้จักนิสัยที่แท้จริงของหลินหยุน
“พี่จิงหลง ตระกูลหงเชิญหลินหยุนมาอย่างเปิดเผยขนาดนี้ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นหรือเปล่า?”
“ถ้าเกิดหลินหยุนกลัว แล้วไม่มาล่ะ ยิ่งถ้าไปหลบซ่อนตัวขึ้นมา หงซิงกั๋วจะไปตามหาเขาจากที่ไหน?” จางฉางเกิงถามด้วยความกังวลเล็กน้อย
จ้าวโม่เย้นเอ่ยพูด : “พี่จางคิดรอบคอบจริง ๆ ผมเองก็กังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
หวางจิงหลงเอ่ยพูดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง : “วางใจเถอะ จากที่ผมรู้จักไอ้หมอนั่น ด้วยความโอหังของเขา ต่อให้รู้ว่าด้านหน้าอันตรายมากแค่ไหน เขาก็ต้องมาอย่างแน่นอน”
“ถ้าหากไม่มา เขาก็ไม่ใช่ปรมาจารย์หลินแล้วล่ะ”
“ดูท่าทางพี่จิงหลงรู้จักปรมาจารย์หลินเป็นอย่างดีเลยนะ!” จางฉางเกิงประจบหวางจิงหลงอย่างเรียบง่าย
หวางจิงหลงเอ่ย : “ผมกับเขาเคยสู้กันมาหลายครั้ง จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องสืบหาข้อมูลของเขาเป็นอย่างดี”
“ไอ้หมอนี่ ไม่ว่าทำอะไร จะมั่นใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา”
ตอนที่หลินหยุนและฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมปรากฏตัวขึ้นที่ทางขึ้นเขา ก็ดึงดูดสายตาทุกคนทันที
บางคนไม่เคยเห็นหลินหยุนมาก่อน ก็อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ : “นี่คือปรมาจารย์หลินใช่ไหม? อายุน้อยเหมือนอย่างที่ร่ำลือกันเลย”
พี่หลี่ ผมคิดว่าไอ้หมอนี่น่าจะอายุน้อยกว่าหลานชายของพี่อีกนะ เขาสามารถสู้รบกับเจียงร่อโจ๋ได้เหรอ? ทำไมดูไม่น่าจะเป็นไปได้เลยล่ะ!” ทหารระดับสูงคนหนึ่งพูดอย่างสงสัย
“คนเราไม่อาจตัดสินกันได้ที่หน้าตา น้ำทะเลก็ไม่อาจวัดตวงได้ ในเมื่อเจ้าหมอนี่สามารถฆ่าเทพกระบี่เยนหนานเทียนได้ อีกทั้งยังฆ่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งญี่ปุ่นได้ ความสามารถของเขาอาจจะเก่งกาจกว่าเจียงร่อโจ๋ด้วยซ้ำ! ยังไงตอนที่เจียงร่อโจ๋มีชื่อเสียง เยนหนานเทียนก็ได้ถอนตัวออกจากวงการไปสิบกว่าปีแล้ว”
“เมื่อครู่นี้นายก็พูดแล้ว ว่าคนเราไม่อาจตัดสินกันที่หน้าตา ต่อให้เยนหนานเทียนอายุมากกว่าเทพสงคราม แต่ว่า ด้านการหยั่งรู้ อาจจะไม่ได้เก่งกาจกว่าเทพสงครามก็ได้ ผมคิดว่า ความสามารถของเทพสงคราม ต้องเหนือกว่าเยนหนานเทียนแน่นอน”
“ถูกต้อง ความสามารถของเทพสงคราม ต้องเหนือกว่าเยนหนานเทียนอยู่แล้ว ต้องเอาชนะปรมาจารย์หลินได้แน่นอน”
คนของกองทัพหลายคน ต่างเห็นเทพสงครามเป็นแบบอย่าง จึงศรัทธาในตัวเจียงร่อโจ๋มาก
อีกอย่าง เจียงร่อโจ๋ถูกขนานนามให้เป็นเทพสงครามแห่งกองทัพจน ในเมื่อเป็นเทพสงคราม จะสู้รบพ่ายแพ้ได้ยังไง
หนุ่มสาวเหล่านั้นที่ดักรออยู่ที่ทางขึ้นเขา เมื่อเห็นพวกหลินหยุนปรากฏก็รีบหลีกทางให้ทันที
หลินหยุนเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยหลายคนจากคนในกลุ่มนี้
หวางเซิ่งเฉียน หวางเจ๋อ องค์หญิงตระกูลจ้าว……
“ปรมาจารย์หลิน ไม่เจอกันนานเลยนะ!” ข้างทาง หวางเซิ่งเฉียนได้มองไปที่หลินหยุนพลางแสยะยิ้มแล้วเอ่ยทัก
หลินหยุนมองไปที่เขา แล้วเอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ : “ฉันไม่ได้อยากเจอหน้านายเลย”
“ฮ่าฮ่า!” หวางเซิ่งเฉียนแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง : “ที่จริง ฉันเองก็ไม่อยากเจอหน้านายเหมือนกัน ถ้าให้ดี วันนี้ขอให้นายพ่ายแพ้ แล้วหายสาบสูญไปซะ จะได้ไม่สร้างเรื่องให้ฉัน”
หลินหยุนไม่มองเขาอีก แล้วเอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ ว่า : “วางใจได้เลย รอให้ตระกูลหวางหายสาบสูญไป ฉันก็ยังอยู่อยู่ดี”
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมได้ยกนิ้วกลางใส่หวางเซิ่งเฉียน เจ้าหมอนี่อยู่จีนมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว เรื่องดี ๆ กลับไม่เรียนรู้ แต่เรื่องด่าคำพูดหรือการกระทำที่ใช้ด่าคนกลับเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินไปอีกสองก้าว หลินหยุนก็ได้รับสายตาที่เย็นชาคู่หนึ่ง
ไม่ต้องหันไปดู หลินหยุนก็รู้ว่าต้องเป็นองค์หญิงตระกูลจ้าว
“หลินหยุน ตอนนั้นนายไม่เชื่อคำพูดฉัน ดึงดันจะฆ่าหงเหวินหาวให้ได้ ตอนนี้ นายรอรับไฟแค้นของตระกูลหงได้เลย!” ใบหน้าสวยงามแต่เย็นชาของจ้าวม่านหรูเผยสีหน้าเยาะเย้ยออกมา
หลินหยุนเดินผ่านเธอไป ไม่แม้แต่จะหันมองเธอ เมินเฉยใส่เธอทันที
ทำให้จ้าวม่านหรูโมโหเป็นอย่างมาก ทั้งหน้าตาและสกุลรุนชาติของเธอ ผู้ชายคนไหนได้เห็นต่างก็ก้มหัวให้เธอทั้งนั้น แม้แต่พูดก็ยังพูดไม่ออก
คนที่กล้าเมินเฉยใส่เธอ มีเพียงแค่หลินหยุนเท่านั้น
“เหอะ แกต้องได้ชดใช้ในความโอหังของแก!” จ้าวม่านหรูพูดด้วยเสียงเย็นชา
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมปรายตามองเธอ เห็นหน้าอกของเธอกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง จึงได้หัวเราะพลางเอ่ยพูด : “ช่วงนี้ฉันเพิ่งได้เรียนคำพูดหนึ่งจากชาวจีน”
จ้าวม่านหรูมองเขาด้วยสายตาเย็นชา แล้วเอ่ยพูดด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง : “คำพูดอะไร?”
“เธออยู่สวยมาก แต่ก็อย่าคิดเพ้อให้สวยหรูมากไป” ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมยิ้มเล็กน้อย แล้วรีบเดินตามหลินหยุนไป
“หลินหยุน ฉันไม่ค่อยเข้าใจ ทั้งที่นายไม่ได้สนใจเธอเลย ทำไมเธอดูเหมือนโกรธมากอย่างนั้นล่ะ?” ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมเอ่ยถามด้วยความสงสัย
หลินหยุนไม่ได้หันกลับไป เพียงแต่เอ่ยพูดอย่างนิ่งเฉยว่า : “ผู้หญิงที่ยิ่งคิดว่าตัวเองรูปร่างหน้าตาดี ก็ยิ่งรับไม่ได้ที่ถูกคนเมินเฉยใส่”
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมพยักหน้า ทำท่าทางเหมือนได้รับการสั่งสอน : “อ้อ ฉันเข้าใจแล้ว”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จ้าวม่านหรูก็ยิ่งโกรธจนหน้าซีด
ไม่นาน หลินหยุนได้พาฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมเดินมาถึงพื้นที่ราบตรงกลางยอดเขา
“ในที่สุดแกก็มาถึงสักที” หงซิงกั๋วมองไปที่หลินหยุน แววตาไม่มีความเคียดแค้น มีเพียงความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ
หลินหยุนมองไปที่กระถางธูปที่วางอยู่ด้านข้างหงซิงกั๋ว และรูปภาพของหงเหวินหาว จากนั้นได้เอ่ยพูดอย่างเรียบ ๆ ว่า : “ถ้าหากแกยังหลงผิดคิดไม่ได้ต่อไป ไม่นานแกก็จะได้ไปเจอกับมัน”