จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 954 ปราบเทพสงครามในท่าเดียว
ลมภูเขาพัดผ่านมา เสียงลมดังหวีดหวิวราวกับเสียงผีร้องครวญคราง
ลมภูเขาที่พัดโหมกระหน่ำมากะทันหันนี้รุนแรงมาก จนทำให้ผู้คนทั่วไปต้องรีบใช้มือปิดตาไว้
แต่ว่า ทั้งสองคนที่ยืนอยู่บนที่ราบ กลับไม่สะทกสะท้านแม้แต่เส้นผม เหมือนสายลมนั้นพัดข้ามพวกเขาไป
เมื่อทุกคนได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เทพสงครามที่อยู่ในสนามได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“วัชรไวโรจนะ!”
เสียงใสกังวานราวกับเสียงเพลง คล้ายเสียงสวดภาษาสันกสฤตได้ดังขึ้นอย่างกะทันหันที่บนยอดเขา
ทุกคนรีบแหงนหน้าไปมอง
เห็นมีพระอาทิตย์ดวงน้อยสีทองลอยอยู่กลางอากาศ แผ่ความร้อนออกมาจนร้อนระอุไปทั่ว
แน่นอนว่า นี่ไม่ได้พระอาทิตย์ดวงน้อยที่ไหน แต่เป็นเจียงร่อโจ๋นั่นเอง
ตอนนี้ ทั่วตัวของเขาไปเปล่งแสงสีทองเรืองรอง มีพลังที่แกร่งกล้าราวกับแดดที่แผดเผาออกมา
ถึงแม้วันนี้เขาอยู่ในระดับปรมาจารย์ชั้นสูงสุดเท่านั้น แต่พลังของเขาเทียบได้กับแดนเทพแล้ว
“ถูกเรียกว่าเป็นเทพสงครามได้ ก็ต้องมีวิชาอยู่บ้างแหละนะ” หลินหยุนมองเขา แล้วเอ่ยพูดอย่างราบเรียบ
วัชรไวโรจนะ มาจากพระไวโรจนพุทธะ
ตอนนี้ ไวโรจนปรากฏขึ้นแล้ว แต่วัชระยังไม่ปรากฏออกมา
แต่ในชั่วพริบตาเดียว แสงสีทองที่อยู่กลางอากาศก็ได้เปลี่ยนไป
เจียงร่อโจ๋ที่มีแสงสีทองอยู่รอบตัว ได้กระแทกหมัดเข้าใส่หลินหยุน
ตอนนี้ ร่างที่มีสีทองนั้น เหมือนวัชระที่ลงมาสู่พื้นโลก มาพร้อมพลังที่ยิ่งใหญ่ ราวกับจะสังหารปีศาจทุกตนที่อยู่บนโลกใบนี้
ทหารระดับสูงทุกคน ต่างตกตะลึง อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา : “สมกับที่เป็นเทพสงครามจริง ๆ พลังอย่างนี้ เกินขีดจำกัดความเป็นมนุษย์ไปแล้ว!”
“คำว่าเทพสงครามนี้ เขาสมควรได้รับมัน!”
“ฉันคิดว่า เมื่อครู่นี้ที่เทพสงครามพูดว่าตัวเองสู้ปรมาจารย์หลินไม่ได้ คงเป็นการถ่อมตัวเท่านั้น หมัดนี้ คงทำลายรถยนต์คันหนึ่งได้เลย ปรมาจารย์หลินจะรับมือได้หรือเปล่านะ?”
“จริงด้วย เทพสงครามถ่อมตัวมาตลอด ในทางกลับกัน ปรมาจารย์หลินอายุน้อยอย่างนั้น กลับโอหังอวดดีไม่มีใครเกิน”
“หวังว่าครั้งนี้เทพสงครามจะเอาชนะเขาได้ ทำให้เขาได้รู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน”
หวางเซิ่งเฉียนกอดอก มองดูเทพสงครามที่มีแสงสีทองเรืองรองราวกับวัชรไวโรจนะ ที่อยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าสนุก : “แดนปรมาจารย์ แต่สามารถแสดงพลังแดนเทพได้ สมกับที่เป็นเทพสงครามแล้วจริง ๆ”
“แต่น่าเสียดาย ถึงสามารถแสดงพลังแดนเทพได้ แต่คุณก็ไม่ใช่แดนเทพอยู่ดี”
ถึงแม้หวางเซิ่งเฉียนไม่ได้พูดออกมาว่าแพ้หรือชนะ แต่ ความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว
นักบู๊ทั้งหลายที่มาชมการต่อสู้ครั้งนี้ เห็นพลังของเจียงร่อโจ๋ ต่างรู้สึกยกย่องเป็นอย่างมาก
ถึงขนาดที่มีหลายคนคิดว่า ปรมาจารย์หลินต้านทานหมัดนี้ไว้ไม่ไหว
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมมองเหตุการณ์นี้ ก็พึมพำด้วยความตกตะลึง : “ไอ้หมอนี่ก้าวหน้าเร็วชะมัดเลย ถ้าหากฉันสู้กับเขา คงสู้เขาไม่ได้แล้ว”
“แต่ว่า หลินหยุนต้องสู้ได้แน่นอน”
หลินหยุนมองไปที่เจียงร่อโจ๋อย่างนิ่ง ๆ สองมือไขว้หลัง สีหน้านิ่งเฉย
ดูไปแล้ว ทำให้รู้สึกว่าเขาเย่อหยิ่งจองหองเสียเหลือเกิน เหมือนกับดูถูกศัตรูของตัวเองไม่มีผิด
แต่เจียงร่อโจ๋ไม่ได้โมโหอะไร เขาได้ปล่อยพลังทั้งหมดออกมาจนไม่เหลือ
เพราะเขารู้ดีแก่ใจว่า โอกาสที่ตัวเองได้ลงมือ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
รอให้การโจมตีของเจียงร่อโจ๋มาถึงตรงหน้า หลินหยุนถึงค่อย ๆ ยื่นมือออกมา รับหมัดของเจียงร่อโจ๋ไว้ตรง ๆ
“บางครั้ง ยึดติดกับรูปลักษณ์มากเกินไป จะทำให้ตกต่ำได้”
“การฝึกตน ไม่เพียงแต่ฝึกพลังเท่านั้น แต่ต้องฝึกจิตใจด้วย”
“แกปล่อยวางไม่ได้ เช่น เกียรติยศของแก ความดื้อรั้นของแก”
“ฉะนั้น ต่อให้ผ่านไปอีกร้อยปี แกก็ยังผ่านไปแดนเทพได้ยาก”
หลินหยุนพูดอย่างราบเรียบ คำพูดที่ราบเรียบนั้นดังขึ้นในหูของเจียงร่อโจ๋ เหมือนกับระฆังแจ้งเตือน
เจียงร่อโจ๋มีสีหน้าเคร่งขรึม พลังทั้งหมดได้รวบรวมอยู่ที่หมัดนี้แล้ว แต่ว่า ยังคงยากที่จะเดินหน้าต่อ
มือข้างนั้นของหลินหยุน เหมือนดั่งคูเมืองธรรมชาติขนาดใหญ่ ที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
ใบหน้าของเจียงร่อโจ๋ค่อย ๆ เหยเกขึ้นมา เขากระหน่ำปล่อยพลังออกไป เพื่อจะข้ามผ่านคูเมืองขนาดใหญ่นั้นไปให้ได้
แต่น่าเสียดาย ที่ทั้งหมดกลับเสียแรงเปล่า ไม่ว่าเขาจะปล่อยพลังมากแค่ไหน มือข้างนั้นของหลินหยุนก็เป็นเหมือนสปริง ที่เจอสิ่งอ่อนนุ่มก็หย่อนตัว เจอสิ่งที่แข็งแกร่งก็แข็งตัว
“จบเถอะ!”
น้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นมาทันที หลินหยุนสะบัดมือ เจียงร่อโจ๋ร้องออกมา แล้วกระเด็นออกไปทันที เขาล้มลงไปกองกับพื้นอย่างหมดสภาพ
บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมพัดผ่านยอดภูเขาเท่านั้น
“เทพสงคราม……แพ้แล้วเหรอ?”
ทหารระดับสูง ได้เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ
ดูเหมือนว่าไม่กล้าเชื่อในผลลัพธ์นี้
“เพียงแค่ท่าเดียว นี่เพิ่งท่าเดียวเองนะ ปรมาจารย์หลินแข็งแกร่งแค่ไหนกันเนี่ย!”
“ปราบเทพสงครามได้ในท่าเดียว!”
ฝ่ายทหารทุกคน รู้สึกเหมือนโลกนี้จะแตกสลายแล้ว
หวางจิงหลงและคนในสี่มหาตระกูล แม้รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่ก็พอจะรู้ผลลัพธ์นี้ล่วงหน้าแล้ว
ฉะนั้น พวกเขาไม่ได้ประหลาดใจสักเท่าไหร่
ทว่า พวกเขากลับเฝ้ารอดูว่าต่อไป หงซิงกั๋วจะมีไพ่ตายอะไรอีก
บรรดานักบู๊ที่มาชมศึกครั้งนี้ที่อยู่บริเวณรอบ ๆ ต่างมองไปที่หลินหยุนด้วยสายตาตกตะลึง
ชายชราคนหนึ่งที่สวมชุดลัทธิเต๋มสีเขียว ได้มองไปที่หลินหยุน ด้วยสายตาละโมบ
“ว่ากันว่าปรมาจารย์หลินไม่ใช่นักบู๊ แต่เป็นผู้บำเพ็ญเซียน การฝึกฝนของเขาคือวิชาการบำเพ็ญเซียน ดูท่าทาง ที่ร่ำลือกันมาคงจะจริงอยู่ไม่น้อย
“อายุยี่สิบต้น ๆ แต่กลับมีความสามารถที่สามารถมองข้ามโลกบู๊ไปได้ คงไม่มีผู้อาวุโสที่สูงส่งในโลกบู๊ทั่วทั้งจีนคนไหนสามารถสอนได้”
“ต่อให้เป็นโลกบู๊โบราณ เป็นร้อยเป็นพันปีก็ไม่เคยได้ยินผู้ที่เป็นอัจฉริยะเช่นนี้มาก่อน”
“หรือว่า มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนในตำนาน ที่สามารถแข็งแกร่งเหนือคนธรรมดาได้ถึงเพียงนี้”
เรื่องที่หลินหยุนเป็นผู้บำเพ็ญเซียน ถูกแพร่สะพัดมาจากผู้หญิงชุดดำที่เป็นผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้น
ตอนแรก ไม่มีใครเชื่อเรื่องเหล่านี้ เพราะผู้บำเพ็ญเซียนมีเพียงเรื่องเล่าในตำนานโบราณเท่านั้น
แต่ว่า เมื่อเห็นปรมาจารย์หลินสามารถเอาชนะเทพสงครามได้ในกระบวนท่าเดียว ขอถามหน่อยว่า ในโลกใบนี้จะมีคนทำได้สักกี่คน?
อีกอย่าง ด้วยอายุของหลินหยุน ที่อ่อนเยาว์ขนาดนี้
อายุน้อยขนาดนี้แต่กลับมีความสามารถที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ในโลกนี้ไม่มีใครสามารถสอนออกมาได้
ดังนั้น นักบู๊จำนวนหนึ่งก็ได้คิดถึงคำพูดของผู้บำเพ็ญเซียนคนนั้นที่ได้เอ่ยไว้
ผู้คนจำนวนมากคิดเหมือนกับชายชราผู้นี้ ยิ่งนักบู๊ที่ฝึกตนจนแข็งแกร่ง ก็ยิ่งเชื่อในเรื่องของผู้บำเพ็ญเซียน
เพราะยิ่งพวกเขาแข็งแกร่ง ก็จะยิ่งเข้าใจว่าพลังของหลินหยุนนั้นแข็งแกร่งมากแค่ไหน
แม้เทพสงครามยังไม่ได้เข้าสู่แดนเทพ แต่การต่อสู้เมื่อครู่นี้ ก็เทียบกับผู้แข็งแกร่งในแดนเทพได้แล้ว
แต่หลินหยุนกลับรับมือได้อย่างสบาย ๆ ทั้งยังโจมตีเทพสงครามจนกระเด็นกลับไปอีกด้วย
แค่นี้ก็เพียงพอให้คนสงสัยแล้ว
แต่ว่า ต่อให้คนเหล่านี้อิจฉาวิชาการบำเพ็ญเซียนของหลินหยุนมากแค่ไหน แต่ก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าท่าทางออก
ยังไงก็ตาม ด้วยความสามารถของหลินหยุน สามารถพวกเขาได้ง่าย ๆ เลย
ความคิดนี้ พวกเขาได้แต่เก็บซ่อนมันไว้ใจ
ฝ่าบาทคาร์นอตวิลเลียมอ้าปากค้าง เขามองไปที่หลินหยุนเหมือนต้องการจะพูดอะไรที่แสดงความรู้สึกช็อกของตัวเองในตอนนี้
แต่ว่า เขากลับพูดอะไรไม่ออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้ทอดถอนใจออกมา : “ผู้ฝึกวิชาบู๊ของจีน ล้วนเป็นพวกโรคจิตจริง ๆ ด้วย”
“พวกเราเผ่าโลหิตหากต้องการมีพลังอย่างนี้ อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายร้อยปี”
“ถ้าหากเผ่าโลหิตของพวกเราสามารถฝึกตนแบบนี้ได้ คงวิเศษมาทีเดียว!”
ใบหน้าของหงซิงกั๋ว ดูช็อกไปบ้าง แต่ว่า ก็แค่ช็อกเล็กน้อยเท่านั้น
เขาค่อย ๆ เดินมาที่ข้างกายเจียงร่อโจ๋ แล้วใช้สองมือพยุงเขาขึ้นมา
“ไม่เป็นไรใช่ไหม?” หงซิงกั๋วเอ่ยถามเสียงขรึม
“ไม่เป็นไรครับ” เจียงร่อโจ๋ไอออกมา แล้วเอ่ยพูดเสียงเบา
หงซิงกั๋วทอดถอนใจออกมา : “คิดไม่ถึงเลยว่า มันจะแข็งแกร่งขนาดนี้!”
“ทำให้นายได้รับบาดเจ็บ ฉันรู้สึกผิดมากจริง ๆ”
เจียงร่อโจ๋เอ่ย : “อาจารย์พูดเกินไปแล้วครับ”
“มันอาจจะพูดถูกก็ได้ ผมดื้อรั้นสนแต่ภาพลักษณ์ภายนอกมากเกินไป จนชีวิตนี้หมดหวังที่จะได้เข้าสู่แดนเทพแล้ว”