จักรพรรดิเชียนตกสวรรค์ - บทที่ 967 ประกาศิตของเทพธิดาแห่งชีวิต
หลินหยุนพูดว่า “นั่นเป็นเพราะว่าคนจีนสมัยโบราณต่างก็มีนิสัยเสียอย่างหนึ่ง นั่นก็คือยอมให้วิชาความรู้ที่ล้ำค่าพวกนั้นหายสาบสูญไป แต่ก็ไม่ยอมถ่ายทอดให้กับคนนอกเลย”
“ดังนั้น จึงเป็นเหตุให้ความรู้เทคนิคล้ำค่าหลายอย่างหายสาบสูญไปตลอดกาล”
“ก็เหมือนการสกัดกั้นพวกนี้ ถึงแม้เจ้าของที่นี่หวังจะให้คนเข้ามาถึงที่นี่ เพื่อจะได้พบสิ่งของที่เธอทิ้งไว้ให้ก็ตาม”
“แต่ว่า เธอกลับไม่อยากให้คนอื่นเอาไปได้อย่างง่ายดาย หรืออาจพูดได้ว่าไม่อยากให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมาเอาไปได้”
“ดังนั้น เธอจึงวางค่ายกลสกัดกั้นไว้อย่างแน่นหนา ก็เพื่อรอคอยคนที่มีวาสนาในใจของเธอคนนั้นมาทลายมันลง”
คาร์นอตวิลเลียมพูดว่า “งั้นพวกเราถือว่าเป็นคนที่มีวาสนาคนนั้นหรือเปล่า?”
หลินหยุนยิ้มเล็กน้อย แต่ไม่พูดอะไร
หลังจากนั้น ก็ยื่นมือข้างหนึ่งกดลงไปบนกล่องไม้โบราณที่แสนจะธรรมดาใบนี้ จากนั้น ก็ค่อยๆเปิดออก
คาร์นอตวิลเลียมพูดด้วยความดีใจว่า “พวกเราเป็นคนที่มีวาสนาจริงๆด้วย ค่ายกลสกัดกั้นที่นี่ไม่สามารถขวางคุณได้เลย!”
“ฉันรู้สึกว่า แม้แต่ค่ายกลสกัดกั้นพวกนี้ก็วางไว้เพื่อคุณโดยเฉพาะด้วยซ้ำไป!”
หลินหยุนไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ในใจของเขาถึงกับรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
กุญแจที่ใช้ทลายค่ายกลส่งต่อที่อยู่ด้านนอก ได้จากเคล็ดวิชามหากรุณาสร้างสรรพสิ่ง ส่วนค่ายกลสกัดกั้นของกล่องไม้ใบนี้ เขาสามารถใช้วิชากลืนสวรรค์มาทำลายได้
หลินหยุนแทบจะมั่นใจได้ว่า คนคนนี้ก็คือคนรักของเขา นางฟ้าเย่เย่ว
หลินหยุน เปิดกล่องนี้ออกดู ภายในมีแผ่นหนังแกะชิ้นหนึ่ง มุมบนซ้ายของแผ่นหนังแกะมีบทกลอนบทหนึ่ง
วังน้ำแข็งหิมะโปรยปรายหมื่นพันลี้
แสนเสียดายเวลาล่วงโรยไม่หวนมา
เฝ่าอาดูรเดียวดายดุจจันทรา
หวังเคียงคู่สู่สมอารมณ์หมาย
เมื่อเห็นกลอนบทนี้แล้ว จู่ๆในใจของหลินหยุนก็รู้สึกเศร้าโศกอย่างล้นพ้น ราวกับกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก หลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
ทันใดนั้น ความทรงจำในอดีตที่ผ่านมา800ปีนั้น ก็ปรากฏขึ้นราวกับกระแสน้ำที่ไหลทะลักออกมา
ฝึกฝน ยกระดับพลังความสามารถ สังหาร สังหาร สังหารอย่างบ้าคลั่ง แก้แค้น แก้แค้น…….
เมื่อเขาสามารถยืนอยู่จุดสูงสุดของโลกนับหมื่นนับแสนดวงได้แล้ว ก็พบได้ทันทีว่า เธอได้ตามหลังตัวเองอยู่ตลอดเวลา
เขาทนทุกข์ทรมานจากการจากไปของญาติสนิทแต่ตัวเองกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลย
เขาทนดูคนรักถูกคู่อริหยามเกียรติ เขาทำได้แค่ดื่มสุราเมามายในวันงานแต่งงานของเธอเท่านั้น
ดังนั้น เมื่อเขามีโอกาสที่ได้รับพลังความสามารถที่แข็งแกร่งแล้ว เขาจึงพยายามให้ถึงที่สุด
เขาสาบานว่า จะไม่ให้มีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นซ้ำรอยเดิมอีกเด็ดขาด
เขาสาบานว่า จะหาสิ่งที่ดีที่สุดในจักรวาลนี้ให้กับเธอ
แต่ว่าเขากลับมองข้ามความรู้สึกของเธอมาโดยตลอด
สิ่งที่เธอต้องการอาจไม่แน่ว่าไม่ใช่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่หรูหราเลิศเลอ แต่กลับเป็นคนที่สวมเสื้อชุดขาวแบบลัทธิเต๋านั้น จะไม่แปดเปื้อนเลือดอีกต่อไปแล้ว
“อาดูรเดียวดายดุจจันทรา หวังเคียงคู่สู่สมอารมณ์หมาย”
หลินหยุนท่องกลอนบทนี้อย่างเงียบๆ
ที่แท้แล้ว สิ่งที่เธอต้องการก็เรียบง่ายเช่นนี้เอง
เสียดายที่ว่า เมื่อชาติที่แล้วหลายร้อยปีผ่านมา เขาถึงกับไม่เคยเข้าใจมาโดยตลอด
ทำไมรอยยิ้มตรงมุมปากของเธอ มักจะแฝงด้วยความรู้สึกที่เขาไม่เคยเข้าใจเลย
ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้ว แท้จริงแล้วความรู้สึกนั้นเรียกว่า ความขมขื่น
ยิ่งไปกว่านั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า ตอนที่เธอกระโจนเข้าหาภัยพิบัติอย่างไม่แยแสอะไรเลย รอยยิ้มตรงมุมปากนั้นคืออะไร
ความรักในชาตินี้ขอชดใช้ด้วยชีวิต หวังเพียงพบกันในชาติหน้า
“หลินหยุน ข้างในเขียนอะไรไว้เหรอ?” คาร์นอตวิลเลียมถามอย่างอดทนไม่ไหว
ความนึกคิดของหลินหยุน ถึงเขาเร่งรัดจนกลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
จึงอ่านดูต่อไป ข้างล่างเขียนประโยคหนึ่งไว้ว่า
“บางครั้งการมีชีวิตอยู่น่ากลัวกว่าความตายเสียอีก” นี่เป็นตัวหนังสือขนาดใหญ่ตอนหนึ่ง
ถัดไปข้างล่างอีกบรรทัดหนึ่งเขียนด้วยตัวหนังสือตัวเล็กว่า “ปลายยุคสมัยราชวงศ์เซี่ยได้รับหญิงสาวพิการคนหนึ่งไว้ ตั้งชื่อว่านางหิมะ นับว่าเป็นลูกศิษย์เพียงคนเดียวของฉันที่นี่ หากได้พบกับคนมีวาสนาต่อกันแล้ว กรุณาช่วยดูแลสำนักหยุนเยว่ด้วย”
หลังจากอ่านจบแล้ว เดิมทีเรื่องราวที่ยังคิดไม่ออกนั้น ตอนนี้หลินหยุนก็เข้าใจมากขึ้นแล้ว
แต่ว่าสำนักหยุนเยว่นี้ เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
จนถึงตอนนี้ ในที่สุดหลินหยุนก็มั่นใจแล้วว่า เย่เยว่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่แล้ว อีกทั้งได้มาเกิดใหม่ในโลกใบนี้ตั้งแต่สมัยโบราณหลายพันปีมาแล้ว
คำว่าเซี่ยไม่ได้หมายถึงฤดูร้อน แต่หมายถึงราชวงศ์เซี่ย
ส่วนนางหิมะนี้ อาจไม่แน่ก็คือเทพหิมะที่ลูกศิษย์วังเทพหิมะพูดถึงก็ได้ นั่นก็คือผู้หญิงหน้าตาอัปลักษณ์ที่อยู่ข้างนอกลานกว้างคนนั้น
แต่ว่า ประโยคที่ว่า บางครั้งมีชีวิตอยู่ยังน่ากลัวกว่าความตายเสียอีก หลินหยุนยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นัก
เย่เยว่ได้พบกับอะไรหรือ? ได้รู้อะไรมาหรือ?
ถ้าหากเธอกลับชาติมาเกิดใหม่บนโลกใบนี้ละก็ ด้วยพลังความสามารถของเธอแล้ว จะต้องเป็นเหมือนดั่งเทพเจ้าอย่างแน่นอน
ที่นี่ก็ไม่น่ามีอะไรที่ทำให้เธอต้องเกรงกลัวอีกแล้ว
พวกนี้ก็ล้วนเป็นข้อมูลทั้งหมดที่เย่เยว่ทิ้งไว้ให้
ที่นี่น่าจะเป็นที่พักอาศัยของเย่เยว่ตอนนั้น
แต่ว่าน่าจะเป็นเพียงที่พักชั่วคราวมากกว่า อีกทั้งแม้แต่กล่องไม้นั้นก็เป็นสิ่งที่คิดขึ้นได้ในชั่วขณะเท่านั้นเอง
ไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่น่าจะเหลือข้อมูลเพียงแค่นี้ไว้และไม่ได้พูดว่าเธอไปอยู่ที่ใดแล้ว
ที่พักอาศัยเดิมทีจะต้องไม่ได้พักอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน แต่ถูกนางหิมะคนนั้นขนย้ายมาอยู่ที่นี่แทน
“ดูไปแล้ว ถ้าจะสืบหาข้อมูลเพิ่มเติมของเย่เยว่ละก็ ต้องหาสำนักหยุนเยว่ให้พบก่อน”
สำนักหยุนเยว่ นี่เป็นการเอาชื่อของเขากับเย่เยว่สองคนรวมกัน แล้วตั้งเป็นชื่อของสำนัก
นอกจากเย่เยว่แล้ว ยังจะมีใครที่สามารถเอาชื่อของเขาทั้งสองมาตั้งเป็นชื่อสำนักได้อีกหรือ?
หลินหยุนก็ยื่นแผ่นหนังแกะให้กับคาร์นอตวิลเลียม “คุณดูเอาเองก็แล้วกัน!”
คาร์นอตวิลเลียมดีใจมาก เมื่อรับมาแล้วกลับทำหน้างงไปหมด
“หมายความว่าอะไร? นี่ก็คือประกาศิตของเทพธิดาแห่งชีวิตเหลือไว้ให้เหรอ?”
ด้วยพื้นฐานความรู้ภาษาจีนของคาร์นอตวิลเลียมแล้ว ย่อมไม่สามารถเข้าใจความหมายที่เขียนไว้ในนั้นว่าหมายถึงอะไร
แต่ว่า หลินหยุนก็ยังมีบางอย่างที่ไม่เข้าใจ ถ้าเทพจันทราก็คือเย่เยว่ละก็ เช่นนั้นแล้วเทพธิดาแห่งชีวิตมีความสัมพันธ์อะไรกับเย่เยว่ด้วยล่ะ?
ทำไมเทพธิดาแห่งชีวิตจะต้องทิ้งปริศนาไว้ที่โลกตะวันตก แล้วให้คาร์นอตวิลเลียมมาตามหาประกาศิตที่เขาเทพจันทราด้วย?
อีกอย่างประกาศิตนี้ ก็เห็นได้ชัดว่าเหลือไว้ให้กับหลินหยุนโดยเฉพาะ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเผ่าโลหิตเลยแม้แต่นิดเดียว
สงสัยว่า ถ้ามีเวลาก็จะต้องเดินทางไปทางโลกตะวันตกสักครั้งแล้ว
“หลินหยุน ในนี้เขียนไว้ว่าอะไรกันแน่? คุณอธิบายให้ฟังหน่อยสิ” คาร์นอตวิลเลียม แสดงสีหน้าวิงวอน
หลินหยุนพูดว่า “นี่ไม่ใช่ประกาศิตของเทพธิดาแห่งชีวิตหรอก เป็นเพียงแค่คำสั่งเสียของหญิงสาวที่รักเดียวใจเดียวคนหนึ่งเท่านั้นเอง”
“เป็นไปได้ยังไง!”
“ที่นี่ก็คือเขาเทพจันทรา ทะเลสาบจันทร์เพ็ญ บันทึกที่เทพธิดาแห่งชีวิตทิ้งไว้ ไม่ผิดอย่างแน่นอน!” คาร์นอตวิลเลียมพูดอย่างตื่นตกใจ
“ฉันบอกแล้วคุณก็ไม่เชื่อ งั้นคุณก็ไปหาคนมาช่วยดูก็แล้วกัน” หลินหยุนพูด
คาร์นอตวิลเลียมมองดูแผ่นหนังแกะนั้นแล้วพูดว่า “ไม่ได้หรอก ประกาศิตที่เทพธิดาแห่งชีวิตเหลือไว้ จะให้คนอื่นดูได้ยังไงกัน!”
“ฉันจะทำลายมันตอนนี้เลย”
พูดจบ คาร์นอตวิลเลียมก็ฉีกแผ่นหนังแกะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
หลินหยุนก็ไม่ได้ห้ามปราม ข้อมูลในนั้นเขาก็ได้รู้แล้ว จะทำลายหรือไม่ ก็ไม่มีผลอะไรอยู่แล้ว
ถึงยังไงนอกจากเขาแล้ว ในโลกนี้ก็เกรงว่าไม่มีใครที่สามารถอ่านเข้าใจความหมายในนี้ได้อีกแล้ว
มิหนำซ้ำ มีหลายอย่างที่แม้แต่เขาก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเลย
“เอาเถอะ พวกเรากลับกันเถอะ!” หลินหยุนพูดอย่างเรียบๆ
“ได้” คาร์นอตวิลเลียมพูดอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
แต่ว่า ห้องนอนที่นี่โดยทั่วไปแล้วพวกเขาก็ได้ตรวจดูจนหมดแล้ว อีกทั้งที่อยู่ด้านนอกพระราชวังแห่งนี้ ก็เหลือแต่รูปปั้นแกะสลักที่อยู่ตรงลานกว้างนั้นเท่านั้น
ผู้หญิงที่อัปลักษณ์น่าเกลียดคนนั้น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพธิดาแห่งชีวิตที่งามสง่าสูงส่งนั้นอย่างแน่นอน
คาร์นอตวิลเลียมก็ได้แต่มาด้วยความหวัง แต่ต้องกลับไปอย่างสิ้นหวังเช่นนี้
พวกหลินหยุนทั้งสองคนก็เดินกลับไปยังทางเดิม
หลังจากที่พวกเขากลับมาถึงทะเลสาบจันทร์เพ็ญแล้ว ประตูข้ามมิติที่อยู่ข้างหลังเขาก็หายไปทันที
อีกทั้งไม่ใช่การหายไปอย่างชั่วคราว แต่กลับเหมือนกับพระราชวังแห่งนั้นที่หายสาบสูญไปตลอดกาลเช่นกัน
“พวกเขาออกมาแล้ว” หลอหยวนป้าเป็นคนแรกที่เห็นหลินหยุนและคาร์นอตวิลเลียม
ทันใดนั้น นักบู๊ของพวกสำนักใหญ่ทั้งหลายต่างก็ยืนขึ้นมา ล้อมอยู่รอบชายฝั่งทะเลสาบ จ้องมองพวกหลินหยุนทั้งสองคนอย่างไม่ละสายตา
หลินหยุนและคาร์นอตวิลเลียมก็เหาะตัวลอยลงมาถึงฝั่ง
คนพวกนั้นก็รีบล้อมรอบพวกเขาไว้
“ไอ้หนุ่ม พวกแกไปพบอะไรในซากโบราณสถานนั้นบ้าง?” ผู้อาวุโสของสำนักอู๋จี๋ตะคอกถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ผู้อาวุโสของสำนักเขาหยุนซูก็ถามด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “บอกมา พวกแกได้ของวิเศษอะไรมาบ้าง?