จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 258 ซามูไรพเนจร
บทที่ 258 ซามูไรพเนจร
การที่จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิท้องเสียนั้นเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ ทุกคนรู้ดีว่าอวัยวะภายใน แขนขาและกระดูกนั้นได้รับการบำรุงหล่อเลี้ยงจากลมปราณภายในร่าง อาจไม่ถึงพิษทำร้ายพวกเขาไม่ได้แต่มันก็ใกล้เคียงมาก
สามารถทำให้ผู้คนอับอายได้แบบนี้คงมีแต่จักรพรรดิยาเท่านั้นที่สามารถทำได้
ฉิบ!
แท่งคริสตัลถูกทุบไปที่ก้นของเหลยเป้า เขากัดฟันกรอดและกลั้นลมหายใจ ดูไม่เหมือนท้องผูกเลยสักนิด
“ไม่เชื่อเหรอ?” จักรพรรดิยาดูอารมณ์ดีมาก เขาดูอารมณ์ดีปิดปกติสีหน้าของเหลยเป้านั้นมืดมนอย่างมาก แน่นอนว่าตอนนี้เขารู้สึกถูกคุกคาม
เหลยเป้าจ้องมองไปที่แท่งคริสตัล เขาอยากจะบ้าตายและแอบพยายามบังคับให้ยาออกมาตามร่างกาย แต่ก็ไร้ประโยชน์
“ยานี้ทำจากสมุนไพรชั้นดี ฉันขัดเกลามันด้วยวิธีพิเศษ ดังนั้นไม่ต้องห่วง” จักรพรรดิยากล่าวอย่างภาคภูมิใจ
“มะ…ไม่มีทาง…” เหลยเป้ายังคงกัดฟันแน่น ถ้าโชคไม่ช่วยเขาคงต้องทนกับอาการท้องผูกแบบนี้ต่อไป
“ไปไป๊ๆ” จักรพรรดิยาปล่อยมือ เขาสังเกตุเห็นว่าเหลยเป้าทนต่อไม่ไหวแล้ว เหลยเป้าเอามือจับกางเกงไว้แน่น ก่อนที่จะวิ่งออกไป ด้วยพลังและความสามารถที่เขาแสดงออกมาก่อนหน้านี้ทำให้คนอื่นๆ รู้สึกขำเข้าไปอีก
“กลับมาเร็วๆ นะ ฉันจะรอสู้กับนายและเอาชนะนายด้วยมือข้างเดียวนี้ละ ฮ่าฮ่า” เขายังคงหยอกล้อเหลยเป้าต่ออีกหน่อย
เมื่อเหลยเป้าจากไป พวกเขาก็กลับมาที่ห้องโถงใหญ่
หลังจากนั้นอีก 10 นาที เหลยเป้าก็กลับมาพร้อมกับผิวที่แดงก่ำ แถมยังถือกระบองยักษ์ของตนมาด้วย เขาตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราดว่า
“ไหน จักรพรรดิยา แกไปซ่อนตัวอยู่ตรงไหน!?”
หลังจากสิ้นสุดเวลาแห่งการทรมาน ในที่สุดเขาก็รู้สึกโล่งท้อง ของเหลวในท้องที่ปั่นป่วนตอนนี้กลับมาเป็นน้ำนิ่งดังเดิมแล้ว หลังจากที่อยู่ในสภาพที่ราวกับตกนรกมา ตอนนี้เขารู้สึกสบายอย่างอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
แน่นอนว่าเขาจำทุกอย่างได้ไม่ลืมว่าจักรพรรดิยาทรมานตนยังไง และเขาอยากที่จะล้างแค้นจักรพรรดิยามาก
“จักรพรรดิยา ไอ้หมอปลอม ออกมาซะดีๆ เก่งนักไม่ใช่รึไง”
“ไอ้คนหลอกลวง ต่อให้แกไปมุดอยู่ในรูหนูฉันก็จะลากแกออกมา”
“จักรพรรดิยา ฉันเห็นหรอกนะว่าแกอยู่แถวนี้ อย่าพยายามซ่อนตัวเลย ออกมาได้แล้ว แกซ่อนไปได้ไม่ตลอดหรอก ออกมาให้ท่านเหลยคนนี้ทุบสักพันครั้งดีกว่า”
เขายังคงแกว้งกระบองไปมา ตามหาจักรพรรดิยาทั่วทั้งภูเขาหวูจิน หาทั้งใต้พรมและรูหนู เขาก็ต้องเอากระบองนี้ฟาดจักรพรรดิยาให้ได้
“นายท่านเห็นจักรพรรดิยาไหมครับ?” เหลยเป้าเดินเข้ามายังห้องโถงหลักเพื่อไถ่ถามเรื่องราวจากฉู่ชวิ๋น
ฉู่ชวิ๋นยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “เขากลับไปที่เมืองหลวงแล้ว คงต้องรอเจอกันอีกทีแล้วละ”
“นายท่าน งั้นผมกลับไปรอที่เมืองหลวงนะครับ”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเบาๆ “ก็ได้ แต่ก่อนอื่นฉันอยากพานายไปหาพวกสำนักดาบพิฆาตก่อน”
เหลยเป้ามองไปที่ฉู่ชวิ๋นอย่างประหลาดใจ “นายท่านวางแผนที่จะจัดการสำนักดาบพิฆาตแล้วเหรอครับ? เยี่ยมเลย ผมจะไม่กลับไปเมืองหลวงแล้ว ผมจะไปฆ่าไอ้พวกส้นตีนสำนักดาบพิฆาตด้วย”
ปัง!
เท้าเล็กๆ ขาวๆถีบเขาออกไปให้พ้นทาง
“หยาบคาย” จิ่วโยวเดินเข้ามาพร้อมกับจ้องตาเหลยเป้าเขม่น
ร่างของเธอเดินเข้ามาพร้อมบรรยากาศอันเยือกเย็นชวนเหงื่อตกดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องระมัดระวังคำพูดด้วยในอนาคต เด็กสาวผู้ชอบความรุนแรงคนนี้ดูเหมือนจะไม่ชอบคำสบถนัก
พวกเขาดื่นไวน์และกินอาหารเพียงพอแล้ว ฉู่ชวิ๋นใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงในการวางเขตแดนป้องกันรอบภูเขาขนาดใหญ่สำหรับภูเขาหวูจิน
หลังจากพักไม่นานนัก เขาก็นำจิ่วโยวและคนอื่นๆ ออกเดินทางแต่ก่อนที่จะไปนั้น เขาสั่งให้หยานอี้ไปสืบเรื่องผู้หญิงผมสีเงินที่เขาเจอ หลังจากรู้ว่าประตูวิญญาณสลายมีสายข่าวมากมาย ฉู่ชวิ๋นก็รู้สึกไม่สบายใจ
เบาะแสของประตูวิญญาณสลายนั้นแปลกเกินไปไม่มีใครรู้สถานที่ซ่อนตัวของพวกนั้น เพราะถ้าเขารู้ สำนักดาบพิฆาตจะไม่ใช่ที่แรกที่เขาจะไป
ฉู่ชวิ๋นนั้นเด็ดขาดมาก เขาตัดสินใจที่จะทำให้วังมังกรเพลิงรุ่งเรืองขึ้นมา ในทางกลับกัน เขาก็อยากให้คฤหาสน์ตระกูลฉู่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปด้วย
การเพิ่มจำนวนทรัพยากรนั้นทำได้ง่ายที่สุดก็คือการปล้น ซึ่งเขาทนไม่ได้ที่จะต้องปล้นคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง เขายังมีความรู้สึกผิดชอบชั่วดีอยู่แต่การปล้นไอ้พวกสำนักดาบพิฆาตและกลุ่มเทียนหลงเป่าไม่ได้เรียกว่าการปล้น!
ในโลกเซียน ฉู่ชวิ๋นไม่ใช่คนใจอ่อนหรือเห็นใจใครมาตลอดระยะเวลา 3,000 ปี ไม่งั้นเขาคงไม่ได้กลายเป็นจักรพรรดิเซียน แต่เขาไม่คิดจะทำแบบนั้นในโลกนี้ เขาคิดว่าถ้าลงมือหนักเกินไปคงต้องเลิกคิดที่จะฟื้นฟูโลกไปได้เลย
……
สำนักดาบพิฆาต ตั้งอยู่ในเมืองหลงกั่ง บนหุบเขาหลิวเฉวีย
นี่คือพลังอันยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง พวกเขาสืบทอดกันมานานหลายพันปีและมีมรดกอันลึกซึ้ง มองยังไงก็รู้ว่ามีของดีมากมายเก็บไว้ที่นี่
แต่เมื่อหลายคนกำลังจะขึ้นเครื่องบินไปที่เมืองหลงกั่ง ฉู่ชวิ๋นก็ได้รับโทรศัพท์ หมายเลขนั้นเป็นอักขระที่อ่านไม่ออกมันถูกเข้ารหัสแล้วส่งมา
“สวัสดีครับ?” ฉู่ชวิ๋นรับสาย
“ฉู่ชวิ๋น” ทันทีที่อีกฝ่ายพูด ฉู่ชวิ๋นก็รู้ทันทีว่าคนๆ นั้นคือใคร
นั้นคือเสียงของหัวหน้าหมายเลขหนึ่ง และนี่ก็คงจะเป็นเบอร์ส่วนตัวของเขา
หลังจากคุยสายนานกว่า 20 นาที ฉู่ชวิ๋นก็ยิ้มแห้งๆ ออกมา เหมือนกับเหนื่อยอย่างสุดขีด
“นายท่าน มีอะไรรึเปล่า?” เหลยเป้าถาม
“เปลี่ยนตั๋ว พวกเราจะไปเมืองไห่ชิง” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นแคบลงและวูบวาบ แต่ไม่นานก็หยุดลง “มีโบราณสถานเก่าแก่ในเมืองแห่งนั้นดึงดูดจอมยุทธ์จำนวนมากพร้อมสัตว์ร้าย ผู้คนได้รับบาดเจ็บจำนวนมากและทหารที่ประจำการก็ถูกโจมตีด้วยเช่นกัน”
“ร้ายแรงมาก” เหลยเป้าตกใจ
“พวกจอมยุทธ์น่ะสิ” ฉู่ชวิ๋นบ่นออกมา
เหลยเป้าได้ยินแบบนั้นก็ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิมเสียอีก กลุ่มจอมยุทธ์นั้นมีกฏและไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายคนธรรมดา แม้ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องกินต้องใช้ทำให้คนธรรมดายังมีความจำเป็นอยู่ กฎห้ามลงมือกับคนธรรมดาจึงมีมานานแล้ว แต่ถ้าลงมือมันเป็นไปไม่ยากที่จะตรวจสอบว่าใครอยู่เบื้องหลัง
“โลกกลายพันธุ์ กฎระเบียบมากมายไร้ประโยชน์” จิ่วโยวรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก
“ตอนนี้ไม่มีกฏอะไรแล้ว พวกเราก็ต้องสร้างกฏใหม่ขึ้นมา ยศพลตรีของฉันน่าจะใช้ได้นะ” ฉู่ชวิ๋นยกมุมปากขึ้นด้วยท่าทางที่เย็นชา
“นายท่าน ฉันจะไปด้วย” หวู่ปู้ซือพูดขึ้นมา
“ไม่ นายต้องกลับไปดูแลสำนักเทียนหวู่จงก่อน” ฉู่ชวิ๋นปฏิเสธ สำนักเทียนหวู่จงตกเป็นเป้าหมายของสำนักดาบพิฆาตอยู่ ที่นั้นต้องการกำลังสนับสนุน ครั้งนี้ผู้อาวุโสเสียชีวิตกันไปหลายคนมาก หวู่ปู้ซือต้องกลับไปเป็นกำลังสำคัญในการจัดการสถานการณ์
“ถ้างั้นเมื่อไหร่ที่ไปโจมตีสำนักดาบพิฆาต ได้โปรดบอกผมด้วย” หวู่ปู้ซือ
กล่าว สำนักดาบพิฆาตเกือบจะฆ่าลูกชายเขาแถมยังฆ่าผู้อาวุโสไปหลายคน เขาจะไม่ปล่อยให้พวกมันรอดไปง่ายๆแน่
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น
หวู่ปู้ซือพาลูกชายและชายชรากลับไปยังสำนักเทียนหวู่จง
“ติดต่อเหยียนชง หญิงหม้าย ให้รีบไปยังเมืองไห่ชิงให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” ฉู่ชวิ๋นเอ่ย
…..
หลังจากนั้น 2-3 ชั่วโมง ฉู่ชวิ๋นและคนอื่นๆ ก็มาถึงเมืองไห่ชิง
เมืองไห่ชิงเป็นพื้นที่ชายฝั่งทะเล อากาศเต็มไปด้วยกลิ่นของทะเลและอากาศชื้น
เมืองที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรืองและคึกคักในตอนนี้ดูเยือกเย็นและรกร้าง มีคนไม่กี่คนบนถนนพวกเขารีบร้อนและแววตาของพวกเขาตื่นตื่น
ยานพาหนะทางทหารเข้ามาใกล้และหยุดไม่ไกลจากทั้งสามคน ชายหัวแบนผิวดำวิ่งเหยาะๆ และคำนับด้วยท่าทางทหาร
“ทำความเคารพครับท่านพลตรี ผมปันจือหาว ได้รับคำสั่งให้มาทักทายคุณก่อนที่จะมาที่นี่ครับผม!”
ฉู่ชวิ๋นทักทายในแบบของทหารกลับไป และทั้งสามก็ทยอยขึ้นไปบนรถหุ้มเกราะ ก่อนที่จะเดินทางไปยังค่ายทหาร
“ทำไมไม่มีใครอยู่เลยละ?” ฉู่ชวิ๋นพบว่าค่ายทหารขนาดใหญ่นั้นว่างเปล่า และมีทหารรักษาความปลอดภัยเพียง 10 คนเท่านั้น
“หลายคนก็ต้องไปประจำหน่วยแบบฉุกเฉินครับ ต้องออกไปตรวจตราอย่างละเอียดข้างนอกนั้น” ปันจือหาวตอบอย่างรวดเร็ว
หลังจากคุยกัน เขาก็ทราบมาว่านายพลใหญ่ที่รับหน้าที่ในจุดนี้ถูกย้ายออกไปรักษาตัวหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัส
ในขณะนี้ ที่ค่ายทหารอยู่ในความดูแลของปันจือหาว ซึ่งมียศต่ำกว่าฉู่ชวิ๋น ระดับเดียว
“หัวหน้าจะแวะหาอะไรกินก่อนไหมครับ?” ปันจือหาวถามอย่างเคารพ เพราะชื่อและฉายาของฉู่ชวิ๋นนั้นไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่ในกลุ่มของจอมยุทธ์เท่านั้น แม้แต่ในกลุ่มของทหารก็ยังให้ความเคารพกับเขาเช่นกัน
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า “อธิบายสถานการณ์หน่อยสิ”
สีหน้าของปันจือหาวมืดมนและเต็มไปด้วยความโกรธทันที “เมื่อวานนี้ พลตรีหนิงเหิงออกไปตรวจตราตามปกติ เขาก็ไปพบสัตว์ร้ายของจอมยุทธ์กำลังทำร้ายผู้คน พลตรีหนิงเหิงจึงฆ่ามันด้วยความโกรธ ผลลัพธ์คือพอตกกลางคืนพวกเราก็โดนโจมตี เราสูญเสียพี่น้องไปหลายสิบคน ส่วนพลตรีหนิงเหิงเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสครับ”
“พอรู้ไหมว่าจอมยุทธ์พวกนั้นเป็นกลุ่มไหน?” ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเย็นชาขึ้นมาในทันที
ปันจือหาวก้มหน้าลงและส่ายหัว
“งั้นพาฉันไปยังจุดที่เกิดเรื่องหน่อยสิ” ฉู่ชวิ๋นถาม
หอพักทหารจัดเรียงกันเป็นแถว มีเพียงหอพักของพลตรีหนิงเหิงเท่านั้นที่มีความเป็นอิสระและตั้งอยู่ในส่วนด้านในสุดของค่ายทหาร
หอพักของพลตรีหนิงเหิงเป็นเพียงบังกะโล 2 หลัง หนึ่งสำนักงาน และหนึ่งห้องนอน
ฉู่ชวิ๋นและคนอื่นมาถึงที่ๆ พลตรีหนิงเหิงถูกโจมตี
ผนังเต็มไปด้วยรูกระสุน นอกจากนี้ยังมีบนพื้นดินซึ่งมีรอยดาบมากมาย
“รอยนี้ดาบแปลกมาก!” ฉู่ชวิ๋นกล่าว “คนส่วนใหญ่มักใช้ใช้ดาบฟันลงมา แต่เมื่อดูจากรอยดาบพวกนี้แล้วฟันจากล่างขึ้นบน เมื่อโลกกลายพันธุ์ก็มีจอมยุทธ์ปรากฏขึ้นมากมาย ทักษะยุทธ์แปลกๆ พวกนี้ด้วยสินะ”
“พวกเรามีวีดีโอบันทึกเหตุการณ์อยู่ด้วย ต้องการดูไหมครับ?” ปันจือหาวถามออกมา
เอ่อ….ฉู่ชวิ๋นมองหน้าเขาอย่างไร้คำพูดอยู่สักพัก ทำไมไม่บอกเร็วๆ เล่า!
แต่พวกเขาก็เข้าใจว่าทหารมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่ง ไม่มีคำถาม ไม่มีการสอดขึ้นมาก่อน แบบนี้ก็ไม่ต้องคิด ไม่ต้องเดาแล้ว วีดีโอจะตอบทุกสิ่งเอง
ปันจือหาวเกาหัว เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป แต่เขาไม่รู้ว่าผิดพลาดตรงไหน ทุกคนย้ายมาที่ห้องบันทึก
หน้าจอเริ่มเล่นพวกเขาเห็นเงาดำสี่เส้นใกล้เข้ามาที่ที่พักของพลตรีหนิงเหิง พวกมันรวดเร็วมากทั้งหมดใส่เสื้อผ้าสีดำพวกมันเดินผ่านหอพักของทหารไปตลอดทาง แต่ก็ไม่มีใครสังเกตุเห็นเลย
ทั้งสี่บุกเข้าไปในบ้านแล้วโจมตี โชคดีที่พลตรีหนิงเหิงไม่ได้อยู่ข้างในทั้งสี่เลยรีบออก เป็นผลให้พวกมันได้เจอกับทหารที่ได้ยินเสียงแล้วการต่อสู้ก็เกิดขึ้น
“อวดดีเกินไปแล้ว!” เหลยเป้าสบถออกมาด้วยความโกรธ คนพวกนี้มาเพื่อลอบสังหาร แต่เมื่อแผนไม่สำเร็จก็หันมาจัดการคนแถวนั้นที่เจอแทนอย่างหน้าตาเฉย
“นั่นพลตรีหนิงเหิงเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นชี้ไปยังชายวัยกลางคนผิวดำ
“ใช่ครับ” ปันจือเฮาพยักหน้า
“ท่านเจ้าวัง พวกนี้ไม่ใช่จอมยุทธ์จีน” เหลยเป้าพูดขึ้นมาทันที
ฉู่ชวิ๋นก็พยักหน้าเห็นด้วย เขามองดูมานานแล้ว ดาบที่ใช้โดยทั้งสี่คนโค้งและเรียว ดามจับยาวและจับทั้งสองมือ
“ซามูไรพเนจร” เหลยเป้าพูดขึ้น
สายตาของฉู่ชวิ๋นเปลี่ยนไปมีจอมยุทธ์จากประเทศอื่นเข้ามาสังหารนายพลของจีน แบบนี้ปล่อยไว้ไม่ได้แล้วต้องฆ่ามันทิ้งเท่านั้น!
ในเวลานี้ เงาของชายชุดดำสี่คนในภาพซ้อนทับกันพวกมันหลบปืนสายฟ้าและฆ่าฝูงชนอย่างรวดเร็ว
หนึ่งในนั้นฟันพลตรีหนิงเหิงด้วยดาบ มันบาดยาวจากไหล่ถึงท้อง ร่างกายของพลตรีหนิงเหิงเต็มไปด้วยเลือดเป็นบาดแผลที่สาหัสมาก อีกสามคนฆ่าทหารไปอีกหนึ่งโหล แล้วก็จากไปอย่างง่ายดายภาพตัดไปแต่นี้จิตสังหารที่น่าสะพรึงกลัวแพร่กระจายออกมาจากตัวของฉู่ชวิ๋น