จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 302 เรามาที่นี่เพื่อกินบาร์บีคิว
บทที่ 302 เรามาที่นี่เพื่อกินบาร์บีคิว
หยานหวูซวงไม่ใช่คนโง่ เขาเข้าใจความหมายของฉู่ชวิ๋นได้ในทันที
เขากำลังจะเอ่ยปากแต่จู่ ๆ…
“มีคนมา” ผู้หญิงผมม่วงขัดคำพูดของเขาก่อน
หยานหวูซวงเงี่ยหูฟัง มีเสียงฝีเท้าเบา ๆ กำลังเข้าใกล้มาจริง ๆ ด้วย
“พวกเราซ่อนตัวก่อน ให้พวกเขาช่วยเคลียร์ทางให้พวกเรา” ฉู่ชวิ๋นเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
ทุกคนไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังก้อนหินยักษ์ประหลาดก้อนหนึ่ง
อีกฝ่ายไม่นานก็มาถึง พวกเขาพูดคุยระหว่างทาง
“นายน้อย หยานหวูซวงอาจจะเข้าไปในหุบเขาแล้ว”
เป็นพวกจังเฟิงหลิงนั่นเอง นอกจากจังเฟิงหลิงแล้วยังมีจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 อีก 10 กว่าคนที่พลังลมปราณแกร่งกล้า
“พอดีเลย มีไอ้โง่นั้นนำทาง พวกเราจะได้ประหยัดแรง” จังเฟิงหลิงหัวเราะอย่างเย็นชา
ฉู่ชวิ๋นที่หลบอยู่หลังหินยักษ์ยิ้มแล้วขยิบตาใส่หยานหวูซวง
หยานหวูซวงสีหน้าไม่สู้ดี นี่เขาโดนด่าเป็นไอ้โง่งั้นเหรอ รู้งี้เมื่อคืนเขาน่าจะฟันจังเฟิงหลิงให้หนักมือกว่านี้
“นายน้อย พวกเรายังต้องระวังตัว วานรยักษ์ตัวเมื่อกี้น่ากลัวมากๆ” หนึ่งในนั้นพูด
“กลัวอะไร มีหยานหวูซวงเป็นหน่วยกล้าตายอยู่ข้างหน้า พวกเราแค่เดินไปเรื่อย ๆ อย่างเดียวก็พอ ไม่แน่เขาอาจจะเจอกับจักรพรรดิอสูรที่เก่งกาจจนตายอนาถอยู่กลางทางก็ได้” น้ำเสียงจังเฟิงหลิงเต็มไปด้วยความล้อเลียน
“ถึงไม่ตายแต่ทำให้มันบาดเจ็บได้ก็ยังดี พวกเราจะได้ฉวยโอกาสนี้ปลิดชีพมันซะ”
พวกเขาเสียดสีกันคนละประโยค 2 ประโยค ไม่รู้ตัวเลยว่าหยานหวูซวงซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลจากพวกเขา
ถ้าไม่ใช่ฉู่ชวิ๋นดึงหยานหวูซวงเอาไว้ เขาคงพุ่งออกไปสู้กับคนพวกนี้แล้ว
ไอ้คนพวกนี้คำก็ไอ้โง่ 2 คำก็ไอ้งั่ง เขาโมโหจนจมูกแทบพ่นควันออกมาได้
“ไปเร็ว ตามให้ติด ๆ หยานหวูซวงไอ้คนจอมแผนการณ์ คิดจะนำหน้าพวกเราเข้าไปในซากโบราณสถานจะให้มันทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
จังเฟิงหลิงเอ่ย
ทุกคนเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าสู่ข้างในหุบเขา
พอพวกเขาไปไกลแล้วฉู่ชวิ๋นถึงยอมปล่อยหยานหวูซวง
หยานหวูซวงสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็นับถือความคิดของฉู่ชวิ๋น ไม่อย่างนั้นเขาคงได้เป็นไอ้โง่ในการเดินทางครั้งนี้จริงๆ
แม้ฉู่ชวิ๋นจะดูบื้อๆ เป็นคนมุทะลุ แต่ก็มีความละเอียดรอบคอบอยู่จริง ๆ เป็นคนซื้อบื้อที่ฉลาดในเรื่องชั่ว ๆ
ถ้าฉู่ชวิ๋นรู้ว่าหยานหวูซวงคิดกับเขายังไง ฉู่ชวิ๋นคงต่อยเขาจนหัวบวมเป่ง
“กลุ่มอื่น ๆ กว่าจะมาถึงคงต้องใช้เวลา พวกเรากินให้อิ่มท้องแล้วค่อยเดินทางต่อ” ฉู่ชวิ๋นลากหางงูหลามยาว 2-3 เมตรไปที่บ่อน้ำก่อนจะเริ่มถลกหนังเพื่อทำความสะอาด
หยานหวูซวงหน้าไม่สู้ดี เขาเห็นฉู่ชวิ๋นแล่ได้เสียเปล่ามาก ๆ เห็นทีจะต้องเข้าไปช่วยเตือนสักหน่อยแล้ว
ภายในบ่อน้ำ ดวงตาใหญ่เท่าโคมไฟคู่หนึ่งปรากฏ มันจ้องมองฉู่ชวิ๋นอย่างแค้นเคือง
แน่นอนว่าฉู่ชวิ๋นก็เห็น มันคืองูหลามยักษ์นั่นเอง แต่มันไม่กล้าขึ้นมาอีก
“มองอะไร แน่จริงแกก็ขึ้นมาเลย” ฉู่ชวิ๋นท้าทาย
งูหลามยักษ์ตัวนั้นขยับร่างกายอันใหญ่โต น้ำในบ่อกระเด็นขึ้นสูงหลายเมตร หยานหวูซวงกำลังดูอยู่ ฉู่ชวิ๋นจึงใช้ลมปราณจำแลงไม่ได้ โดนน้ำสาดใส่จนเป็นลูกหมาตกน้ำ
หยานหวูซวงเห็นท่าไม่ดีก็ชักกระบี่เข้ามาช่วย พอเห็นตาคู่ใหญ่ใต้น้ำก็ฟันกระบี่ลงไปอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวงูหลามยักษ์ก็มุดหายลงไปใต้น้ำ ไอกระบี่ทำให้น้ำในบ่อกระเด็นออกมาและเป็นฉู่ชวิ๋นที่รับเคราะห์ไปอีกครั้ง
“หยานหวูซวง ไอ้เวร มาเก็บกวาดเลย” ฉู่ชวิ๋นหน้าดำคร่ำเครียด โยนงานถลกหนังทำความสะอาดให้หยานหวูซวง
หยานหวูซวงหัวเราะฝืดๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ อีกอย่าง ตัวเขาเป็นนายน้อยตระกูลหยาน เคยทำงานล้างนู่นล้างนี่ซะเมื่อไหร่ แถมเขาไม่อยากกินเนื้องู แค่คิดก็ไม่สบายตัวแล้ว
สุดท้ายเขาก็ให้จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 คนหนึ่งไปทำ
ควันโขมง กลิ่นหอมกระจายออกมา
หน้าของหยานหวูซวงบึ้งตึงอีกครั้ง เพราะฉู่ชวิ๋นเอากระบี่สีเขียว 3 ศอกของเขาจิ้มเนื้องูหลามหนัก 10 กว่ากิโลไปย่างไฟแทนไม้เสียบ
จ๊อก
ของเหลวสีเหลืองทองไหลออกมา ฉู่ชวิ๋นคอยพลิกเนื้องูหลามที่เริ่มสุกจนเป็นสีเหลืองขึ้นเรื่อยๆ
เสียดายอย่างเดียวคือไม่มีน้ำจิ้ม ออกจากบ้านรอบหน้าต้องพกติดตัวไว้ด้วยแล้วแบบนี้ ฉู่ชวิ๋นคิดในใจ
ผ่านไปไม่นานเนื้องูหลามก็สุก เนื้อเป็นสีทองระยิบระยับ กลิ่นหอมฉุยโชยเข้าจมูก
ฉู่ชวิ๋นฉีกมาชิ้นนึงโยนเข้าปากลองชิม ถึงไม่มีน้ำจิ้มแต่มันกลับหอมอร่อยเป็นพิเศษ
“มา ฉันเลี้ยงเนื้องูหลามทุกคนเอง”
ฉู่ชวิ๋นฉีกอีกชิ้นหนึ่งยื่นให้ผู้หญิงผมม่วง แต่เธอถอยหลังไปหลายก้าว ยังไงซะก็ไม่ยอมกิน
“น้องหยาน เร็ว นี่ของอร่อยเลยนะ”
หยานหวูซวงส่ายหัว แม้เขาจะเป็นผู้ชายแต่ก็รักสะอาด รู้สึกไม่ดีกับตัวลื่น ๆ อย่างพวกงูมาก
“พวกนายล่ะ” ฉู่ชวิ๋นมองจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 อีก 4 คน
แต่ทั้ง 4 คนล้วนส่ายหัว ไม่มีใครยอมกิน
“ไม่รู้จักเพลิดเพลินกับสิ่งรอบข้างซะเลย” ฉู่ชวิ๋นพึมพำก่อนจะกินเนื้อคำโต
เห็นฉู่ชวิ๋นกินท่าทางน่าอร่อย คนอื่นก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามันอร่อยขนาดนั้นจริงๆเหรอ
“คุณชายหลิว ขอผมสักชิ้นได้รึเปล่า” 1 ในนั้นเห็นฉู่ชวิ๋นกินน่าอร่อยก็อยากชิมบ้าง
ฉู่ชวิ๋นฉีกให้เขาชิ้นใหญ่ประมาณ 2 กรัมได้
“ขอบคุณคุณชายหลิว” คน ๆ นั้นรับไปและลองกัดคำนึงอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นดวงตาก็เป็นประกาย คุณภาพเนื้อหอมหวาน เข้าปากก็ละลาย ที่สำคัญภายในเนื้อมีพลังงาน กินเข้าไปแล้วรู้สึกอบอุ่นสบายตัวจนบอกไม่ถูก
เขากลั้นไม่ไหว เริ่มสวาปามคำโต
อร่อยขนาดนั้นจริงๆเหรอ 3 คนที่เหลือสงสัยจึงเข้าไปขอชิ้นเล็กๆมาชิมด้วย จากนั้นทั้ง 3 คนก็ขอฉู่ชวิ๋นกินใหญ่
ต่อมา เนื้อทั้ง 10 กว่ากิโลถูกฉู่ชวิ๋นและพวกเขา 4 คนสวาปามลงท้องหมด
“ตรงนั้นยังมีอีกเยอะ อยากกินก็ไปย่างเพิ่มเลย” ฉู่ชวิ๋นบอก
ทั้ง 4 คนลุกขึ้นพรึ่บพรั่บ แต่ละคนแบกเนื้องูหลามชิ้นบะเร่อไปที่บ่อน้ำ ลอกหนังทำความสะอาดและเริ่มย่าง
เนื้อพวกนี้สดและนิ่มมาก พลังข้างในถูกดูดซับไป ทุกคนกินไป 2 กิโลก็ยังไม่รู้สึกจุก สุดท้ายแม้แต่หยานหวูซวงยังเข้าร่วมด้วย
นอกจากผู้หญิงผมม่วงที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมกิน พวกผู้ชายล้วนถือเนื้องูหลามชิ้นบะเริ่มกัดกิน จนสุดท้ายกินไม่ลงแล้วจริง ๆ ถึงยอมหยุด
เนื้องูหลามที่ยังไม่ได้ย่างก็โดนจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิขอแบ่งไปอย่างไม่ละอาย บอกว่าเอากลับไปค่อยกิน
“มีคนมา” ผู้หญิงผมม่วงเตือน
ทั้ง 7 คนอำพรางตัวหลังหินยักษ์อีกครั้ง
คนสวมชุดม่วง 10 กว่าคนเดินทางผ่านไปโดยที่พูดคุยกันอยู่
“นี่คือคนของหอคอยอาภรณ์ม่วง คิดไม่ถึงว่าแม้แต่พวกเขาก็มาด้วย”
หยานหวูซวงเอ่ย
หอคอยอาภรณ์ม่วงเป็นองค์กรที่ลึกลับมาก อิทธิพลใหญ่โต เรียกว่าองค์กรนักฆ่าก็ว่าได้ รับทุกงาน เอาเรื่องผลประโยชน์เป็นหลัก ชื่อเสียงไม่ค่อยดีเท่าไหร่
จากนั้นก็มีคนผ่านไปอีกหลายพวก ล้วนมาจากต่างสำนัก
“พวกเราก็ไปกันเถอะ” ฉู่ชวิ๋นเอ่ย
ทั้ง 7 คนมุ่งหน้าสู่ภายในหุบเขาตามหลังคนพวกนี้ไป
……
โฮกก
สิงโตสีเหลืองทองตัวใหญ่ตัวหนึ่งกระโดดออกมาคำรามอย่างน่ากลัว มีแสงเปล่งอยู่รอบ ๆ ตัวมัน ขนของมันเปรียบเสมือนผ้าฝ้าย คลื่นเสียงแผ่ขยายตามความโกรธของมันออกมา
จังเฟิงหลิงอยากจะบ้าตาย เรียกได้ว่าเขาสู้ด้วยเลือดเนื้อมาตลอดทั้งทาง เลือดบนเสื้อยังไม่ทันจะแห้งก็มีจักรพรรดิอสูรโผล่มาอีกแล้ว
ก่อนหน้านี้มีตะขาบดำตัวใหญ่เท่าแท่นบด เป็นถึงสัตว์อสูรขั้นจักรพรรดิระดับ 6 หางตะขาบอย่างกับตะขอเหล็ก ตวัดเบา ๆ พื้นดินก็แตกสลายพออ้าปากก็พ่นเมือกพิษที่สามารถละลายหินผาได้ กว่าพวกเขาจะกำจัดมันได้ก็มีคนหนึ่งต้องบาดเจ็บสาหัส
ยังไม่ทันจะได้หายใจก็มีเจ้าสิงโตเหลืองทองโผล่มาอีก แถมมันยงถนัดโจมตีด้วยคลื่นเสียง รับมือยากยิ่ง
มันคล้ายกับวิชา สิงโตคำราม ในตำนานเลย
คลื่นเสียงจู่โจมมาเป็นระลอก ๆ พวกเขาเอี๊ยวตัวหลบ หินประหลาดสูงหลายเมตรสะเทือนจนระเบิดดังตู้ม
“ฆ่ามัน!”
จังเฟิงหลิงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด ทุกคนลงมือต่อสู้กับสิงโตเหลืองทองพร้อมกัน ลมปราณมากมายปรากฏ ดุดัน แข็งกร้าว
สิงโตเหลืองทองตัวนี้แข็งแกร่งอย่างมาก เข้าใกล้ความเป็นอสรูขั้นจักรพรรดิระดับ 7 สุดๆ สามารถปะทะตรงๆกับจังเฟิงหลิงได้
ศึกนึ้ลำบากมาก ทุกคนรับมือกับสิงโตเหลืองทองพร้อมกันก็ยังไม่ได้เปรียบ จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 5 คนนึงโดนบี้จนเละ
สุดท้ายจังเฟิงหลิงต้องยอมใช้ของวิเศษลึกลับที่แข็งแกร่งมากจนทำให้ สิงโตเหลืองทองกลัวจนหนีไป
“นายน้อย พวกหยานหวูซวงผ่านไปได้ยังไง” คนหนึ่งถามอย่างสงสัย
มีแววเย็นยะเยือกอยู่ในนัยน์ตาของจังเฟิงหลิง เขาพูดอย่างโมโห
“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ พวกเราติดกับแล้ว”
เขาเข้าใจเรื่องราวแล้ววานรหิมะหน้าหุบเขาโดนหยานหวูซวงฆ่าไป ทำให้พวกมันรู้ดีว่าด้านในจะยิ่งอันตรายขึ้นจึงหาที่แอบซ่อนตัว พวกเขาโดน
หยานหวูซวงหลอกเข้าให้แล้ว
“ซ่อนตัวกันให้หมด” จังเฟิงหลิงสั่ง เขาไม่อยากเป็นไอ้โง่ที่คอยเปิดทางให้ใครอีกแล้ว
ผ่านไปพักใหญ่ คนของหอคอยอาภรณ์ม่วงก็ผ่านตรงที่ ๆ พวกเขาพรางตัว
“นายน้อย พวกเราจะตามไปไหม”
“พรางตัวต่อ ซากโบราณสถานยังไม่ปรากฏเลย รีบทำไม”
ทั้งหมดพรางตัวไว้
จนกระทั่งมีคนผ่านไปหลายกลุ่มแล้ว จังเฟิงหลิงก็ยังรออยู่ เขากำลังรอ
หยานหวูซวง
สวรรค์มีตา ในที่สุดเขาก็เจอพวกหยานหวูซวง
สุดท้าย พอได้เห็นก็โมโหจนปอดแทบระเบิด
หยานหวูซวงและพวกไอ้หนุ่มไร้นามเดินถือเนื้อสีเหลือง ๆ ชิ้นใหญ่ในมือกันทุกคน เดินไปกินไป สุขีอย่างถึงที่สุด อย่างกับมาเที่ยวเล่น
จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 6 ทั้ง 4 คนของตระกูลหยานโลภมากเกินไป ก่อนหน้านี้ย่างเนื้อไว้เยอะเกิน จะทิ้งก็เสียดาย ทุกคนจึงเดินไปกินไป
“มีคน” ผู้หญิงผมม่วงเอ่ยปากพลางมองไปที่ด้านหลังของหินก้อนหนึ่ง
“ท่าทางจะมีคนคิดเหมือนพวกเรา” ฉู่ชวิ๋นรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหลังหินก้อนนั้นก็คือพวกจังเฟิงหลิง
“สหาย ออกมาเถอะ” หยานหวูซวงตะโกน
จังเฟิงหลิงเดินพาคนกลุ่มหนึ่งออกจากหลังหินด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
“ที่แท้ก็น้องจังนี่เอง มาไวดีนี่” หยานหวูซวงทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
หน้าอกจังเฟิงหลิวขึ้นลงอย่างแรก เขาพยายามสะกดความโมโหเอาไว้ ก่อนหัวเราะพลางกล่าว “พี่หยาน พวกพี่มาไวกว่าอีก ทำไมไปอยู่ด้านหลังได้ล่ะ”
“พวกเราแวะปิ้งย่างบาร์บีคิว พวกนายเหมือนกันเหรอ” ฉู่ชวิ๋นรับคำพลางโบกเนื้องูหลามในมือ “ลองหน่อยไหม รสชาติไม่เลวเลย”
ปิ้งย่าง?
เปลือกตาจังเฟิงหลิงกระตุกเหมือนเต้นระบำ แกหลอกคนโง่หรือไงเดินทางไกลกว่า 200 กิโล ฝ่าพายุหิมะเพื่อมาแวะปิ้งย่าง?
“แกล้อเล่นหรือไง” ความแค้นที่จังเฟิงหลิงมีต่อฉู่ชวิ๋นไม่น้อยไปกว่าที่มีต่อหยานหวูซวงเลย
“ฉันจะล้อเล่นอะไร” ฉู่ชวิ๋นมีท่าทีไม่เข้าใจ “พวกเรามาเที่ยวมาปิ้งย่างจริงๆ นายดูที่นี่สิ ภูเขาเขียวขจี ลำธารหลั่งไหล ทิวทัศน์ราวภาพวาด เหมาะแก่การเดินป่ามาก ไม่คิดว่าคุณชายจังก็มีอารมณ์สุนทรีย์แบบนี้ด้วย”
ภูเขาเขียวขจี ลำธารหลั่งไหล? ทิวทัศน์ราวภาพวาด?
ทุกคนมีสีหน้าแปลกประหลาด นอกจากหินประหลาดสูงชัน พายุหิมะอันหนาวเหน็บ ที่นี่มีทิวทัศน์ตรงไหนสวยบ้าง
“มันคือมโนภาพน่ะ ต้องใช้ใจสัมผัสความงามของธรรมชาติ พวกนายไม่รู้สึกถึงทิวทัศน์ราวภาพวาด ความอบอุ่นราวใบไม้ผลิ เป็นเพราะว่ามโนภาพของพวกนายยังไม่พอ ระดับการฝึกฝนตื้นเขินเกินไป” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยท่าทีจริงจัง
“มโนภาพบ้าบออะไรของแก” จังเฟิงหลิงก่นด่าในใจ พูดอย่างกับเป็นเรื่องจริงงั้นแหละ
“พี่หยาน พวกเราจับกลุ่มไปด้วยกันไหม ให้พวกเราได้สัมผัสเสน่ห์ของทิวทัศน์อันสวยงามนี้บ้าง” จังเฟิงหลิงมองหยานหวูซวง เขาตัดสินใจว่าจะไม่สนฉู่ชวิ๋น จะได้ไม่โมโหตาย ถ้าไม่ใช่ไอ้บ้านนอกนี่ร่างกายแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อฆ่าได้ยากยิ่ง เขาคงฆ่ามันเพื่อชำระแค้นไปแล้ว