จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 333 ปากแข็งแบบนี้ ฉันชอบ
บทที่ 333 ปากแข็งแบบนี้ ฉันชอบ
“กร๊อบ!”
ได้ยินเสียงกระดูกหักดังขึ้น
อสูรกายส่งเสียงร้องคำรามโหยหวน
ฉู่ชวิ๋นเป็นเหมือนเครื่องจักรสังหาร กำปั้นของเขาแข็งแกร่งเกินไปเพียงครู่เดียวเขาก็ต่อยจนแขนของอสูรกายขาดกระเด็น!
อสูรกายเริ่มตื่นกลัว มนุษย์ผู้นี้แข็งแกร่งเกินไป
เผ่าพันธุ์ผีดิบเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีร่างกายแกร่งกล้า แต่ก็ยังเทียบไม่ได้เลยกับความแข็งแกร่งทางร่างกายของชายหนุ่มคนนี้
“ตู้ม!”
แขนอีกข้างที่เหลืออยู่ของอสูรกายถูกฉู่ชวิ๋นต่อยจนขาดกระเด็นอีกข้าง เลือดสีเขียวสาดกระจายอย่างน่าสยองขวัญ เมื่อแขนกระเด็นลงไปบนพื้น มันก็ระเหยกลายเป็นหมอกควันสีขาวลอยขึ้นมาและพื้นดินก็ถูกกัดกร่อนจนกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
อสูรกายหวาดกลัวขึ้นมาแล้วจริง ๆ มันหันหลังกลับเพื่อที่จะหลบหนี
แต่โชคร้ายที่ฉู่ชวิ๋นตามไปจับตัวมันเอาไว้ได้ทันและลากมันกลับมาที่เดิม
“ตู้ม!”
ส่วนที่เหลือของตอแขนบริเวณช่วงหัวไหล่ ถูกฉู่ชวิ๋นต่อยจนกระดูกแหลกละเอียด
อสูรกายอ้าปากหมายจะกัดฉู่ชวิ๋นด้วยความร้อนรน
ฉู่ชวิ๋นชกหมัดสวนกลับไปจนฟันของปีศาจร้ายร่วงหมดปาก
ผลั่ก!
ฉู่ชวิ๋นยกเท้าขึ้นเตะร่างของผีดิบยักษ์กระเด็น ก่อนจะกระโดดไล่ตามเข้าไปซ้ำและกระทืบเท้าลงไปบนส่วนขาของอสูรกายจนขาขาดออกเป็นสองส่วน อสูรกายส่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทรมาน
“กร๊อบ!”
ขาอีกข้างก็กระดูกแหลกละเอียดตั้งแต่ใต้หัวเข่าลงมา สภาพไม่ต่างจากข้างที่ขาดไปเมื่อครู่
ทุกคนได้แต่จ้องมองด้วยความสยดสยอง ในที่สุด พวกเขาก็ได้รับรู้ความน่ากลัวของจอมมารฉู่ชวิ๋นแล้ว
ผีดิบตัวนี้แข็งแกร่งขนาดไหนงั้นหรือ? มันแข็งแกร่งชนิดที่ว่าจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 7 ก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ แต่มันกลับเพลี้ยงพล้ำให้แก่ฉู่ชวิ๋นภายในไม่กี่กระบวนท่า ไม่ต่างจากการหักกิ่งไม้กิ่งหนึ่งด้วยซ้ำ
“บอกฉันมาว่าพวกแกตัวอื่นอยู่ที่ไหน?” ฉู่ชวิ๋นหยุดมือและเริ่มต้นสอบถามเรื่องต่าง ๆ
“ไอ้เจ้ามนุษย์หน้าโง่ พวกเราเผ่าพันธุ์ผีดิบไม่กลัวความตาย ข้าจะไม่ทรยศพวกพ้องของตัวเองเด็ดขาด”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกาย คำตอบแบบนี้ย่อมหมายความว่า ยังคงมีผีดิบตัวอื่นหลบซ่อนอยู่ในเมืองนี้อย่างแน่นอน
ในต่างประเทศก็มีเผ่าพันธุ์ผีดิบอยู่เช่นกันพวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งมาก แต่หน้าตาของพวกมันเหมือนมนุษย์ ต่างกันแค่กินเลือดเป็นอาหารเท่านั้น ไม่น่าขยะแขยงเท่ากับการกินหัวใจมนุษย์แต่อย่างใด
ฉู่ชวิ๋นหยิบขวดหยกขนาดเล็กออกมาขวดหนึ่ง เขายกมันขึ้นและพูดว่า “แกรู้ไหมว่านี่คืออะไร? พนันได้เลยว่าแกไม่รู้สินะ จะบอกให้ก็ได้ว่านี่คือน้ำยาสลายกระดูก มันจะเปลี่ยนร่างกายของแกให้กลายเป็นไอระเหย มันจะกัดกร่อนร่างกายของแกอย่างช้า ๆ ให้แกได้มองเห็นร่างของตัวเองสลายหายไปทีละเล็กทีละน้อย”
ดวงตาแดงก่ำของอสูรกายหม่นหมองมันตะโกนออกมา “เจ้ามันเป็นปีศาจร้าย จะฆ่าก็ฆ่าทำไมต้องทรมาณกันด้วย!”
“จากนี้ไป ฉันจะเริ่มจากขาของแกแล้วค่อยตามด้วยลำตัว สุดท้ายก็จะเป็นที่หัวของแก แกจะได้เห็นร่างของตัวเองหายไปด้วยตาของตัวเอง” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงอำมหิต เช่นเดียวกับสีหน้าของเขา
“เจ้ามนุษย์ผู้ต่ำต้อย เก่งจริงก็ลงมือ อย่าดีแต่เห่าหอน” ผีดิบคำราม
“บอกฉันมาว่าพวกแกตัวอื่นอยู่ที่ไหน แล้วฉันจะไม่ทำให้แกต้องทรมาน” ฉู่ชวิ๋นเสนอทางออก
ดวงตาสีแดงของมันเป็นประกาย ฉู่ชวิ๋นไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร บางทีอสูรกายอาจกำลังชั่งใจเลือกอยู่ก็เป็นได้
“ข้าไม่ทรยศเผ่าพันธุ์ของตัวเอง สักวันพวกเราต้องกลับมาแก้แค้น วันนั้นเจ้าจะต้องตายอย่างทรมานที่สุด!” อสูรกายตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ปากแข็งแบบนี้ ฉันชอบ” ฉู่ชวิ๋นพูดอย่างเย็นชาก่อนจะเปิดฝาจุกของขวดหยกขึ้น มวลพลังพุ่งออกมา อุณหภูมิโดยรอบสูงขึ้นจนผู้คนรอบข้างต่างต้องถอยหนี
แต่ชายหนุ่มกลับดีดนิ้วมือ เป็นกลุ่มไฟสีม่วงสองกลุ่มกระเด็นใส่ต้นขาของอสูรกายแทน
“ฟู่!”
หมอกควันสีดำลอยขึ้นขาของอสูรกายถูกเผาไหม้ แม้แต่กระดูกก็กลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
“อ๊าก…” ผีดิบยักษ์ส่งเสียงกรีดร้อง
“ปีศาจร้ายอย่างแกไม่มีค่ามากพอที่จะให้ฉันต้องใช้น้ำยาสลายกระดูกหรอก ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะเผาแกทั้งเป็นนี่แหละ แม้แต่วิญญาณของแกก็ไม่เหลือ อย่าหวังเลยว่าจะได้กลับไปเกิดใหม่อีก” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา
ความจริง ๆ แล้ว สิ่งที่เขาถืออยู่มันก็แค่ขวดหยกเปล่า ๆ เท่านั้น โลกนี้จะไปมีน้ำยาสลายกระดูกอยู่จริง ๆ ได้ยังไงกัน?
เปลวไฟเริ่มต้นลามขึ้นมาจากขาของอสูรกาย
อสูรกายร้องโหยหวน แม้แต่ผู้ที่ยืนดูอยู่โดยรอบก็อดเวทนาไม่ได้
“จะไม่พูดจริง ๆ ใช่ไหม?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“เจ้ามนุษย์ต่ำต้อย ข้าจะไม่พูดเด็ดขาด อย่าได้ใจไปหน่อยเลย ข้าจะไม่ทรยศเผ่าพันธุ์ของตัวเอง ต่อให้ข้าต้องตายก็ไม่มีวัน สักวันพวกเขาต้องมาล้างแค้นให้ข้าอย่างแน่นอน!”
ฉู่ชวิ๋นนิ่งเงียบ ผีดิบตัวนี้ปากแข็งเหลือเกิน ปากแข็งยิ่งกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงัน มีเพียงเสียงของไฟไหม้กับเสียงร้องโหยหวนของอสูรกายเท่านั้นที่ดังในอากาศ
หลังจากนั้นไม่นาน เสียงร้องโหยหวนก็หยุดลง เปลวไฟหายไปแล้ว บนพื้นเหลือแต่เพียงกองเถ้าถ่านกองหนึ่ง
สุดท้าย อสูรกายก็ไม่ยอมบอกที่ซ่อนตัวของเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์อยู่ดี
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกหนักใจ หากผีดิบตัวอื่นเป็นพวกใจเด็ดปากแข็งแบบนี้กันหมด ก็คงเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวไม่น้อย
เยวี่ยหงโป๋เดินเข้ามารอฟังคำสั่งว่าฉู่ชวิ๋นจะให้เขาทำอะไรต่อไป
“ให้ทุกคนออกค้นหาให้ทั่ว พวกผีดิบมันตื่นขึ้นมาแล้ว จำเป็นต้องกินหัวใจมนุษย์เพื่อฟื้นฟูพลัง ตอนนี้พวกมันยังไม่แข็งแกร่งกันเท่าไหร่ รีบหาพวกมันให้เจอและกำจัดทิ้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง
เยวี่ยหงโป๋พยักหน้า หันไปสั่งการจอมยุทธ์ที่ยืนอยู่รอบตัวและสั่งทิ้งท้ายให้กับทุกคนว่า “ระวังตัวกันด้วยล่ะ”
…
ฉู่ชวิ๋นและเยวี่ยหงโป๋กลับไปที่ปราสาทจตุรเทพ นี่ก็ดึกมากแล้ว แต่เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยและคนอื่น ๆ ยังไม่เข้านอน
“เป็นไงบ้าง น้องชาย?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยสอบถาม
ฉู่ชวิ๋นเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้ฟังอย่างครบถ้วน
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยมีสีหน้าเป็นกังวล “ถ้าพวกผีดิบมันฟื้นขึ้นมาจริง ๆ พวกมันก็ต้องกินหัวใจคนเป็นอาหาร แล้วแบบนี้จะต้องมีผู้หญิงอีกสักกี่คนกันที่ต้องถูกพวกมันฆ่าตาย?”
“พวกมันเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาเท่านั้นและไม่น่าจะมีจำนวนมากเท่าไร พวกเราแค่ต้องรีบหาพวกมันให้เจอและกำจัดทิ้งไปให้เร็วที่สุด” ฉู่ชวิ๋นบอกหนทาง
แต่ทุกคนต่างก็ทราบดีว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะทำได้ เผ่าพันธุ์ผีดิบแข็งแกร่งมาก แล้วเมืองนี้ก็เต็มไปด้วยภูเขาและป่าทึบ หากพวกผีดิบซ่อนตัวอยู่จริง ๆ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาพวกมันเจอ
“พวกเราแยกย้ายกันพักผ่อนก่อนดีกว่า พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันใหม่”
แล้วทุกคนก็แยกย้ายกันไป ไม่มีใครกล่าวราตรีสวัสดิ์ออกมาสักคำ
เช้าวันต่อมา ตอนที่ฉู่ชวิ๋นกำลังนั่งโคจรพลัง เขาก็ถูกปลุกด้วยเสียงโวยวายจากด้านนอก
“พี่ฉู่ นี่น้องชายของพี่เอง ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
ฉู่ชวิ๋นยกมือตบหน้าผากตัวเองและยิ้มอย่างขมขื่น เขาลืมหยานหวูซวงไปเสียสนิทเลย
เมื่อเปิดประตูเดินออกไปจากห้อง ชายหนุ่มก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นสภาพของคุณชายหยาน
“ทำไมสภาพเละเทะแบบนี้เนี่ย?” ฉู่ชวิ๋นถามด้วยความประหลาดใจ หยานหวูซวงมีสภาพเหมือนขอทาน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ภาพลักษณ์ของเขาคือคุณชายเจ้าสำอางชัด ๆ
เมื่อหยานหวูซวงหันมาเห็นฉู่ชวิ๋น ดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟ
“รู้ไหมกว่าผมจะเจอตัวพี่มันยากเย็นแค่ไหน นี้มันเป็นพันกิโลจากที่พี่ทิ้งผมมาเลยนะ?” หยานหวูซวงพูดด้วยความโกรธ
ฉู่ชวิ๋นคิดดูแล้วก็รู้สึกกระดากใจเป็นอย่างยิ่ง ได้แต่พูดว่า “อย่าทำตัวเป็นเหมือนผู้หญิงได้ไหมเนี่ย ฉันเองก็รีบไปช่วยคนไง?”
“คุณชายหยาน มีอะไรก็ค่อย ๆ พูดค่อย ๆ จา ใจเย็นกันก่อน” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยให้คำแนะนำ
“ดีๆ งั้นผมขอไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน” หยานหวูซวงรู้ดีว่ากำลังอยู่ในบ้านของคนอื่น สิ่งที่เขาทำเป็นพฤติกรรมหยาบคาย จึงต้องจำใจหันไปมองฉู่ชวิ๋นตาขวางและบอกว่า “เดี๋ยวผมจะมาจัดการพี่ทีหลัง”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยสั่งให้คนรับใช้เตรียมอาหารเช้า ไม่นานหยานหวูซวงก็กลับมา ชายหนุ่มแต่งตัวเป็นมนุษย์ปกติอีกครั้ง
“บอกฉันหน่อยสิว่าทำไมนายถึงมีสภาพเละเทะขนาดนั้น? นี่เป็นครั้งแรกใช่ไหมที่นายออกจากบ้าน แต่พลังของนายก็อยู่ในขั้นจักรพรรดิระดับ 7 แล้วนี่นา ทำไมถึงมีสภาพเหมือนขอทานแบบนั้นได้เล่า?” ฉู่ชวิ๋นพูดไปแล้วก็ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ
ความเดือดดาลของหยานหวูซวงลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง เขาจ้องมองฉู่ชวิ๋น แล้วตอบว่า “แกนั่นแหละเป็นขอทาน!”
“เอาเถอะ ใจเย็นก่อนได้ไหม ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ฉู่ชวิ๋นถาม
หยานหวูซวงเล่าทุกอย่างให้ฟังว่า
ในวันที่ถางโร้วกับจิ่วโยวเกิดเรื่อง ฉู่ชวิ๋นพาเขากลับไปที่เมืองกู่เจียง ในที่สุดก็ได้รู้ว่าถางโร้วกับจิ่วโยวอยู่ในเมืองเซี่ยเฉิง ฉู่ชวิ๋นจึงรีบออกเดินทางไปทันที หยานหวูซวงไม่ได้มีระดับความเร็วเท่าฉู่ชวิ๋น จึงตามไปไม่ทัน สุดท้ายตามไปได้ครึ่งทางก็หลงทาง ตอนที่กำลังเดินเตร่อยู่ในเมืองเซี่ยเฉิง คุณชายหนุ่มก็ได้พบกับคนตระกูลเซี่ยและทราบว่าฉู่ชวิ๋นกลับไปที่เมืองกู่เจียงแล้ว
พอหยานหวูซวงกลับไปที่เมืองกู่เจียง คนที่นั่นก็บอกเขาว่าฉู่ชวิ๋นเดินทางมาที่ปราสาทจตุรเทพ คุณชายหนุ่มจึงออกเดินทางมาที่นี่อีกครั้ง เมื่อเขามาถึงเมืองหลันโจวก็เป็นช่วงดึกสงัดแล้ว หยานหวูซวงตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมก่อนและจะเดินทางมาสมทบกับฉู่ชวิ๋นในวันรุ่งขึ้น แต่โชคร้ายที่เขาพบกับอสูรกายตัวหนึ่งกำลังพยายามฆ่าผู้หญิง เขาจึงเข้าไปช่วยเหลือเธอ
ผลก็คือ อสูรกายตัวนั้นแข็งแกร่งมากและยากที่จะจัดการได้ แถมมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่มีด้วยกันถึง 2 ตัว ผีดิบยักษ์ 2 ตัวนั้นรุมเล่นงานเขาถ้าไม่ใช่เพราะว่าหยานหวูซวงมีฝีมือแกร่งกล้าสู้ข้ามระดับพลังได้ ก็คงต้องตกตายเป็นแน่แท้ หลังจากนั้น คุณชายหนุ่มจึงตัดสินใจหลบหนีออกมาอย่างทุลักทุเล
เมื่อเรื่องเล่าจากหยานหวูซวงจบลง เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยกับฉู่ชวิ๋นก็หันมามองหน้ากัน
“อสูรกายที่นายพบเป็นยังไง?” ฉู่ชวิ๋นถาม
หยานหวูซวงพูดด้วยความโกรธเคืองอีกครั้ง “พี่ฉู่จะไม่ถามกันหน่อยเหรอว่าผมเป็นยังไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ก็นายยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ก็ต้องไม่เป็นไรอยู่แล้ว อีกอย่าง ฝีมือดีอย่างนายใครจะไปทำอะไรได้?” ฉู่ชวิ๋นพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง
“ไม่เอาน่า อย่ามาทำเป็นพูดดีกลบเกลื่อนเลย” หยานหวูซวงทำสีหน้าไม่พอใจ แต่ที่จริงแล้วก็แอบดีใจอยู่ไม่น้อย
“คุณโตแล้วนะ ทำไมทำตัวเรียกร้องความสนใจเป็นเด็ก ๆ ไปได้ เพิ่งจะเคยออกจากบ้านหรือไงคะ” จิ่วโยวทนไม่ไหวอีกต่อไปเธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ใบหน้าของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความท้าทาย
“…” หยานหวูซวงเกือบจะสำลักอากาศตาย เขากำลังถูกเด็กน้อยพูดเหน็บแนมหรือนี่
“ฉันลืมแนะนำให้รู้จักกันเลย นี่คือถางโร้ว นี่คือจิ่วโยว” ฉู่ชวิ๋นพูดจบก็หันไปหาถางโร้วกับจิ่วโยว “นี่คือหยานหวูซวง เขาเป็นนายน้อยตระกูลหยาน”
ดวงตาของหยานหวูซวงแสดงความประหลาดใจ เมื่อเขามองจิ่วโยว ก็ถามฉู่ชวิ๋นว่า “นี่ลูกสาวพี่เหรอ?”
“อะไรของคุณเนี่ย? ทำตัวไร้สาระจริง ๆ” จิ่วโยวพูดด้วยน้ำเสียงน่ารักน่าชัง เธอรู้สึกไม่พอใจตั้งแต่ที่หยานหวูซวงมาโวยวายใส่ฉู่ชวิ๋นเมื่อตอนเช้าแล้ว
“…” หยานหวูซวงพูดอะไรไม่ออก เขามีหน้าตาหล่อเหลาออกขนาดนี้ ปกติเด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะชื่นชอบเขากันทั้งนั้น แล้วทำไมเด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ ถึงทำท่าจงเกลียดจงชังเขานักนะ?
“คุณชายหยาน ช่วยอธิบายลักษณะของอสูรกายตัวที่คุณเจอหน่อยได้ไหม?” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยถามอีกครั้ง
หยานหวูซวงตอบว่า “พูดไปแล้วผมก็อยากจะอ้วกเหมือนกันนะ ลักษณะของมันเหมือนคนผสมกับสัตว์ป่า มีแขนยาวมาก มองไปตรงส่วนไหนก็น่าขยะแขยงไปหมด”
“ผีดิบอีกตัวแน่นอน” เยวี่ยหงโป๋พูดด้วยความมั่นใจ
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า ไม่คิดเลยว่าเมื่อคืนนี้ฆ่าทิ้งไปได้ตัวหนึ่ง กลับมีอีก 2 ตัวเพิ่มขึ้นมา แล้วแบบนี้มีพวกมันอยู่อีกกี่ตัวกันแน่?
“ผีดิบอะไรกัน?” หยานหวูซวงถามด้วยความสงสัย “จะบอกว่าไอ้ตัวที่ผมสู้ด้วยเมื่อคืนมันเป็นผีดิบงั้นเหรอ?”
เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพยักหน้าและเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง
“กินหัวใจคนสด ๆ” หยานหวูซวงท้องไส้ปั่นป่วน มองอาหารเช้าตรงหน้า กลับไม่รู้สึกหิวอีกแล้ว
“ไปกันเถอะ” ฉู่ชวิ๋นลุกขึ้นยืน
“ไปไหน?” หยานหวูซวงถาม
“ที่ที่นายเจอผีดิบเมื่อคืน” ฉู่ชวิ๋นหันไปมองหน้าหยานหวูซวงแล้วก็เดินออกไป
“เฮ้ อย่างน้อยให้ผมกินข้าวเช้าก่อนได้ไหม อย่าดึงผมสิคุณลุง ระวังหน่อย…”
“พวกเราก็จะไปเหมือนกัน” แล้วเยวี่ยฟ๋านเตี๋ยกับพวกก็ดึงหยานหวูซวงออกไป
หยานหวูซวงได้แต่นำทุกคนไปโรงแรมที่เขาเจออสูรกายเมื่อคืนนี้
“พวกมันไม่กลัวคนเลยนะ” ฉู่ชวิ๋นสังเกตพบว่าพื้นที่ส่วนนี้เป็นย่านเศรษฐกิจของเมืองหลันโจว เต็มไปด้วยตึกสูงเสียดฟ้ามากมาย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ทั้งสิ้น
“แต่ยิ่งมีคนเยอะเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีหัวใจให้พวกมันกินเยอะเท่านั้นเหมือนกัน” เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยพูดจริงจัง
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเปร่งประกาย ตอนนี้ เขาสังเกตเห็นกลุ่มหมอกควันสีดำลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ!