จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 359 ปรับโครงสร้างวังมังกรเพลิง
บทที่ 359 ปรับโครงสร้างวังมังกรเพลิง
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกหวาดวิตก ถ้าไม่มีจักรพรรดิยาคอยช่วย หยานหวูซวงก็มีแต่ตายกับตายสถานเดียว
“ทุกคนห้ามออกไปจากวังเด็ดขาด ใครออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาย!” ฉู่ชวิ๋นคำรามด้วยความโกรธแค้น
นี่คือเรื่องที่ใครสักคนอยากยืมมือจักรพรรดิยากำจัดพวกหยานหวูซวง
เหยียนชง เหลยเป้า สีหน้าเคร่งเครียด
“นี่เป็นฤทธิ์ของยาพิษเลือดอีกา” จักรพรรดิยานำหยดเลือดของหยานหวูซวงขึ้นมาดมและวิเคราะห์ “มันเป็นยาพิษที่ทำจากหัวใจอีกากลายพันธุ์ นำมาบดผสมกับเมล็ดพืชที่มีพิษ โดนเข้ามีแต่ต้องตาย โชคดีที่พวกเรารักษาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นคุณชายหยานคง…”
จักรพรรดิยาพูดไม่จบประโยค ฉู่ชวิ๋นก็เข้าใจเป็นอย่างดี พวกหยานหวูซวงโดนสะกัดจุดลมปราณเอาไว้ หากพวกเขารักษาช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว หยานหวูซวงก็คงได้ไปเกิดใหม่เป็นแน่แท้
ฉู่ชวิ๋นคลายจุดลมปราณให้กับเหยียนชงและเหลยเป้า ทั้งสองคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“รีบไปจับคนร้ายมาให้ได้ ไม่ว่ามันเป็นใคร เจอก็ฆ่าทิ้งได้ทันที”
ฉู่ชวิ๋นโกรธแค้นมาก คนร้ายผู้นี้เกือบยืมมือเขาสังหารหยานหวูซวงได้สำเร็จเสียแล้ว
จักรพรรดิยาสีหน้าเคร่งเครียด เนื่องจากเขาเป็นผู้รับผิดชอบในการลงโทษทั้งสามคนนี้
บรรดาลูกศิษย์ก็มีสีหน้าตื่นตระหนก
จักรพรรดิยาเดินเข้าไปหากลุ่มลูกศิษย์ที่ยืนอยู่แถวหน้า ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม เมื่อเดินไปถึงตัวลูกศิษย์รูปร่างผอมบางคนหนึ่ง ก็ถามขึ้น “นายไปเอาแส้มาจากไหน?”
ลูกศิษย์ผู้นั้นตื่นกลัวจนตัวสั่น ตอบออกมาอย่างยากลำบาก “เป็น…ติงผิงเอามาให้ผม”
“ใครคือติงผิง? ตอนนี้มันอยู่ที่ไหนแล้ว?” จักรพรรดิยาถาม
ลูกศิษย์ผู้นั้นมองซ้ายมองขวา เพื่อกวาดสายตามองหาติงผิง
“ติงผิงหายตัวไปแล้วครับ” ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งพูด
“หายไปไหน? รีบตามหาตัวให้เจอ ไม่ต้องถามอะไรมาก ถ้าเจอตัวก็สังหารได้ทันที” จักรพรรดิยาพูดด้วยความเจ็บแค้นใจ
“ผมเจอติงผิงตอนเขากำลังจะออกไปข้างนอก บอกว่าจะออกไปทำงานให้อาจารย์เหลยครับ” ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งรายงาน
อาจารย์เหลยก็คือ เหลยเป้า
“บ้าที่สุด ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าติงผิงเป็นใคร แล้วมันจะทำงานให้ฉันได้ยังไง?” เหลยเป้าคำรามด้วยความฉุนเฉียว
“แต่เขามีป้ายประจำตัวของอาจารย์เหลยนะครับ”
“ว่าไงนะ?” เหลยเป้าขมวดคิ้ว เมื่อตบดูตามเนื้อตัว สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“ป้ายสายฟ้าของฉันหายไปแล้ว”
วังมังกรเพลิงจะแบ่งกำลังคนออกเป็นสี่กลุ่ม โดยมีป้ายเป็นสัญลักษณ์แทนกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ ป้ายรูปสายฟ้าแทนกลุ่มวายุ ป้ายรูปจิ้งจอกแทนกลุ่มจิ้งจอกไฟ ป้ายรูปดวงดาวแทนกลุ่มโหร และป้ายรูปนกแทนกลุ่มวิหคเพลิง
ลูกศิษย์ที่ประจำอยู่ตามกลุ่มต่างๆ จะห้อยป้ายเหล็กธรรมดา รองหัวหน้ากลุ่มจะห้อยป้ายเงิน ส่วนอาจารย์หรือหัวหน้ากลุ่มนั้นจะห้อยป้ายทองคำ
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว ถึงกับสามารถขโมยป้ายประจำตัวไปจากเหลยเป้าได้แบบนี้ ติงผิงคนนี้ย่อมไม่ธรรมดา
ตุบ! เหลยเป้าพลันคุกเข่าลงก่อนพูดขึ้น “นายท่านครับ ลงโทษผมเถอะ”
ฉู่ชวิ๋นมองเหลยเป้า ความจริงเป้าหมายของคนร้ายไม่แน่ว่าจะเป็นหยานหวูซวงเสมอไป เนื่องจากความสัมพันธ์ที่ร้าวฉานระหว่างเหลยเป้ากับจักรพรรดิยา ทำให้เหลยเป้าน่าจะเป็นคนที่โดนแส้โบยหนักมากที่สุด
“เรื่องความผิดละเว้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้พวกนายรีบพาคนไปตามล่าติงผิงคนนี้ให้เจอซะ” ฉู่ชวิ๋นพูดดวงตาเย็นเยียบ
“รับทราบครับ” แล้วเหลยเป้าก็นำลูกศิษย์ของตัวเองเดินออกไป เขาอยากจะตามหาตัวติงผิงให้เจอมากยิ่งกว่าใครทั้งหมด
ลูกศิษย์ของกลุ่มสายฟ้าฟาดกระจายกำลังกันออกตามหา
“นายท่านครับ ผมก็จะช่วยตามหาด้วย” เหยียนชงพูด ดวงตาเต็มไปด้วยความอำมหิต เนื่องจากตนเองก็เกือบตกเป็นเหยื่อของแส้อาบยาพิษเช่นกัน
พวกเขาสามคนมีโอกาสโดนพิษหนึ่งในสาม แต่เป็นหยานหวูซวงที่โชคร้าย
“ส่งทุกคนออกไปตามหาตัวมัน ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินทั้งเมืองก็ต้องทำ ไม่ว่ายังไงก็ต้องหาตัวติงผิงคนนี้ให้เจอให้ได้” ฉู่ชวิ๋นสั่งการด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ผู้ร้ายคนนี้น่ากลัวเกินไป มันสามารถกะเวลาลงมือได้อย่างแม่นยำ เหมือนรู้ว่าพวกของหยานหวูซวงทั้งสามคนโดนสะกัดจุดลมปราณเอาไว้ก่อนแล้ว
หลังจากนั้น ลูกศิษย์ทุกกลุ่มในวังมังกรเพลิงก็ช่วยกันออกตามหาผู้ร้าย
ไม่นานนัก หยานหวูซวงก็รู้สึกตัว
หยานหวูซวงมองหน้าฉู่ชวิ๋น ก่อนยิ้มอย่างขมขื่น “ฉันเกือบตายเพราะพี่เลยนะ”
ฉู่ชวิ๋นตอนแรกก็รู้สึกผิด แต่เมื่อได้ยินคำนี้เข้าไป เขาก็เดือดดาลขึ้นมาอีกครั้ง “นายพูดออกมาได้ยังไง ถ้าไม่ทำตัวเองตั้งแต่แรก พวกศัตรูมันจะมีโอกาสเล่นงานนายเรอะ?”
หยานหวูซวงยันตัวขึ้นมานั่งพิงหัวเตียงอย่างยากลำบาก บ่นอุบอิบ “เรื่องนี้จะมาโทษฉันได้ยังไง? พี่ต้องขอบคุณฉันสิถึงจะถูก ไม่งั้นพี่คงไม่รู้หรอกว่าในวังมังกรเพลิง มีพวกศัตรูแอบแฝงตัวเข้ามาแล้ว”
“อีกอย่าง พี่แน่ใจได้ยังไงว่าติงผิงเป็นหนอนบ่อนไส้แค่คนเดียวที่แฝงตัวอยู่ในวังมังกรเพลิง อาจมีคนอื่นอยู่อีกก็ได้” หยานหวูซวงหยุดเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “พี่ฉู่ พี่อาจแข็งแกร่งแต่เรื่องอื่นอ่อนมาก สร้างขุมกำลังก็ไม่เป็น นับว่าน่าอนาถใจจริง ๆ”
ฉู่ชวิ๋นพูดไม่ออก หยานหวูซวงกล่าวได้ถูกต้อง เขาเชื่อมาตลอดว่าวังมังกรเพลิงปราศจากหนอนบ่อนไส้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นพิสูจน์แล้วว่าเขาคิดผิด เหตุการณ์นี้เป็นสัญญาณเตือนสำหรับเขา
“อาศัยโอกาสนี้แหละกวาดล้างครั้งใหญ่เถอะ” หยานหวูซวงแนะนำ
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า เขาเองก็คิดเรื่องนี้อยู่เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาเขามีคนคอยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้โดยสะดวก เรื่องปกครองคนจึงบกพร่องไป
ฉู่ชวิ๋นคิดถึงฮวาชิงหวู่ขึ้นมา ถ้าเธอไม่เป็นเจ้าหญิงนิทราอยู่แบบนี้ เธอคงช่วยงานเขาได้ เธอเริ่มต้นจากไม่มีประสบการณ์อะไรเลยก็ยังสามารถสร้างภัตตาคารป่าไผ่สีม่วงขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม ยากจะหาใครทัดเทียม
“พี่ฉู่ชวิ๋น ให้ฉันลองทำดูเถอะนะ” ถางโร้วพลันโพล่งออกมา
ฉู่ชวิ๋นไม่เสียเวลาคิด ถามกลับไปทันทีว่า “เธอจะทำอะไร?”
“ฉันจะจัดระเบียบกำลังพลในวังให้ใหม่เอง” ถางโร้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฉู่ชวิ๋นตกใจมาก ถางโร้วเป็นคนเชื่อใจคนง่าย ไม่เหมาะจัดการเรื่องราวแบบนี้อย่างยิ่ง อีกอย่างการจัดกำลังพลใหม่ ย่อมหมายถึงการกวาดล้าง การกวาดล้างย่อมแปลว่าต้องมีการนองเลือด เธอฆ่าคนได้งั้นเหรอ?
“พี่ฉู่คะ ให้ฉันลองทำดูเถอะ” ถางโร้วไม่มีความคิดอื่นใด เธอแค่อยากจะช่วยฉู่ชวิ๋นแบ่งเบาภาระบ้างก็เท่านั้น
ฉู่ชวิ๋นนิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ก็ส่ายหน้าก่อนตอบไปว่า “เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
นี่คือการกวาดล้างคนและต้องมีการนองเลือด ฉู่ชวิ๋นรู้ดี เขาประเมินไว้แล้วว่าต้องมีคนตายจำนวนมาก เรื่องนี้ไม่เหมาะกับถางโร้วเลยแม้แต่น้อย
“พี่ฉู่ชวิ๋นแค่นี้ก็งานเยอะเกินไปแล้ว ให้ฉันช่วยพี่เถอะนะ” ถางโร้วพูดอย่างดื้อรั้น
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกลำบากใจขึ้นมา
“ฉู่ชวิ๋น ฉันว่าให้ถางโร้วลองทำดูก็ไม่มีอะไรเสียหายนะ” หยานหวูซวงพูด
ฉู่ชวิ๋นขมวดคิ้ว ขนาดเพิ่งเกือบตายมาหมาดๆ หยานหวูซวงก็ยังสามารถก่อกวนเขาได้อีกหรือนี่
“พี่ฉู่ โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มองไปทางไหนก็มีแต่การฆ่าฟันกันเต็มไปหมด นี่คือสิ่งที่ถางโร้วจำเป็นต้องเรียนรู้เอาไว้ เท่ากับนี่คือโอกาสที่ดีและเหมาะสมที่สุดแล้ว มันจะเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับเธอ พี่ปกป้องเธอไปตลอดชีวิตได้หรอกนะ” หยานหวูซวงกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“พี่ฉู่ ฉันไม่อยากหลบอยู่ข้างหลังพี่ตลอดเวลา ฉันอยากทำตัวเป็นโล่คุ้มกันภัย คอยกำบังลมฝนให้กับพี่บ้าง” ถางโร้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ฉู่ชวิ๋นส่ายศีรษะและโบกมือ “เรื่องนี้เดี๋ยวค่อยคุยกันทีหลังเถอะ”
ฮวาชิงหวู่ยังนอนอยู่ในโลงน้ำแข็ง เขาไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับคนรอบตัวมากไปกว่านี้อีกแล้ว
“พี่ฉู่ชวิ๋น ให้ฉันทำเถอะ ฉันต้องทำได้แน่” ถางโร้วพูดเสียงอ่อน แต่จากสีหน้าบอกชัดว่าเธอจะไม่ยอมแพ้
ฉู่ชวิ๋นหน้านิ่ว ไม่รู้จะบอกให้เธอยอมแพ้ยังไงดี
“นายท่านคะ ฉันมีข้อเสนอ” แม่หม้ายสาวพูดขึ้น
“ข้อเสนออะไร?” ฉู่ชวิ๋นถาม
“ฉันจะเป็นผู้ช่วยของคุณหนูถางโร้วเอง” แม่หม้ายสาวตอบ
ฉู่ชวิ๋นเลิกคิ้วขึ้นสูง “อย่าทำให้เรื่องวุ่นวาย!”
“นายท่านคะ ได้โปรดฟังผู้น้อยก่อน” แม่หม้ายสาวอธิบาย “นอกจากฉันแล้ว นายท่านก็คุณจิ่วโยวกลับมาช่วยเหลือคุณหนูถางโร้วจัดการเรื่องนี้ได้เหมือนกันนะคะ”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเปร่งประกาย จริงด้วยสิ เขาลืมจิ่วโยวไปได้ยังไง ถ้าเป็นยัยเด็กนั้นคงฆ่าคนได้ราวกับพักปลา ไม่ลำบากใจอะไรแน่ ๆ
เมื่อมองสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวังของถางโร้วแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็อดรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาไม่ได้
”ก็ได้ พวกเธอสามคนรับผิดชอบเรื่องการกวาดล้างครั้งนี้” ฉู่ชวิ๋นตัดสินใจมอบโอกาสให้ถางโร้วได้แสดงฝีมือ
“ขอบคุณมากค่ะ พี่ฉู่ชวิ๋น” ถางโร้วพูดอย่างมีความสุข
ฉู่ชวิ๋นได้แต่ถอนหายใจ ถ้าเป็นลมตอนเห็นคนโดนตัดหัว อย่ามาโทษฉันก็แล้วกัน ในใจฉู่ชวิ๋นก็คิดจะเตรียมเตียงกับยาดมให้ถางโร้ว ไว้ก่อนเลย
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ติดต่อเยวี่ยฟ๋านเตี๋ย
ระหว่างที่เขาไม่อยู่ ปราสาทจตุรเทพเผชิญกับภาวะผีดิบอาละวาดอย่างหนักหน่วง ส่วนจิ่วโยวกินผลไม้ทองคำเข้าไป ยังคงนั่งโคจรพลังอยู่ไม่ตื่นขึ้นมาซะที ครั้งนี้เขาเลยลองโทรไปใหม่
“ท่านอา” เยวี่ยหงโป๋เป็นคนรับสาย
ฉู่ชวิ๋นขนลุกเกรียวไปทั้งตัวเมื่อถูกเรียกแบบนั้น ก่อนสอบถามออกมา “พี่เยวี่ยเป็นยังไงบ้าง?”
“ท่านพ่อได้รับบาดเจ็บ” เยวี่ยหงโป๋ตอบรับเสียงแหบ
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากเชื่อ เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยเป็นถึงจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 และเกือบจะขึ้นเป็นขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ได้อยู่แล้ว ใครกันที่สามารถทำร้ายเขาบาดเจ็บได้?
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉู่ชวิ๋นรีบถาม
หลังจากฟังเรื่องราวที่เยวี่ยหงโป๋สรุปโดยย่อ ฉู่ชวิ๋นก็ตกตะลึงไปไม่น้อย ในระยะหลังฝูงผีดิบออกอาละวาดบ่อยครั้ง จำนวนของพวกมันเพิ่มมากขึ้น เยวี่ยฟ๋านเตี๋ยออกไปต่อสู้ไม่หยุดพัก ความเหนื่อยล้าและอาการบาดเจ็บจึงเก็บสะสมมาเรื่อยๆ
“แล้วจิ่วโยวเป็นยังไงบ้าง?” ฉู่ชวิ๋นเพิ่งจะถามออกไปเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงใส ๆ ของเด็กหญิงแทรกเข้ามาว่า “ฉู่ชวิ๋น เมื่อไหร่จะมารับฉันสักที? ฉันรอที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับ 7 ไม่ไหวแล้วเนี่ย”
ฉู่ชวิ๋นดวงตาเบิกกว้าง ตอนที่เขาเดินทางจากมาจิ่วโยวพลังอยู่ในระดับ 3 เท่านั้น การกินผลไม้ทองคำเข้าไปทำให้ทะลวงพลัง 3 ระดับรวดเลยงั้นเหรอ?
”ฉู่ชวิ๋น นายมีผลไม้ทองคำอีกไหม ฉันอยากกินอีก” จิ่วโยวตะโกนมาตามสาย
“ผลไม้ทองคำนั่นทำให้เธอเลื่อนระดับได้ 3 ระดับเลยเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นเริ่มขมวดคิ้วก่อนถามออกมา “แน่ใจนะว่าไม่มีผลกระทบอะไรต่อร่างกาย?”
“ไม่เห็นมี ฉันรู้สึกดีจะตาย” จิ่วโยวพูดอย่างมีความสุข
แต่ฉู่ชวิ๋นรู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ผลไม้ทองคำที่ทำให้จอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิเลื่อนระดับพลังได้ถึง 3 ระดับในครั้งเดียว นับว่าเป็นเรื่องที่ผิดธรรมชาติ และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ฉู่ชวิ๋นให้จิ่วโยวรีบเดินทางกลับมาทันที หลังจากวางสายแล้ว ฉู่ชวิ๋นก็ยังไม่วางใจ เขาตัดสินใจเดินทางไปหาจักรพรรดิอ๋าวฮวง ให้ชายชราตรวจสอบว่ายามีอะไรผิดปกติหรือไม่
ตอนอยู่ต่างโลก ฉู่ชวิ๋นก็เคยรับประทานยาแห่งสวรรค์เข้าไปและผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็ฝืนธรรมชาติแบบนี้เช่นกัน
ชายหนุ่มพูดคุยกับหยานหวูซวงอีกเล็กน้อยก่อนจะก็รีบเดินทางไปยังภูเขาหลงฉี
…
เมื่อเห็นฉู่ชวิ๋นเดินกระเผลกกลับมาอีกครั้ง จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็อดเย้าแหย่ไม่ได้ว่า “ทำไม? อยากกลับมาให้ข้าสั่งสอนอีกหรือไง”
ฉู่ชวิ๋นไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย รีบหยิบผลไม้ทองคำออกมายื่นส่งให้
“นี่มันผลไม้ทองคำใช่ไหม?” จักรพรรดิอ๋าวฮวงอุทานด้วยความประหลาดใจ “เจ้ามีของดีอยู่ในมือเยอะเหมือนกันนะ ข้าอยากจะปล้นเจ้าแล้วสิ”
“เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว ผลไม้ทองคำพวกนี้ไม่ชอบมาพากล หลังจากกินเข้าไปแล้วก็สามารถเลื่อนระดับพลังได้ถึง 3 ระดับในครั้งเดียว แถมเป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิด้วย” ที่ฉู่ชวิ๋นเป็นกังวลก็คือ การเลื่อนระดับแบบนี้ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ขั้นจักรพรรดิที่แข็งแกร่งสักแค่ไหน ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหลายปี
จักรพรรดิอ๋าวฮวงประหลาดใจไม่น้อย ก่อนที่จะเดินไปพลางและวิเคราะห์ผลไม้ทองคำในมือไปพลาง
ฉู่ชวิ๋นอาศัยจังหวะนี้เดินไปหาจิงหงและรีบตีสนิท เธอจดจำอะไรไม่ได้นัก จึงยากที่จะสนิทสนมเหมือนเก่าก่อน
หลังจากนั้นครึ่งค่อนวัน จักรพรรดิอ๋าวฮวงก็เดินมาตามหาตัวฉู่ชวิ๋น
“ดูนี่สิ” จักรพรรดิอ๋าวฮวงชี้มือไปที่ปลาคาร์ปตัวหนึ่งซึ่งอยู่ในบ่อตรงหน้า พูดต่อว่า “ข้าเพิ่งเอาผลไม้ทองคำให้มันกิน”
ฉู่ชวิ๋นมองตามนิ้วมือก็เห็นปลาคาร์ปตัวหนึ่งมีแสงสว่างเป็นประกายมากกว่าปลาคาร์ปตัวอื่น ลำตัวของมันเป็นสีทองสว่างเจิดจ้า โดดเด่นมากที่สุดในบ่อน้ำ แต่หลังจากที่สะบัดหางแหวกว่ายอยู่ได้เพียงไม่นาน ปลาคาร์ปตัวนั้นก็ไล่ชนปลาคาร์ปตัวอื่นตายไปหลายตัว
ปลาคาร์ปตัวนี้มีความแข็งแกร่งและดุร้ายมาก ไม่มีปลาคาร์ปตัวไหนในบ่อที่จะสู้กับมันได้เลย
แต่แล้วลำตัวของปลาคาร์ปก็เริ่มจางลดเรื่อย ๆ จนในที่สุดก็แสงสว่างก็จางหายไป ฉู่ชวิ๋นสังเกตเห็นว่าเกล็ดบนตัวปลาเริ่มหลุดลอกออกมา ก่อนที่มันจะลอยหงายท้องบนผิวน้ำ และสิ้นใจไปก่อนจะถูกน้ำพัดลอยเท้งเต้งอยู่ที่มุมบ่อ
“นี่มัน…” ฉู่ชวิ๋นถึงกับพูดติดอ่างเลยทีเดียว
“ผลไม้ทองคำแบบนี้ไม่เคยปรากฏมาหลายร้อยล้านปีแล้ว มันเป็นสิ่งที่มีอยู่ในยุคกำเนิดโลกช่วงแรกเท่านั้น” จักรพรรดิอ๋าวฮวงทอดสายตามองเจ้าปลาคาร์ปที่ลอยแน่นิ่งอยู่บนผิวน้ำ “มันช่วยเพิ่มพลังได้มากก็จริง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็อย่างที่เจ้าเห็น”
ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ “ในเมื่อมันมีสรรพคุณทำให้แข็งแกร่งขึ้นทันที ระดับพลังลมปราณในร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถ้าแบบนั้นมันก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่แสนแพง…มันต้องแลกมาด้วยชีวิตสินะ!”