จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 399 แพ้เดิมพัน
บทที่ 399 แพ้เดิมพัน
ลูกธนูพุ่งออกไป โค้งเป็นสายราวกับสายรุ้ง
เหลยเป้าอยู่ด้านหน้าสุด สองมือโคจรพลังลมปราณ ปล่อยพลังสายฟ้าพุ่งเข้าใส่ลูกศรสีขาวที่พุ่งเข้ามา
เปรี้ยง!
ลูกศรสีขาวพุ่งทะลวงพลังลมปราณสายฟ้าของเหลยเป้า เสียงหัวลูกศรพุ่งกระแทกหน้าอกของเขาดังสนั่นชัดเจน
เหลยเป้าส่งเสียงร้องโหยหวนในขณะที่ตัวลอยกระเด็นออกไป
เปรี้ยง!
มวลอากาศสั่นไหว ลูกศรสีขาวอีกดอกหนึ่งพุ่งกระแทกหน้าอกของหลงอ๋าว ทำให้ตัวคนลอยกระเด็น ส่งเสียงร้องโหยหวนน่าเวทนา
เหยียนชงเตรียมตัวอยู่นานแล้ว เนื่องจากเคยผ่านประสบการณ์มาก่อน ชายชราจึงพลิกฝ่ามือนำดาบและโล่ประจำกายออกมาใช้คุ้มกัน
เคล้ง!
ดาบตวัดตัดใส่ลูกศร ประกายไฟสาดกระจาย เสียงเนื้อเหล็กปะทะกันดังสนั่น เหยียนชงเซถอยหลัง…เป็นระยะหลายสิบก้าว พื้นดินรอบกายเกิดรอยแตกร้าว แขนของเขาสั่นอย่างควบคุมไม่ได้
เหลยเป้ากับหลงอ๋าวลุกขึ้นยืนลูบคลำหน้าอก กัดฟันกรอดด้วยความเจ็บปวด
“เฒ่าเหยียน ไหนบอกว่าไม่เจ็บไงเล่า” เหลยเป้าตวาดออกมาทันที
ในขณะนี้ ชายชราทั้งสองคนรู้ความจริงแล้วว่าก่อนหน้านี้เหยียนชงต้องทนข่มความเจ็บปวดเอาไว้ขนาดไหนเพื่อรักษาหน้าของตนเอง
เหยียนชงหัวเราะออกมาด้วยความกระดากอาย มีคนดูอยู่มากมายถึงเพียงนี้ เขายอมตายไม่ยอมเสียหน้าเด็ดขาด
“เอาสิวะ ชนะไม่ได้ก็ให้มันรู้ไป” เหลยเป้าพลิกฝ่ามือ แล้วกระบองก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา หลังจากโคจรพลังเข้าใส่ไม้กระบองแล้ว เสียงฟ้าร้องก็ดังครืนครัน เช่นเดียวกับลำแสงสายฟ้าฟาดที่พุ่งออกไปด้วยความรุนแรง
เหยียนชงโถมเข้าไปพร้อมกับมีดาบอยู่ในมือ
หลงอ๋าวโคจรพลังลมปราณใส่กระจกแปดเหลี่ยม เสียงมังกรคำรามลั่น ก่อนที่พลังลมปราณในรูปทรงมังกรตัวหนึ่งจะพุ่งเข้าไปหาหลงสือ
หลงสือยิงลูกศรโต้ตอบกลับมาสองดอกรวด
เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เหยียนชงกับเหลยเป้าร้องโหยหวนในขณะที่ตัวคนลอยกระเด็นกลับไปด้วยความงงงัน
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับพลังลมปราณรูปทรงมังกร หลงสือเลือกใช้วิธีตีลังกากระโดดหลบ พลังลมปราณรูปทรงมังกรตัวนั้นจึงพุ่งผ่านร่างของเขาไปอย่างเฉียดฉิว
โครม…!
พลังลมปราณรูปทรงมังกรระเบิดตัวตรงจุดที่หลงสือยืนอยู่เมื่อสักครู่นี้ พื้นดินสะเทือนเหมือนเกิดแผ่นดินไหว เกิดรอยแตกร้าวเห็นได้ชัดเจน แรงระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้พื้นดินกลายเป็นหลุมขนาดใหญ่
ชาวหมู่บ้านมังกรเงินกราบไหว้บูชามังกรมาหลายชั่วอายุคน หลงสือไม่มีทางกล้าทำร้ายมังกรเด็ดขาด นี่คือการแสดงความภักดีต่อท่านพญามังกรทองคำ ดังนั้น เขาจึงเลือกกระโดดหลบ
เมื่อเห็นดังนั้น หลงอ๋าวก็เข้าใจไปว่าหลงสือหวาดกลัวกระจกแปดเหลี่ยมในมือของเขา จึงทำให้จิตใจฮึกเหิม อยากจะโถมกลับเข้าไปอีกครั้ง
หลงสือดวงตาเป็นประกาย น้าวคันธนูยิงลูกศรออกไปด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า วินาทีต่อมาหลงอ๋าวก็ถูกลูกธนูยิงใส่ ตัวคนลอยกระเด็นออกไป กระจกแปดเหลี่ยมทองเหลืองกระเด็นหลุดออกจากมือ
“แค่ก ๆ ๆ…”
ชายชราทั้งสามคนยกมือกุมหน้าอก รู้สึกตื่นกลัว หายใจลำบาก และต้องไอออกมาถี่ ๆ
“นายยังไหวหรือเปล่า?” เหยียนชงหันมามองหน้าเหลยเป้า
เหลยเป้าหันไปมองหน้าหลงอ๋าวอีกทอดหนึ่ง “นายล่ะยังไหวหรือเปล่า?”
หลงอ๋าวกวาดสายตามองรอบกาย แล้วตอบว่า “ต้องไหวสิ คนดูเยอะขนาดนี้ ยอมแพ้ง่ายดายอับอายตายชัก”
“ฉันก็ว่างั้น สู้แค่แป๊บเดียวแพ้เสียแล้วมันน่าอายจะตาย”
“ฉันว่าเรามาคุยกันก่อนดีกว่าไหม ลูกธนูของเจ้าหมอนี่เป็นอาวุธที่ใช้โจมตีระยะไกล ถ้าเราเข้าไปประชิดตัวมันได้ มันก็ไม่มีปัญญาทำอะไรเราแล้ว”
“เฒ่าเหยียนพูดจามีเหตุผล เหลยเป้ามีร่างกายแข็งแรงกว่าพวกเราสองคน ให้เขาเป็นคนรับลูกธนูไปเถอะ ส่วนเราอีกสองคนใช้จังหวะนั้นบุกเข้าไปโจมตีหมอนั่นในระยะใกล้ รับรองว่ามันเสร็จเราแน่”
เหลยเป้าถลึงตาจ้องมองหลงอ๋าว “นี่คิดจะใช้ฉันเป็นเสื้อกันกระสุนหรือไง?”
“มันมีทางอื่นหรือเปล่าล่ะ?” เหยียนชงขึงตามองด้วยความไม่พอใจ
เหลยเป้าถึงจะไม่เต็มใจ แต่ก็คิดหาวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ออก พึมพำว่า “แน่ใจนะว่าพวกนายจะเข้าถึงตัวเจ้าหนุ่มนั่นได้ ฝีมือของมันดูไม่ธรรมดา”
“พวกเราทำได้แน่นอน นายก็เคยเห็น นักแม่นปืนยิงได้แต่จากระยะไกล ความสามารถในการต่อสู้ระยะประชิดตัวต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดไหน” หลงอ๋าวพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“งั้นตกลง!” เหลยเป้าตัดสินใจเด็ดขาด “ลงมือให้เร็วก็แล้วกัน ฉันคงทนรับไหวแค่ไม่กี่ดอก”
เหยียนชงหันไปพยักหน้ากับหลงอ๋าว
“สู้โว้ย…”
เหลยเป้าคำรามพร้อมกับควงคฑาพุ่งเข้าหาหลงสือ
“ไอ้หนู ยิงฉันเลยสิ!”
ในเวลาเดียวกันนี้ เหยียนชงกับหลงอ๋าวแยกย้ายกันโจมตีใส่หลงสือด้วยความเร็วปานสายฟ้า
“หลงสือ ไม่ต้องใช้ธนูแล้ว” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง
“ผู้น้อยรับคำบัญชา” หลงสือลดคันธนูในมือลง
พวกของเหยียนชงทั้งสามคนล้อมอยู่รอบกาย เมื่อเห็นอีกฝ่ายลดอาวุธในมือ ก็อดรู้สึกดีใจไม่ได้ นี่เท่ากับเปิดโอกาสให้พวกเขาโจมตีชัด ๆ
ชายชราทั้งสามคนนี้ดุร้ายกว่าเสือโคร่ง โคจรพลังลมปราณออกมาเต็มอัตรา ลำแสงสายฟ้าพุ่งเข้าใส่หลงสือเป็นจุดเดียว
เปรี้ยง!
แต่ในขณะที่พลังลมปราณของพวกเขาพุ่งเข้าหาหลงสือ หลงสือก็ปล่อยพลังลมปราณออกมาซัดใส่พวกเขาเช่นกัน
พลังลมปราณของชายชราทั้งสามคนเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ร่างของพวกเขาถูกกระแทกลอยกระเด็นไปคนละทิศละทาง
ทุกคนได้แต่เฝ้ามองด้วยความไม่อยากเชื่อ
กลุ่มลูกศิษย์ของวังมังกรเพลิงนิ่งอึ้งตะลึงงัน เหล่าอาจารย์ของพวกเขา…เป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรือนี่?
“มันอยู่ขั้นจักรพรรดิระดับ 8 นี่หว่า”
พวกของเหยียนชงทั้งสามคนได้แต่อุทานออกมาอยู่ในใจเมื่อหลงสือปล่อยพลังลมปราณออกมา ซึ่งทำให้พวกเขาได้รู้ในที่สุดว่าหลงสือมีพลังอยู่ในระดับไหน
ดังนั้น ชายชราทั้งสามคนจึงนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น แกล้งทำเป็นว่าตนเองตายแล้ว
“ลุกขึ้นมา” ฉู่ชวิ๋นเดินเข้ามากวาดตามองบริวารทั้งสามคนที่แกล้งตาย แล้วพูดว่า “พวกนายเป็นฝ่ายแพ้แล้ว”
ชายชราทั้งสามคนต้องจำใจลุกขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ สีหน้าของพวกเขาไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
“อายหรือเปล่าล่ะ?” ฉู่ชวิ๋นถลึงตาจ้องมอง “พวกนายสามคนรวมอายุกันก็ 600 กว่าปีเข้าไปแล้ว หลงสือเพิ่งจะอายุเท่าไหร่กันเชียว?”
“ถ้าฉันเป็นพวกนายนะ ฉันจะขุดรูมุดดินหนีไปแล้ว ถ้าพูดถึงเรื่องหญ้าจิตวิญญาณ โลกนี้คงไม่มีใครมีมันเยอะกว่าพวกนาย แต่ถ้าเป็นเรื่องของฝีมือด้านวรยุทธ์ พวกนายถือว่าใช้งานไม่ได้ แบบนี้น่าอายไหมล่ะ?”
“ถ้าพวกนายยังอยากแก้มือ เลือกคนใหม่มาต่อสู้อีกก็ได้”
เหยียนชงใบหน้าแดงก่ำด้วยความอับอาย ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาคน “นายท่านครับ ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ผมสำนึกผิดไม่ทัน”
เหลยเป้านำหญ้าจิตวิญญาณออกมาจากแหวนมิติ เมื่อเอามากองรวมกันอยู่ตรงหน้า ก็นับจำนวนได้หลายร้อยกำเลยทีเดียว
“ผมแพ้เดิมพันแล้ว” เหลยเป้ามองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยแววตาเคร่งเครียด “นายท่านครับ ผมต้องขอตัวก่อน พอดีต้องไปรีบนั่งฝึกวิชา”
พูดจบแล้ว เหลยเป้าก็วิ่งหนีไปไม่เหลียวหน้ามองกลับมาอีกเลย
“ฉันก็เหมือนกัน ไม่ว่าฝึกหนักแค่ไหนก็ยังเลื่อนระดับพลังไม่ได้สักที เห้อ” หลงอ๋าวส่งมอบหญ้าจิตวิญญาณของตัวเองออกมา หลังจากนั้นก็วิ่งหนีไป
เหยียนชงส่งมอบหญ้าจิตวิญญาณของตนเองเป็นคนสุดท้าย แล้วก็วิ่งหนีไปเช่นกัน
“ถ้าฉันเป็นพวกนายนะ ฉันจะไม่ออกมาให้ใครเจอหน้าอีกจนกว่าจะเลื่อนระดับเป็นจักรพรรดิขั้นที่ 8 ได้สำเร็จ ไม่งั้นฉันคงไม่มีหน้าไปมองใครได้อีกแล้ว” ฉู่ชวิ๋นตะโกนไล่หลังไปด้วยความเย้ยหยัน
พวกของเหยียนชงสับเท้าวิ่งเร็วมากขึ้นกว่าเดิม แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จะให้เลื่อนระดับเป็นจักรพรรดิขั้นที่ 8 อย่างนั้นหรือ เห็นทีพวกเขาคงได้แก่ตายก่อนเท่านั้นเอง
ฉู่ชวิ๋นมองชายชราทั้งสามคนวิ่งหนีไปจนลับสายตา ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมายาวแรง อันที่จริงแล้ว ถือว่าพวกเหยียนชงพัฒนาฝีมือได้เร็วขึ้นมาก เพียงระยะเวลาแค่ 1 หรือ 2 ปี พวกเขาก็สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาจากขั้นจักรพรรดิระดับต้นเป็นขั้นจักรพรรดิระดับ 4 ได้เรียบร้อยแล้ว
แต่ความเร็วในการเลื่อนระดับพลัง ยังไม่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก และถ้าไม่หาแรงจูงใจกระตุ้น ก็คงไม่ตั้งใจฝึกฝนกันเสียเท่าไหร่
ฉู่ชวิ๋นหันกลับมาจ้องมองบรรดาลูกศิษย์ของวังมังกรเพลิงที่รวมตัวกันอยู่ และพูดว่า “เอาละ แยกย้ายกันไปได้แล้ว เห็นแล้วใช่ไหมว่าอาจารย์ของพวกนายกำลังเก็บตัวฝึกวิชา ถ้าต้องการอะไร ให้ไปแจ้งเรื่องต่อจักรพรรดิยาแทน”
ฉู่ชวิ๋นมองกระต่ายหยกที่กำลังพาพวกของหลงอี้ไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่
ส่วนฉู่ชวิ๋นเดินทางมาเข้าพบหัวหน้าหมายเลข 1
ไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็เดินทางออกจากเมืองหลวงและเตรียมทำลูกกระสุนเวทมนตร์ให้แก่กองทัพ
หัวหน้าหมายเลข 1 รอคอยฉู่ชวิ๋นอยู่นานมากแล้ว เขามีความตื่นเต้นมากกว่าใครทุกคนเกี่ยวกับเรื่องผลิตกระสุนเวทมนตร์ ที่ใช้สำหรับต่อสู้กับบรรดาจอมยุทธในครั้งนี้
บ่ายวันนั้น จงเหรินก็เป็นคนพาฉู่ชวิ๋นมาที่สนามปืนใหญ่
ฉู่ชวิ๋นจัดการสร้างม่านพลังเขตแดน และถักทอเส้นไหมวิญญาณขึ้นมาเป็นค่ายกลสำหรับการผลิตลูกกระสุน
บรรดาลูกกระสุนที่ถูกส่งเข้าไปในม่านพลังจะได้รับการบรรจุเส้นไหมสีขาวเข้าไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่สะดวกสบายเป็นอย่างมาก
แต่ถึงมันจะง่ายดายขนาดนั้น ฉู่ชวิ๋นก็ยังคงต้องใช้เวลาถึงสามวันเต็ม กว่าจะตั้งค่ายกลผลิตกระสุนขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ลูกกระสุนที่ถูกผลิตขึ้นมาในครั้งนี้ มีอานุภาพสามารถกำราบผู้ที่มีพลังต่ำกว่าขั้นจักรพรรดิระดับ 5 ได้อย่างราบคาบ
ตอนแรก ฉู่ชวิ๋นตั้งใจจะทำแผ่นหยกป้องกันให้ด้วยเช่นกัน ติดอยู่ที่ตอนนี้เขาไม่มีแผ่นหยกโบราณอยู่กับตัว และแผ่นหยกโบราณเป็นสิ่งที่ไม่อาจสร้างได้จากพลังลมปราณ เพราะฉะนั้น เรื่องของแผ่นหยกป้องกันจึงต้องพักเอาไว้ก่อน
เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว หัวหน้าหมายเลข 1 ก็เป็นคนตั้งชื่อให้แก่กระสุนเหล่านี้ว่า กระสุนเส้นไหมปลิดวิญญาณ
บรรดาลูกกระสุนที่ถูกผลิตทั้งวันทั้งคืน จะถูกแจกจ่ายให้แก่หน่วยทหารที่ประจำการอยู่ทั่วประเทศโดยเร็วที่สุด
ฉู่ชวิ๋นปฏิเสธการเลี้ยงอาหารค่ำจากหัวหน้าหมายเลข 1 ว่ากันตามความจริง หัวหน้าหมายเลข 1 เป็นคนขี้เหนียวมาแต่ไหนแต่ไร ครั้งสุดท้ายที่ฉู่ชวิ๋นตอบรับคำเชิญไปทานมื้อค่ำด้วย ฉู่ชวิ๋นก็ได้พบว่าบนโต๊ะอาหารมีแต่เพียงผักไม่กี่ชนิดกับขนมปังอีกสองก้อนเท่านั้นเอง
……
……
ฉู่ชวิ๋นกลับมาถึงวังมังกรเพลิงและได้พบกับพวกของหลงอี้ในรูปโฉมใหม่
ในขณะนี้ หลงอี้และนักรบมังกรเงินสวมใส่ชุดเกราะอ่อนสีสันสดใส ดูสะอาดตาและมีสง่าราศี
“เป็นไงคะ?” กระต่ายหยกถามด้วยน้ำเสียงภูมิใจในตัวเอง
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความชอบใจ ก่อนที่จะเอื้อมมือออกไปขยี้หัวกระต่ายหยก “เยี่ยมมาก เยี่ยมที่สุดเลย นี่แหละชุดที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นเรียกตัวจักรพรรดิยามาเข้าพบและมอบหน้าที่ดูแลวังมังกรเพลิงให้ตกเป็นของจักรพรรดิยาเป็นการชั่วคราว
“นายท่านจะเดินทางออกจากเมืองหลวงหรือครับ?” จักรพรรดิยาไต่ถาม
ฉู่ชวิ๋นผงกศีรษะ “สำนักเทียนหวู่ก็มีฐานะเป็นสาขาหนึ่งของตระกูลฉู่เหมือนกัน ตอนนี้สำนักเทียนหวู่ถูกทำลายและอู๋ปู้ซือก็หายตัวไป ฉันยังไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
รุ่งเช้าวันต่อมา
ฉู่ชวิ๋นเดินทางออกจากวังมังกรเพลิงพร้อมด้วยพวกของหลงอี้ โดยมีจุดหมายอยู่ที่ภูเขาหวูจินในเมืองผิงซุน
ตอนบ่าย ฉู่ชวิ๋นและคณะก็มาถึงเมืองผิงซุนแล้ว
ฉู่ชวิ๋นจำได้ดีว่าเขาเคยพบเจอจิงหงก็ตอนที่อยู่ในเมืองผิงซุนนี่เอง
พวกเขาไม่ได้หยุดพัก แต่รีบเดินทางตรงไปที่ภูเขาหวูจินทันที
ในขณะนี้ ภูเขาหวูจินเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย สำนักเทียนหวู่ถึงคราวล่มสลาย บนพื้นมีแต่รอยคราบเลือดสีแดงแห้งเกรอะกรัง แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้อันดุเดือดซึ่งเคยอุบัติขึ้นที่นี่
สำนักเทียนหวู่ถูกทำลายและอู๋ปู้ซือหายตัวไป ฉู่ชวิ๋นไม่รู้เลยว่าควรเริ่มสืบหาจากตรงไหน เขาไม่มีเบาะแสอยู่ในมือเลยแม้แต่น้อย
ฉู่ชวิ๋นออกค้นหาทั่วภูเขาหวูจินด้วยความระมัดระวัง แต่ก็ไม่พบอะไรเลย ดูเหมือนว่าจะมีคนเก็บกวาดหลักฐานที่นี่เป็นอย่างดี
“ไม่เหลือเบาะแสอยู่เลยจริง ๆ แฮะ” ฉู่ชวิ๋นมีแววตาเย็นเยียบ
เย็นวันนั้น ฉู่ชวิ๋นกลับเข้าไปที่ตัวเมืองผิงซุนพร้อมด้วยพวกของหลงอี้และเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง
ฉู่ชวิ๋นสั่งให้พวกเขาไปรวมตัวกันอยู่ที่ร้านอาหารในโรงแรม
แล้วชายหนุ่มก็รู้สึกเศร้าใจที่ไม่ได้พาเหยียนชงมาด้วย หน่วยรบมังกรเงินของเขาไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น ฉู่ชวิ๋นจึงมีสภาพเป็นเหมือนคนรับใช้ของพวกมันไปโดยปริยาย
ขณะนี้ แม้แต่การสั่งอาหารก็ต้องเป็นหน้าที่ของเขาแล้ว
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็นึกเสียใจที่สั่งสเต็กมาเป็นอาหาร เนื่องจากเมื่อสั่งมาแล้วก็ต้องสอนวิธีใช้มีดกับส้อมให้พวกของหลงอี้รับประทานอาหารอีก
โชคดีที่หน่วยรบมังกรเงินมีความฉลาดเฉลียวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องราวใดก็สามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
“พี่โจว ได้ยินมาว่าคืนที่สำนักเทียนหวู่ถูกทำลายเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว พี่อยู่ที่นั่นด้วยจริงหรือเปล่า?”
ในขณะนั้นเอง จอมยุทธ์กลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะข้างเคียงก็เริ่มพูดคุยกัน ดึงดูดความสนใจของฉู่ชวิ๋นโดยไม่รู้ตัว
ฉู่ชวิ๋นชำเลืองมองไปที่อีกฝ่ายหนึ่ง พบว่าพวกมันเป็นจอมยุทธ์ 4 คน มีพลังฝีมือไม่ใช่แย่ ทุกคนอยู่ในขั้นจักรพรรดิทั้งสิ้น
“ถูกต้อง ตอนนั้นฉันขึ้นเขาไปล่าเสืออยู่พอดี”
หลังจากรอให้ผู้เป็นสหายถามมานานแล้ว คนแซ่โจวก็เริ่มพูดน้ำไหลไฟดับ
“จะบอกให้นะ สิ่งที่ฉันเห็นก็คือมีกลุ่มคนใส่เสื้อคลุมสีดำบุกขึ้นไปบนภูเขาหวู่จิน แล้วก็ฆ่าทุกคนที่ขวางหน้า”
“เป็นฝีมือใครกันนะ? ฉันได้ยินมาว่าไม่มีคนของสำนักเทียนหวู่รอดชีวิตมาได้เลยแม้แต่คนเดียว”
“คงมีแต่ผีสางเท่านั้นที่รู้ว่าเป็นใคร แต่ตอนนี้สำนักเทียนหวู่เป็นเพียงแค่สำนักเล็ก ๆ พวกที่มาถล่มคงไม่ใช่ผู้มีฝีมือสูงส่งสักเท่าไหร่ หัวหน้าของพวกมันอยู่ในขั้นจักรพรรดิระดับ 4 เท่านั้นเอง”
“ชู่ว์ เบา ๆ หน่อยสิ พี่โจว พูดออกมาได้ไงว่าสำนักเทียนหวู่เป็นเพียงแค่สำนักเล็ก ๆ พี่รู้หรือเปล่าว่าใครหนุนหลังสำนักนี้อยู่?”
“จริงด้วยสินะ ฉันเกือบลืมไปเลย สำนักเทียนหวู่เป็นสาขาย่อยของตระกูลฉู่ ตอนนี้จอมมารฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว ฉันว่าเดี๋ยวเขาก็คงต้องมาสืบหาเบาะแสที่ภูเขาหวูจินแน่ ๆ เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยนะ ถ้าจอมมารรู้เข้าว่าฉันเป็นผู้เห็นเหตุการณ์เดี๋ยวก็ซวยกันพอดี ยิ่งได้ข่าวว่าเขาเป็นพวกฆ่าก่อนถามทีหลัง ถ้าเกิดฉันตอบคำถามไม่ถูกใจเขาขึ้นมา มีหวังชีวิตน้อย ๆ ของฉันคงได้จบเห่แน่”
จากนั้น พวกมันก็เลิกพูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนภูเขาหวูจินและเปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องอื่นกันทันที