จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 400 เบาะแส
บทที่ 400 เบาะแส
สำนักเทียนหวู่ถูกทำลาย หวู่ปู้ซือหายตัวไป ฉู่ชวิ๋นไม่มีเบาะแส แต่เขาได้ยินบทสนทนาจากโต๊ะข้าง ๆ โดยบังเอิญ ชายหนุ่มจึงอดครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ไม่ได้ บางคนก็จำเป็นต้องใช้ยาแรง ถึงจะยอมบอกอะไรออกมา
“หลงอี้ ไปชวนเพื่อนของเรามานั่งที่โต๊ะนี้หน่อยสิ” ฉู่ชวิ๋นออกคำสั่ง
หลงอี้ลุกขึ้นแล้วเดินไปปฏิบัติตามคำสั่ง แต่วิธีเชิญชวนของมันนั้นค่อนข้างสุภาพแหวกแนว ซึ่งก็คือการกระชากคอเสื้อของอีกฝ่ายหนึ่งแล้วชักมีดออกมาจ่อที่ลำคอ ก่อนจะลากตัวมาหน้าตาเฉย
“แกจะทำอะไร?” จอมยุทธ์ที่เหลืออีกสามคนของโต๊ะนั้นลุกขึ้นยืนด้วยความเดือดดาล
ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ หลงอี้ระเบิดพลังลมปราณออกจากร่างกาย บรรดาจอมยุทธ์ฝ่ายตรงข้ามต้องเซถอยหลังไปทันที
จอมยุทธ์ทั้งสามคนรู้แล้วว่าหลงอี้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 และพวกมันไม่ใช่คนที่จะต่อสู้ด้วยได้เลย จอมยุทธ์กลุ่มนี้มองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าพวกของตนเองไปทำให้ผู้มากฝีมือคนนี้ผิดใจตั้งแต่เมื่อไหร่นะ?
“พี่ชาย เราไม่เคยรู้จักกัน ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อนเลยนะ” หนึ่งในจอมยุทธ์รวบรวมความกล้าพูดออกมา
“หลงอี้ ปล่อยคน” ฉู่ชวิ๋นอดยิ้มออกมาไม่ได้ เขาลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไปหาด้วยความพอใจ หลงอี้คนนี้เชื่อฟังเขาเป็นอย่างดี
หลงอี้ปล่อยตัวคนแซ่โจว และเดินกลับมายืนอยู่ด้านหลังฉู่ชวิ๋น
จอมยุทธ์ฝ่ายตรงข้ามตกตะลึงไปแล้ว ผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ยังต้องเป็นลูกน้องคนอื่นอีกหรือ? แล้วชายหนุ่มผู้นี้ต้องมีความแข็งแกร่งระดับไหนกัน?
พวกมันพากันคาดเดาตัวตนของฉู่ชวิ๋นด้วยความหวาดหวั่น แต่ถึงอย่างนั้น จอมยุทธ์ทั้งสี่คนนี้ก็ยังจำไม่ได้อยู่ดีว่าไปมีเรื่องกับกลุ่มของฉู่ชวิ๋นตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ฉันต้องขออภัยทุกท่านเป็นอย่างสูง ลูกน้องของฉันเข้าใจผิดไปหน่อย” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ไม่ต้องห่วง ฉันแค่มีเรื่องอยากถามพวกพี่ชายเล็กน้อยเท่านั้น”
จอมยุทธ์ทั้งสี่คนหันมองหน้ากันและถอนหายใจออกมาพร้อมกันด้วยความโล่งอก
“น้องชายอยากรู้เรื่องอะไรล่ะ” ถึงแม้ว่าฉู่ชวิ๋นจะพูดด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน แต่พวกมันก็ไม่กล้าทำตัวแข็งกระด้างเข้าใส่ เนื่องจากยังมีบรรดาคนที่แต่งตัวเหมือนชายหนุ่มผู้มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 ยืนอยู่ที่โต๊ะอาหารซึ่งห่างออกไปไม่ไกล กำลังใช้สายตาจับจ้องมาที่พวกมันเขม็ง
“เชิญพี่ชายทั้งสี่มาคุยกันที่โต๊ะของฉันดีกว่า” ฉู่ชวิ๋นเชิญฝ่ายตรงข้ามมาที่โต๊ะของตนเอง
จอมยุทธ์สี่คนนั้นไม่กล้าพูดอะไรออกมา ได้แต่เดินตามฉู่ชวิ๋นไปอย่างว่าง่าย
“เชิญนั่งลงก่อน”
จอมยุทธ์ทั้งสี่คนนั่งลงอย่างสุภาพเรียบร้อย ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง
ฉู่ชวิ๋นมองจอมยุทธ์แซ่โจวและพูดว่า “เมื่อสักครู่นี้ฉันได้ยินพี่ชายพูดถึงเหตุการณ์บนภูเขาหวูจิน ฉันอยากจะรู้ว่าคืนนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
จอมยุทธ์ทั้งสี่คนหันมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว แล้วสิ่งที่พวกมันหวาดกลัวก็เกิดขึ้น งานนี้ถ้าพูดจาไม่ดี ปลาหมออาจจะต้องตายเพราะปากก็เป็นไปได้
คนแซ่โจวทราบดีถึงสถานการณ์นี้ ดังนั้น มันไม่ควรพูดอะไรโดยไม่จำเป็น
“คืนนั้นฉันเข้าป่าไปล่าเสือแถวภูเขาหวูจิน ก็บังเอิญได้พบเห็นกลุ่มคนแต่งตัวชุดดำขึ้นเขาไปฆ่าคนอย่างอำมหิตยิ่งนัก”
“พี่ชายทราบไหมว่าพวกมันมาจากสำนักใด?” ฉู่ชวิ๋นถาม
คนแซ่โจวส่ายศีรษะ “พวกมันใส่เสื้อคลุมสีดำปิดบังหน้าตา ไม่สามารถระบุตัวตนได้เลย”
“พี่ชายพบเห็นเจ้าสำนักเทียนหวู่บ้างหรือไม่? หวู่ปู้ซือหายตัวไปไหน?”
“เจ้าสำนักเทียนหวู่บาดเจ็บสาหัสและถูกคนชุดดำกลุ่มนั้นพาตัวกลับไปด้วย” คนแซ่โจวตอบ
“พี่ชายแน่ใจนะ?” ฉู่ชวิ๋นอดรู้สึกโล่งอกขึ้นมาไม่ได้ อย่างน้อยชายชราก็ยังคงมีชีวิตอยู่
“ฉันเห็นมากับตา แล้วฉันก็รู้จักท่านเจ้าสำนักหวู่ รับรองว่าไม่ผิดคนแน่”
“มีลูกศิษย์คนไหนของสำนักเทียนหวู่รอดชีวิตบ้างไหม?”
“ทุกคนถูกฆ่าตายหมด ไม่เหลือรอดเลยสักคนเดียว”
“แล้วนอกจากเรื่องพวกนี้ พี่ชายรู้อะไรอีกบ้าง?”
คนแซ่โจวก้มหน้าลงนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ใหญ่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมากล่าวว่า “ฉันได้ยินมากับหูว่าที่พวกมันทำแบบนี้ ก็เพื่อจับตัวเจ้าสำนักหวู่ไว้เป็นข้อต่อรองกับ…จอมมารฉู่ชวิ๋น”
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเป็นประกายเย็นชา รังสีฆ่าฟันแผ่ออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ขอบคุณมากครับ!” ฉู่ชวิ๋นรีบพูดกลบเกลื่อนอาการของตัวเอง “เดี๋ยววันนี้ฉันขอเลี้ยงอาหารค่ำพวกพี่ชายหน่อยก็แล้วกัน”
จอมยุทธ์ทั้งสี่คนทำได้แต่เพียงหัวเราะและขอบคุณ ก็จะให้พวกมันพูดอะไรได้อีกล่ะ? เพียงแค่ฝ่ายตรงข้ามโคจรพลังลมปราณเฉย ๆ พวกมันก็แทบตกเก้าอี้แล้ว
คนแซ่โจวมองหน้าฉู่ชวิ๋น แววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ก่อนที่มันจะเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “แล้วน้องชายเป็นอะไรกับสำนักเทียนหวู่หรือ?”
“พี่ชายจะอยากรู้ไปทำไม?” ฉู่ชวิ๋นหันกลับมามองหน้า
คนแซ่โจวกระซิบเบา ๆ “ถ้าน้องชายมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสำนักเทียนหวู่ ฉันก็มีเบาะแสสำคัญอีกหนึ่งอย่างที่จะบอกให้รู้”
ฉู่ชวิ๋นรีบพูดออกมาทันที “ฉันคือฉู่ชวิ๋น เชิญบอกมาได้เลย”
โครม!
คนแซ่โจวสะดุ้งโหยงด้วยความตกตะลึงจนหงายหลังร่วงหล่นไปจากเก้าอี้
พวกของมันอีกสามคนก็ลุกพรวดขึ้นยืน ก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว ชนเก้าอี้ล้มระเนระนาด ทุกสายตาจ้องมองมาที่ฉู่ชวิ๋นด้วยความหวาดกลัว
ชายหนุ่มคนนี้ก็คือฉู่ชวิ๋น จอมมารฉู่ชวิ๋นผู้โด่งดังคนนั้น นามที่เลื่องลือระบือไกลไปทั่วโลก
พวกของหลงอี้หันมองหน้ากัน พวกมันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมฝ่ายตรงข้ามต้องตกใจถึงขนาดนี้เมื่อได้ยินชื่อของฉู่ชวิ๋น? พวกมันยังคงไม่รู้อีกด้วยซ้ำว่าฉายาของฉู่ชวิ๋นแปลว่าอะไร?
ความตกใจของพวกมันในครั้งนี้ ดึงดูดความสนใจจากแขกคนอื่น ๆ ที่อยู่ในร้านอาหารให้หันมามอง
“ไอ้พวกอันธพาลข้างถนน คิดว่าจะมาตีกันที่นี่ได้หรือไง เดี๋ยวฉันก็จับโยนออกไปทั้งฝูงเลยนี่” จอมยุทธ์ที่นั่งอยู่โต๊ะมุมร้านซึ่งมีอาการมึนเมาเล็กน้อย ยกมือชี้หน้าด่าทอฉู่ชวิ๋นด้วยความโมโห
ผลที่ได้ก็คือ ยังไม่ทันที่มันจะพูดจบประโยค คนแซ่โจวก็รีบลุกขึ้นจากพื้น ทำตัวลนลานเหมือนเด็กถูกผู้ใหญ่จับได้ว่ากระทำความผิด มันละล่ำละลักด้วยความตื่นกลัวว่า “ที่แท้ก็เป็นนายท่านฉู่ชวิ๋น จอมมารฉู่ชวิ๋น”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อยและตอบว่า “ฉันเอง”
จอมยุทธ์ที่เมามายเล็กน้อยซึ่งเพิ่งจะชี้หน้าด่าทอเขาอยู่เมื่อสักครู่นี้สร่างเมาโดยทันที ส่วนคนที่นั่งร่วมโต๊ะกับมันก็มีใบหน้าซีดขาวกันหมดแล้ว
“นะ นะ นายท่านฉู่ชวิ๋น...ผู้น้อยขออภัย ผู้น้อยปากไม่ดี ผู้น้อยผิดไปแล้ว” จอมยุทธ์ผู้เมามายเล็กน้อยรีบลุกขึ้นยืนตบปากตัวเองอย่างรุนแรง มันรู้สึกหวาดกลัวเหมือนวิญญาณจะหลุดออกจากร่าง เพียงไม่นานริมฝีปากของมันก็บวมเจ่อขึ้นมาแล้ว
คนผู้นี้คงหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ในขณะนี้มันไม่กล้าสบตามองผู้ใด ไม่กล้าเอ่ยปากด่าทอคนอีกแล้ว
จอมมารฉู่ชวิ๋น
ชื่อนี้เป็นเหมือนคำสาปร้าย ปรากฏที่ไหนต้องมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นที่นั่น
บรรดาแขกที่อยู่ในร้านลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ทุกคนพร้อมใจกันเดินไปที่ประตูร้าน ไม่มีใครอยากจะนั่งอยู่ในร้านร่วมกับจอมมารผู้โหดร้ายคนนี้เลยสักคน
จอมยุทธ์ที่ตบปากตัวเองจนปากเจ่อ ได้แต่ยืนมองเพื่อนร่วมโต๊ะเดินหนีออกไปจากร้าน ตัวมันเองก็อยากจะหนีไปเช่นกัน แต่ไม่มีความกล้ามากพอ
พวกของหลงอี้ประหลาดใจมาก ขณะนี้พวกมันเข้าใจได้อย่างหนึ่งแล้วว่า ชื่อของฉู่ชวิ๋นมีความพิเศษไม่ธรรมดา
“นายท่านอยากให้จัดการเลยไหมครับ?” หลงอี้ถาม
ฉู่ชวิ๋นส่ายหน้า “ปล่อยเขาไปเถอะ”
“ไสหัวไปซะ” หลงอี้คำราม
“ขอบคุณครับนายท่านฉู่ชวิ๋น ขอบคุณ ขอบคุณ…” คนผู้นั้นไม่กล้าเช็ดเลือดออกจากปากตัวเองด้วยซ้ำตอนที่วิ่งหนีไป
ฉู่ชวิ๋นหันกลับมามองหน้าคนแซ่โจวและขอให้อีกฝ่ายนั่งลง
จอมยุทธทั้งสี่คนกลับมานั่งลงอีกครั้งด้วยตัวที่สั่นเทา
“เรียนนายท่านฉู่ชวิ๋น ผมรู้ว่าใครคือคนที่ทำลายสำนักเทียนหวู่” คนแซ่โจวรีบพูดออกมาอย่างร้อนรน
ฉู่ชวิ๋นถามอย่างร้อนใจ “มันเป็นใคร?”
“ผมได้ยินพวกมันคุยกันว่ามาจากประตูวิญญาณสลายครับ” คนแซ่โจวพูดด้วยความละอายใจ “ก่อนหน้านี้ต้องขออภัยที่ผมปิดบังความจริง เนื่องจากผมไม่อยากมีเรื่องกับพวกประตูวิญญาณสลาย จึงพูดเรื่องนี้ออกมาไม่ได้”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าเล็กน้อย สีหน้าของเขาบอกว่าเข้าใจดี
ประตูวิญญาณสลายเป็นสำนักสายมืดในยุทธภพ ฆ่าคนเหมือนผักปลา ไม่ว่าเป็นใครหน้าไหน ก็ล้วนแต่ไม่อยากไปข้องเกี่ยวกับประตูวิญญาณสลายทั้งสิ้น
ความจริงแล้ว ก่อนหน้านี้ที่คนแซ่โจวพูดว่ากลุ่มคนที่บุกไปทำร้ายสำนักเทียนหวู่สวมใส่เสื้อคลุมสีดำ ฉู่ชวิ๋นก็คิดเอาไว้แล้วว่าต้องเป็นประตูวิญญาณสลายแน่ ๆ เพียงแต่เขายังไม่มั่นใจเท่านั้น
“ขอบใจ!” ฉู่ชวิ๋นโบกมือ แล้วหญ้าจิตวิญญาณหลายสิบกำก็มาปรากฏอยู่บนโต๊ะอาหาร เขามองหน้าคนแซ่โจวอีกครั้ง “นายทำได้ดีมาก”
“ไม่เป็นไรหรอกครับนายท่าน ของพวกนี้เราไม่กล้ารับเอาไว้หรอก” คนแซ่โจวโบกไม้โบกมือปฏิเสธ
“ฉันจะวางทิ้งไว้ตรงนี้ จะเอาไม่เอาก็แล้วแต่พวกนาย” ฉู่ชวิ๋นพยักหน้าให้พรรคพวก ก่อนที่จะเดินนำพวกของหลงอี้ออกไปจากร้านอาหาร
ขณะนี้ ในร้านอาหารจึงหลงเหลืออยู่แต่เพียงพวกของคนแซ่โจวสี่คนเท่านั้น
หนึ่งในกลุ่มคนยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก กระซิบออกมาว่า “แม่จ๋า กลัวแทบตายแน่ะ ขนาดเจอสัตว์ที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 6 ฉันยังไม่กลัวขนาดนี้เลย”
“เหลวไหล สัตว์ที่มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 6 อะไรกันเล่า? ต่อให้เป็นคนขั้นจักรพรรดิระดับ 8 หรือ 9 ก็เอามาเทียบกับนายท่านฉู่ชวิ๋นได้หรือไง? แค่ลูกน้องของเขาก็มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 9 เข้าไปแล้ว”
“มาคิดกันก่อนดีกว่า ว่าเราจะทำยังไงกับหญ้าจิตวิญญาณพวกนี้ดี?” หนึ่งในกลุ่มคนถามขึ้น
“นี่คือของรางวัลจากนายท่านฉู่ชวิ๋น ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับพวกเรา เอามาแบ่งกันเถอะ” คนแซ่โจวออกความเห็น
ไม่ใช่จอมยุทธ์ทุกคนที่จะมีหญ้าจิตวิญญาณอยู่เหลือเฟือเหมือนฉู่ชวิ๋น ดังนั้นจอมยุทธ์กลุ่มนี้จึงมีความสนใจในหญ้าจิตวิญญาณเป็นอย่างมาก
สุดท้ายแล้ว พวกมันทั้งสี่คนก็แบ่งหญ้าจิตวิญญาณออกเป็นสี่ส่วนเท่า ๆ กัน
“ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าในชีวิตนี้ ฉันจะได้มีวาสนานั่งร่วมโต๊ะกับนายท่านฉู่ชวิ๋น ถ้าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟัง คงไม่มีใครเชื่อแน่ ๆ”
“จริงด้วย นายท่านฉู่ชวิ๋นเป็นคนเชิญเรามาทานอาหารค่ำ แถมยังมอบหญ้าจิตวิญญาณให้เราด้วย เรื่องนี้อย่าว่าแต่จะเป็นความจริง ขนาดฝันฉันยังไม่กล้าฝันถึงเลย”
“นายท่านฉู่ชวิ๋นไม่เห็นจะเป็นคนโหดร้ายใจดำอำมหิตสักหน่อย”
“เขาจะโหดร้ายกับพวกศัตรูไงล่ะ เราไม่มีเรื่องบาดหมางกับนายท่านฉู่ชวิ๋น ไม่มีเหตุผลที่เขาจะมาทำร้ายเราอยู่แล้ว”
“ทุกคน ฉันตัดสินใจแล้ว” คนแซ่โจวลุกขึ้นยืน ในดวงตาเต็มไปด้วยประกายมุ่งมั่น “ฉันจะขอสมัครเข้าเป็นคนของตระกูลฉู่”
เพื่อนของมันทั้งสามคนเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง ก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ฉันเอาด้วย ฉันไม่มีอะไรให้ต้องเป็นห่วง ขอติดตามนายท่านฉู่ชวิ๋นไปปราบเหล่าร้ายดีกว่า นี่สิถึงจะเรียกว่าการใช้ชีวิตให้คุ้มค่า”
“ฉันไปด้วย”
“ฉันก็เอาด้วยคน”
คนแซ่โจวระเบิดเสียงหัวเราะและพูดว่า “ตกลง พวกเราสมัครเข้าตระกูลฉู่กันทั้งหมดนี่แหละ”
“ตอนนี้นายท่านฉู่ชวิ๋นคงยังไปไม่ถึงไหน เราออกไปตามหาเขากันเถอะ”
คนทั้งสี่รีบออกมาจากร้านอาหาร แต่โชคร้ายที่พวกของฉู่ชวิ๋นไม่ได้กลับขึ้นห้องพัก หลังออกมาจากร้านอาหารแล้ว เขาก็นำพวกหลงอี้ออกไปจากโรงแรมทันที
“ทีนี้จะเอาไงต่อไปดีล่ะ?”
“ไปที่เมืองกู่เจียงกันดีกว่า ฉันได้ยินมาว่าสำนักภูผาทมิฬก็เป็นสาขาหนึ่งของตระกูลฉู่เหมือนกัน”
เพื่อนของเขาทั้งสามคนพยักหน้าตกลง
……
……
ถึงจะเป็นยามราตรีแล้ว แต่ฉู่ชวิ๋นก็นำพวกของหลงอี้เตรียมตัวเดินทางไปที่หุบเขาแห่งความเงียบในเมืองฉิงเฉิงอย่างไม่รอช้า
ครั้งล่าสุดตอนอยู่ในเมืองกู่เจียง มีคนของประตูวิญญาณสลายถูกฆ่าตาย และจากปากคำของเปาเทียนเซียน พวกเขาจึงรู้ว่าประตูวิญญาณสลายมีที่ตั้งอยู่ในหุบเขาแห่งความเงียบ ณ เมืองฉิงเฉิง
ฉิงเฉิงอยู่ห่างไกลจากเมืองผิงซุนไม่ใช่น้อย ความห่างไกลระหว่างสองเมืองนี้ ต่อให้นั่งเครื่องบินก็ต้องใช้เวลาเดินทางนานเป็นวัน
ตอนนี้ดึกแล้ว นับจากที่เกิดความเปลี่ยนแปลงของโลก การบินเครื่องบินตอนกลางคืนไม่ปลอดภัยอีกต่อไป จึงไม่มีสายการบินใดให้บริการตอนกลางคืนอีกแล้ว
ฉู่ชวิ๋นไม่มีทางเลือกนอกจากใช้วิชาตัวเบาเดินทางไปกันเอง คราวนี้ไม่ว่าอย่างไร เขาก็จะต้องถอนรากถอนโคนประตูวิญญาณสลายให้จงได้
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นประตูบาร์พลันเปิดออก ตัวคนลอยกระเด็นออกมาตกอยู่ตรงหน้าพวกของฉู่ชวิ๋นที่กำลังจะเดินผ่านไปพอดี
คนที่ลอยออกมาเป็นชายวัยกลางคน มีพลังขั้นจักรพรรดิระดับ 6 บัดนี้มีเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก เขาตะกายลุกขึ้นยืนจ้องมองชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งที่เดินออกมาจากบาร์
“ไอ้พวกนกยูงผี พวกแกจะทำตัวอวดดีที่ไหนก็ได้ แต่ที่นี่คือเมืองผิงซุน ไม่ใช่ถิ่นของพวกแกสักหน่อย” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยความโกรธแค้น
กลุ่มชายหนุ่มที่เดินออกมาจากบาร์เหล้าแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ตัดเย็บอย่างปราณีต หน้าตาของพวกมันแต่ละคนหล่อเหลาเอาการ
หัวหน้ากลุ่มเป็นชายหนุ่มสีหน้าเฉยชา ในมือข้างหนึ่งถือแก้วไวน์แดง มันจ้องมองชายวัยกลางคนด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนหัวเราะเยาะว่า “ถ้าเป็นความต้องการของเผ่าพันธุ์นกยูงปีศาจ ไม่ว่าเป็นที่ไหน ที่นั่นก็สามารถกลายเป็นอาณาเขตของพวกเราได้เสมอ”
ในขณะนั้นเอง หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่งก็วิ่งออกมาจากบาร์เหล้าด้วยใบหน้านองน้ำตา ชุดกระโปรงสีขาวของเธอเปรอะเปื้อนด้วยไวน์แดงที่ดูเหมือนจะถูกเทราดใส่
“พี่เฟย เป็นอะไรหรือเปล่าคะ?” หญิงสาวกำลังจะวิ่งเข้าไปหาชายวัยกลางคนพร้อมกับร้องไห้
แต่ในขณะที่เธอกำลังวิ่งผ่านกลุ่มชายหนุ่มนกยูงปีศาจ พวกมันคนนึงก็ได้คว้าจับแขนของเธอเอาไว้
หญิงสาวคนนี้เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา ไม่อาจสู้แรงคนจากเผ่าพันธุ์นกยูงปีศาจได้เลย