จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 420 มึนงง
บทที่ 420 มึนงง
เมื่อส่งฉู่ชวิ๋นกลับไปได้แล้ว หยานกุยล๋ายก็ยิ้มออกมาอย่างร่าเริง ถูไม้ถูมือด้วยความตื่นเต้น
ในใจแอบคิดว่า : จอมมารฉู่ชวิ๋นนี่ก็หลอกง่ายเหมือนกันนะ
“ทุกคนฟังฉันให้ดี อย่างที่ฉันเคยพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ อะไรที่เอามาได้เอามาให้หมด อะไรที่เอามาไม่ได้ ก็ทำลายทิ้งไปอย่าให้เหลือ” หยานกุยล๋ายออกคำสั่งในขณะที่เข้าสู่บ้านตระกูลจัง
“รับทราบครับ!”
ลูกศิษย์ของตระกูลหยานรับคำอย่างพร้อมเพียง ในขณะที่ติดตามผู้เป็นนายท่านเข้าสู่บ้านตระกูลจัง
เกือบไปแล้วเชียว ไม่คิดเลยว่าฉู่ชวิ๋นจะมาถึงที่บ้านหลังนี้ก่อนพวกเขาเสียอีก หยานกุยล๋ายคิด
หลายชั่วโมงต่อมา ฉู่ชวิ๋นก็เดินทางกลับมาถึงบ้านตระกูลหยาน
เมื่อได้พบกับจิงหง ฉู่ชวิ๋นก็วิ่งเข้าไปหาด้วยสองแขนที่อ้ากว้าง
แต่ผลที่ได้ก็คือ จิงหงหมุนตัวหลบอย่างรวดเร็ว ฉู่ชวิ๋นจึงสวมกอดได้แต่เพียงความว่างเปล่า
ฉู่ชวิ๋นแก้เขินด้วยการเดินเข้าไปจับไหล่หลงอี้ “ฉันรู้อยู่แล้วว่านายต้องไม่เป็นไร!”
หลงอี้กับหลงเอ้อร์เป็นผู้ที่มีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ก็ยังเข้าใจดีว่านายท่านใช้ความเป็นห่วงพวกมันเป็นสิ่งแก้เขินเท่านั้น
ดูเหมือนว่าแม่นางจิงหงจะยังไม่พร้อมรับตำแหน่งคนรักของฉู่ชวิ๋น นายท่านของพวกมันกำลังอยู่บนเส้นทางแห่งความรัก แต่ว่าปลายทางนั้นยังอีกยาวไกลเหลือเกิน
ฉู่ชวิ๋นหันกลับไปมองหน้าจิงหง มองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ทำเอาหญิงสาวรู้สึกอึดอัดแล้ว
“เธอเลื่อนระดับพลังได้แล้วเหรอ?”
จิงหงพยักหน้า “ไม่กี่วันก่อน ข้าเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จแล้ว”
ฉู่ชวิ๋นยิ้มอย่างมีความสุข ขณะนี้จิงหงมีพลังระดับขั้นแก่นแท้ลมปราณขั้นต้นแล้ว เส้นทางการฝึกวิชาสายเซียนของเขา คงไม่ต้องโดดเดี่ยวอีกต่อไป
“แล้วปราสาทจตุรเทพเป็นยังไงบ้าง?”
“ตั้งแต่ที่สู้กับพวกมันครั้งนั้น พวกมนุษย์ผีดิบก็เงียบหายไปเลย” จิงหงตอบ “แต่ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้พวกมันกำลังติดต่ออยู่กับสำนักนกยูงปีศาจ”
“ทำไมล่ะ? พวกมันยังคิดจะกลับมาสู้ใหม่อีกเหรอ?” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเยาะ ไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านั้น ถ้าไม่เจ็บก็ไม่รู้จักจำจริงๆ
“เจ้าไม่อยู่ที่นั่นพวกมันก็เลยกล้า แต่หากเจ้าอยู่ที่นั่น ก็ไม่แน่ว่าพวกมันจะไม่กล้าเหมือนกัน”
ฉู่ชวิ๋นนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็ถามว่า “หรือเธอหมายความว่าพี่เยวี่ยกำลังตกอยู่ในอันตราย?”
จิงหงพยักหน้า ก่อนอธิบายว่า “แต่ตอนที่ข้าเดินทางจากมา ข้าได้สร้างม่านพลังคุ้มกันเอาไว้จำนวนหนึ่ง น่าจะสามารถต้านทานพวกมันได้สักระยะ”
“หวังว่าพวกมันคงไม่มารนหาที่ตายนะ” ฉู่ชวิ๋นมีดวงตาเป็นประกายเย็นชาอย่างยิ่ง
ตอนนั้นเอง หลงอี้ก็พูดขึ้นมาว่า “นายท่านครับ พวกเราโดนหยานกุยล๋ายหลอก”
“หา?” ฉู่ชวิ๋นหันหน้าไปมองนักรบมังกรเงิน “เกิดอะไรขึ้น?”
“พวกเราตั้งใจไปที่บ้านตระกูลจัง แต่หยานกุยล๋ายกลับส่งคนพาเรามาที่บ้านตระกูลหยาน”
ฉู่ชวิ๋นมึนงงไปเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า “ได้ยินว่าบ้านตระกูลหยานมีทิวทัศน์งดงาม พวกเราไปเดินชมวิวกันเถอะ”
จิงหงพยักหน้ายิ้มแย้ม เธอรู้ดีว่าฉู่ชวิ๋นกำลังคิดอะไรอยู่
หลงอี้กับหลงเอ้อร์ไม่มีความคิดเห็นอะไรทั้งนั้น
พวกของฉู่ชวิ๋นทั้งสี่คนเดินสำรวจรอบบ้านตระกูลหยาน ความจริง ฉู่ชวิ๋นกำลังใช้พลังจิตสำรวจหาห้องเก็บสมบัติของบ้านตระกูลหยานอยู่ต่างหาก
แต่ที่นี่มีคนของตระกูลหยานเต็มไปหมด ไม่ว่าฉู่ชวิ๋นขยับตัวทำอะไร ก็ตกอยู่ภายใต้สายตาของคนเหล่านั้นทั้งสิ้น
โดยเฉพาะกลุ่มคนที่นำพาจิงหงกลับมายังบ้านตระกูลหยานก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าหยานกุยล๋ายต้องสั่งให้พวกมันคอยจับตาดูพวกเขาไม่ให้คลาดสายตา
พวกของฉู่ชวิ๋นเดินข้ามสวนผ่านซุ้มประตูโค้ง ชื่นชมความสวยงามรอบบริเวณบ้าน
แต่เมืองหยานเซวี่ยแห่งนี้มีหิมะตกหนักตลอดปี ยากที่จะมีดอกไม้เบ่งบาน จึงไม่ค่อยมีต้นไม้ให้ชื่นชมความงามสักเท่าไหร่
คณะของฉู่ชวิ๋นเดินผ่านชุ้มประตูเข้าไปสู่สวนดอกไม้แห่งหนึ่ง เมื่อพวกเขาเห็นอักขระที่แกะสลักอยู่บนประตูทางเข้าสวน ก็อดจ้องมองด้วยความสงสัยไม่ได้
แล้วทันใดนั้น ดวงตาของคนทั้งสี่ก็ต้องเบิกโตด้วยความเหลือเชื่อ ต้นพลัมหลายร้อยต้นกำลังออกดอกออกผลสีแดงสวยงาม แม้แต่ฉู่ชวิ๋นก็ยังต้องจ้องมองด้วยความไม่อยากเชื่อ
บ้านตระกูลหยานตั้งอยู่ในทำเลที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
แม้แต่ต้นพลัมก็ยังสามารถออกผลได้ในอากาศหนาวเย็นเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นต้นพลัมหรือว่าผู้คน ถ้ายังสามารถยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ล้วนแล้วแต่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
จิงหงเดินไปหยุดยืนใต้ต้นพลัมต้นหนึ่ง สายตาของเธอเป็นประกายด้วยความประหลาดใจ หญิงสาวเขย่งเท้าขึ้นเพื่อสูดดมกลิ่นของลูมพลัมให้ชื่นใจ
ฉู่ชวิ๋นคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก็ยกมือดีดนิ้วหนึ่งครั้ง แล้วพลังลมปราณสีแดงก็พุ่งกระแทกเข้าใส่ต้นพลัมต้นนั้น ก่อนที่ใบและผลของมันจะร่วงกราวลงมาจากกิ่งก้าน
ฉู่ชวิ๋นสะบัดมือ ใบและผลพลัมไม่ได้ตกมาบนพื้นดิน แต่กลับลอยกลางอากาศวนอยู่รอบตัวของจิงหง
จิงหงยิ้มออกมาเล็กน้อย ใบดอกและผลพลัมร่ายรำรอบกายอรชนของเธอ แล้วหญิงสาวก็เริ่มร่ายรำออกมาบ้าง
ชุดกระโปรงสีขาวของเธอพริ้วไสวในยามที่เริงระบำไปกับหมู่มวลผลไม้ มองไปแล้วเหมือนนางฟ้าจากสวรรค์ มีความงดงามเหนือคำบรรยาย
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าคนของตระกูลหยานจะตกตะลึงในความงดงามตรงหน้าแค่ไหน แม้แต่ฉู่ชวิ๋นก็ถึงกับยืนนิ่งราวกับต้องมนต์สะกด
ในรอบพันปี ในที่สุดเขาก็ได้เห็นจิงหงมาเต้นระบำอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกหึงหวงเล็กน้อย เขาอยากจะขับไล่พวกคนของตระกูลหยาน รวมถึงหลงอี้กับหลงเอ้อร์ ให้ออกไปจากสวนดอกไม้แห่งนี้นัก
ชายหนุ่มรู้สึกว่านี่เป็นเวลาที่เขาควรเห็นแก่ตัว จิงหงจะต้องเต้นระบำให้เขาดูได้แค่คนเดียวเท่านั้น
วูบ!
ประกายดาบตวัดวาบเหมือนแสงจันทร์ ฉู่ชวิ๋นควงดาบในมือไม่หยุดยั้ง ต้นพลัมทั้งหมดที่อยู่ในสวนแห่งนี้ ใบและผลของพวกมันร่วงหล่นลงมาจากกิ่งก้านตามการฟันของฉู่ชวิ๋น
ควับ!
ประกายดาบสีขาวกระจ่างตา ใบดอกและผลลูกพลัมร่วงกราวลงมานับพันใบพันลูก พวกมันลอยอยู่กลางอากาศ รวมตัวกันเป็นรูปทรงของมังกรกับนกเพลิงตัวหนึ่ง
จิงหงเต้นระบำด้วยความสนุกสนาน
ฉู่ชวิ๋นควบคุมทุกอย่างด้วยการตวัดดาบในมือ
มังกรหนึ่งตัวและนกเพลิงหนึ่งตัว เริ่มต้นเริงระบำอย่างงดงาม
นกเพลิงกางปีกกว้าง บินวนอยู่เหนือศีรษะของจิงหง จากนั้นมันก็เริ่มร่ายรำ
ส่วนมังกรบินวนรอบตัวฉู่ชวิ๋น เต้นระบำอย่างบ้าคลั่ง
แล้วในวินาทีนั้น ลำตัวของทั้งมังกรและนกเพลิง ก็ระเบิดตู้มกลางอากาศ
พรึบ!
มังกรและนกเพลิงที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของใบและผลลูกพลัมแตกตัวกระจัดกระจายในพริบตาเดียว บนท้องฟ้าในขณะนี้ มีแต่ใบของต้นพลัมปลิวว่อน
หลังจากนั้นพักใหญ่ เมื่อทุกอย่างร่วงโรยลงมาสู่พื้นดิน ทุกคนจึงพบว่าฉู่ชวิ๋นกับจิงหงหายตัวไปแล้ว
หลงอี้กับหลงเอ้อร์หันมองหน้ากัน
คนของตระกูลหยานหันมองหน้ากัน
สองคนนั้นหายไปไหนแล้วนะ?
“หรือว่านายท่านฉู่ชวิ๋นกับแม่นางคนนั้นจะเป็นเทวดาจากสวรรค์ สามารถบินขึ้นท้องฟ้าไปได้แล้วจริงๆ?” หนึ่งในคนของตระกูลหยานพึมพำออกมา
……
……
ตรงหน้าห้องแห่งหนึ่งในบ้านตระกูลหยาน ฉู่ชวิ๋นกับจิงหงมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“ตาแก่นี่ระวังตัวจนถึงขนาดซ่อนห้องเก็บสมบัติเอาไว้ในห้องของตัวเองเลยนะเนี่ย” ฉู่ชวิ๋นพูด
จิงหงหันมามองค้อน ทำปากยื่นเล็กน้อย อดรู้สึกผิดหวังขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้
ตอนที่ฉู่ชวิ๋นเต้นระบำกับเธอเมื่อสักครู่นี้ จิงหงรู้สึกเหมือนสติหลุดลอย แต่ที่ไหนได้ ในหัวใจของเขายังนึกถึงห้องเก็บสมบัติของบ้านตระกูลหยานอยู่ตลอดเวลา
ฉู่ชวิ๋นไม่ได้สนใจปฏิกิริยาของจิงหงเลยแม้แต่น้อย เขาลากเธอเข้าไปในห้องหน้าตาเฉย
“ตาแก่หยานมีชีวิตที่สุขสบายเหลือเกินนะ” ฉู่ชวิ๋นพึมพำออกมา ที่นี่ไม่ได้เรียกว่าเป็นห้องนอนแล้ว เรียกว่าเป็นพระราชวังก็ไม่เสียหาย พื้นที่ภายในกว้างขวางอย่างน้อยไม่ต่ำกว่าสี่ห้าร้อยตารางเมตร
“เดี๋ยวนี้คนเราต้องประหยัดรัดเข็มขัดกันจะตาย แต่ดูตาแก่หยานมีห้องนอนใหญ่โตโอ่อ่าแบบนี้สิ คนรวยก็มีแต่รวยเอารวยเอา คนจนก็มีแต่จนลงมากขึ้น เราสองคนมาปล้นคนรวยไปช่วยคนจนกันเถอะ”
“นี่เจ้าจะขโมยของผู้คนอีกแล้วหรือ?” จิงหงมองหน้าชายหนุ่มด้วยความเศร้า
ฉู่ชวิ๋นตอบกลับมาอย่างอึดอัดเล็กน้อย “ถูกต้อง”
หลังจากนั้น ฉู่ชวิ๋นก็จูงมือจิงหงมาที่ทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินแห่งหนึ่ง ซึ่งด้านล่างเป็นที่ตั้งของห้องเก็บสมบัติ
“ดูสิ มันต้องมีกลไกอะไรซ่อนอยู่แน่นอน” ฉู่ชวิ๋นมองหากลไกแถวประตูทางเข้า
ไม่ว่าจะเป็นบนผนัง โต๊ะขนาดใหญ่ หรือสิ่งของอะไรก็ตาม ฉู่ชวิ๋นจับมันหมุนพลิกคว่ำทุกชิ้น
ทันใดนั้น ดวงตาของฉู่ชวิ๋นก็จ้องมองไปที่แท่นวางพู่กันที่ด้านข้าง
“ต้องใช่แน่นอน” ฉู่ชวิ๋นไล่ดึงพู่กันขึ้นมาทีละด้าม
แต่ประตูทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินก็ยังไม่เปิดออกอยู่ดี
ฉู่ชวิ๋นรู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่ทำไม่สำเร็จ
จิงหงหัวเราะในลำคอ เดินเข้ามาก้มดูที่แท่นวางพู่กัน หลังจากนั้น เธอก็เอื้อมมือจับแท่นวางพู่กันแล้วหมุนมันเบาๆ
ครืน!
พื้นห้องสั่นสะเทือน แล้วแผ่นกระเบื้องก็เลื่อนออก เปิดเผยให้เห็นทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินบนพื้นห้องอีกทางหนึ่ง
ฉู่ชวิ๋นยกมือเกาหัว พูดด้วยความอับอายว่า “ลืมนึกไปเลยว่าแท่นวางพู่กันมันเป็นตัวควบคุมกลไกนี่เอง”
จิงหงหันมามองหน้า แล้วก็ยิ้มให้เขา
“อ่า…อ้อ!” ฉู่ชวิ๋นรู้สึกขายหน้ามากเกินไปจนต้องรีบเปลี่ยนเรื่อง “เรารีบไปปล้นคนรวยช่วยคนจนกันดีกว่า”
ฉู่ชวิ๋นพูดในขณะที่กำลังจะก้าวเท้าเดินลงไปบนขั้นบันไดที่ทอดนำไปสู่ห้องใต้ดิน จังหวะนั้น ก็ได้ยินเสียงดังครืดคราด
ปรากฏว่าแผ่นกระเบื้องปิดกลับเข้าที่เดิมเรียบร้อยแล้ว
ฉู่ชวิ๋นเห็นสีหน้าของจิงหงผิดปกติ ก็หันมองตามสายตาของเธอไปที่ประตูห้องใต้ดิน
ชายชราคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูบานนั้น เสียงฝีเท้าของเขาแผ่วเบามาก เส้นเลือดที่ขมับเต้นตุบๆ ดวงตาสะท้อนกับแสงไฟแวววาวตลอดเวลา
บรรพบุรุษประจำตระกูล
ฉู่ชวิ๋นกับจิงหงหันมองหน้ากัน ฝ่ายตรงข้ามอยู่ห่างพวกเขาไม่ถึง 100 เมตร หมายความว่าระดับพลังของชายชราคนนี้ไม่ธรรมดา
ฉู่ชวิ๋นหันขวับกลับไปจ้องมองชายชรา ทราบดีว่าตนเองต้องระวังตัวให้ดี
“หนุ่มสาวทั้งสองเดินเร็วเหลือเกิน ผู้เฒ่าเดินตามไม่ทันแล้ว” ชายชราพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
นี่คือบรรพบุรุษประจำตระกูลหยานไม่ผิดแน่
“ผู้อาวุโสมีชื่อว่าอะไรหรือครับ?” ฉู่ชวิ๋นยิ้มแย้ม
“หยานเย่”
“อยู่ที่นี่คนเดียวหรือครับ?”
“อยากหาคนมาอยู่ด้วยเหมือนกัน”
“โอ้…ช่างร้ายกาจครับ ช่างร้ายกาจ” ฉู่ชวิ๋นกำหมัดแน่น
“ฉู่ชวิ๋น จอมมารฉู่ชวิ๋น” หยานเย่พูดในขณะที่มองหน้าฉู่ชวิ๋น
“รู้จักผมด้วยเหรอ?”
“หยานกุยล๋ายเคยมาพูดถึงเจ้าให้ข้าฟังบ่อยๆ”
“อ๋อ” ฉู่ชวิ๋นกวาดสายตามองรอบตัว พูดพร้อมกับยิ้มว่า “บ้านตระกูลหยานใหญ่โตมากเลยครับ พวกเราก็เลยหลงทาง”
“เจ้าทำลายต้นพลัมของข้า” หยานเย่กล่าว
“เอ๋?” ฉู่ชวิ๋นทำหน้าประหลาดใจ แล้วขมวดคิ้ว “แต่พวกเราเก็บไปแค่เพียงไม่กี่ลูกเองนะครับ?”
“เจ้าเก็บไปเท่าไหร่นะ?” หยานเย่หายใจฟืดฟาดด้วยความโกรธเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “พวกเจ้าตามข้ามา”
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราหาทางกลับกันเองได้” ฉู่ชวิ๋นตอบ
หยานเย่มองหน้าฉู่ชวิ๋นอย่างไม่ไว้ใจ “เจ้านี่มันเจ้าเล่ห์เหมือนที่หยานกุยล๋ายบอกเอาไว้ไม่มีผิด”
ฉู่ชวิ๋นเบิกตาโต “ตาแก่นั่นพูดถึงผมว่าไงบ้าง?”
หยานเย่ยิ้ม พูดตัดบทว่า “ไปกันเถอะ”
“ไปไหนครับ?” ฉู่ชวิ๋นถาม แน่ใจว่าหยานกุยล๋ายคงไม่ได้พูดเรื่องราวที่ดีเอาไว้แน่นอน คงมีคำสั่งคอยระวังไม่ให้เขาเข้าสู่ห้องเก็บสมบัติประจำตระกูลได้เด็ดขาด
“เดี๋ยวไปถึงเจ้าก็รู้เอง”
“ถ้าอย่างนั้นก็เชิญผู้อาวุโสนำทาง!” ฉู่ชวิ๋นผายมือ
หยานเย่ใบหน้าแข็งกระด้าง ริมฝีปากกระตุก ก่อนที่จะหันหลังกลับ แล้วนำทางไป
พวกเขากลับออกมาถึงสวนดอกไม้อีกครั้ง
“นี่น่ะหรือที่เจ้าบอกว่าเก็บไปแค่เพียงไม่กี่ลูกเท่านั้น?” หยานเย่ชี้มือไปยังต้นพลัมที่ปราศจากใบดอกและไม่มีผลให้ออกอีกแล้ว
จิงหงขยับออกไปข้างหน้ากำลังจะกล่าวขอโทษ แต่ฉู่ชวิ๋นก็ดึงตัวเธอไว้
“โอ้โห! ขนาดอากาศเย็นอย่างนี้ ยังมีต้นไม้อยู่ด้วยเหรอครับเนี่ย น่ามหัศจรรย์จริงๆ”
หยานเย่ปากกระตุก “ต้องใช้เวลานานมาก กว่าที่ต้นพลัมพวกนี้จะผลิดอกออกผล แต่ผลของพวกมันกลับถูกทำลายในพริบตาเดียว”
“พูดจริงสิ?” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “โดนพวกแมลงเข้ามากัดกินใช่ไหมครับ?”
“เจ้าเด็กน้อยอย่ามาแกล้งโง่ ต้นพลัมพวกนี้เจ้าเป็นคนทำลายเองทั้งหมด” หยานเย่ก้มมองใบไม้ที่อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
“ผมเนี่ยนะ?” ฉู่ชวิ๋นส่ายหัว พูดว่า “ไม่ตลกนะครับ ผมเก็บมาแค่ไม่กี่ลูกเอง คุณจะกล่าวหาคนอื่นตามอำเภอใจไม่ได้”
“ลูกพลัมไม่กี่ลูกมันรวมร่างกลายเป็นมังกรได้หรือไง?”
ฉู่ชวิ๋นพลันรู้สึกตัวทันที ชายชราคนนี้คอยจับตาดูพวกเขาอยู่นานแล้ว
“นี่แอบดูเหรอ?”
“เจ้าว่ายังไงนะ?”
“ไหน ๆ ก็พูดเรื่องนี้แล้ว ผมขอพูดเลยแล้วกัน พวกคุณนี่มันหน้าไม่อายสิ้นดี ทำไมถึงได้ชอบแอบดูคนอื่นอย่างนี้” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงที่ทั้งอับอายและโกรธแค้น “คุณรู้อะไรไหม? เธอเป็นภรรยาของผมต้องเต้นให้ผมดูแค่คนเดียวเท่านั้น แต่พวกคุณกลับมาแอบดูซะได้ จิตสำนึกมีกันบ้างไหมครับ? นี่ผมเห็นแก่หน้าหยานหวูซวงนะ ถึงได้ไม่เอาเรื่องคุณ ไม่อย่างนั้นถ้ายึดตามกฎเดิมของผม ใครก็ตามที่แอบมองเธอเต้นรำจะต้องถูกควักลูกตาทิ้ง”
หยานเย่ได้แต่ยืนมองหน้าฉู่ชวิ๋นด้วยความตกตะลึง
“พวกเราไปกันเถอะ อย่าอยู่กับพวกโรคจิตชอบถ้ำมองแบบนี้เลย” ฉู่ชวิ๋นดึงตัวจิงหงเดินจากไป
เมื่อหยานเย่กลับมาได้สติอีกครั้ง ฉู่ชวิ๋นก็หายตัวไปแล้ว
“ไอ้เด็กคนนี้ กลับมาพูดให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้นะว่าใครเป็นพวกโรคจิตชอบถ้ำมอง? เจ้านั่นแหละทำผิดแล้วจะคิดหนีไปไหนอีก เห็น ๆ กันอยู่ว่าที่ต้นพลัมของข้าเสียหาย มันเป็นเพราะเจ้าคนเดียว” หยานเย่เชิดหน้าขึ้นด้วยความโกรธแค้น น้ำเสียงแข็งกระด้างเป็นอย่างยิ่ง