จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 423 คำท้าทาย
บทที่ 423 คำท้าทาย
ลือกันว่าปีศาจนั้นกระหายเลือดและโหดร้าย
แต่จอมมารฉู่ชวิ๋นมีความโหดร้ายมากกว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวจริงหลายเท่า
ตอนแรกถล่มประตูวิญญาณสลาย ต่อมาก็ไปกวาดล้างตระกูลจัง
นี่คือชะตากรรมแห่งความตายของผู้ที่เป็นศัตรูกับจอมมาร
ด้วยวิธีการที่เด็ดขาดเช่นนี้ ไม่มีใครที่จะไม่ตัวสั่นเทาแล้ว
แม้แต่พวกมนุษย์กลายพันธุ์ทั้งหลาย เมื่อได้รับทราบข่าวนี้ ก็ถึงกับตัวสั่นโดยไม่รู้ตัว
ด้วยว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์
ถึงแม้พวกมันมั่นใจว่าครั้งนี้จะต้องสังหารจอมมารฉู่ชวิ๋นได้แน่นอน แต่ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายแรงแทรกแซงขึ้นมา
ป้องกันเอาไว้ก่อนย่อมไม่เสียหาย
ถ้าพวกมันชนะ สามารถฆ่าจอมมารฉู่ชวิ๋นได้ ย่อมเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน
แต่ถ้าหากล้มเหลวเล่า? ไฟจากความโกรธแค้นของฉู่ชวิ๋นคงรุนแรงมากพอที่จะเผาผลาญพวกมันให้กลายเป็นเถ้าถ่าน
โลกอินเทอร์เน็ตเงียบงันไปทันที
“บอกพวกมันไปว่า วันที่ 14 กรกฎาคม ฉันจะไปตามที่พวกมันบอก” ฉู่ชวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นายท่านครับ อย่าเสี่ยงเลย!” หวู่ปู้ซือรีบพูดออกมา
“ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าไปเหมือนกัน” จิงหงว่า
ฉู่ชวิ๋นไม่อธิบายอะไรอีกแล้ว พูดออกมาแค่เพียงเล็กน้อยว่า “ถ้าฉันไม่ไป ไอ้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ก็คงได้ใจ คราวนี้แหละได้เป็นหายนะของมวลมนุษยชาติแน่นอน”
จิงหงไม่ตอบรับคำใด
ฉู่ชวิ๋นสามารถเอาชนะพวกมนุษย์ปักษา และขับไล่เผ่าพันธุ์ผีดิบได้สำเร็จ ถือเป็นชัยชนะของมวลมนุษยชาติ
แต่โลกนี้เกิดความเปลี่ยนแปลง เผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตโบราณจำนวนมากฟื้นตื่นขึ้นมา และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็ดูถูกมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง คล้ายกับว่าต้องการจะยึดครองโลกใบนี้เป็นของพวกมันเอง
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ฝีมือที่แข็งแกร่งของฉู่ชวิ๋นก่อนหน้านี้ ทำให้พวกมนุษย์กลายพันธุ์ไม่กล้ากดขี่ข่มเหงมนุษย์สักเท่าไหร่ โดยเฉพาะการสังหารหมู่มนุษย์นกยูงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ถ้าครั้งนี้ฉู่ชวิ๋นเก็บตัวเงียบ พวกมนุษย์กลายพันธุ์ก็จะกลับมาได้ใจอีกครั้ง
ดังนั้น เขาต้องไป
“ทำตามที่เจ้าอยากทำเถอะ!” จิงหงกล่าว
หวู่ปู้ซือกัดฟันกรอด ตอนที่ฉู่ชวิ๋นต่อสู้กับพวกมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้ ขณะนั้น หวู่ปู้ซือถูกจับกุมตัวอยู่ในประตูวิญญาณสลาย ทำให้ไม่เข้าใจเรื่องราวหลายอย่าง
ชายชรากำลังจะพิมพ์อะไรบางอย่าง แต่ฉู่ชวิ๋นก็โบกมือบอกให้หยุด
“เดี๋ยวฉันพิมพ์เองก็ได้!”
ฉู่ชวิ๋นเข้าสู่ระบบในเว็บบอร์ดชุมนุมชาวยุทธ์
“วันที่ 14 กรกฎาคม ฉัน ฉู่ชวิ๋นยินดีรับคำท้า”
เพียงแค่ไม่กี่คำ ก็ทำให้โลกอินเทอร์เน็ตปั่นป่วนไปทันที
ฉู่ชวิ๋นยอมรับคำท้าและเตรียมไปต่อสู้ที่หุบเขาอเวจีแล้ว
……
……
หุบเขาอเวจีมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล รายล้อมไปด้วยบึงน้ำและสัตว์มีพิษนานาชนิด
ในขณะนี้ มนุษย์กลายพันธุ์หลายเผ่าพันธุ์ ได้เข้ามายึดครองหุบเขาอเวจีเป็นที่อยู่อาศัย
ที่พวกมันมาร่วมมือกันและรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่ขนาดนี้ ก็ล้วนแต่มีเหตุผลเดียวคือจอมมารฉู่ชวิ๋น
บนยอดเขา มีที่อยู่อาศัยถูกสร้างขึ้นชั่วคราวหลายหลัง
ในบ้านหลังหนึ่งที่ใหญ่ที่สุด บรรดาผู้นำของมนุษย์กลายพันธุ์เผ่าพันธุ์ต่างๆ มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
“จอมมารฉู่ชวิ๋นมันจะมาจริงๆ เรอะ?” คนพูดเป็นชายชราที่มีผมแห้งเหมือนฟางข้าว ดวงตามีขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว ดูแล้วไม่ใช่คนดีแน่นอน
มันมาจากสำนักพรพิฆาต ปัจจุบันเป็นผู้ที่มีระดับพลังแข็งแกร่งที่สุดจากเผ่าพันธุ์มนุษย์พังพอน เป็นขั้นจักรพรรดิระดับ 9 มีนามว่าหวงจี๋
แต่ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามดูถูกรูปลักษณ์ภายนอกของมันเด็ดขาด แม้ว่าหน้าตาจะดูอัปลักษณ์ แต่ฝีมือนั้นร้ายกาจไม่ใช่ย่อย เผ่าพันธุ์มนุษย์พังพอนขึ้นชื่อดีเรื่องความแข็งแกร่งของพลังวิญญาณ
“เอาตามที่พวกเราเข้าใจ ไม่ว่ายังไงจอมมารก็ต้องมาแน่นอน” นี่คือผู้อาวุโสลำดับที่ 9 ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษา ซึ่งเคยเกือบเสียชีวิตด้วยน้ำมือของฉู่ชวิ๋นมาแล้ว
“ได้ข่าวว่ามนุษย์ปักษาเคยโดนจอมมารฉู่ชวิ๋นจัดการมาก่อน ขนาดผู้อาวุโสลำดับที่ 10 ของพวกนายยังโดนฆ่าตาย ไอ้จอมมารคนนี้มันแข็งแกร่งขนาดนั้นเชียวหรือ?” คนพูดมีร่างกายสูงเกือบ 3 เมตร ผิวเข้ม นั่งตระหง่านเหมือนหอคอยเหล็กไหล เสียงดังกังวานปานมังกรคำราม ช่วยให้ผู้จ้องมองรู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
นี่คือตัวแทนจากสำนักมังกรดำ เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากเผ่าพันธุ์มนุษย์มังกร มีนามว่าเฮยเถิง
ผู้อาวุโสลำดับที่ 9 ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ปักษาไม่ได้โกรธแค้น เพียงแค่หันไปตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “จอมมารฉู่ชวิ๋นก็เคยฆ่ามังกรดำที่ชายแดนจีนกับเวียดนาม นายภาวนาว่าตัวเองอย่าได้เจอกับมันก็แล้วกัน ไม่งั้นมีหวังไอ้จอมมารได้ฆ่ามังกรตัวที่สองแน่ๆ”
ทันใดนั้น พลังลมปราณพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของเฮยเถิง มันจ้องมองผู้อาวุโสลำดับที่ 9 ด้วยสายตาดุร้าย
“เฮยเถิง ใจเย็นก่อน คนของเผ่าพันธุ์ข้าถูกจอมมารฆ่าตายไปนับไม่ถ้วน ใครก็ตามที่ประเมินมันต่ำเกินไป ล้วนตกตายไปหมดแล้ว” ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ผีดิบ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เราจะประเมินจอมมารฉู่ชวิ๋นต่ำเกินไปไม่ได้เด็ดขาด ดูตัวอย่างได้จากประตูวิญญาณสลายหรือตระกูลจังก็ได้ คราวนี้เราจะให้ผิดพลาดไม่ได้อีกเด็ดขาด” ชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาพูด มันคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดจากเผ่าพันธุ์มนุษย์นกยูง
บรรดาผู้ที่นั่งร่วมประชุมอยู่ในที่แห่งนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดจากเผ่าพันธุ์ต่างๆ ทั้งสิ้น
“ถูกต้อง เราต้องฆ่ามันให้ได้ในทันทีที่มีโอกาส ไม่อย่างนั้น คงเป็นฝ่ายพวกเรานี่แหละที่จะแย่เอา” ตัวแทนจากเผ่าพันธุ์มนุษย์หมาป่ากล่าว ตัวมันเองเกลียดชังมนุษย์ รวมถึงเกลียดชังการเปลี่ยนร่างมาเป็นมนุษย์อย่างยิ่ง
แต่ในฐานะที่มันเป็นหัวหน้ากลุ่มมนุษย์หมาป่า และสถานที่นัดประชุมแห่งนี้คับแคบมากเกินไป มันจะไม่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้
“น่าเสียดายที่พวกเรามีภารกิจอื่น ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องขอลองปะทะฝีมือกับจอมมารดูสักหน่อย” เฮยเถิงพูดด้วยความจองหองเป็นอย่างยิ่ง
ในขณะนั้นเองก็มีชายผู้หนึ่งปรากฏตัวที่หน้าประตู บดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามา ทำให้บรรยากาศภายในห้องดูมืดมิดลงไปในพริบตา
ผู้มาใหม่เป็นชายหนุ่มธรรมดา แต่มีสง่าราศีอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นชายหนุ่มคนนั้น บรรดาตัวแทนจากมนุษย์กลายพันธุ์เผ่าพันธุ์ต่างๆ ก็ลุกขึ้นยืนประสานมือทำความเคารพ
ชายหนุ่มเดินมานั่งที่บัลลังก์ภายในห้อง ริมฝีปากของเขาบิดตัวเป็นรอยยิ้มเหยียดหยาม เช่นเดียวกับสีหน้า ดูเหมือนมันจะคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกใบนี้
ชายหนุ่มกวาดตามองรอบตัว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ทุกคนไม่ต้องตกใจ ครั้งนี้พวกเราวางแผนเป็นอย่างดี อีกอย่าง จอมมารฉู่ชวิ๋นไม่ใช่คนที่พวกนายจะมีปัญญาจัดการได้ เรื่องของเขาปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเอง”
ไม่มีใครปฏิเสธคำพูดของชายหนุ่ม ที่มาที่ไปของมันคนนี้เป็นปริศนาลึกลับ รู้แต่เพียงอย่างเดียวคือมีชื่อเสียงเรียงนามแปลกหูว่า หวูเค่อจิน
ไม่มีใครรู้ว่าหวูเค่อจินมาจากไหน? แต่อยู่ดีๆ ชายหนุ่มก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าสำนักต่างๆ เพื่อท้าประลองกับเจ้าสำนักของพวกมัน
ถ้าเผ่าพันธุ์ที่รับคำท้าชนะ หวูเค่อจินก็จะมอบอาวุธสวรรค์ชั้นยอดให้เป็นของตอบแทน แต่ถ้าพวกมันพ่ายแพ้ ก็จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของชายหนุ่มผู้นี้โดยไม่มีข้อแม้
น่าเสียดายที่พวกมนุษย์กลายพันธุ์เหล่านั้น ต่างก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ชายหนุ่มคนนี้หมดสิ้น
แต่สิ่งที่หวูเค่อจินต้องการมีเพียงหนึ่งเดียว คืออยากให้พวกมันร่วมมือกันกำจัดจอมมารฉู่ชวิ๋น
เผ่าพันธุ์มนุษย์กลายพันธุ์เหล่านี้เกลียดชังฉู่ชวิ๋นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกมันจะปฏิเสธได้อย่างไร
ข่าวลือที่ว่าสำนักนกยูงปีศาจคอยติดต่อเผ่าพันธุ์อื่นๆ ให้มาเล่นงานจอมมารฉู่ชวิ๋น แท้ที่จริงแล้ว มีหวูเค่อจินคอยบงการอยู่เบื้องหลัง
“พวกนายไม่ต้องกลัว จอมมารฉู่ชวิ๋นไม่ได้เก่งกาจแบบที่คิดหรอก มันก็เป็นเพียงแค่มดแมลงตัวหนึ่ง อ่อนแอยิ่งกว่าดักแด้ก่อนที่จะกลายร่างเป็นผีเสื้อด้วยซ้ำ” หวูเค่อจินพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ
แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธคำสั่งของหวูเค่อจิน ก็เป็นเพราะว่าชายหนุ่มปริศนาคนนี้แข็งแกร่งมากเกินไป
ทุกคนที่อยู่ในห้องประชุมแห่งนี้ ต่างก็พ่ายแพ้ให้แก่หวูเค่อจิน
“คุณหวูพูดได้ถูกต้อง พวกเราไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกต่อไปแล้ว” ตัวแทนจากสำนักนกยูงปีศาจยิ้มกว้าง
“พวกนายจะกินได้เท่าที่อยากกิน นอนหลับได้อย่างสบายใจเท่าที่อยากจะนอน อีกแค่เพียง 7 วันเท่านั้น โลกนี้จะไม่มีจอมมารฉู่ชวิ๋นอยู่อีกต่อไป” หวูเค่อจินพูดด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่ชวนให้ขนหัวลุกที่สุด
“คุณหวู ผมอยากรู้สักนิด คุณมีความแค้นอะไรกับจอมมารฉู่ชวิ๋นหรือ?” เฮยเถิงระงับโทสะของตนเองลงและถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“เป็นคำถามที่ดีมาก” หวูเค่อจินนิ่งคิดอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนตอบอย่างทีเล่นทีจริงว่า “อันที่จริง ฉันไม่ได้มีความแค้นอะไรกับจอมมารฉู่ชวิ๋นเลยสักนิด แต่ไหนๆ ฉันก็อยากจะฆ่ามันแล้ว ก็คงต้องหาเหตุผลมารองรับสักหน่อยละนะ เอาเป็นว่า ฉันเกลียดมัน เพราะมันพูดว่าโลกนี้เป็นของมนุษย์แต่เพียงฝ่ายเดียวนั่นแหละ”
เฮยเถิงและคนอื่นๆ ถึงกับมึนงง แต่พวกมันก็รู้สึกชัดเจนว่าหวูเค่อจินไม่ได้โกหกกับคำตอบแบบขอไปทีอย่างนี้ นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงก็ได้
“โลกนี้กำลังฟื้นตัวอุดมสมบูรณ์ เหมือนกับที่เคยเป็นมาเมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน นับเป็นดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ แล้วสถานที่ๆ อุดมสมบูรณ์อย่างนี้ จะตกเป็นของมนุษย์ผู้ต่ำต้อยแต่เพียงผู้เดียวอย่างนั้นหรือ? มันไม่ตลกเกินไปหน่อยหรือไง?” หวูเค่อจินพูดเบา ๆ
เฮยเถิง หวงจี๋ และผู้ร่วมประชุมคนอื่นๆ หันมองหน้ากัน
“คุณหวูกล่าวได้ถูกต้อง โลกนี้เป็นดินแดนแห่งความมหัศจรรย์ เราจะปล่อยให้พวกมนุษย์ต่ำช้าครอบครองอยู่แต่เพียงฝ่ายเดียวได้อย่างไร ในเมื่อผู้สูงส่งอย่างพวกเราฟื้นตื่นขึ้นมาแล้ว?”
“ฉันเกลียดมนุษย์เหลือเกิน ทั้งต่ำต้อยและโง่เง่า ความสามารถในการต่อสู้ก็น้อยนิดนัก พวกมันสมควรเป็นอาหารของเรามากกว่า”
“เลือดมนุษย์อร่อยนะจะบอกให้ ครั้งสุดท้ายข้ากินยังไม่อิ่มเลย หลังจากที่ฆ่าจอมมารฉู่ชวิ๋นได้แล้ว ข้าคงต้องขอกินเลือดมนุษย์ให้อิ่มหนำสักหลายมื้อ”
……
……
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” จิงหงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน จ้องมองไปที่ฉู่ชวิ๋นซึ่งนั่งเงียบอยู่นานสองนานแล้ว
“ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น” ชายหนุ่มฝึกฝนคัมภีร์ความลับฟ้า ซึ่งทำให้สามารถสัมผัสเหตุการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำระดับหนึ่ง และครั้งนี้ ความรู้สึกบางอย่างทำให้ฉู่ชวิ๋นแน่ใจว่าจะต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น
“ข้าก็รู้สึกไม่ค่อยดีเหมือนกัน ข้าเคยฝึกวิชาลับที่เรียกว่าคัมภีร์ความลับฟ้า แต่ความแม่นยำนั้นยังรับประกันไม่ได้” จิงหงพูด
“วิชานั้น ฉันเป็นคนสอนเธอเองแหละ” ฉู่ชวิ๋นยิ้มฝืด
จิงหงตกตะลึงเล็กหน่อย คัมภีร์ความลับฟ้าติดอยู่กับตัวเธอมาตลอด ผิดกับความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับฉู่ชวิ๋น ดังนั้น เธอจึงจำที่มาที่ไปของวิชานี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้ก็พอจะนึกอะไรออกขึ้นมาบ้างแล้ว
“ถ้าเป็นอย่างนั้น…” จิงหงพูดแล้วก็หยุดไปกลางคัน
เธออยากจะเกลี้ยกล่อมฉู่ชวิ๋นไม่ให้เขาเดินทางไปที่หุบเขาอเวจี แต่ก็รู้ดีว่าฉู่ชวิ๋นมีหน้าที่อันยิ่งใหญ่แบกรับอยู่บนสองบ่า ถ้าได้รับคำท้าทายขนาดนี้แล้วไม่ไป ชื่อของจอมมารฉู่ชวิ๋นก็คงถูกหัวเราะเยาะไปอีกนานแสนนาน
“เราไปเข้าพบท่านอาจารย์กันเถอะ” จิงหงว่า
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า เขาก็กำลังคิดเรื่องนี้อยู่เช่นกัน
“แต่ฉันขอตัวไปที่ภูเขาเฉียนหลงก่อนนะ”
“งั้นข้าจะไปรอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”
ฉู่ชวิ๋นพยักหน้า จิงหงพาหลงอี้กับคนอื่นๆ เดินทางไปที่เมืองหลวงก่อน ส่วนตัวเขาเดินทางแยกมาที่ภูเขาเฉียนหลงตามลำพัง
ภูเขาเฉียนหลงเป็นบ้านของฉู่ชวิ๋น
“เจ้าลูกคนนี้ รู้จักกลับบ้านกลับช่องด้วยเหรอฮะ” หลิวหรานดึงหูฉู่ชวิ๋นแล้วอบรมเขาชุดใหญ่
ฉู่เทียนเหอก็ใช้โอกาสนี้สั่งสอนเขาด้วยเช่นกัน
คราวนี้ หลิวหรานไม่ได้คอยปกป้องฉู่ชวิ๋นอีกแล้ว แต่นางยืนอยู่ฝ่ายเดียวกับฉู่เทียนเหอผู้เป็นสามี
จอมมารฉู่ชวิ๋นผู้โหดร้ายอำมหิต ถูกบิดามารดาผู้ให้กำเนิดอบรมจนหูชา ได้แต่ก้มหน้าก้มตายิ้มแย้มรับคำตำหนิอย่างว่านอนสอนง่าย
พวกของเฉินฮั่นหลงตื่นเต้นมากที่เห็นฉู่ชวิ๋นกลับมาแล้ว
ฉู่ชวิ๋นถอนหายใจ ตอนที่เขากลับมาสู่โลกมนุษย์ เฉินฮั่นหลงเป็นคนกลุ่มแรกที่ติดตามเขา ไม่คิดเลยว่า 20 กว่าปีจะผ่านไปไวขนาดนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เฉินฮั่นหลงฝึกวิชาได้เชื่องช้าเกินไป ตอนนี้เพิ่งจะมีพลังอยู่ขั้นหลอมรวมลมปราณระดับปลายเท่านั้น
ในส่วนของเจิ้งกัง หมอนี่ถือได้ว่ามีพรสวรรค์ ขณะนี้มีพลังอยู่ในขั้นสร้างรากฐานลมปราณระดับกลาง ด้วยของสำหรับฝึกวิชาที่ฉู่ชวิ๋นทิ้งเอาไว้ให้ บวกกับพลังงานที่อุดมสมบูรณ์จากภูเขาเฉียนหลง ทำให้การฝึกวิชาของเจิ้งกังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว
แต่พวกของซุนหยิง เจิ้งก่วงอี้ และคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างไปจากเฉินฮั่นหลงเสียเท่าไหร่
“นายท่านครับ พวกเราสามารถติดตามนายท่านออกไปสู้กับเหล่าวายร้ายได้หรือยัง?” ไท้ถานถามด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
ฉู่ชวิ๋นอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ถ้ามีระดับพลังอยู่แค่นี้ อย่าว่าแต่จะออกไปสู้กับเหล่าวายร้ายที่ไหนเลย แค่เจอหน้าจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ ชีวิตของพวกนายก็จบเห่แล้ว”
ไท้ถานยังไม่เชื่อ “แต่ผม พี่หยิง พี่หลงกับผู้อาวุโสเจิ้งเข้าเมืองไปเมื่อไม่กี่วันก่อน เจอพวกกลุ่มจอมยุทธ์ลูกคุณหนูกำลังรังแกผู้คน พวกผมก็เข้าไปอัดมันจนกระเด็นไปเลยนะครับนายท่าน”
ฉู่ชวิ๋นไม่พูดอะไร ยกมือขึ้นดีดนิ้วใส่ไท้ถาน แล้วร่างของไท้ถานก็ลอยกระเด็นไปไกล ตกกระแทกพื้นเสียงดังผลั่ก
เฉินฮั่นหลงแอบชำเลืองมองไปทางนั้น ด้วยสีหน้าโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง
“เอาไว้พวกนายรับการดีดนิ้วจากฉันได้เมื่อไหร่ ฉันจะพาออกไปจัดการวายร้ายด้วยก็แล้วกัน” ฉู่ชวิ๋นหัวเราะเสียงดัง