จักรพรรดิเซียนหวนคืน - บทที่ 78 ถ่วงเวลา![รีไรท์]
บทที่ 78 ถ่วงเวลา![รีไรท์]
ทั้งสองเข้าไปทางด้านหน้าประตูหิน
มีถ้ำหนึ่งอยู่ด้านหลังประตูหิน ภายในมีพื้นที่มากกว่าหนึ่งร้อยตารางเมตร ผนังถ้ำมีรอยด่างดำและรอยสึกหรอตามธรรมชาติ ถ้ำไม่ได้ใหญ่โตมากนักสามารถมองเห็นทุกอย่างภายในถ้ำได้อย่างชัดเจน
ต้นไม้สีแดงงอกอยู่บนผนังถ้ำเด่นสะดุดตา ต้นไม้เล็ก ๆ ที่ไม่มีใบ มีเพียงเจ็ดกิ่ง มีห้ากิ่งที่มีผลสีแดงสดสีสันสวยงาม
ดวงตาของฉู่ชวิ๋นเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ถ้าเขาไม่เดาผิดมันเป็นต้องเป็นผลอัคคี!
ผลอัคคีเป็นผลไม้จิตวิญญาณระดับต่ำแต่ก็มีค่ามาก มันเกิดจากกลุ่มก้อนพลัง เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนที่ระดับยังไม่สูงมาก มันเป็นสิ่งที่ฉู่ชวิ๋นต้องการในตอนนี้
เขาเคยคิดว่าโลกใบนี้อ่อนแอ แต่เขากลับได้พบสมุนไพรวิญญาณและยังมีผลอัคคี ทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนความคิด บางทีเมื่อนานมาแล้วโลกอาจเต็มไปด้วยพลังและขุมทรัพย์มากมาย แต่เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นโลกจึงกลายเป็นแบบปัจจุบัน
เขาเคยเดินทางไปยังดวงดาวมากมายหลายแห่ง แม้แต่ดาวที่พลังต่ำที่สุดก็ยังมีกลิ่นไอของพลังหรือขุมทรัพย์มากกว่าโลกใบนี้นัก
ดาวเคราะห์ที่พลังอ่อนแรง เหมือนโลกจะถูกเรียกว่า ดาวมรณะในภาษาของเซียน บางทีโลกอาจจะเคยรุ่งเรืองมาก่อน แต่มันล่มสลายไปแล้ว ตอนนี้วรยุทธ์ของเขาอ่อนด้อยเกินไป ทำให้เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับโลกนี้กันแน่?
ผลอัคคีเปล่งแสงสีแดงและออร่าจาง ๆ ออกมาทำให้รู้สึกสดชื่น จิ่วโยวโผล่หัวออกมามันรับรู้ได้ถึงของวิเศษ ถ้าฉู่ชวิ๋นไม่จับหางของมันเอาไว้ มันคงรวบไปกินคนเดียวแน่
ฉู่ชวิ๋นเมื่อได้สติก็เริ่มเก็บผลอัคคี เขามีวิธีการเก็บผลอัคคีแบบพิเศษเพราะถ้าใช้วิธีเก็บเช่นเดียวกับฮวาชิงหวู่ ประสิทธิภาพของมันจะลดลงอย่างมาก
ฉู่ชวิ๋นตั้งค่ายกลห้าวิญญาณ เพื่อดูดซับพลังวิญญาณรอบ ๆ ภูเขาผีเสื้อเพื่อให้แน่ใจว่าประสิทธิภาพของผลอัคคีจะไม่ลดลงไปหลังถูกเด็ดจากต้น เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วฉู่ชวิ๋น ก็เริ่มเด็ดผลอัคคีพร้อมขยับมืออย่างว่องไว
งั่บ!
ฉู่ชวิ๋นหยุดผสานมือแล้วเก็บค่ายกลอย่างหงุดหงิด เพราะจิ่วโยวไม่อาจทนต่อความอยากได้อีกต่อไป มันอาศัยจังหวะที่ฉู่ชวิ๋นกำลังสร้างค่ายกล เลื้อยเข้าไปกัดผลไม้หนึ่งผลและกลืนลงไปทันที มันชูคอสูงเพราะผลอัคคีมีขนาดเท่าไข่ไก่ แต่จิ่วโยวตัวเล็กเพียงนิ้วหัวแม่มือเท่านั้น
หลังจากกลืนมันลงไปแล้วร่างกายของจิ่วโยวก็นูนใหญ่เป็นก้อนดูน่าขัน ฉู่ชวิ๋นจนปัญญาได้แต่เข้าไปช่วยทำให้ผลอัคคีในท้อง
จิ่วโยวสลายเป็นผุยผงมันจะได้ไม่ท้องป่อง หลังจากนั้นไม่นานผลอัคคีก็กลายเป็นพลังอันแน่นหนาในท้องของจิ่วโยว คล้ายกับพลังหมุนเวียนอยู่ในร่างของจิ่วโยว
จิ่วโยวเป็นสัตว์อสูรที่แข็งแกร่ง มันมีวิธีของตัวเองในการดูดซับพลัง
ฝ่อ!
จิ่วโยวปรือตาลงอย่างสบาย ๆ ร่างกายของมันเปล่งประกายจากนั้นมันก็เปิดปากแล้วเรอออกมา
ฉู่ชวิ๋นกลั้นยิ้ม ตอนนี้จิ่วโยวดูน่ารักแปลก ๆ!
เพราะร่างกายที่แข็งแกร่งของจิ่วโยว ทำให้มันกล้าที่จะกลืนผลอัคคีลงไปแบบตรง ๆ ต่อให้เป็นฮวาชิงหวู่ที่มีร่างทิพย์ ก็สามารถดูดซับพลังของผลอัคคีได้ทีละน้อยเท่านั้น หากกลืนมันลงไปทันทีเหมือนจิ่วโยว พลังของผลอัคคีจะทำให้ภายในร่างกายแผดเผาและอาจร่างระเบิดได้เลย
“จิ่วโยว ฉันจะสอนทักษะยุทธ์ให้เธอ มันเป็นทักษะที่ชื่อว่า คลุมวรุณ”
ทักษะนี้เป็นวิชาเบื้องต้นของสัตว์อสูร เหมาะสำหรับ จิ่วโยวในตอนนี้มาก ฉู่ชวิ๋นใช้ปลายนิ้วแตะไปที่เห็นหัวเล็ก ๆ ของจิ่วโยว ปลายนิ้วของฉู่ชวิ๋นเปล่งแสงสว่างพร้อมส่งเคล็ดวิชาให้กับจิ่วโยว แม้ว่าจิ่วโยวจะเข้าใจภาษามนุษย์แต่มันยังไม่สามารถอ่าน-เขียนได้ ฉู่ชวิ๋นเลยส่งเคล็ดวิชาฉบับภาษาสัตว์อสูรไปให้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจเคล็ดวิชาทั้งหมดแต่มันต้องใช้เวลา
จิ่วโยวเลื้อยไปพันรอบข้อมือของฉู่ชวิ๋นและเข้าสู่การจำศีลซึ่งเป็นวิธีการฝึกตนแบบพิเศษของสัตว์อสูร เมื่อไม่มีจิ่วโยวคอยสร้างความวุ่นวายฉู่ชวิ๋น ก็สร้างค่ายกลเพื่อเก็บผลอัคคีได้สำเร็จ
“เธอพึ่งเริ่มฝึกฝนวรยุทธ์ เพราะฉะนั้นฉันจะสอนพื้นฐานให้ก่อนจะได้เข้าใจวิธีการฝึกตน เมื่อเข้าสู่ขั้นหลอมรวมลมปราณ ฉันจะมอบทักษะที่แท้จริงให้กับเธอ”
ฉู่ชวิ๋นพูดกับฮวาชิงหวู่พลางชี้นิ้วถ่ายทอดเคล็ดวิชา ฮวาชิงหวู่ร่างกายสั่นไหวก่อนจะมีข้อมูลจำนวนหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว เธอจะทำความเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวเธอเองแล้ว
“วรยุทธ์ของเธอต่ำเกินไป ค่อยดูดซับพลังจากผลอัคคีอย่างช้า ๆ ห้ามรีบร้อนเด็ดขาด”
ฉู่ชวิ๋นกล่าวและสะบัดมือเบา ๆ ผลอัคคีก็ลอยมาหยุดอยู่เบื้องหน้าฮวาชิงหวู่
ฮวาชิงหวู่รีบนั่งลงและเริ่มโคจรลมปราณตามที่ฉู่ชวิ๋นสอน ฉู่ชวิ๋นคอยดูอยู่ห่าง ๆ พอเห็นว่าฮวาชิงหวู่ดูดซับพลังของผลอัคคีอย่างช้า ๆ เขาก็รู้สึกวางใจ ฉู่ชวิ๋นเดินไปหยิบผลอัคคีแล้วกินมันทันที
เปลวไฟของผลอัคคีเข้าสู่ร่างกาย พลังที่เข้มข้นก็แพร่กระจายอย่างรุนแรง ฉู่ชวิ๋นไม่กล้าประมาท เขานั่งลงและเริ่มดูดซับพลังของผลอัคคี
1 วัน
2 วัน
3 วัน
ฉู่ชวิ๋นนั่งสมาธิเป็นเวลากว่า 3 วันแล้ว
ฮวาชิงหวู่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น เธอไม่อาจเปรียบเทียบกับฉู่ชวิ๋นได้เลยแม้ว่าเธอจะมีร่างทิพย์ก็ตาม แต่การฝึกตนนั้นขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และความเข้าใจ แต่เธอไม่รู้ว่าฉู่ชวิ๋นฝึกตนเป็นครั้งที่สองแล้ว เขาเลยเข้าใจถึงการโคจรพลังในทุกระดับพลัง ไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้
ความสำเร็จของฮวาชิงหวู่นับว่าเร็วมากแล้ว ฉู่ชวิ๋นขอให้เธอฝึกทีละขั้นตอนอย่างช้า ๆ เธอก็ไม่กล้ารีบร้อนหลังจากดูดซับพลังของผลอัคคีจนมันเล็กลงไปเกือบครึ่งแล้วเธอก็เก็บมันลงไป
5 วันผ่านไป
10 วันผ่านไป
20 วันผ่านไป
จนกระทั่งอีก 1 เดือนพลาง
ฉู่ชวิ๋นก็ยังไม่ตื่น ฮวาชิงหวู่ก็ไม่กล้าที่จะรบกวนเขา เธอรอฉู่ชวิ๋นไปพลางฝึกฝนพลังของตัวเองไปพลาง
……
……
ณ ภูเขาผีเสื้อ ผู้เฒ่าทั้งสามเดินอย่างมั่นคง ทั้งสามคนดูน่าเกรงขามมาก ขนคิ้วมีความสง่างามและที่สำคัญทุกคนเปี่ยมไปด้วยพลัง ไม่ได้ดูแก่ชราเลยแม้แต่น้อย
“น่าจะเป็นที่นี่!”
หนึ่งในสามชายชราร่างกายผอมแห้งยืนขึ้นและชี้ไปที่ทางลาดเล็ก ๆ ใต้ภูเขา อีกสองคนหยุดลง ชายทั้งสามเอนกายมองดู ต้นไม้ด้านล่างนั้นหนาทึบจนมองเห็นไปเห็นข้างล่าง
“ข้อมูลถูกต้องหรือเปล่า?” หนึ่งในชายชราผู้แข็งแกร่งเงยหน้าขึ้นและถามออกมา
“ไม่ต้องห่วง ข่าวมาจากพรรคพวกที่เชื่อถือได้ของหยุนสุ่ยเซิง”
“เขาเชื่อถือได้ใช่ไหม?” ถามชายชราร่างอ้วนคนหนึ่งถาม
“ตระกูลหยุนจบสิ้นแล้ว หยุนสุ่ยเซิงหากยังอยากมีชีวิตต่อไป ย่อมไม่กล้าหลอกลวง ไม่มีใครสามารถช่วยชีวิตเขาได้นอกจากพวกเรา” ชายชราผอมแห้งพูดขึ้นอย่างภูมิใจ
อีกสองคนก็รู้สึกสมเหตุสมผล พลางพยักหน้า “ลงไปกันเถอะ!”
หนึ่งในนั้นเปิดกระเป๋าผ้าใบด้วยมือของเขาแล้วดึงเชือกม้วนออกมา พวกเขาเตรียมตัว ผูกเชือกและค่อยๆ ปล่อยตัวลงมา
ชายชราสามคนนั้นจับเชือกด้วยมือเดียว พวกเขาค่อย ๆ โรยตัวลงมาไม่นานก็ลงมาสู่พื้นดิน
คนสามคนยืนนิ่ง ชายชราผอมแห้งรู้สึกแปลกใจพลางชี้ไปข้างหน้า “ถ้ำที่หยุนสุ่ยเซิงพูดถึงใช่ถ้ำนี้ไหม?”
คนอื่น ๆ ต่างมองเป็นตาเดียวกัน “น่าจะใช่ มันเหมือนกับคำอธิบายของหยุนสุ่ยเซิง”
“ทุกคนรู้สึกไหมว่าพลังของที่นี่กำลังไปรวมเป็นกลุ่มก้อนอยู่ด้านใน?” ชายชราร่างอ้วนเอ่ยออกมา
อีกสองพยักหน้าพร้อมใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข
“ตามคำอธิบายของหยุนสุ่ยเซิง ถ้ำแห่งนี้ถูกซ่อนเอาไว้ด้วยพลังงานลึกลับ แต่ตอนนี้ปากถ้ำกำลังเปิดกว้าง ไม่เห็นลึกลับตามที่มันพูดเลย” ชายชราร่างอ้วนถาม
เห็นได้ชัดว่าอีกสองคนก็รู้สึกกังวลใจ เหมือนที่ชายชราร่างอ้วนพูดว่า
“บางทีพลังงานลึกลับนั้นอาจปรากฏแค่บางช่วงเวลาเท่านั้น”
“จะอะไรก็ช่างเถอะ เข้าไปดูข้างในแล้วค่อยว่ากัน” ชายชราอีกคนหนึ่งพูด แล้วรีบเดินไปที่ประตูหิน
“ใช่ เข้าไปข้างในแล้วค่อยว่ากัน” นัยน์ตาของชายชราที่ผอมแห้งเต็มไปด้วยความร้อนรนและวิ่งตามเข้าไป
ชายชราผู้แข็งแกร่งรู้สึกว่ามันไม่ง่ายดายเหมือนอย่างที่เห็น แต่เมื่อเขาเห็นว่าอีกสองคนเข้าไปได้ก็รู้สึกโล่งใจ ตลอดเวลาพวกเขาเพียรพยายามฝึกฝนวรยุทธ์อย่างหนัก มีอันตรายใดที่ต้องจะกลัว?
ดูเหมือนว่าเขาจะระมัดระวังมากเกินไป
……
……
ฮวาชิงหวู่มองใบหน้าฉู่ชวิ๋นที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนเงียบ ๆ ทันใดนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นและรีบไปที่ประตูหิน เมื่อชายชราทั้งสามเพิ่งเข้ามาใกล้ประตูหิน ทันใดนั้นก็มีหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดาปรากฏตัวทำให้ทั้งสามตกใจและหยุดฝีเท้าทันที
ฮวาชิงหวู่มองคนสามคนอย่างเฉยเมย แต่รู้สึกก็ประหลาดใจ ทั้งสามคนมีพลังลมปราณหนาแน่น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าพลังของพวกเขาไม่ธรรมดา พวกเขาคงฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก ๆ
เธอจึงไม่โง่พอที่จะคิดว่าพวกเขาทั้งสามคนเป็นเพียงนักท่องเที่ยวธรรมดาและเธอระวังตัวเต็มที่
สามคนกำลังจ้องมองฮวาชิงหวู่
“ทำไมถึงมีคนอยู่ที่นี่?”
“ฉันไม่รู้หรือหยุนสุ่ยเซิงได้บอกเรื่องนี้กับคนอื่น?”
“ฉันคิดว่ามันเป็นไปได้ที่พวกเราอาจถูกคนอื่นตัดหน้าไปแล้ว”
“บางทีเราอาจยังมีโอกาส ผู้หญิงคนนี้ไม่มีพลังลมปราณด้วยซ้ำ บางทีเธออาจไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์”
สามกระซิบกันอยู่พักหนึ่ง ชายชราผู้แข็งแกร่งเงยหน้ามองฮวาชิงหวู่และพูดพร้อมประสานกำปั้น
“สาวน้อย ฉันเป็นผู้อาวุโสลำดับที่สองของสำนักความหวังใหม่ มีนามว่า เป่ยชง อยากทราบว่าสาวน้อยอยู่สำนักไหนกัน”
แม้ว่าฮวาชิงหวู่ดูเหมือนจะไม่มีลมปราณ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าสบประมาท อาจมีอาจารย์ผู้อาวุโสของเธออยู่แถวนี้ก็ได้
“สำนักฉู่” ฮวาชิงหวู่หลังจากคิดไม่นานก็ตอบอย่างรวดเร็ว
สำนักฉู่? ทั้งสามตกใจนิดหน่อย พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน ฮวาชิงหวู่นิ่งเงียบ มองดูใบหน้าของคนสามคน ภายในใจก็แอบหัวเราะ ชื่อนี้เธอพึ่งคิดขึ้นได้
“พวกท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับสำนักนี้หรือไม่?” เป่ยชงถามอีกสองคนด้วยเสียงกระซิบ
ทั้งสองส่ายหัวในเวลาเดียวกัน แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน
“ที่แท้ก็เพื่อนจากสำนักฉู่นี่เอง ได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังมานาน นับถือ ๆ” เป่ยชงประสานมือโค้งคารวะให้กับฮวาชิงหวู่
ฮวาชิงหวู่เกือบหลุดหัวเราะออกมาจะไปมีสำนักฉู่ในโลกได้ยังไง? แล้วยังชื่อเสียงอันโด่งดังอะไรอีก? เป็นคนหน้าซื่อใจคดจริง ๆ
ฮวาชิงหวู่ เลียนแบบอีกฝ่ายประสานมือโค้งคารวะ “ผู้น้อยทำความเคารพท่านผู้อาวุโสทั้งสาม ไม่ทราบว่าทั้งสามท่านมาที่นี่มีอะไรงั้นเหรอคะ?”
“พวกเราได้ยินเกี่ยวกับทิวทัศน์ที่สวยงามของภูเขาผีเสื้อมานาน ไม่รู้ตัวก็เผลอมาที่นี่แล้ว” เป่ยชงพูดพร้อมรอยยิ้ม
ฮวาชิงหวู่ภายในใจคิดอย่างลับๆ พูดบ้าอะไรของคุณ ใครจะมาเดินเล่นใต้หน้าผา?
“สาวน้อย เธออยู่คนเดียวเหรอ?” เป่ยชงอย่างสงสัย
ฮวาชิงหวู่มองอีกฝ่ายที่เริ่มสำรวจเธอ จากนั้นเธอก็พูดขึ้น “ฉันมาที่นี่กับอาจารย์ของฉัน อาจารย์กำลังทำสมาธิและฝึกลมปราณอยู่ในนั้น รบกวนท่านทั้งสามพูดเสียงเบา ๆ หน่อย ฉันเกรงว่าจะรบกวนท่านอาจารย์”
ทั้งสามคนสีหน้าเปลี่ยนไป ดูเหมือนพวกเขาคาดเดาได้ถูกต้องว่าสาวน้อยคนนี้ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
“อาจารย์ของเธอชื่อว่าอะไร?” เป่ยชงถาม
“อะ…อาจารย์ของฉันชื่อฉู่…ฉู่จ้งเหิง” ฮวาชิงหวู่ไม่ได้เตรียมเอาไว้เลยตอบ อย่างลนลาน
ฉู่จ้งเหิง? ทั้งสามคนแอบหวั่นเกรงชื่ออีกฝ่าย
“ทีนี้พวกเราจะเอาไงดี?” ชายชราที่ผอมแห้งถามเสียงต่ำ
“ฉันว่าเพราะมีผลไม้วิเศษในถ้ำนี้แน่นอนอีกฝ่ายเลยมาที่นี่ ไอ้หยุนสุ่ยเซิงมันไม่ได้ฝากความหวังไว้ที่พวกเรา ตอนนี้มันคงไปแจ้งสำนักอื่น ๆ ไปทั่วแล้วบางทีสำนักฉู่ อาจเป็นหนึ่งในนั้น”
“ผลไม้วิเศษอยู่ใกล้แค่เอื้อม พวกเราจะกลับมือเปล่างั้นเหรอ? ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป สำนักความหวังใหม่ของพวกเราจะมีที่ยืนได้ยังไง?”
“เด็กสาวคนนี้ไม่ได้ฝึกฝนลมปราณด้วยซ้ำ ในนั้นมีอาจารย์ของเธอคนเดียว เรามีตั้งสามคนยังจะกลัวอะไรอีก? รีบเข้าไปฆ่ามันเลยดีกว่า”
“ผู้อาวุโสสอง ผลไม้วิเศษนี้เป็นสมบัติของฟ้าดิน คุณค่าของมันไม่อาจประเมินค่าได้ ฉันจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เด็ดขาด”
ชายชราร่างผอมแห้งและชายชราร่างอ้วนพูดพร้อมแววตาที่โหดเหี้ยม!
ฮวาชิงหวู่อยากร้องไห้ด้วยความขมขื่น ฉู่ชวิ๋นคงไม่ตื่นอีกสักพัก เธอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสามคนนี้ เธอทำได้เพียงหาวิธีถ่วงเวลาเท่านั้น
“ไม่ต้องกังวลสาวน้อยคนนี้อ่อนประสบการณ์ ฉันจะถามเธออีกหน่อยแล้วค่อยตัดสินใจ” เป่ยชงโบกมือเพื่อหยุดพวกเขา จากนั้นก็หันหลังมามองฮวาชิงหวู่
“สาวน้อยมันเป็นวาสนาที่เราได้พบกัน เราอยากเจอกับอาจาารย์ของเธอ” เป่ยชงถามอย่างใจเย็น
ฮวาชิงหวู่รีบร้อนโบกมือพูด “ไม่ได้หรอก ตอนนี้อาจารย์กำลังทะลวงขั้นพลังเป็นจอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ ห้ามให้ใครรบกวน”
จอมยุทธ์ขั้นปรมาจารย์! สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที
คำว่า ‘ขั้นปรมาจารย์’ เป็นเหมือนภูเขาที่ไม่อาจสั่นไหว ใครได้ยินต่างก็ต้องหวาดกลัว อีกฝ่ายกำลังทะลวงขั้นปรมาจารย์ ถ้างั้นเขาก็ต้องแข็งแกร่งอย่างแท้จริง!
จิตใจของเป่ยชงหล่นวูบ แต่เขาก็รู้สึกขอบคุณตัวเองที่ไม่ได้ทำอะไรลงไปไม่อย่างนั้นผลที่ตามมาคงไม่อาจรับไหว
ใบบรรดาทั้งสาม เขาเป็นนักสู้พลังชีพจรระดับ 6 อีกคนสองอยู่ระดับ 5 แม้ว่าพวกเขาจะร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักสู้พลังชีพจรระดับ 9 ต้องเป็นเจ้าสำนักมาเองเท่านั้นถึงจะพอสู้ไหว
“สาวน้อย เนื่องจากอาจารย์ของเธอกำลังยุ่งอยู่ ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะ” เป่ยชงก้มตัวและโค้งคำนับที่ถ้ำ จากนั้นอีกสองคนที่ดูไม่เต็มใจนักก็ได้แต่หันหลังกลับไป
แม้ว่าอีกสองคนจะไม่เต็มใจ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกเพราะพวกเขาไม่อาจต่อกรอีกฝ่ายได้เลย