จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 102-2
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 102-2 ตายทั้งเป็น
“เฮอะ ก่อนตายฉู่ฮองเฮายังควักดวงตาออกมา เพื่อแสดงว่านางตาบอดที่แต่งงานกับคนเนรคุณเช่นเชียนลั่วเฉิง แล้วเสด็จแม่ท่านทำเช่นนี้ ต้องการดำเนินรอยตามฉู่ฮองเฮาหรืออย่างไรกัน”
ทันใดนั้น ที่จมูกเชียนลั่วเฉิง มุมปาก ใบหู ก็เริ่มมีเลือดไหลออกมา ทำเอาเชียนเจิ้นหยางหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง
“สมน้ำหน้า! ในที่สุดเวรกรรมก็ตามสนองท่าน!”
แม้ว่าร่างเขาจะเป็นดั่งเช่นคนที่ตายไปแล้ว แต่การฟังและการรับความรู้สึกกลับชัดเจน
ขณะที่บรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นไอแสนพิเศษ
นี่เป็นกลิ่นไอที่เชียนลั่วเฉิงคุ้นเคย!
เพียงแต่ว่าในวันนี้ร่างกายที่ยังมีเรี่ยวแรงนั้นไม่ใช่เขา
สวรรค์!
ข้ายังไม่อยากตาย!
ข้ายังอยากมีชีวิตอยู่!
อยู่เพื่อจัดการคนชั้นต่ำคู่นี้ด้วยมือของข้าเอง!
เชียนลั่วเฉิงไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน กระเสือกกระสนอ้อนวอนที่จะได้มีชีวิตต่อไป ในใจเขาแค้น แค้นเชียนเจิ้นหยางและหลิวกุ้ยเฟยจนแทบกระอัก
ในอดีตเขาเคยให้ความรักพวกเขามากมาย ทว่าตอนนี้ความแค้นเคืองในใจของเขามีมากกว่าความรักที่เคยให้กับพวกเขาเป็นร้อยเป็นพันเท่า!
ไม่ว่าจะเป็นแคว้นหรือฮ่องเต้อะไรเรื่องราวเหล่านั้นเชียนลั่วเฉิงกลับทิ้งมันไว้ข้างหลัง
ความปรารถนาหนึ่งเดียวของเขาในตอนนี้ก็คือ ได้ฆ่าเชียนเจิ้นหยางและหลิวกุ้ยเฟยด้วยมือของเขาเอง
ในสมองเชียนลั่วเฉิงคิดวิธีการขึ้นมามากมาย จับมันทั้งสองคนไปโยนไว้ในรังงูหรือว่าโยนเข้าไปในถ้ำเสือ หรือไม่ก็กรีดอักษรบนหน้าของพวกเขา ตัดมือตัดเท้าโยนเข้าไปในเล้าหมู…
เพียงแต่ความคิดเหล่านั้นจะเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขเดียว นั่นก็คือเขาจะต้อง ‘มีชีวิต’ อยู่ต่อไป
เชียนลั่วเฉิงที่น่าสงสารในเวลานี้กลับมีสติครบถ้วนมากกว่าเวลาไหน
ข้าสร้างเวรกรรมอะไรไว้กันแน่!
เลือดที่ออกบนใบหน้าเชียนลั่วเฉิงไหลออกมามากขึ้นเรื่อยๆ
พวกมันลบหลู่เขา สวมเขาให้เขา เรื่องนี้พูดกับใครนับว่าเหลือเชื่อยิ่งนัก ในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีเรื่องอุบาทว์เช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
หากเชียนลั่วเฉิงฟื้นขึ้นมาได้ เขาจะต้องฆ่าชายหญิงสุนัขคู่นี้ให้ตายด้วยมือของเขาเอง
น่าเสียดาย ที่ตอนนี้แม้แต่จะขยับตัวเขายังทำไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ร้องตะโกนคำรามด้วยความคั่งแค้นอยู่ในใจ ทว่ากลับทำอะไรไม่ได้เลย…
เมื่อครั้งที่เขายังเป็นฮ่องเต้อยู่ไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องเช่นนี้ จะมีก็แต่ในบางครั้งที่เจอเรื่องราวของขันทีผู้ใหญ่วางอำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงขันทีผู้น้อยอยู่บ้าง แต่ในสายตาเชียนลั่วเฉิง การลบหลู่ดูหมิ่นเช่นนั้นเทียบอะไรไม่ได้กับที่เขาต้องประสบพบเจอในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย
ในตอนนี้ เชียนลั่วเฉิงกำลังอาลัยรักและคิดถึงเชียนเยี่ยเสวี่ยที่ตายไปมากมายโดยที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ถึงแม้ว่าเขาจะรักเชียนเจิ้นหยางมากกว่า ทั้งยังเย็นชากับเชียนเยี่ยเสวี่ย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชียนเยี่ยเสวี่ยเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาหรือลักษณะนิสัยของนาง ก็ยิ่งคล้ายคลึงกับตระกูลฉู่มากขึ้นไปทุกที เมื่อเห็นลูกชายคนนี้ เชียนลั่วเฉิงก็มักจะนึกถึงตนเองในอดีตที่ต้องพึ่งพิงตระกูลฉู่จึงได้ครอบครองบัลลังก์ ดังนั้นจึงเกลียดชังเชียนเยี่ยเสวี่ย
แต่ทว่า เชียนเยี่ยเสวี่ยที่มีฉู่ฮองเฮาเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือความรู้กลับสูงส่งกว่าเชียนเจิ้นหยางไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า!
หากเชียนเยี่ยเสวี่ยยังมีชีวิตอยู่ เขาไหนเลยจะต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าอดสูเช่นนี้!
แม้เชียนเยี่ยเสวี่ยจะไม่ชอบเสด็จพ่อเช่นเขา แต่อย่างน้อยที่สุดนางก็ยังเคารพเขา ยิ่งจะไม่มีวันกระทำเรื่องเลวร้ายที่ผิดศีลธรรมเช่นนี้ออกมาเป็นแน่!
เขาเอง เขาเองที่ทำร้ายผู้หญิงที่รักเขาที่สุด ฆ่าลูกที่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับตนเองได้!
เสียใจเหลือเกิน…
“อีอี ข้าเป็นสามีที่เลว ข้าผิดต่อเจ้า!”
“เยี่ยเสวี่ย พ่อเป็นพ่อที่เลว! พ่อผิดต่อเจ้า!”
การที่ร่างเชียนลั่วเฉิงหลั่งเลือดออกมา ทำให้เชียนเจิ้นหยางเข้าใจไปว่าเขาถูกพิษแทรกซึมลึก หลังจากที่ตายไปแล้วจึงมีอาการเลือดออกเจ็ดทวาร
เชียนเจิ้นหยางถือโอกาสลงโทษนี้ประหารตระกูลหลี่ของเสนาบดีหวังเก้าชั่วโคตร
เสียงคัดค้านทั้งหลายทั้งมวลสงบลงได้ด้วยกลิ่นคาวเลือดและการเข่นฆ่า ในที่สุดเชียนเจิ้นหยางก็ขึ้นครองราชย์โดยราบรื่น
ทว่า วันเวลาที่แสนมีความสุขของเชียนเจิ้นหยางก็อยู่ได้ไม่นาน ต้าโจวก็ยกกองกำลังมา โดยมีแม่ทัพที่ชื่อเสียงระบือไกลนามซย่าโหวฉิงเทียน
ก่อนหน้านี้เอาแต่ยุ่งอยู่กับการสยบข่าวลือที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงและรับมือกับเสนาบดีหวัง ทำให้เชียนเจิ้นหยางลืมเลือนไปเสียสนิทว่ามีชื่อซย่าโหวฉิงเทียนผู้นี้อยู่ด้วย
รอจนกระทั่งได้ข่าวว่าต้าโจวนำทัพมา เชียนเจิ้นหยางตกตะลึงจนไม่มีอารมณ์ที่จะมาลบหลู่เชียนลั่วเฉิงได้อีก เขาจึงทำการฝังเชียนลั่วเฉิงไปอย่างลวกๆ
ทว่า เชียนเจิ้นหยางกลับมิได้ฝังเชียนลั่วเฉิงในสุสานหลวง
ในสายตาเชียนเจิ้นหยาง เชียนลั่วเฉิงไม่คู่ควรที่จะฝังในสุสานหลวง
เชียนเจิ้นหยางจึงให้คนฝังโลงเปล่าที่สุสานหลวง แต่ให้นำร่างเชียนลั่วเฉิงไปทิ้งที่สุสานร้างที่นอกเมือง
เชียนลั่วเฉิงกุมอำนาจทั้งหมดในฉินจื้อและต่อสู้ชิงไหวชิงพริบกับซย่าโหวจวินอวี่มาหลายสิบปี จึงนับเป็นวีรบุรุษแห่งยุคที่อาจหาญ ทว่าเมื่อตายแล้วกลับถูกปฏิบัติเช่นนี้…
แว่วเสียงหมาหอนดังแว่วมา หัวใจเชียนลั่วเฉิงก็หดหู่ด้านชาอย่างที่สุด
หรือว่า เขาที่แสวงหาความแข็งแกร่งมาชั่วชีวิต ในท้ายที่สุดต้องมาเป็นอาหารให้กับสุนัขป่าเช่นนี้หรือ
เขาทำอะไรผิดไปกันแน่ จึงต้องถูกกรรมตามสนองเช่นนี้
เชียนลั่วเฉิงนอนอยู่บนพื้น ถูกแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุโลมเลีย แลดูเดียวดายระทมทุกข์
“พี่อวี้ แลดูเขาน่าสงสารยิ่งนัก มิสู้สงเคราะห์เขาให้ตายไปเลยจะดีเสียกว่า!”
หนานกงจื่อหลิงกระซิบ
“ชีวิตเขาเป็นของเชียนเยี่ยเสวี่ย! พวกเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไรได้!”
อวี้เฟยเยียนโปรยผงยาสีชมพูเอาไว้โดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่ามากัดกินร่างของเชียนลั่วเฉิง
เอาร่างของเชียนลั่วเฉิงมาทิ้งที่นี่ นับเป็นการตอกย้ำหัวใจที่อ่อนแรงของเขาเป็นครั้งสุดท้าย ซึ่งก็เป็นสิ่งที่อวี้เฟยเยียนต้องการทำเช่นกัน ทำให้เขาหวาดกลัวจนไร้สิ้นสติ แล้วใช้ความหวาดกลัวโจมตีให้เขาแพ้อย่างราบคาบในที่สุด!
ได้ฟังอวี้เฟยเยียนกล่าวเช่นนี้ หนานกงจื่อหลิงจึงไม่กล่าวอะไรออกมาอีกเลย
นางได้รับรู้สภาพที่น่าอนาถของเสด็จแม่เชียนเยี่ยเสวี่ยก่อนตาย หากเปลี่ยนเป็นนางก็คงไม่ให้อภัยพ่อเช่นนี้เหมือนกัน
ในเมื่อกระทำกรรมชั่วไว้ ย่อมต้องได้รับผลชั่วตอบแทน
นี่คือวัฏจักร หรือที่เรียกว่าชีวิตคนนั่นเอง!
“พี่อวี้ ในบางครั้งข้าก็รู้สึกอิจฉาในมิตรภาพระหว่างท่านและพี่เสวี่ยยิ่งนัก!”
ระหว่างทางที่กลับ หนานกงจื่อหลิงกอดแขนอวี้เฟยเยียนแล้วยิ้มไปตลอดทาง
“ข้าอยากจะให้ท่านแต่งงานงานกับพี่ใหญ่เร็วๆ เช่นนี้ พวกเราก็จะใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น! พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าก็จะได้ไม่ต้องอิจฉาพี่เสวี่ยอีกต่อไป!”
คำพูดของหนานกงจื่อหลิง เจือไว้ด้วยอารมณ์ความเป็นเด็ก ทว่ากลับน่ารักยิ่งนัก
แต่งงาน
อวี้เฟยเยียนเลิกคิ้วขึ้น แล้วคิดถึงความไม่สบอารมณ์ของซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อคราวที่เขาต้องจากนางไปทำศึก แล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้
ยังดีพวกเขาทั้งสองคนตกลงกันเอาไว้แล้ว การเคลื่อนทัพในคราวนี้ก็เพื่อข่มขู่เชียนเจิ้นหยางเท่านั้น
มิเช่นนั้นอวี้เฟยเยียนก็คงจะคิดว่าที่ซย่าโหวฉิงเทียนนำทัพไปคราวนี้ แล้วเข้าโจมตีฉินจื้อเสียจนราบเป็นหน้ากลอง ก็เพราะต้องการระบายอารมณ์ที่ต้องห่างกับนางเป็นแน่
“แต่งงานหรือ…พี่ชายของเจ้ายังไม่ขอข้าแต่งงานด้วยซ้ำ”
อวี้เฟยเยียนตอบยิ้มๆ
“ขอแต่งงาน”
ศัพท์คำนี้แปลกใหม่อย่างมากสำหรับหนานกงจื่อหลิง
เพราะอย่างไรเสียไม่ว่าจะเป็นที่หลัวอวี่หรือว่าที่อู๋โยว การแต่งงานของฝ่ายหญิงล้วนแต่เป็นคำสั่งพ่อแม่ เป็นวาจาแม่สื่อ ตอนนี้อวี้เฟยเยียนกำลังกล่าวถึงคำว่า ‘ขอแต่งงาน’ ทำให้หนานกงจื่อหลิงสนใจใคร่รู้เป็นอย่างมาก!
“พี่อวี้ ขอแต่งงานคืออะไรหรือคะ”
หลังจากที่สนิทสนมกันแล้ว อวี้เฟยเยียนก็ไม่ได้สวมผ้าปิดหน้าแต่อย่างใด
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้พบโฉมหน้าที่แท้จริงของอวี้เฟยเยียน หนานกงจื่อหลิงยังคิดว่านางคือนางฟ้าเสียแล้ว นางถึงกับคิดว่า อวี้เฟยเยียนยังงามกว่าสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองอู๋โยว สุ่ยเย่ว์เอ๋อร์เสียอีก!
“ขอแต่งงานก็คือพิธีการรูปแบบหนึ่ง ฝ่ายชายจะสารภาพรักกับฝ่ายหญิง ขอร้องให้นางแต่งงานกับเขา! สำหรับเรื่องขอแต่งงานอย่างไร ขอที่ไหน แต่ละคนล้วนเลือกวิธีที่แตกต่างกัน!”
ได้ฟังคำอธิบายของอวี้เฟยเยียน หนานกงจื่อหลิงก็ถึงกับตบมือให้
“พี่อวี้ หากว่าพี่ใหญ่ไม่ขอท่านแต่งงานล่ะก็ ท่านก็อย่าไปแต่งงานกับเขาเด็ดขาด!”
“ฮ่าๆ ข้าอยากจะเห็นจริงๆ เลยว่าพี่ใหญ่ที่แสนสง่าในเวลาปกติ เมื่อถึงตอนที่ขอแต่งงานมันจะเป็นอย่างไร ถึงตอนนั้นข้างจะแอบมองอยู่ข้างๆ หากว่าเขาขอแต่งงานไม่ได้ดั่งใจล่ะก็ พี่ก็ห้ามแต่งนะเจ้าคะ ใครให้พี่ใหญ่ไม่ยอมเปิดเผยฐานะกับข้าเล่า!”
“พี่อวี้ ท่านจะต้องเป็นพวกเดียวกับข้านะ!”
หากซย่าโหวฉิงเทียนรู้ว่าน้องสาวตนมีนิสัยไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน จอมจุ้นวุ่นวายเช่นนี้ เขาจะต้องเสียใจที่เก็บน้องสาวเอาไว้ข้างกายอวี้เฟยเยียนอย่างแน่นอน