จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 107-3
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 107-3 ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกระอักเลือด ทรงอดทนไว้ก่อน!
ครั้นเมื่อเขาเข้าไปในห้อง อวี้เฟยเยียนยังคงกำลังหลับสนิท
ท่าทางการนอนนางช่างสนุกยิ่งนัก นางม้วนผ้าห่มพันรอบตัวราวกับเจ้าตัวไหมดักแด้ก็ไม่ปาน เหลือไว้เพียงใบหน้าดวงน้อยเท่านั้น
“แมวน้อย…”
วางภาพวาดลง ซย่าโหวฉิงเทียนเดินไปข้างเตียง โน้มศีรษะลงจุมพิตที่ปลายจมูกอวี้เฟยเยียนแผ่วเบา
“อื้อ…”
ความรู้สึกคันยุบยิบที่ปลายจมูก ทำให้อวี้เฟยเยียนขยับตัวเล็กน้อยภายใต้ผ้าห่มจากนั้นจึงพลิกตัวเป็นนอนตะแคง เผยลำคอระหงที่ขาวเนียนและเส้นผมสีดำขลับยาวสยาย
ท่าทางราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปานของอวี้เฟยเยียนนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนเห็นแล้วหัวใจอ่อนยวบ
เด็กโง่ แล้วเช่นนี้เมื่อไหร่เจ้าจะสำเร็จวีรชนอาวุโสได้นะ!
ยิ่งเมื่อคิดถึงว่าภายหลังจากที่อวี้เฟยเยียนสำเร็จขั้นแล้ว เขาและนางก็จะได้ฝึกร่วมกัน ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนก็รอคอยด้วยความหวัง
วันนี้เขาได้เรียนรู้มาตั้งหลายท่วงท่า วันหน้าจะได้ลองปฏิบัติกับแมวน้อยดูบ้าง!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่า ‘กวนอิมนั่งดอกบัว’ นั้น ชื่อช่างสวยงาม ภาพก็งดงาม คิดแล้วจะต้องไม่เลวอย่างแน่นอน!
อวี้เฟยเยียนไม่รู้เลยว่าในตอนนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนได้ถูก ‘ชักจูง’ ไปในทางที่ผิดเสียแล้ว นางยังคงคิดสับสนอยู่ในความฝันอยู่เลยว่าจะชี้แนะเจ้าจอมบื้อคนนี้อย่างไรดี
มีของอร่อยอยู่กับตัวกลับกินไม่ได้ ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก
มองดูนางนอนสบาย ซย่าโหวฉิงเทียนจึงถือโอกาสนอนลงเคียงข้างนาง กกกอดนางจนหลับไปด้วยกัน
กว่าที่อวี้เฟยเยียนจะตื่นขึ้น ก็ปาเข้าไปเช้าของวันรุ่งขึ้นเสียแล้ว
ที่นี่ไม่ใช่หอซงเฮ่อ…
ลุกขึ้นนั่งอึ้งอยู่ครู่ใหญ่ นางถึงรำลึกเรื่องราวเมื่อวานนี้ขึ้นมาได้
นี่คือห้องของซย่าโหวฉิงเทียน!
แล้วคนเล่า
อวี้เฟยเยียนลุกขึ้นจากเตียง จึงได้พบว่าเสื้อผ้าตนเป็นระเบียบเรียบร้อยดี อีกทั้งยังสวมเสื้อไหมพรมสีขาวอีกชั้นหนึ่งด้วย
เห็นที คงจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสินะ!
ในใจอวี้เฟยเยียนรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
“มีใครอยู่หรือไม่”
อวี้เฟยเยียนร้องเรียก เสวี่ยเยี่ยนได้ยินเสียงเรียกนั้นจึงเดินเข้ามา
“แม่นางอวี้ ท่านตื่นแล้วหรือ! นายท่านไปฝึกวรยุทธ์ที่ลานฝึกตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ!”
เสวี่ยเยี่ยนยิ้มหวาน
“ให้ข้าน้อยปรนนิบัตินะเจ้าคะ!”
“ไม่ต้อง…”
ในขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังจะพยักหน้ารับปากนั่นเอง เสียงซย่าโหวฉิงเทียนก็ดังแทรกเข้ามาก่อนที่ตัวเขาจะเดินเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ
มองดูซย่าโหวฉิงเทียนเกล้าผมแต่งตัวให้กับอวี้เฟยเยียนอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว ดวงตาเสวี่ยเยี่ยนก็แทบถลนออกมาจากเบ้า
มิน่าเล่าก่อนหน้านี้ที่นายท่านให้ตนมาสอนเรื่องเหล่านี้ ที่แท้ก็นำไปใช้กับแม่นางอวี้นี่เอง!
นายท่านปรนนิบัติด้วยตัวเอง นี่นับเป็นข่าวใหญ่ทีเดียว!
และเมื่อสังเกตอากัปกิริยาของอวี้เฟยเยียนก็พบว่านางเองก็ไม่มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย ราวกับเคยชินมาตั้งนานแล้วอย่างไรอย่างนั้น ซึ่งนั่นทำให้เสวี่ยเยี่ยนยิ่งมั่นใจ
คราวนี้นายท่านคงรักจริงเข้าให้แล้ว!
เห็นทีอีกไม่นาน พวกเราก็คงจะมีนายหญิงแล้วกระมัง!
หลังรับมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ซย่าโหวฉิงเทียนก็ส่งอวี้เฟยเยียนกลับจวนจงอี้กง ซึ่งเพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปก็พบกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคยทันที
นอกจากชาวคณะที่เดินทางมาที่เมืองหลวงพร้อมกัน ประกอบด้วยเชียนเยี่ยเสวี่ย ตี้อู่เฮ่ออีและหนานกงจื่อหลิงแล้วยังมีเหลียนจิ่น มั่วซาง หมอเทวดาฮั่ว เซวียจื่ออี๋ก็อยู่พร้อมหน้า รวมทั้งฮันจื่อที่กำลังแกว่งหางและส่ายหัวไปมาอย่างแรงเพื่อประจบสอพลอด้วยอาการร่าเริง
เมื่อเห็นหน้าอวี้เฟยเยียนหมอเทวดาฮั่วก็ร้องตะโกนทักทายเสียงดังสนั่น
“แม่นางน้อยอวี้ เจ้านี่ไม่จริงใจเอาเสียเลย! กลับมาเมืองหลวงทั้งที ไม่มาหากันสักนิด เจ้าคงไม่รู้ว่าข้าคิดถึงเจ้ามากแค่ไหนกัน!”
เทียบกับเมื่อครั้งที่พบกันครั้งล่าสุด หมอเทวดาฮั่วอ้วนท้วนขึ้นมากทีเดียว
ก็เพราะคราวที่แล้วเขาเอาแต่ตามติดนางและร่ำร้องไม่หยุด อวี้เฟยเยียนจึงต้องรวบรวมรายการอาหารเท่าที่ตนเองจำได้จดบันทึกลงไปทั้งหมดแล้วมอบให้กับหมอเทวดาฮั่ว
ในตอนนี้ดูจากรูปร่างแล้ว เห็นทีช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาคงจะใช้ชีวิตอย่างอิ่มหมีพีมันไม่น้อย
“รบกวนด้วย พวกเรามาขอฝากท้องอีกแล้ว!”
เหลียนจิ่นส่งรอยยิ้มที่แสนงามสง่า
เมื่อเอ่ยถึงอาหารจานเด็ด สีหน้ามั่วซางที่เงียบขรึมก็แปรเปลี่ยนเป็นรอคอยขึ้นมา
“ไม่เจอกันตั้งนานนะ! ข้ามาขอเรียนรู้งานที่หอคืนชีพ!”
เซวียจื่ออี๋ที่ยืนอยู่ด้านข้างยิ้มให้พร้อมกับทักทายอวี้เฟยเยียน
“อาจารย์ให้ข้าติดตามท่านเรียนรู้จากท่านให้ ขอท่านชี้แนะให้มาก!”
“บ๊อก…บรู๊ว…”
ในตอนนั้นเองฮันจื่อก็เดินออกมาหยุดที่เบื้องหน้าของอวี้เฟยเยียน โดยมองข้ามซย่าโหวฉิงเทียนโดยสิ้นเชิง มันพยายามที่ใช้หัวมันแตะไปที่ฝ่ามือน้อยของอวี้เฟยเยียนให้จงได้
หลายเดือนที่ผ่านมานี้ทำเอามันเบื่อหน่ายจนแทบบ้า!
แม่นางน้อย ข้าคิดถึงแม่นางน้อยเหลือเกิน!
ออดอ้อนออเซาะอวี้เฟยเยียนไม่หยุด แต่กับซย่าโหวฉิงเทียนฮันจื่อกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเสียอย่างนั้น
ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกเสียจากเมื่อครั้งก่อนที่ฮันจื่อขอติดตามอวี้เฟยเยียนไปที่ฉินจื้ออวดความแข็งแกร่งนั้น กลับถูกซย่าโหวฉิงเทียนใช้วาจาดุดันปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ในสายตาซย่าโหวฉิงเทียน หายากนักที่เขาจะได้มีโลกส่วนตัวกับแมวน้อยสองต่อสอง แล้วจะให้สุนัขตัวหนึ่งมาแย่งบทได้อย่างไรกัน
ดังนั้น จึงมีคำสั่งให้ฮันจื่ออยู่เฝ้าหอคืนชีพเอาไว้
ไปคราวนี้ กินเวลาไปกว่าสามเดือน…
วันๆ เอาแต่ขลุกอยู่กับพวกหมอๆ ทั้งวัน ลำบากยากเข็ญเหลือเกิน ว่าหรือไม่เล่า!
แม่นางน้อย เจ้าจะต้องชดเชยข้าให้มากนะ!
“ลำบากเจ้าแล้ว!”
มองดูฮันจื่อเอาแต่ออดอ้อนออเซาะทำตัวประจบประแจง อวี้เฟยเยียนจึงยื่นมือออกไปลูบศีรษะของมันด้วยแรงที่ไม่เบานัก
“มื้อเที่ยงนี้ข้าจะลงมือเข้าครัวด้วยตัวเอง มีส่วนของเจ้าด้วยนะ!”
ยอดเยี่ยมไปเลย!
ฮันจื่อซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเบ้า
สหายมารวมตัวพบหน้ากันทั้งที แน่นอนว่าอวี้เฟยเยียนจะต้องต้อนรับขับสู้สุดกำลัง
ถึงแม้ว่าในเวลานี้จะห่างจากมื้อเที่ยงอยู่พอสมควร แต่ดูจากท่าทางหมอเทวดาฮั่วแล้ว มาเพื่อกินโดยเฉพาะ ดังนั้นอวี้เฟยเยียนจึงรีบจัดแจงให้พ่อบ้านเซี่ยงไปซื้อของสดที่ตลาดทันที
“แม่นางน้อยอวี้ เมื่อคืนวานนี้เจ้าคงมิได้อยู่กับเขาทั้งคืนจนมิได้กลับบ้านใช่หรือไม่!”
หมอเทวดาฮั่วกล่าวถามขึ้น
พวกเขายกโขยงพากันมาที่บ้านตระกูลอวี้แต่เช้าตรู่ ก็พบว่าอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนกลับเข้ามาด้วยกัน ทำให้ในใจหมอเทวดาฮั่วจึงอดความสนใจใคร่รู้ขึ้นมาไม่ได้
ที่เขาเรียกว่าอยู่ก่อนแต่งอะไรนั่นใช่หรือไม่
ก้าวหน้าเกินไปแล้วกระมัง!
“ใช่แล้วเป็นอย่างไร”
ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนเอ่ยปากตอบ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ชิงเป็นฝ่ายเอ่ยตอบเสียเอง ท่าทางหน้าตาที่สื่อไม่ได้ทำอะไรผิดเช่นนั้นมองดูแล้วช่างกวนอารมณ์เหลือเกิน
“ท่านนี่มัน…”
เมื่อเห็นสีหน้าบ้าอำนาจของซย่าโหวฉิงเทียน หมอเทวดาฮั่วก็ถึงกับสรรหาคำมาบรรยายไม่ได้
พวกเขายังไม่ได้แต่งงานกันนะ เขาไม่รู้จักรักษาหน้าฝ่ายหญิงบ้างเลยหรืออย่างไร
หมอเทวดาฮั่วไม่มีลูกสาว ดังนั้นหลังจากที่ได้รู้จักกับอวี้เฟยเยียนแล้วจึงเห็นนางเป็นดั่งสหายสนิทข้ามรุ่นไปเสียแล้ว
ตอนนี้ ยังได้มาเห็นสีหน้าขาดการอบรมสั่งสอนของซย่าโหวฉิงเทียนอีก และตอนนี้ตระกูลอวี้ก็ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่อยู่เลย ในบรรดาผู้คนที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ หมอเทวดาฮั่วอาวุโสที่สุด เขาจึงคิดว่าตนเองมีหน้าที่จะต้องพูดแทนอวี้เฟยเยียน
“หลินเจียงอ๋อง ท่านคิดว่าจะมาสู่ขอแม่นางน้อยอวี้เมื่อไหร่กัน”
“แม่สื่อสามคนสินสอดทองหมั้นหกหาบ ท่านตระเตรียมแล้วหรือยัง”
“แม่นางน้อยอวี้เป็นถึงปรมาจารย์ทั้งยังเป็นจักรพรรดิโอสถ สินสอดทองหมั้นยิ่งมิอาจน้อยหน้าใครได้! ประเพณีตามขนบธรรมเนียนที่พึงมีก็ควรที่จะมี! อีกอย่าง ยังต้องมีอีกเป็นเท่าตัว!”
แต่งงาน…
เป็นความคิดที่ดีทีเดียว!
เช่นนี้แล้วแมวน้อยก็จะเป็นของเขาโดยสมบูรณ์!