จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 127-1 สามีภรรยาพิลึกพิลั่นที่ต่อสู้ห้ำหั่นซึ่งกันและกัน
- Home
- จำนนรักชายาตัวร้าย
- ตอนที่ 127-1 สามีภรรยาพิลึกพิลั่นที่ต่อสู้ห้ำหั่นซึ่งกันและกัน
ตอนที่ 127-1 สามีภรรยาพิลึกพิลั่นที่ต่อสู้ห้ำหั่นซึ่งกันและกัน
“เสิ่นถูเลี่ย ขอบคุณที่เตือน!” อวี้เฟยเยียนกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
อวี้เฟยเยียนยิ้มกว้างจนดวงตาทั้งสองข้างของนางเรียวเล็กราวกับพระจันทร์เสี้ยว ดวงหน้าที่สว่างสดใสประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม แก้มสีแดงอ่อนระเรื่อ อย่างคนสุขภาพดี งดงามน่ามอง มีชีวิตชีวาเป็นที่สุด
สาวน้อยเอ่ยขานนามของเขาออกมาโดยตรงอย่างไม่เกรงใจ ทว่าเสิ่นถูเลี่ยยิ้มกว้างจนเผยให้เห็นเขี้ยวฟันที่สาวสะอาดของเขา เพราะเขาไม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายกำลังเสียมารยาทเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมมากยิ่งขึ้น
ราวกับว่า…หากเป็นคนทั่วไปเมื่อรู้ฐานะของเขาต่างก็พากันเรียกขานเขาว่า ‘คุณชายใหญ่’ แห่งตระกูลเสิ่นถูด้วยกันทั้งสิ้น น้อยคนนักที่จะเรียกขานชื่อจริงของเขาออกมาตรงๆอย่างเปิดเผยเช่นนี้ อีกทั้ง เสิ่นถูเลี่ยต้องยอมรับเลยว่าเสียงใสเจื้อแจ๋วยามเรียกขานชื่อของเขานั้น มันช่างไพเราะเพราะพริ้งเป็นพิเศษทีเดียว
“ไม่ต้องเกรงใจ! ข้าไม่ถูกชะตากับหลิวติงมาแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ท่านพ่อของข้าไม่อยากให้ข้าหาเรื่องเท่านั้นเอง!”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสิ่นถูเลี่ยก็ยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่เป็นไร
“พวกท่านก็รู้ดีว่า คนเมื่ออายุมากขึ้น ก็หมดไฟ ดังนั้นจึงขอเพียงแค่ได้อยู่อย่างสงบสุขก็เพียงพอแล้ว!”
อาหูที่ยืนอยู่เบื้องหลังของเสิ่นถูเลี่ยได้ยินเช่นนั้น ก็แทบเข่าทรุด
คุณชายใหญ่ ท่านแฉบิดาบังเกิดเกล้า ประมุขแห่งสกุลเสิ่นถูต่อหน้าคนแปลกหน้าเช่นนี้ ไม่ค่อยดีกระมัง?
“ข้าชื่ออวี้เฟยเยียน ส่วนเขาเป็นสามีของข้าซย่าโหวฉิงเทียน เราสองคนเพิ่งมาถึงเมืองอู๋โยว!” อวี้เฟยเยียนแนะนำตัวเองและซย่าโหวฉิงเทียน
การกระทำของนางเช่นนี้ ยิ่งทำให้เสิ่นถูเลี่ยนับถือในน้ำใจของนางมากขึ้นไปอีก
เพราะตามหลักการแล้ว ในวันนี้เขาและพวกนางพบกันโดยบังเอิญ อีกทั้งซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนยังไปสังหารคนของสกุลหลิวเข้าให้ พวกนางจึงสมควรที่จะปิดบังชื่อแซ่ของตนเองเอาไว้ เพราะเกรงว่าจะถูกติดตามคิดล้างแค้นสิถึงจะถูกแต่อวี้เฟยเยียนกลับบอกกล่าวนามของตนเองก็มาตรงๆโดยไม่มีปิดบังแม้แต่น้อย นี่นางไม่ทันคิด หรือว่า…มั่นใจในตัวเองมากกันแน่นะ?
“เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะนำเรื่องไปแจ้งแก่สกุลหลิวหรอกหรือ?” เสิ่นถูเลี่ยเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“เหอะ! ท่านไม่ทำหรอก!” อวี้เฟยเยียนยิ้มบางๆแล้วกล่าวออกมา
“อีกอย่าง ต่อให้ท่านและสกุลหลิวเป็นพวกเดียวกันก็ตาม แล้วเป็นอย่างไรเล่า? ฆ่าคนเพียงหนึ่งคนก็คือฆ่า ฆ่าไปฝูงหนึ่งก็คือฆ่าอยู่ดี! ถูกหรือเปล่า ฉิงเทียน!”
อวี้เฟยเยียนยิ้มหวาน แล้วเอ่ยวาจาอย่างไม่เกรงกลัว
“ถูกต้อง!” ซย่าโหวฉิงเทียนบีบปลายจมูกอวี้เฟยเยียนอย่างแสนรัก
‘สมแล้วที่เป็นแมวน้อยของพี่!’
‘ดูสิ พูดจาได้ตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้!’
‘ฆ่าคนเพียงหนึ่งคนก็คือฆ่า ฆ่าไปฝูงหนึ่งก็คือฆ่าอยู่ดี!’
ในเมื่อมาถึงที่เมืองอู๋โยวนี่แล้ว อีกทั้งมือก็เปื้อนเลือดไปแล้วด้วย พวกเขาจึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้อยู่ที่นี่อย่างสงบสุข!
“แต่ท่านจะลองวิ่งหนีดูก็ได้นะ! ดูสิว่าฝีเท้าของเจ้าเร็วกว่า หรือดาบของข้าที่จะเร็วกว่ากัน”
คำพูดนี้ของซย่าโหวฉิงเทียนเจือเอาไว้ด้วยอาการข่มขู่เต็มพิกัด จนเสิ่นถูเลี่ยอดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มฝืนๆออกมา
‘หึ เหนือฟ้ายังมีฟ้าเหนือคนยังมีคนจริงๆ!’
‘ชายชุดสีม่วงที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเขานี้ ใช้คำว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ธรรมดาๆเห็นทีว่าจะไม่เพียงพอแล้ว’
‘ยิ่งมิต้องพูดถึงสาวน้อยข้างกายของเขาเลย อายุยังน้อยก็สำเร็จถึงจอมปราชญ์อาวุโส เทียบกับบรรดาลูกสาวหลานสาวของตระกูลทั้งแปดแล้ว มีคนไหนบ้างที่เทียบได้?’
“พวกท่านช่างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจริงๆ! ข้านับถือพวกท่านสองคนยิ่งนัก!”
“วางใจเถอะ! ข้าเสิ่นถูเลี่ย เป็นคนองอาจผ่าเผย ความรับผิดชอบ ในเมื่อข้านับพวกท่านเป็นเพื่อน ศัตรูของพวกท่านก็คือศัตรูของข้า!”
นิสัยใจคอของเสิ่นถูเลี่ยทำให้อวี้เฟยเยียนนับถือเช่นกัน
ส่วยซย่าโหวฉิงเทียนก็ไม่ได้รังเกียจเสิ่นถูกเลี่ยแต่อย่างใด
ขอเพียงแต่อีกฝ่ายไม่มาเกาะแกะอวี้เฟยเยียนก็เพียงพอ ดังนั้นการที่จะมีเพื่อนร่วมทางเพิ่งมาอีกสักคน เขาก็ไม่ถือสา
“ไม่รู้ว่าท่านซย่าโหวและเสี่ยวอวี้พวกเจ้าจะเดินทางไปที่ไหนกัน?”
เสิ่นถูเลี่ยใจคอกว้างขวาง ในเมื่อเขานับถือคนทั้งสอง ย่อมต้องเห็นอวี้เฟยเยียนและซย่าโหวฉิงเทียนคือเพื่อนของเขาอย่างแท้จริง
“เมืองเฮ่อ” ซย่าโหวฉิงเทียนเอ่ย
“ไปสกุลหนานกง?”
เสิ่นถูเลี่ยเอนหลัง ใช้มือหนุนศีรษะต่างหมอน ในปากก็คาบหญ้าสุนัขจิ้งจอกเขียวเอาไว้ ด้วยท่าทีสบายๆ
“คุณหนูใหญ่แห่งสกุลหนานกงล้มป่วย มีผู้คนมากมายรีบเร่งเดินทางไปที่เมืองเฮ่อ จุดประสงค์ก็เพื่อต้องการเงินจำนวนหนึ่งแสนหลิงปี้นั้น พวกท่านคงจะไม่ใช่เพื่อเงินนั่นเช่นกันกระมัง?”
“ใช่นะสิ!” อวี้เฟยเยียนทัดปอยผมเอาไว้ที่ข้างใบหู ดวงตาเป็นประกาย
“เงินหนึ่งแสนหลิงปี้ จำนวนไม่น้อยทีเดียว ข้าอยากจะไปดูเสียหน่อย ว่าตัวเองจะมีโชคดีเช่นนั้นบ้างหรือไม่!”
สกุลเงินที่ใช้กันทั่วไปบนแผ่นดินอู๋โยวคือ เงิน ทอง ทองแดง แต่ที่อู๋โยวแห่งนี้กลับไม่ใช่
ที่นี่ นิยมใช้สกุลเงิน จินปี้และหลิงปี้ หนึ่งหลิงปี้เท่ากับสิบจินปี้ ดังนั้นหนึ่งแสนหลิงปี้จึงเป็นจำนวนเงินไม่น้อยทีเดียว
“เหอะ เช่นนั้นเห็นทีพวกท่านคงจะต้องระวังเสียหน่อยแล้ว เพราะหนานกงอ๋าวเป็นไอ้คนเลวที่ไร้สัจจะพูดอย่างทำอย่างนะสิ!”
ในสายตาของเสิ่นถูเลี่ย ทั้งสองคนมาเพิ่งจะมาถึงที่นี่จึงยังไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆเกี่ยวกับเมืองอู๋โยวมากนัก เขาในฐานะที่เป็นเพื่อน ก็ควรจะแนะนำตักเตือน เพื่อให้พวกเขาคุ้นชินกับวิถีการดำรงชีวิตให้อยู่รอดที่นี่ได้
“เสี่ยวอวี้ เจ้ามีใบหน้าที่งดงามยิ่งนัก จะให้ดีควรจะสวมผ้าปิดหน้าเอาไว้ เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่ยวายโดยไม่จำเป็น”
“ถึงแม้พวกเจ้าจะเก่งกาจ แต่เคยได้ยินประโยคที่ว่า ‘ต่อให้เก่งมาจากไหนก็สู้อิทธิพลของเจ้าถิ่นไม่ได้’ ไหม ตระกูลทั้งแปดสามารถปกครองอู๋โยวมาได้เป็นเวลานาน ย่อมต้องมีวิถีทางเพื่อการดำรงอยู่ของตนเอง”
แววตาที่เสิ่นถูเลี่ยมองดูอวี้เฟยเยียนใสซื่อ ไม่มีแววตาสกปรกคิดคดเจือปนอยู่เลยแม้แต่น้อย และเพราะเหตุนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้อนุญาตให้เขาร่วมทางไปด้วย อีกทั้ง คำแนะนำของเขาก็ถูกต้องและเป็นประโยชน์ยิ่งนัก
อวี้เฟยเยียนมีรูปโฉมที่งดงาม และที่อู๋โยวแห่งนี้ก็เป็นที่ๆใช้กำลังตัดสินว่าใครแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเสียด้วย ดังนั้นจึงจะต้องมีผู้ที่หื่นกระหายในความงามของอวี้เฟยเยียนอย่างแน่นอน และจุดประสงค์ของพวกมันย่อมต้องไม่หยุดเพียงแค่คิดมิดีมิร้ายเพียงเท่านี้แน่ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงมีความคิดเห็นที่ตรงกันกับเสิ่นถูเลี่ยทุกประการ
‘แมวน้อยของเขา เขามองได้เพียงคนเดียว’
ในตอนนั้นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนจึงได้หยิบเอาผ้าคลุมหน้าออกมาสวมให้กับอวี้เฟยเยียนโดยพาดบนปิ่นปักผมของนาง
ชายผ้าคลุมหน้าคลี่ลง สามารถปกปิดดวงหน้างามของอวี้เฟยเยียนได้ทั้งหน้าพอดิบพอดี เผยให้เห็นมีเพียงแต่ริมฝีปากบางเฉียบชุ่มชื้นกับปลายคางที่เรียวงามของนางเท่านั้น
ซย่าโหวฉิงเทียนสวมผ้าคลุมหน้าให้กับอวี้เฟยเยียนด้วยท่าทางชำนาญ ทำเอาเสิ่นถูเลี่ยที่กำลังมองดูอยู่แววตาสว่างวาบ
เชี่ยวชาญชำนาญการถึงเพียงนี้ ชายชุดม่วงคงจะปรนนิบัติฮูหยินของเขาเป็นประจำสิท่า
ชายที่มีความอดทนอดกลั้นแห่งอู๋โยวแต่ละคนมีความคิดว่าผู้ชายเป็นใหญ่ทั้งสิ้น เชิดใบหน้าขึ้นหลังตรง กลับบ้านก็ทำตัวราวกับพระราชา นี่จึงเป็นครั้งแรกที่เสิ่นถูเลี่ยได้พบกับชายหนุ่มที่รักและทะนุถนอมภรรยาของตัวเองมากถึงเพียงนี้
‘นี่ถือว่า…เป็นทาสเมียใช่ไหม?’
เดิมทีเสิ่นถูเลี่ยออกมาตั้งใจที่จะมาฝึกฝนวรยุทธ์ ทว่าในตอนนี้กลับคบหาซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนเป็นสหาย ดังนั้นจึงได้เตรียมที่จะเดินทางไปพร้อมกันกับพวกเขาด้วย
อย่างไรเสียสำหรับตัวเขาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ห่างไกลทุรกันดารหรือจะอยู่ในเมืองศิวิไลก็ฝึกวรยุทธ์ได้ทั้งสิ้น
เพราะการฝึกวรยุทธ์ ไม่มีขีดจำกัดว่าต้องอยู่ที่ใด