จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 147-2 เข่นฆ่านองเลือด เต้นระบำเถอะ คนชั่ว
เสิ่นถูปั๋วอี้ชอบใจในสุนัจสีดำตัวยักษ์ตัวนี้ยิ่งนัก เมื่อเห็นว่ามีคนจะลอบทำร้ายมันก็เตรียมที่จะลงมือช่วยเหลือ แต่หานจื่อกลับสะบัดหางเพียงครั้งเดียว หางของมันก็ฟาดเข้าที่ใบหน้าของจักรพรรดิอาวุโสที่กำลังจะลอบทำร้ายมันอย่างแรงจนดวงตาของเขาได้เลือด
“ไอ้เวร!”
“กล้าลอบทำร้ายท่านสุนัขเช่นข้า!”
“ลอบทำร้ายข้ารึ!”
หานจื่อกระโจนเข้าไปเหยียบบนร่างของจักรพรรดิอาวุโสผู้นั้นเอาไว้ทั้งตัว
“กร๊อบๆ!” เมื่อได้ยินเสียงกระดูกกระเดี้ยวของตนเองหัก จักรพรรดิอาวุโสผู้นั้นก็ถึงกับร้องเสียงหลง ร่างของเขาแบนแต๋ เหลือเพียงส่วนศีรษะเท่านั้นที่ยังสบายดีอยู่
นะ น่าหวาดกลัวเหลือเกิน…
กองกำลังของสกุลสุ่ยเคยได้ลิ้มลองความเ**้ยมโหดของหานจื่อมาแล้ว ในเวลานี้เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ความเ**้ยมโหดของหานจื่อในใจของพวกเขาก็ยิ่งเพิ่มระดับเข้าไปอีก ดังนั้นพวกเขาที่ยังมีหัวคิดอยู่บ้างจึงเลือกที่จะหลบหลีกหานจื่อ ใคร่เล่าจะกล้าไปหาเรื่องสุนัขสีดำตัวยักษ์นั่นอีก!
“เจ้าเก่งกาจไม่เบา!” เสิ่นถูปั๋วอี้มองสำรวจหานจื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เจ้าเองก็สายตาแหลมคมมากทีเดียว!”
เมื่อครู่ ชายเครายาวรองเตือนมัน หานจื่อจำได้ แต่จะให้มันคลายความสงสัยระแวดในตัวเขาเพราะเหตุนี้ ไม่มีทางเสียหรอก!
‘เสิ่นถูปั๋วอี้ยิ่งมองหานจื่อก็ยิ่งรู้สึกอัศจรรย์ใจ’
‘หรือว่านี่คือสัตว์วิเศษในตำนานที่เขาเล่าลือกัน?’
‘เป็นไปไม่ได้!’
‘มีเพียงเมืองหมอกเท่านั้นจึงจะมีสัตว์ในตำนานได้นี่นา!’
เมื่อคิดแทบตายก็ยังไม่รู้ได้ว่าหานจื่อมาจากที่ใด เสิ่นถูปั๋วอี้จึงไม่ไปคิดให้เปลืองสมองอีกต่อไป
สิ่งที่เขาสนใจนั่นก็คือ สถานการณ์ภายในกำแพงแก้วสีน้ำเงินนั่นต่างหาก เมื่อครู่มีใครบางคนสำเร็จขั้นเทพอาวุโส ซึ่งดึงดูดความสนใจของเสิ่นถูปั๋วอี้ยิ่งนัก และเมื่อเขาเดินทางมาถึงที่นี่ ก็ได้เห็นการต่อสู้ของสุ่ยเจ๋อซีและอวี้เฟยเยียนเข้า
‘แม่หนูน้อย เฉลียวฉลาดยิ่งนัก!’ เสิ่นถูปั๋วอี้มองดูอวี้เฟยเยียนด้วยสายตาชื่นชม
‘รู้จักที่จะใช้ความสามารถที่ตนเองถนัดหลบหลีกจากอันตราย ไม่เลว!’
เทพอาวุโสวรยุทธ์สูงกว่าปราชญ์อาวุโสถึงสองขั้น หากมองจากพละกำลังแล้ว เห็นได้ชัดว่าอวี้เป็นเฟยเยียนเป็นรองกว่ามาก
แต่นางยังคงเจตนายืดเยื้อการต่อสู้นี้ให้นานออกไป เพื่อปั่นหัวสุ่ยเจ๋อซี อีกทั้งวิชาสกัดจุดที่แสนพิสดารของนางนั้น เสิ่นถูปั๋วอี้ไม่เคยเห็นมาก่อน
‘จอมยุทธ์กำเนิดมาจากคนรุ่นใหม่จริงๆด้วยสินะ!’
เสิ่นถูปั๋วอี้มองออกว่าสาวน้อยในชุดสีชมพูคนนี้อายุยังน้อย ต่อให้เป็นลูกหลานสกุลเสิ่นถูรุ่นใหม่ก็ยังไม่มีปราชญ์อาวุโสที่อายุน้อยเท่านี้มาก่อน
หากจะพูดถับถมถึงลูกหลานของตนเองเสียหน่อยละก็ เขาสามารถพูดๆได้เต็มปากเลยว่า ลูกหลานของเขาที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับสาวน้อยผู้นี้ประมาณสิบกว่าปลายๆ ไม่มีใครเก่งกาจเท่าสาวน้อยเบื้องหน้าเขาอีกแล้ว! ต่อให้เป็นเสิ่นถูเลี่ยที่ใครๆต่างก็ยกย่องสรรเสริญ ยังไม่เก่งกาจเฉลียวฉลาดเท่าสาวน้อยผู้นี้เลยด้วยซ้ำ!
‘หรือว่า เขาจะทนมองสุ่ยเจ๋อซีสังหารแม่หนูผู้นี้ต่อหน้าต่อตาอย่างนั้นหรือ?’
เสิ่นถูปั๋วอี้ลังเลเล็กน้อย
เมื่อไม่นานมานี้อวิ๋นเฮ่อเทียนเจ้าแก่นั้นเพิ่งจะเขียนจดหมายมาเกทับเขาหมาดๆ โอ้อวดว่าตนเองเพิ่งจะรับลูกศิษย์ที่เยี่ยมยอดเก่งกาจและมีพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดาเอาไว้คนหนึ่ง ซึ่งเจ้าเฒ่านั้นตั้งใจจะถ่ายทอดความรู้ของตนเองให้กับศิษย์ผู้นี้
ในตอนท้ายของจดมาย เจ้าแก่นั้นยังเลาะเย้ยเขาอีกด้วย ว่าไม่มีลูกศิษย์ ทั้งยังสำทับว่า สุดท้ายวิชาความรู้รวมถึงวรยุทธ์ทั้งหมดของเขาจะต้องสูญหายไป ทำเอาเสิ่นถูปั๋วอี้โกรธเคืองเสียแทบเป็นแทบตาย เสิ่นถูปั๋วอี้จึงสาบานเอาไว้ว่าจะต้องตามหาศิษย์ดีๆสักคน ไปตอกหน้าอวิ๋นเฮ่อเทียนเจ้าแก่นั่นให้จงได้
บัดนี้ เขาเจอศิษย์ที่เขาตามหาแล้ว แต่สถานการณ์ตรงหน้านี้ เขาควรจะจะสอดมือเข้าไปยุ่งย่ามหรือไม่นะ?
ที่พื้นเบื้องล่าง การปรากฏตัวของชายเครายาวสั่นสะเทือนขึ้นมาถึงสุ่ยเจ๋อซีละอวี้เฟยเยียนที่อยู่ภายในกำแพงแก้วกลางเวหาเลยทีเดียว
อวี้เฟยเยียนไม่รู้สึกรู้สาอะไร เพราะนางไม่รู้จักเสิ่นถูปั๋วอี้ แต่สุ่ยเจ๋อซีเกือบเข่าทรุดเลยทีเดียว
‘แม่เจ้า!’
‘บรรพชนเฒ่าแห่งสกุลเสิ่นถูมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’
‘หรือว่าการคาดการณ์ของเขาก่อนหน้านี้ผิดไป? ประมุขแห่งถ้ำจื่ออวิ๋นและสกุลเสิ่นถูมีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ไม่ต้องการให้ใครรู้จริงๆ?’
เมื่อจดจำเสิ่นถูปั๋วอี้ได้ สุ่ยเจ๋อซีก็มิอาจทำทีเป็นไม่รู้ไม่ชี้ได้อีกต่อไป ต้องเอ่ยทักทายเขาตามมารยาท
“นายเฒ่าเสิ่นถู! ท่านมาแล้วหรือ!”
“อื้ม! ข้ามาสังเกตการณ์!” แม้ว่าเสิ่นถูปั๋วอี้จะไม่รู้ว่าพวกเขาผิดใจกันเพราะเรื่องอันใด ทว่าวิถีทางของสกุลสุ่ยอันน่าไม่อายที่ผ่านมา เขารู้สึกขัดหูขัดตามานานแล้ว
บวกกับที่เขาชื่นชมอวี้เฟยเยียน ต้องการจะชักชวนนางให้นาเป็นศิษย์ของตน ดังนั้นเสิ่นถูปั๋วอี้จึงมีใจที่เอนเอียงไปทางแม่หนูน้อยมากกว่าสักหน่อย
ประโยคเดียวที่ว่า ‘มาสังเกตการณ์’ ของเสิ่นถูปั๋วอี้ทำให้สุ่ยเจ๋อซีตกใจเป็นอย่างมาก
‘ที่ว่ามาสังเกตการณ์ของท่าน มันหมายความถึงอะไรกันแน่?’
‘ตกลงแล้วท่านรู้จักกับพวกเขา หรือไม่รู้จักกันแน่?!’
สุ่ยเจ๋อซีรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อย แม้ว่าสุ่ยฮั่วอีจะสำเร็จถึงปราชญ์ราชันย์แล้วเช่นกันก็ตาม แต่น้ำไกลย่อมมิอาจดับไฟใกล้ได้ หากว่าเสิ่นถูปั๋วอี้เกิดฆ่าตนทิ้งโดยไร้เหตุผลขึ้นมา ก็ไม่มีใครทำอะไรเขาได้นี่นา!
ในขณะที่สุ่ยเจ๋อซีกำลังเลอยู่นั้น พู่กันพิพากษาในมือของอวี้เฟยเยียนก็เข้าสกัดจุดที่บริเวณแผ่นหลังของเขาอีกสองสามครั้ง
ความเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงเช่นเดิมนั้น ทำเอาสุ่ยเจ๋อซีถึงกับร้องลั่น
เจ็บเพียงครั้งสองครั้งไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เพราะอะไรสุ่ยเจ๋อซีถึงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังทำให้ความเจ็บปวดเหล่านี้ส่งต่อถึงกัน?
เพราะทุกครั้งที่ตำแหน่งใดมีบาดแผลเพิ่มขึ้นมา จุดอื่นๆที่มีบาดแผลอยู่แล้วก็จะเจ็บปวดไปด้วย ดูคล้ายกับทุกจุดเชื่อมโยงเป็นระบบเดียวกันอย่างไรอย่างนั้น…
‘นังคนนี้พิลึกพิสดารจริงๆ!’
แต่อวี้เฟยเยียนหาได้สนใจการขัดคอของเสิ่นถูปั๋วอี้แม้แต่น้อย นางไหนเลยจะมีเวลามาสนใจสิ่งอื่นนอกจากสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ เมื่อมีคนมาช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของสุ่ยเจ๋อซีไป นางกลับดีใจเสียอีก!
‘จะสนใจทำไมว่าเขาคือมิตรหรือศัตรู ฆ่าสุ่ยเจ๋อซีให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน!’
‘จะอย่างไรก็ตาม ฆ่าได้คนหนึ่งก็เท่ากับได้กำไรคนหนึ่ง!’
ถูกอวี้เฟยเยียนมองเลยผ่านไป ทำให้เสิ่นถูปั๋วอี้รู้สึกอึดอัดไม่น้อย
‘แม่นางน้อย ไม่ต้องตั้งอกตั้งใจขนาดนั้นก็ได้? ข้าอยู่ตรงนี้! ว่าที่อาจารย์ของเจ้าอยู่ตรงนี้!’
เพียงแต่เสียงนี้ดังอยู่ในความคิดของเสิ่นถูปั๋วอี้เท่านั้น อวี้เฟยเยียนไม่มีทางได้ยินมันแม้แต่น้อย!
ตรงกันข้ามกับสุ่ยเจ๋อซี ความเจ็บปวดจากการที่ถูกสกัดจุด ทำให้เขาต้องทิ้งเสิ่นถูปั๋วอี้ไว้ด้านหลัง
‘นังตัวดี!’
‘จะเล่นปา**่พวกนี้เพื่อจุดประสงค์อะไรกันแน่?’ ยิ่งมองสุ่ยเจ๋อซีก็ยิ่งรู้สึกว่าอวี้เฟยเยียนแลดูน่าสงสัยมากขึ้นไปทุกที
แต่เมื่อนึกถึงว่าสุ่ยเจ๋อเป่ยถูกอีกฝ่ายฆ่าตายไปอย่างง่ายดาย สุ่ยเจ่อซีก็เริ่มจิตใจไม่สงบ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยเริ่มกลับมาวนเวียนอยู่ในจิตใจเขาอีกครั้ง
‘นังเด็กนี่คงจะไม่ได้กำลังใช้วิชามารอะไรกระมัง!’
‘นังเด็กเวร ไม่ได้การละ! ต้องรีบเด็ดหัวนางให้เร็วที่สุด!’
“ตายเสียเถอะ!” สุ่ยเจ๋อคำรามสียงดังสนั่น ลำแสงสีน้ำเงินวนเวียนรอบกายเขา จนร่างของสุ่ยเจ๋อซีดูราวกับเปลวเพลิงอย่างไรอย่างนั้น แม้กระทั่งดาบของเขาก็ยังวาวแสงสีน้ำเงินระยับ ทว่าสิ่งที่ทำให้สุ่ยเจ๋อซีตกใจอยู่ไม่น้อยนั่นก็คือ ครั้งนี้ อวี้เฟยเยียนไม่ได้หลบหลีกแต่อย่างใด