จำนนรักชายาตัวร้าย - ตอนที่ 93-3
จำนนรักชายาตัวร้าย – ตอนที่ 93-3 คนรักที่ชิดใกล้ เขาที่แสนทึ่ม
อวี้เฟยเยียนกำหมัดเกือบจะชกหน้าซย่าโหวฉิงเทียนแล้ว
หมอนี่ไม่รู้จริงๆ หรือแสร้งว่าอ่อนต่อโลกกันแน่นะ!
ซย่าโหวฉิงเทียนไม่เข้าใจว่าเหตุใดอวี้เฟยเยียนจะต้องโกรธ
หรือเป็นเพราะว่าระดับของนางยังต่ำเกินไป มิอาจฝึกหลอมรวมกับเขาได้ จึงโกรธเคือง
เมื่อคิดได้ดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ปลอบโยนอวี้เฟยเยียนต่ออีกว่า
“เหนือจากปรมาจารย์ขึ้นไปยังมีวีรชนอาวุโส จักรพรรดิอาวุโส ราชาจักรพรรดิอาวุโส เทพจักรพรรดิ โดยในแต่ละขั้นจะยากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการชี้แนะของพี่ เจ้าไม่ต้องร้อนใจไป! อย่างมากพี่ก็ฝึกให้ช้าลง รอเจ้าให้มากหน่อยเท่านั้นเอง!”
ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เข้าใจแล้วว่า ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านางนี้ ในเรื่องหญิงชาย เขาเป็นดั่งเด็กน้อยที่ยังไม่เคยเปิดโลกทัศน์มาก่อนเท่านั้นเอง
ดูท่าแล้วเขาจะไม่รู้เรื่องจริงๆ เสียด้วย!
ในที่สุดอวี้เฟยเยียนก็เข้าใจในความหวังดีของฝ่าบาท
ฝ่าบาท หากพระองค์ทรงทราบว่าซย่าโหวฉิงเทียนคิดว่า ‘ชุนกงถู’ คือวรยุทธ์ที่ฝึกร่วมกันของหญิงชายละก็ พระองค์จะทรงกระอักเลือดหรือไม่นะ
ไม่น่าพลาด
ในพระราชวัง
ขณะที่ซย่าโหวจวินอวี่กำลังกินซาลาเปาอยู่นั่นเอง จู่ๆ เขาก็จามขึ้นมาหลายต่อหลายครั้ง
ใครเอ่ยถึงข้ากันนะ
นวดจมูกอยู่ครู่หนึ่ง ซย่าโหวจวินอวี่ก็ครุ่นคิดว่า ต้องเป็นเจ้าลูกชายจอมบื้อของเขา เมื่อได้อ่าน’ชุนกงถู’ แล้วคิดได้เป็นแน่!
ลูกเอ๋ย รุกเลยสิ โถมเข้าหาแม่นางอวี้ ทำหลานชายหลานสาวให้พ่อหลายๆ คน สามปีอุ้มสองคน สี่ปีอุ้มสามคน…ฮ่าๆ!
ยิ่งคิดซย่าโหวจวินอวี่ก็ยิ่งมีความสุข ว่าแล้วก็เสวยซาลาเปาเข้าไปอีกอัน
จวนจงอี้กง
“ภาพนี้ข้าจะเก็บไว้แล้วกัน!”
เห็นซย่าโหวฉิงเทียนพิจารณา ‘ชุนกงถู’ อย่างจริงจัง ทั้งยังเลียนแบบท่าทางในภาพอีก อวี้เฟยเยียนใบหน้าแดงก่ำ เอื้อมมือไปคว้าภาพวาดนั้นมาม้วนเก็บแล้วขึ้นไปเก็บบนหอ
ฝ่าบาท จะใส่ใจไปแล้วนะเพคะ!
จนกระทั่งอวี้เฟยเยียนเดินลงมา ซย่าโหวฉิงเทียนก็ตระเตรียมตะเกียบถ้วยชามเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารคอยนาง
ซย่าโหวฉิงเทียนดึงให้อวี้เฟยเยียนนั่งลงข้างตนเอง
“พี่ไม่รู้มาก่อนเลยว่าเจ้าทำกับข้าวได้!”
“เหอะ! เรื่องที่ท่านไม่รู้ยังมีอีกมากทีเดียว!”
อวี้เฟยเยียนยิ้มจนตาหยีแล้วคีบเนื้อใส่ในชามซย่าโหวฉิงเทียน
“ลองชิมดูสิ เป็นอย่างไร ชอบหรือไม่”
ไม่ทันรอให้ซย่าโหวฉิงเทียนหยิบตะเกียบขึ้นมา เสียงกล่าวโทษก็ดังขึ้นเสียก่อน
“ดีนี่ พวกเจ้ากินกันเพียงลำพัง!”
ตามมาด้วย ลมพัดวูบ แล้วหมอเทวดาฮั่วก็มานั่งลงที่โต๊ะอาหาร จ้องมองอาหารบนโต๊ะตาละห้อย
“ดีนะที่ข้ามาที่นี่วันนี้ มิเช่นนั้น อาหารรสเลิศเหล่านี้คงจะถูกพวกเจ้ากินจนหมดเป็นแน่ พวกเจ้าสองคนมีของอร่อยก็ไม่เรียกข้า ไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่เอาเสียเลย ข้าชักจะโกรธแล้วนะ!”
ตั้งแต่ที่หมอเทวดาฮั่วกลับมาที่เมืองหลวง อวี้เฟยเยียนก็เปิดเผยสถานะที่แท้จริงให้เขาได้รู้
ตอนนั้น ทำเอาหมอเทวดาฮั่วตกใจจนลมแทบจับทีเดียว
หอราชาโอสถสร้างขึ้นบนผืนดินต้าโจว ทว่าพวกเขาเป็นเอกเทศ มิได้เป็นของแคว้นใดแคว้นหนึ่ง ก่อนหน้านี้หมอเทวดาฮั่วและเหล่าเจ้าสำนักหลินยังเคยคาดเดากันว่าอวี้เฟยเยียนเป็นชาวแคว้นใดกันแน่
นึกไม่ถึงว่านางเป็นถึงคุณหนูของจวนจงอี้กง
แต่ทว่า หมอเทวดาฮั่วจัดว่าเป็นผู้ที่มีจิตใจกว้างขวางนิสัยเปิดเผยคนหนึ่ง ฉะนั้นอวี้เฟยเยียนจะเป็นใคร มีฐานะอะไรก็ตามก็หาได้กระทบต่อมิตรภาพระหว่างกันไม่
โลกอันแสนหวานของคนทั้งคู่ ถูกหมอเทวดาฮั่วขัดคอ ทำให้สีหน้าซย่าโหวฉิงเทียนเข้มขึ้น ใครจะคาดคิด หมอเทวดาฮั่วแย่งตะเกียบของซย่าโหวฉิงเทียน แล้วคีบซี่โครงหมูเขาปากทันที
“โอ้ อร่อยนี่นา จานนี้ชื่อว่าอะไร ทำอย่างไร แม่นางน้อยอวี้ เจ้าจะเก็บสูตรลับเอาไว้คนเดียวมิได้นะ เร็ว รีบเขียนสูตรให้แก่ข้า!”
ซี่โครงหมูที่กำลังร้อนๆ ลวกปากหมอเทวดาฮั่วจนเขาต้องพัดปากเพื่อระบายความร้อน
ภาพตรงหน้า ช่างน่าตลกขบขันยิ่งนัก
“เสี่ยวเหลียนจิ่น เสี่ยวมั่วมั่ว เจ้าหนุ่มเซวีย หากพวกเจ้ายังไม่เข้ามา ของอร่อยพวกนี้ก็จะถูกสองคนนี้กินหมดแล้วนา!”
หมอเทวดาฮั่วตะโกนออกไปด้านนอก
คราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้เข้าใจ ที่แท้แล้วไม่ใช่เพียงแค่หมอเทวดาฮั่วที่มา เหลียนจิ่น มั่วซาง เซวียเฉียงล้วนมาด้วย
เราสองคนกำลังใช้เวลาแสนหวานร่วมกัน พวกเจ้ามาขัดคอทำไมกัน!
ใบหน้าหล่อเหลาของซย่าโหวฉิงเทียนบูดบึ้ง
“ขออภัยด้วย รบกวนแล้ว!”
เหลียนจิ่นยังคงสวมชุดขาวแสนสะอาดเช่นเดิม มาพร้อมกับใบหน้าที่คมคายไม่เปลี่ยนแปลง
“ดี!”
มั่วซางมาในชุดสีดำตลอดกาล กับใบหน้าที่เรียบเฉยเย็นชา “อื้อ” มาหนึ่งคำก็ถือว่าได้ทักทาย
“มาเร็วไหนเลยจะสู้มาโดยบังเอิญได้เล่า!”
คนที่เข้ามาคนสุดท้ายนั่นก็คือเซวียเฉียง เขาสวมชุดสีฟ้าคราม รูปร่างของเขาสูงขึ้นมากทีเดียว
คนทั้งคณะต่างพากันนั่งที่โต๊ะอาหารโดยไม่เกรงใจเลยแม้แต่น้อย อวี้เฟยเยียนหยิกเบาๆ ที่มือซย่าโหวฉิงเทียนเป็นเชิงปลอบ ก่อนจะลุกขึ้นไปหยิบชามและตะเกียบเข้ามา
“แม่นางน้อยอวี้ เร็วเข้า รีบแนะนำทีอาหารพวกนี้คืออะไรบ้าง! เพราะข้าในฐานะที่เป็นนักชิมอาหารรสเลิศมามากมาย แต่กลับไม่เคยเห็นอาหารที่เจ้าทำเหล่านี้มาก่อนเลย!”
เมื่อเห็นท่าทีรีบร้อนของหมอเทวดาฮั่ว อวี้เฟยเยียนก็ยิ้มแล้วแนะนำอาหารทั้งเก้าอย่างกับน้ำแกงบนโต๊ะทันที
“กุ้งนึ่งซีอิ๊ว ไก่ย่ำธารา ปลากะพงสามรส ราชสีห์เอวอ่อน ไข่คู่รัก ราวนมเป็ดพริกสด ซี่โครงหมูตุ๋นข้าวเหนียว มือพุทธองค์ น้ำแกงเผือกใส”
“เจ้าจานนี้ที่แท้แล้วก็ชื่อว่าข้าวเหนียวอบซี่โครง ข้าวเหนียวยังมีวิธีกินเช่นนี้อีกด้วย ข้าได้เรียนรู้แล้ว!”
หมอเทวดาฮั่วกล่าวจบ ก็หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วทำท่าเตรียมพร้อมกล่าวว่า
“บอกเอาไว้ก่อน ข้าอาวุโสกว่าพวกเจ้า เช่นนั้นจะต้องยอมลงให้กับข้าบ้าง! มิเช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพเก่าก่อนแล้วกันนะ!”
กล่าวจบหมอเทวดาฮั่วที่ถือตะเกียบทั้งมือซ้ายและมือขวา ก็คีบอาหารใส่ชามตนเองอย่างรวดเร็ว
ไม่นาน ในชามของเขาก็เต็มไปด้วยอาหารกองพะเนิน ราวกับภูเขาก็ไม่ปาน
“อร่อย ฮิฮิ อร่อยจริงๆ!”
กล่าวจบหมอเทวดาฮั่วก็คีบปลากะพงเข้าปาก เขาหลับตาพริ้มสีหน้ามีความสุข อวี้เฟยเยียนไม่เคยพบใครที่มุ่งแต่กินโดยไม่ห่วงชีวิตมาก่อน หมอเทวดาฮั่วนับเป็นหนึ่งในนั้น
เมื่อหมอเทวดาฮั่วเริ่มลงมือ คนอื่นๆ ก็ไม่เกรงใจอีกต่อไป
ท่าทางการกินของเหลียนจิ่นสง่างามยิ่งนัก ทว่ากลับรวดเร็วไม่น้อย ส่วนมั่วซางเป็นพวกเน้นปฏิบัติอยู่แล้ว จึงลงมือกินรวดเร็วยิ่งกว่าชักกระบี่เสียอีก เซวียเฉียงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาแทบจะกินลิ้นตัวเองเข้าไปเลยด้วยซ้ำ
มองดูแขกไม่ได้รับเชิญมาแย่งอาหารที่แมวน้อยทำกับตนเองแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มร้อนรนขึ้นมา
พวกเขากินราวกับไม่เคยกินของอร่อยเช่นนี้มาก่อน คราวนี้ซย่าโหวฉิงเทียนไม่รอช้ากระทำเช่นเดียวกันพวกเขาทันที
“พวกท่านค่อยๆ กินก็ได้ เคี้ยวให้ละเอียดแล้วค่อยกลืนถึงจะดีต่อสุขภาพนะ!”
เห็นทุกคนตั้งหน้าตั้งตากินราวกับหมาป่าหิวโซ อวี้เฟยเยียนก็หมดคำพูด
นักกินคนเดียว สามารถนำพาคนกลุ่มใหญ่ไปกินด้วยได้
เหลียนจิ่นคีบกุ้งเข้าปาก ค่อยๆ ดื่มด่ำกับรสชาติ แต่แววตาเขาแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อย
นางทำกับข้าวกับปลาเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
สาวน้อยแสนเย่อหยิ่ง ที่มีแต่คนมารุมรักเอาใจมาตลอดชีวิต วันหนึ่งกลับสามารถทำกับข้าวกับปลาได้ เฉกเช่นสาวชาวบ้านธรรมดา นี่เป็นสิ่งที่เหลียนจิ่นมิเคยคิดถึงมาก่อน
เจ้ากุ้งนี่อร่อยเลิศล้ำ คนทำจะต้องเชี่ยวชาญ ต้องทำมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว!
ยิ่งคิดใจเหลียนจิ่นก็ยิ่งเจ็บปวด
นางมีฐานะสูงส่ง ไม่ควรจะเคยแตะต้องงานบ้านงานเรือนมาก่อน มือทั้งสองข้างของนางมีไว้เพื่อดีดพิณเป่าขลุ่ย ปรุงยา ศึกษาโคลงฉันท์กาพย์กลอน ตอนนี้กลับมาต้องจับหม้อจับกระทะลงมือทำงานแรงงานเช่นนี้
หากมิใช่ถูกคนให้ร้าย นางก็คงมิต้องเป็นเช่นนี้…
มาวันนี้ นางสำเร็จปรมาจารย์ หากยึดความเร็วในการทะลวงขั้น อีกไม่นาน พวกเขาก็สามารถเผชิญหน้ากับคนพวกนั้นได้
สักวันหนึ่ง นางจะต้องกลับไปที่นั่น ทวงคืนทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาติดค้างนางเอาไว้กลับคืนมา!
เชื่อว่าวันนั้นคงจะมาถึงเร็วๆ นี้!
หลังกินเสร็จเรียบร้อย หมอเทวดาฮั่วที่อิ่มตื้อลูบท้องที่แน่นขนัดไปด้วยอาหารของตนเองเบาๆ ทั้งยังเรอออกมาสองสามครั้ง
“อา มีความสุขจังเลย!”
หมอเทวดาฮั่วกล่าวความในใจแทนทุกคน แม้แต่มั่วซางที่พูดน้อยมาโดยตลอดก็ยังหน้าแดงก่ำ เพราะหนังท้องตึงจากการกินจนอิ่ม
“แม่นางน้อยอวี้…”
ไม่ต้องรอให้หมอเทวดาฮั่วกล่าวประโยคถัดไป ซย่าโหวฉิงเทียนก็ทำหน้านิ่งเอ่ยปฏิเสธเสียงแข็ง
“ไม่ได้!”
“เฮอะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียน ‘เฮอะ’ ออกมาคำหนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า
“ท่านจะมากินดื่ม ให้แมวน้อยเป็นแม่ครัวให้ท่านเปล่าๆ ฝันไปเถอะ!”
ถูกซย่าโหวฉิงเทียนแบไต๋เข้าให้ หมอเทวดาฮั่วถึงกับขยี้จมูกตนเองแก้ขัดเขิน แต่ถึงกระนั้น หมอเทวดาฮั่วก็ยังคงมิยอมละทิ้งความต้องการอาหารรสเลิศไป
“ข้าพูดกับแม่นางน้อย แล้วเหตุใดท่านถึงได้ตัดสินใจแทนนางเสียเล่า!”
“เพราะอะไรน่ะหรือ”
ซย่าโหวฉิงเทียนดึงอวี้เฟยเยียนเข้ามาใกล้แล้วโอบเอวคอดของนางเอาไว้
“เพราะนางเป็นคนของข้า พวกเราเป็นคนรักกัน!”
คำพูดเฉียบขาดของซย่าโหวฉิงเทียน ทำคนสี่ห้าคนที่เพิ่งกินจนอิ่มแปล้ ตกตะลึงไปตามๆ กัน
“อะไรนะ!”
หมอเทวดาฮั่วแทบเต้น
“เจ้าหนุ่มนี่มากเล่ห์เพทุบายยิ่งนัก อาศัยตอนที่ข้าไม่อยู่ ชักนำแม่นางน้อยไป เจ้าเล่ห์กลิ้งกลอก แม่นางน้อยอวี้ ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้นะ เจ้าหมอนี่ไม่น่าเชื่อถือเท่าเสี่ยวเหลียนจิ่นเลย จริงๆ นะ!”
วาจาหมอเทวดาฮั่ว ทำเอาซย่าโหวฉิงเทียนตวัดสายตาคมกริบไปทันที
เจ้าไม้เท้าเทพไม่แย่งแมวน้อยกับข้าหรอกน่า!
ถึงแม้ว่าจะรู้มานานแล้วว่าซย่าโหวฉิงเทียนชอบพออวี้เฟยเยียน ซึ่งอวี้เฟยเยียนเองก็มิได้ปฏิเสธเขา แต่เมื่อได้ยินว่าคนทั้งสองคบหากันขึ้นมาจริงๆ ในใจเหลียนจิ่นก็อดเจ็บปวดขมขื่นมิได้
ทว่า เขาจะทำอะไรได้เล่า!
ร่างกายอ่อนแอ มีวันนี้ไม่แน่ว่าจะมีพรุ่งนี้ของเขา มิสามารถทำอะไรเพื่อนางได้เลย เดิมทีก็มิควรคาดหวัง…
ยิ่งกว่านั้นชีวิตและนามของเขา นางเป็นผู้มอบให้
นางเป็นนาย เขาเป็นบ่าว
เขามิเคยกล้า และจะไม่กล้า คาดหวังอะไรเช่นนั้นอีกด้วย
เซวียเฉียงมองดูคนทั้งสองอิงแอบแนบชิดกัน แววตาเขาก็สั่นระริก
เอาเถอะ!
เขายอมรับว่าเขามาช้าไปจริงๆ!
หากว่า เขาสามารถล่วงรู้อนาคต ว่าวันเดือนปีใดจะได้พานพบกันอวี้เฟยเยียนละก็ เขาก็จะทุ่มเทฝ่าฟันอย่างเต็มที่ เพื่อให้ตนเองมีความสามารถและคุณสมบัติเพียงพอที่จะเคียงข้างนางมาล่วงหน้าก่อนเป็นแน่
โอกาส มีไว้สำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมเท่านั้น
มาวันนี้ต่อให้พยายามฝ่าฟันมากเพียงใด มันก็สายไปเสียแล้ว
แต่ว่า ได้ติดตามนางเป็นสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนางเช่นนี้ ก็ไม่เลว!