จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 106-110
บทที่ 106 : หนานกงอี้โกรธเกรี้ยว
ไป๋หยานรู้สึกเคอะเขินเล็กน้อยนางเผลอแตะริมฝีปากของตน
ทว่านั้นกลับยิ่งดึงดูดความสนใจของเด็กชายไป๋เสี่ยวเฉินเห็นริมฝีปากของไป๋หยานมีร่องรอยแตกก็โกรธจัดขึ้นมาทันที “เจ้าจอมวายร้ายนั่น กัดหม่ามี้อีกแล้วเหรอ ?”
”ไม่มีอะไร”
ไป๋หยานยิ่งอายหนักขึ้น
นางจะอธิบายเรื่องนี้ให้เฉินเอ๋อฟังได้อย่างไร
แววตาของไป๋เสี่ยวเฉินเต็มไปด้วยความทุกข์“หม่ามี้เจ็บมั้ย ? เวลาหม่ามี้เป่าแผลให้เฉินเอ๋อ เฉินเอ๋อก็หายเจ็บ”
ไป๋เสี่ยวเฉินพยายามเขย่งเท้ายืดตัวขึ้นไปหาไป๋หยานกระทั่งนางต้องโน้มตัวลงมา จากนั้นเขาก็เป่าลมร้อนเบา ๆ ขณะที่มือน้อย ๆ ของเขาก็แตะริมฝีปากที่แตกของนาง
”เฉินเอ๋อ”ไป๋หยานดึงเด็กชายตัวน้อยเข้าสู่อ้อมกอด นางจ้องมองเขาพลางถามเบา ๆ ว่า “ลูกอยากพบญาติ ๆ ของแม่หรือไม่ ?”
นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินเปล่งประกายขึ้นมาทันที”หม่ามี้จะให้เฉินเอ๋อพบพวกเขาหรือ ?”
“อย่างไรเสียตอนนี้ตี้คังก็พบตัวเจ้าแล้วไม่จำเป็นที่จะซ่อนตัวอีกต่อไป…นอกจากนี้..” ไป๋หยานหยุดพูดครู่หนึ่ง “พิจารณาจากนิสัยของตี้คังแล้ว แม่แน่ใจว่าเขาไม่มีวันปล่อยให้ผู้ใดรังแกเจ้าได้”
เสี่ยวมี่ที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบน
รังแกพ่อทูนหัวนี่น่ะเหรอ? มีแต่เด็กน้อยผู้นี้ต่างหากที่จะรังแกผู้อื่น ! คนอย่างนายน้อยน่ะหรือจะถูกผู้ใดรังแกได้ ?
”หม่ามี้ลูกรักหม่ามี้ที่สุดเลย”
และแล้ว…
ไป๋เสี่ยวเฉินก็ประทับริมฝีปากเล็กๆ อันอ่อนนุ่มลงบนใบหน้ามารดาของเขา จากนั้นเขาก็ยิ้มอย่างไร้เดียงสา น่ารักน่าเอ็นดู “หม่ามี้ ท่านตาทวดจะชอบเฉินเอ๋อเหมือนกับท่านน้ามั้ย ?”
”อืมมม”
ไป๋หยานพยักหน้าน้อยๆ นางลูบศีรษะของบุตรชาย พลางกล่าวตอบว่า “อย่างไรเสีย การไปพบพวกเขาเหล่านั้นก็ยังมิใช่เรื่องเร่งด่วนนัก แม่ต้องคิดหาวิธีที่เหมาะสมในการแนะนำเจ้ากับพวกเขาเสียก่อน”
”ได้!” ไป๋เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างยินดี “เฉินเอ๋อจะบอกข่าวดีนี้กับท่านน้า ! ตอนนี้เฉินเอ๋อไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไปแล้ว !”
ครั้นเห็นท่าทางตื่นเต้นดีใจของเด็กน้อยไป๋หยานก็รู้สึกผิด ในใจของนางรู้สึกเศร้า นางเริ่มสงสัยว่า สิ่งที่นางทำอาจผิดมาตั้งแต่ต้น
นับแต่เริ่มแรกนางไม่ควรเพิกเฉยต่อความต้องการของไป๋เสี่ยวเฉิน นางไม่ควรซ่อนตัวเขาไว้ …
”ให้เสี่ยวมี่น้อยไปกับเจ้าด้วย”
ไป๋หยานยิ้มตราบใดที่มีเสี่ยวมี่อยู่ข้าง ๆ นางก็แน่ใจว่าจะไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายบุตรชายของนางได้
นอกจากนี้ยังมีคนที่นางสั่งให้ฮัวหลัวจัดไปคอยเฝ้าอารักขาน้องชายของนางอยู่ที่นั่นด้วย
*****
พระตำหนักองค์รัชทายาท
นับแต่ไป๋รั่วกลับจากวังหลวงนางก็รู้สึกคันทั่วร่างอย่างไม่อาจอธิบายได้ เช่นนั้นนางจึงมักจะยกมือเกายุกยิกตลอดเวลา
เหมือนมีมดนับหมื่นตัวคลานอยู่บนร่างของนางทำให้นางรำคาญตลอดเวลา
ตูม!
ทันใดนั้นเองเท้า ๆ หนึ่งก็เตะกระแทกบานประตูกระทั่งเปิดออก ไป๋รั่วเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ แล้วนางก็เห็นองค์รัชทายาทพระสวามีของนางเดินเข้ามาด้านใน พร้อมด้วยใบหน้าดำคล้ำ
”ฝ่าบาท?”
ไป๋รั่วลุกขึ้นอย่างรวดเร็วนางอยากจะเกาทั่วทั้งร่างอีกแล้ว หากแต่ก็ต้องระงับใจไว้ เพราะยามนี้หนานกงอี้มาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้านางแล้ว
”ไป๋รั่ว!” สีหน้าของหนานกงอี้แลดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก “เจ้าเป็นผู้ขอให้เสด็จแม่ของข้าออกราชโองการนั้นใช่หรือไม่ ?”
ไป๋รั่วนิ่งงันด้วยความประหลาดใจนางรีบเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเพคะ”
”เจ้ายังมีหน้ามาถามข้าอีกหรือว่าเกิดอะไรขึ้น? เจ้าก็รู้จักนิสัยใจคอของไป๋จื่อดีมิใช่รึ ? อย่างนางจะเป็นพระชายาอ๋องคังได้อย่างไร ? ไหนยังจะให้ไป๋หยานเป็นพระสนมอีก เพราะราชโองการนี้ ทำให้เสด็จพ่อของข้ากริ้วมาก ทรงปลดเสด็จแม่ของข้าออกจากฮองเฮา ตอนนี้นางถูกส่งเข้าไปขังอยู่ในตำหนักเย็น และห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมนางด้วย ! ”
หนานกงอี้กำหมัดแน่นใบหน้าของเขาดำคล้ำด้วยความโกรธแค้น
ครั้นไป๋รั่วรู้ว่าไม่มีผู้ใดสามารถเข้าพบพระมารดาของสวามีนางในตำหนักเย็นได้! นางก็รู้สึกโล่งใจ
”ฝ่าบาทหม่อมฉันจะไปโน้มน้าวให้เสด็จแม่ทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร ?” ไป๋รั่วกัดริมฝีปากของนางเบา ๆ พร้อมกับแสดงอาการคล้ายว่านางเองก็รู้สึกผิด “ตอนที่หม่อมฉันไปที่วัง หม่อมฉันและเสด็จแม่ได้พบกับไป๋หยานในสวนหลังวัง ไป๋หยานบอกว่าตำแหน่งพระชายานั้นธรรมดาไปสำหรับนาง ทั้งนางยังบอกอีกว่า ในเมื่อหม่อมฉันแย่งตำแหน่งนี้มาจากนาง เช่นนั้นสักวันนางจะทวงคืนอย่างแน่นอน ! เสด็จแม่อาจจะกริ้วด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้ ! นอกจากนี้เสด็จแม่ยังทรงทราบว่าอ๋องคังหลงใหลในตัวพี่สาวของหม่อมฉันอย่างเห็นได้ชัด พระองค์จึงส่งราชโองการนั้นออกไป”
***จบบทหนานกงอี้โกรธเกรี้ยว***
บทที่ 107 : ความเจ็บปวดของไป๋รั่ว
“จริงรึ?” หนานกงอี้ยังคงมองไป๋รั่วอย่างสงสัย “แล้วเจ้าจะอธิบายเรื่องไป๋จื่ออย่างไร ? หากมิใช่เป็นเพราะเจ้า เสด็จแม่จะทรงตัดสินพระทัยอย่างเร่งด่วนเช่นนั้นหรือ ?”
ไป๋รั่วแสดงความโศกเศร้าน้ำตาของนางหยดลงมาทีละหยด ๆ
“ในเวลานั้นหม่อมฉันเพียงพูดว่าอยากให้ไป๋จื่อกับอ๋องคังได้ลองพบปะสนทนากันบ้าง ส่วนคนทั้งสองจะพึงใจกันหรือไม่นั้น ก็สุดแล้วแต่ หากแต่หม่อมฉันไม่เคยคิดเลยว่าเสด็จแม่จะทรงมีพระราชโองการเช่นนั้น…” ไป๋รั่วเกาะแขนเสื้อของสวามี พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า “ฝ่าบาท หม่อมฉันรู้ว่า หม่อมฉันผิด หม่อมฉันไม่ควรพูดจาไร้สาระเช่นนั้น ขอพระองค์โปรดลงโทษหม่อมฉันเถิดเพคะ”
สีหน้าของหนานกงอี้ดีขึ้นเล็กน้อย“หากเรื่องนี้ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับเจ้า เช่นนั้นก็เป็นเพราะความเข้าใจผิดของข้า เสด็จพ่อคงกริ้วแค่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ข้าจะพยายามให้พระองค์สงบใจลงก่อน อีกเรื่อง…”
เขาหยุดก่อนจะกล่าวต่อว่า “ไป๋จื่อ ถูกตี้คังส่งตัวไปที่กรมราชทัณฑ์แล้ว ข้าจะหาคนไปช่วยนาง นางจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานนัก ทว่าเจ้าควรให้บิดาของเจ้าไปขอพระราชทานอภัยโทษด้วย”
หัวใจของไป๋รั่วเต้นแรง
หากฮ่องเต้ทรงพระราชทานอภัยโทษฮองเฮาวันใด นั่นหมายความว่าแผนการของนางจะต้องถูกเปิดเผยด้วยใช่หรือไม่ ?
ไม่มีทาง!
ข้าไม่ยอมให้ฮองเฮาออกจากตำหนักเย็นโดยที่ยังมีพระชนม์ชีพอยู่เป็นแน่!
แววตาของนางเปล่งประกายเต็มไปด้วยเจตนาสังหารอย่างรุนแรง
ไป๋รั่วมิใช่ผู้หญิงโง่เขลาตรงกันข้ามนางเป็นคนฉลาดมาก หาไม่แล้วนางคงไม่สามารถผูกมัดใจองค์รัชทายาทสวามีของนางได้นานหลายปีเช่นนี้
หากโฉมหน้าที่แท้จริงของนางถูกเปิดเผยเมื่อใดเมื่อนั้นนางก็ต้องบอกลาความมั่งคั่ง และอำนาจที่พึงมีได้เลย
แน่นอนว่านางจะไม่มีวันปล่อยให้เกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด !
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ที่เชื่อใจหม่อมฉัน” ไป๋รั่วกล่าว นางค่อย ๆ ก้าวย่างอย่างนวยนาดเข้าหาหนานกงอี้ พลางเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทางน่าสงสาร “หม่อมฉันโชคไม่ดีเอาเสียเลย เสด็จแม่ถูกกักขังอยู่ที่ตำหนักเย็น ขณะที่น้องสาวก็ถูกขังอยู่ในคุก ตอนนี้มีเพียงพี่สาวของหม่อมฉันเท่านั้นที่ยังเป็นที่ชื่นชอบของอ๋องคัง”
ครั้นได้ยินชื่อของไป๋หยานอีกครั้งสีหน้าของหนานกงอี้ก็ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาคิดว่าจะเป็นเรื่องยอดเยี่ยมสักเพียงใดหากในปีนั้นไม่มีเหตุการวุ่นวายดังกล่าวเกิดขึ้น
หากเป็นเช่นนั้นไป๋หยานผู้ซึ่งเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งในแผ่นดินก็ต้องเป็นพระชายาของเขา หากแต่เมื่อใดก็ตามที่คิดได้ว่าไป๋หยานถูกบุรุษอื่นทำให้แปดเปื้อนเสียแล้ว ความรู้สึกรังเกียจก็จะปรากฏขึ้นในหัวใจของเขาทันทีโดยไม่รู้ตัว
”รั่วเอ๋อเจ้าเป็นอะไรไป ?”
ทันทีที่หนานกงอี้หลุดจากห้วงภวังค์อันลึกล้ำเขาก็เห็นไป๋รั่วยืนตัวแข็งทื่อ หัวไหล่ของนางสั่นระริกอยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่านางกำลังเจ็บปวดกับบางอย่าง
”หม่อมฉัน…” ไป๋รั่วกัดริมฝีปาก “หม่อมฉันก็ไม่ทราบเช่นกันว่า เกิดอะไรขึ้น หลังจากหม่อมฉันกลับจากวังหลวง ก็มีอาการคันคะเยอไปทั้งตัว”
หนานกงอี้นิ่งอึ้งเขาฉีกเสื้อผ้าของไป๋รั่ว เผยให้เห็นรอยขีดข่วนทั่วร่างของนาง
ตอนนี้หนานกงอี้ถึงกับตะลึงงันผิวกายของไป๋รั่วมีแต่รอยแดง เต็มไปด้วยรอยขูดขีดแทบไม่เหลือดี ภาพของไป๋รั่วทำให้หนานกงอี้ทั้งทุกข์ใจ ทั้งโมโห
”ไป๋หยานเป็นคนทำเช่นนี้หรือ ?”
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับเอ่ยถาม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ไป๋รั่วส่ายศีรษะราวกับไม่แน่ใจ”หม่อมฉันไม่ทราบเพคะ … ทว่ายามที่อยู่ภายในวังหม่อมฉันก็สัมผัสเพียงเสด็จแม่และพี่สาวเท่านั้น หากแต่พวกเขาก็ไม่น่าจะทำเรื่องเช่นนี้”
แน่นอนว่าไม่มีทางที่ฮองเฮาจะวางแผนทำร้ายนางเช่นนี้แน่ ดังนั้นก็เหลือเพียงไป๋หยานที่มีความเป็นไปได้
”ฝ่าบาท”
ร่างของไป๋รั่วบิดไปบิดมาราวกับงูใบหน้าของนางเผือดซีดไร้สี “ รั่วเอ๋อ เจ็บปวดมาก”
”รั่วเอ๋อรอข้าก่อน ข้าจะไปตามหมอปรุงยามารักษาเจ้า ส่วนไป๋หยานนั้น ข้าไม่มีวันปล่อยนางเด็ดขาด !”
หลายวันที่ผ่านมาหลังจากงานเลี้ยงในค่ำคืนนั้น ใบหน้าของไป๋หยานมักปรากฏขึ้นในใจของเขาเสมอ นั่นยิ่งทำให้เขาเสียใจอย่างมาก
เพราะเขาไม่คิดว่าคนอย่างไป๋หยานจะสามารถเทียบได้กับรั่วเอ๋อผู้แสนบริสุทธิ์อีกทั้งใจดีได้
ในใจของเขาคิดว่าอย่างน้อยเขาก็ยังโชคดีที่ไม่ได้แต่งงานกับไป๋หยาน เพราะต่อให้นางรักษาพรหมจรรย์ไว้ได้ ทว่านางก็เป็นคนใจคอโหดร้ายมาก เช่นนั้นนางจึงไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาทเช่นเขา !
เพราะมิเช่นนั้นตำหนักองค์รัชทายาทคงจะหาความสุขสงบไม่ได้ตลอดกาล !
***จบบทความเจ็บปวดของไป๋รั่ว***
บทที่ 108 : นี่เป็นเพียงการเริ่มต้น
ครั้นหนานกงอี้ออกจากห้องไปแล้วสีหน้าของไป๋รั่วก็เย็นเยือกลงทันที นางกำหมัดแน่นกระทั่งมือแดง แววตาของนางเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ไป๋หยานความเจ็บปวดที่เจ้าได้มอบให้กับข้า ข้าจะตอบแทนเจ้าเป็นสองเท่าเลยทีเดียว !”
อาการคันสุดขีดทำให้นางอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเกาเล็บยาว ๆ ของนางทิ้งรอยเลือดไว้บนผิวเนื้อขาว ๆ นั่นยิ่งทำให้นางเกลียดไป๋หยานมากขึ้นไปอีก
เจ้ายังไม่รู้จักข้าดีนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น …
*****
ในขณะเดียวกันเมื่อไป๋เสี่ยวเฉินจากไปแล้ว ไป๋หยานก็กำลังครุ่นคิดว่า นางจะแนะนำบุตรชายของนางต่อท่านผู้เฒ่าทั้งสองอย่างไร ? โดยที่ต้องไม่ทำให้พวกท่านตกอกตกใจ
แต่ทว่าก่อนที่นางจะตัดสินใจได้นางก็เห็นฮัวหลัวในอาภรณ์สีชมพูสดใสก้าวเข้ามาอย่างเร่งรีบ
”นายหญิง”
ในแววตาของฮัวหลัวยังคงมีรอยยิ้มน้ำเสียงของนางยังคงนิ่มนวลและไพเราะเช่นเคย “เมื่อครู่ คนที่ข้าส่งไปอารักขาท่านไป๋เซียวเพิ่งส่งข้อความถึงข้า… เขาแจ้งว่า นายน้อยถูกคนตระกูลไป๋พบตัว ตอนที่ไปหาท่านไป๋เซียว ข้าจึงมาที่นี่เพื่อขอความเห็นจากท่านว่าเราควรจะทำเช่นไรต่อไป ?”
เรื่องความปลอดภัยของไป๋เสี่ยวเฉินนั้นฮัวหลัวไม่กังวลมากนัก
ด้วยนางรู้ดีว่าเด็กชายตัวน้อยนั้นฉลาดเพียงใดหากบ้านสกุลไป๋คิดจะทำอะไรเด็กน้อย ก็มีแต่จะต้องยอมแพ้เสียล่ะมากกว่า
แววตาของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม“พวกสกุลไป๋คิดจะทำอะไรชั่ว ๆ อีกหรือไม่ ? เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน เดี๋ยวข้ากลับมา”
เนื่องจากนางตัดสินใจที่จะเปิดตัวบุตรชายแล้วเช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องซุกซ่อนเขาไว้อีก !
คิดได้เช่นนั้นนางก็ลุกจากที่นั่ง เพียงพริบตาก็แว่บหายไปจากสายตาของฮัวหลัว
ผู้ที่พบไป๋เสี่ยวเฉินนั้นไม่ใช่ใครนางก็คือหยูฮูหยินผู้เฒ่ามารดาของหยูหรง
กล่าวถึงหญิงชราผู้นี้นับได้ว่านางมีบุญอย่างยิ่ง นางคิดว่าเมื่อบุตรสาวของนางได้เข้ามาอยู่บ้านสกุลไป๋แล้ว นางเองก็จะพลอยมีความสุขไปด้วย
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นมาเนิ่นนานหลายปีจริงๆ เพราะเมื่อนางย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านสกุลไป๋นี้ ฐานะของนางก็เป็นที่ยอมรับนับหน้าถือตา ไม่มีผู้ใดแตะต้องนางได้ แม้แต่บุตรเขยของนางก็ยังเชื่อฟังนาง …
แต่ทว่า
เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้หลังจากไป๋หยานกลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงไป
อย่างแรกก็คือบุตรสาวของนางหยูหรงแสดงอาการบ้าคลั่งต่อหน้าสาธารณชน จากนั้นฮองเฮาก็ถูกเนรเทศไปอยู่ตำหนักเย็น และสุดท้ายหลานสาวของนาง ไป๋จื่อก็ถูกส่งตัวไปคุมขังที่กรมราชทัณฑ์
เช่นนั้นหยูฮูหยินจึงคิดว่าการกลับมาของไป๋หยานครั้งนี้เป็นการนำพาความโชคร้ายมาให้นางแต่เดิมวันนี้นางวางแผนที่จะเดินทางไปที่วัดนอกเมืองเพื่อสวดมนต์ภาวนา นางหวังว่าการสวดมนต์ภาวนาจะช่วยปัดเป่าความโชคร้ายออกไปได้
ผู้ใดจะคาดคิดว่าในขณะเดินทางกลับบ้าน นางจะเห็นไป๋เซียวอุ้มซาลาเปาน้อยอยู่ในอ้อมแขน !
นางรีบให้คนบังคับรถม้าหยุดรถเพื่อที่นางจะได้สืบหาข้อมูลเพิ่มเติม ทว่าทันใดนั้นเองนางก็เห็นเด็กน้อยยื่นตุ๊กตาน้ำตาลปั้นให้ไป๋เซียว พร้อมกับเรียกเขาว่า “ท่านน้า” จากนั้นไป๋เซียวผู้ซึ่งปกติมักมีสีหน้าเย็นชาตลอดเวลาก็เผยรอยยิ้ม ช่างเป็นยิ้มที่งดงามราวกับฤดูใบไม้ผลิ !
ไป๋เซียวลูบศีรษะไป๋เสี่ยวเฉินแววตาของเขาอ่อนโยน เขากำลังจะอ้าปากเอ่ยบางอย่าง หากแต่พลันเห็นใบหน้าที่ประหลาดใจของหยูฮูหยินผู้เฒ่าเสียก่อน
ช่วงเวลานั้นเองรอยยิ้มแห่งความสุขก็มลายหายไปจากใบหน้าที่หล่อเหลา นัยน์ตาของเขาวาววับราวคมมีด กลิ่นอายเย็นยะเยือกแผ่ออกมาจากร่างของเขา
”ท่านน้า?” ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบนัยน์ตากลมโตด้วยความสับสน ก่อนจะเงยหน้ามองตามสายตาของไป๋เซียว
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินแลเห็นใบหน้าเจ้าแผนการของหยูฮูหยินผู้เฒ่านัยน์ตาโต ๆ ของเด็กน้อยพลันเปล่งประกายเล็กน้อย ไม่มีผู้ใดรู้ได้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
หญิงชราให้สาวใช้ช่วยพยุงนางเดินช้าๆ เข้าไปหาไป๋เซียว แววตาที่น่ากลัวของนางจับจ้องที่เจ้าซาลาเปาน้อยผู้อยู่ข้างกายไป๋เซียว พลันใบหน้าเหี่ยวย่นของนางก็ปรากฏประกายของความหยามเหยียด
”เด็กนอกคอกนี่เป็นลูกของไป๋หยานใช่หรือไม่?”
เมื่อสองสามวันก่อนที่ไป๋หยานกลับมานั้นนางไม่ได้พาเด็กคนนี้มาด้วย ทุกคนต่างก็คิดว่าบุตรของนางคงตายไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าเด็กนี่จะรอดชีวิตมาได้…
หากไป๋เฉิงเซียงรู้ความจริงว่าตัวอัปยศนี่ยังมีชีวิตอยู่เขาจะต้องเดือดดาลเป็นที่ยิ่ง !
***จบบทนี่เป็นเพียงการเริ่มต้น***
บทที่ 109 : ขายไป๋เสี่ยวเฉิน ?
สีหน้าของไป๋เซียวเย็นชากว่าเดิมขณะกล่าวว่า”เฉินเอ๋อ เป็นบุตรชายของพี่สาวข้า หาใช่ลูกนอกคอกไม่ หวังว่าท่านจะให้เกียรติข้าบ้าง !
”เด็กที่ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นพ่อก็ต้องเรียกว่าลูกนอกคอกมิใช่รึ ?” หยูฮูหยินผู้เฒ่าหัวเราะเยาะ พร้อมกับกล่าวดูหมิ่น
แววตาของไป๋เซียววาวโรจน์ด้วยความโกรธเกรี้ยวทว่าในขณะที่เขากำลังจะระเบิดความโกรธออกมานั้น เสียงอ่อนโยนพลันดังมาจากด้านข้าง
“ท่านน้าลูกนอกคอกคืออะไร ? กินได้มั้ย ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเอ่ยถามอย่างไร้เดียวสา พร้อมกับกระพริบตาปริบ ๆ
ครั้นหยูฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินวาจาโง่ๆ จากเด็กน้อย นางก็ยิ่งผยอง “ลูกนอกคอกที่ข้าพูดถึงก็คือเจ้าไง”
”โอ้! เฉินเอ๋อเป็นลูกที่เกิดจากหม่ามี้ หม่ามี้เลี้ยงเฉินเอ๋อจนเติบใหญ่” ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าวพร้อมรอยยิ้มน่ารัก “เพราะงั้นเฉินเอ๋อเลยทั้งฉลาด และน่ารัก เพราะหม่ามี้เป็นดั่งต้นไม้ที่ให้เมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพ ไม่เหมือนกับแม่เฒ่าคนนี้ นางให้แต่เมล็ดพันธุ์แย่ ๆ เชื้อสายของนางเลยแย่มาก ๆ เหมือนลูกนอกคอก”
เดิมทีไป๋เซียวเกรงว่าหลานของเขาจะสะเทือนใจกับวาจาเลวร้ายนั่น ทว่าหลังจากที่เขาได้ยินถ้อยคำราวกับไร้เดียงสา เขายังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคิก
”ใช่แล้วเฉินเอ๋อทั้งฉลาดทั้งน่ารัก เจ้าย่อมเป็นเมล็ดพันธุ์ดีมีคุณภาพแน่นอน” ไป๋เซียวลูบศีรษะเด็กน้อยพร้อมกับยิ้ม
เสี่ยวมี่ผู้ซึ่งกำลังนั่งบนบ่าของไป๋เซียวเงยหน้าขึ้นมองหยูฮูหยินผู้เฒ่าที่ยามนี้ยืนตัวสั่นด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอาการดูถูก
นายน้อยของข้าอยู่มา5 ปี ยังไม่เคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด คิดจะมาทะเลาะกับเขา ยายเฒ่าผู้นี้ยังอ่อนด้อยนัก
หญิงชราชี้นิ้วไปที่ไป๋เสี่ยวเฉิน”สมควรแล้วที่เจ้าเป็นลูกนอกคอก ไม่เคยได้รับการศึกษามาก่อนใช่หรือไม่ ? นี่มารดาของเจ้าสอนเจ้ามาแบบใดกัน ?”
นัยน์ตากลมโตของไป๋เสี่ยวเฉินดูราวกับประหลาดใจเขากล่าวอย่างรู้สึกผิดว่า “ท่านน้า…เฉินเอ๋อพูดอะไรผิดไปหรือ ? ตกลงลูกนอกคอกนี่มิใช่ลูกไม้ที่ใช้ปลูกในไร่หรอกหรือ ? ที่นางพูดถึงเมื่อครู่น่ะ”
ท่าทางน่าสงสารของเด็กน้อยทำให้ผู้คนที่มุงอยู่โดยรอบเริ่มอดรนทนไม่ไหว ต่างก็มองมาที่หยูฮูหยินผู้เฒ่าด้วยสายตาตำหนิติเตียน
เด็กน้อยมีอายุเพียงห้าขวบจะรู้ได้อย่างไรว่าลูกนอกคอกหมายถึงอะไร ? เห็นได้ชัดว่าหญิงชราเป็นผู้เริ่มต้นก่อน ยามนี้ก็ไม่ต่างกับการที่นางโยนหินตกลงบนหัวแม่เท้าของตนเองแทน จะไปโทษเด็กไร้เดียงสาได้อย่างไร ?
”ข้าเป็นท่านยายทวดของเจ้า! ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าหยาบคายต่อหน้าข้า !” แววตาของหยูฮูหยินผู้เฒ่าเป็นประกาย นางร้องตวาดลั่น
ไป๋เสี่ยวเฉินทำหน้างงงวยก่อนจะหันไปทางไป๋เซียว “ท่านน้า แม่เฒ่าคนนี้บอกว่าเป็นยายทวดของข้า เช่นนั้นท่านยายทวดที่อยู่บ้านสกุลหลานล่ะ ? เฉินเอ๋อไม่ได้มียายทวดแค่คนเดียวหรือ ?”
ไป๋เซียวมองหญิงชราด้วยนัยน์ตาเขียวปั้ดเขากล่าวเบา ๆ กับเด็กน้อยว่า “นางมิได้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า”
”อ้อ…”ไป๋เสี่ยวเฉินมีทีท่าราวกับเข้าใจ “เฉินเอ๋อเข้าใจแล้ว นางคงจะเห็นเฉินเอ๋อน่ารักน่าเอ็นดูก็เลยอยากนับญาติกับเฉินเอ๋อ”
ครั้นถึงตอนนี้หยูฮูหยินผู้เฒ่าก็แทบจะยืนไม่อยู่ นางกุมมือสาวใช้ที่อยู่ข้างหลังแน่น หากไม่มีสาวใช้คอยช่วยพยุง ไม่ต้องสงสัยเลยว่านางคงจะทรุดลงไปกองกับพื้นแล้ว
แน่แล้วนี่คือบุตรชายของไป๋หยาน บุตรชายซึ่งเกิดจากหญิงชั้นต่ำ ก็ย่อม
ต้องต่ำไม่ต่างกับมารดา ! ไร้การสั่งสอน !
”อย่างไรเสียบุตรเขยของข้าก็เป็นท่านตาของเจ้า เช่นนั้นวันนี้เจ้าต้องกลับไปที่บ้านสกุลไป๋กับข้า !” ใบหน้าของหยูฮูหยินผู้เฒ่าดำจนเขียว ขณะเอ่ยกล่าวอย่างเย็นชา
แม้เด็กคนนี้จะแลดูโง่เขลาอีกทั้งยังหยาบคายเป็นอย่างมาก ทว่าเขาก็ดูน่ารักน่าเอ็นดู เรียกได้ว่าไม่มีเด็กคนใดในเมืองหลิวฮั่วนี้จะแลดูน่ารักได้เท่าเขา
หากขายให้กับสถานเริงรมย์เช่นหอบุปผาด้วยใบหน้าที่ดูดีเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ภายในไม่กี่ปีเด็กน้อยจะต้องขึ้นเป็นดาวของหอบุปผาได้แน่ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ไป๋เฉิงเซียงก็ต้องพยายามเข้าไปประจบสอพลอหอบุปผามิใช่รึ ? นี่น่าจะนับเป็นโอกาสที่ดีของเขา
***จบบทขายไป๋เสี่ยวเฉิน ?***
บทที่ 110 : ไป๋เสี่ยวเฉินต้องไปบ้านสกุลไป๋
ยิ่งไปกว่านั้นหากนำเด็กนี่ไปขายให้ “พวกรักเด็กชาย” ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ อาจจะได้ยาเม็ดจิตวิญญาณสักเม็ด
”ท่านน้า”
ครั้นไป๋เสี่ยวเฉินได้ยินคำพูดของหยูฮูหยินผู้เฒ่าเขาก็แสดงท่าทางตกใจ พร้อมทั้งตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว “หญิงชราคนนี้น่ากลัวจัง นี่นางคงไม่ได้คิดจะขายเฉินเอ๋อใช่มั้ย ?”
แววตาของไป๋เซียวอ่อนโยนลง”อย่ากังวลไปเลย นางไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเช่นนั้นหรอก เพราะนางไม่ได้มีสิ่งใดเกี่ยวพันกับเจ้า”
”จริงเหรอ?” ไป๋เสี่ยวเฉินย่นจมูกเล็ก ๆ น่ารักของเขา “แต่เมื่อตอนที่เฉินเอ๋ออยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์นั้น เฉินเอ๋อเคยเห็นสุนัขจิ้งจอกใช้วิธีหลอกฉกอาหารออกมาจากปากของอีกา แววตาของมันทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งขี้โกงเหมือนกับยายแก่คนนี้เปี๊ยบเลย เฉินเอ๋อกลัว…”
หยูฮูหยินผู้เฒ่าหน้าเสียนางพยายามระงับความโกรธอย่างยากเย็น ครั้นนางสงบลงได้ นางก็เผยรอยยิ้มที่แลดูกระอักกระอ่วนออกมา
”น้ำเสียงของข้าอาจจะดุไปบ้างทว่าข้าจะขายเจ้าได้ยังไง อย่างไรเสียเจ้าก็ยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเรา”
แม้ว่าหยูฮูหยินผู้เฒ่าจะใช้แซ่หยู หากแต่นางก็คิดเสมอว่านางเป็นคนบ้านสกุลไป๋ เช่นนั้นนางจึงเอ่ยวาจาดังกล่าว
”แล้วเจ้าไม่ต้องการพบท่านตาของเจ้าบ้างหรือ?”
“ท่านตา?”
ไป๋เสี่ยวเฉินเบะปากด้วยความไม่พอใจผู้ชายเลว ๆ ที่ขังท่านน้าไว้ที่หอบรรพชนทั้งที่ท่านน้ากำลังป่วยเนี่ยนะ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเขาเลย ตอนนี้ยายแก่นี่ยังคิดว่าข้าอยากจะพบชายคนนั้นอีก !
“แม้ว่าเจ้าจะไม่รู้จักยายทวดเช่นข้าทว่าอย่างไรเสียท่านตาก็คือท่านตาแท้ ๆ ของเจ้า ไหน ๆ เจ้ากับมารดาก็มาถึงเมืองนี้แล้ว หากไม่ไปพบท่านตา แล้วเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป มารดาของเจ้าย่อมจะต้องเสียชื่อแย่เลย”
แม่เฒ่าวางแผนหลอกล่อเด็กน้อยหวังให้กลับบ้านสกุลไป๋ก่อนหากทำการได้สำเร็จ ต่อจากนั้นย่อมจัดการทุกสิ่งได้ดั่งใจ
“เฉินเอ๋อ…”ไป๋เซียวมองหยูฮูหยินผู้เฒ่า ครั้นเห็นสีหน้าที่แลดูเจ้าเล่ห์นั่นก็อดใจหายไม่ได้ “ให้น้าพาเจ้ากลับไปหาท่านแม่เถอะ”
ไป๋เสี่ยวเฉินปฏิเสธไป๋เซียวเขาขยิบนัยน์ตากลมโตที่แลดูไร้เดียงสา ทว่ามีประกายชั่วร้ายให้ไป๋เซียวแทน
“เอ่อ…เฉินเอ๋ออยากพบท่าตา”
ฮึ่ม!
ตาแก่ชั่วนั่นรังแกหม่ามี้ของข้ากับท่านน้า! ครานี้ล่ะถึงเวลาที่ข้าต้องเผชิญหน้ากับเขาแล้ว !
หยูฮูหยินผู้เฒ่ายกยิ้มอย่างพึงใจทว่านางก็ถูกกลุ่มคนที่มามุงดูขัดจังหวะ กระทั่งนางหุบยิ้มแทบไม่ทัน
”หนูน้อยเจ้าอย่าได้ไปที่บ้านสกุลไป๋กับนางเลย เมื่อครู่นางเรียกเจ้าว่าเป็นลูกนอกคอก เช่นนั้นหากเจ้าก้าวเข้าบ้านสกุลไป๋แล้วล่ะก็ เจ้าย่อมต้องถูกนางรังแกเป็นแน่”
เมื่อหกปีก่อนครั้งที่ไป๋หยานจากไปโดยไม่ร่ำลา ข่าวเรื่องการหนีตามผู้ชายก็แพร่ออกมาจากบ้านสกุลไป๋ ในครั้งนั้นหยูฮูหยินผู้เฒ่าก็มาเป็นลมบนท้องถนน ทุกคนต่างก็คิดว่าคงเป็นเพราะนางรักไป๋หยานมาก กระทั่งรับเรื่องนี้ไม่ได้
ทว่าบัดนี้หลังจากได้ยินถ้อยวาจาดูถูกเหยียดหยามจากหญิงชราเมื่อครู่ ทั้ง
ยังมีข่าวลือหนาหูออกมาจากในวังอีกว่า ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับไป๋หยานก็คืออ๋องคัง ! เนื่องจากอ๋องคังบังคับใจนางด้วยเหตุที่เขาโดนวางยา จึงทำให้นางต้องตกที่นั่งลำบาก …
เช่นนั้นข่าวเรื่องการหนีตามผู้ชายของไป๋หยานจึงไม่น่าเชื่อถืออีกต่อไป
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นหากบ้านสกุลไป๋เห็นไป๋หยานหนีตามผู้ชายกับตาจริง ๆ เหตุใดจึงไม่ห้ามนาง ? เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ต้องมีอะไรหมกเม็ด
ยิ่งได้ยินหยูฮูหยินผู้เฒ่าดูหมิ่นไป๋เสี่ยวเฉินว่าเป็นลูกนอกคอกยิ่งชัดเจนว่าสิ่งที่หญิงชรารู้สึกกับไป๋หยานคงมิใช่ความรักเอ็นดูเช่นที่คนสกุลไป๋กล่าวอ้าง
”ท่านน้าท่านลุง และท่านป้า” ไป๋เสี่ยวเฉินโค้งคำนับทักทายฝูงชนอย่างสุภาพ “ในงานเลี้ยงต้อนรับที่บ้านสกุลหลาน ท่านแม่ของเฉินเอ๋อได้ตัดขาดกับบ้านสกุลไป๋แล้ว ความจริงข้อนี้ทุกคนคงทราบดี แต่หญิงชราคนนี้ก็ยังคงวุ่นวายกับเฉินเอ๋อไม่เลิก นางอ้างว่าเฉินเอ๋อจะทำให้ท่านแม่ต้องได้รับความอัปยศ หากเฉินเอ๋อไม่ไปกับนาง เช่นนั้นเพื่อรักษาเกียรติยศของท่านแม่ เฉินเอ๋อจึงจำต้องเดินทางกลับบ้านสกุลไป๋พร้อมกับนาง”
***จบบทไป๋เสี่ยวเฉินต้องไปบ้านสกุลไป๋***