จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 186-190
บทที่ 186 : มีแม่เลี้ยงแล้วก็จะมีพ่อเลี้ยง
”เป็นไปไม่ได้ต้องมีอะไรผิดพลาดเป็นแน่ ไป๋หยานจะเป็นนายหญิงของหอบุปผาได้อย่างไร ?”
ขณะที่ความเงียบงันปกคลุมไปทั่วทุกที่พลันเสียงแหลมเล็กก็ดังก้องฟ้า
ใบหน้าของหยูหรงอาบไปด้วยเลือดกระทั่งมองไม่เห็นสีหน้า ทว่าสายตาของนางที่จ้องมองไป๋หยานกลับดุดัน
จะให้นางเชื่อได้อย่างไร?
หกปีก่อนหญิงผู้นี้ไม่ต่างจากเนื้อที่รอนางแล่เป็นชิ้น ๆ ออกวางขาย ทว่าวันนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าหอบุปผาได้อย่างไร ?
หากหอบุปผาจะส่งต่อให้ใครเช่นนั้นก็ควรเป็นบุตรสาวของข้าไป๋รั่วหรือไม่ก็ไป๋จื่อ เหตุใดจึงเป็นไป๋หยาน ? เจ้าของคนเก่าของหอบุปผาช่างตาต่ำที่สุดในโลก !
ฮัวหลัวมองหยูหรงที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาเยาะหยัน”เจ้าเป็นแม่เลี้ยงของนายหญิงสินะ ? อย่างที่เขาว่ากันว่า เมื่อมีแม่เลี้ยงย่อมจะมีพ่อเลี้ยงตามมา”
ประโยคหลังฮัวหลัวกล่าวกับไป๋เฉิงเซียงซึ่งยืนอย่างละอายใจจนแทบจะขุดรูหนี
นี่หากเป็นผู้อื่นพูดเช่นนี้เขาคงรีบแก้ต่างให้กับตัวเอง ทว่านี่เป็นฮัวหลัว ต่อหน้าฮัวหลัวเขาไม่กล้าทำเช่นนั้นเลย
”หม่ามี้!”
ขณะที่ไป๋หยานค่อยๆ ก้าวเข้ามาหาไป๋เฉิงเซียงและภรรยาของเขา พลันเสียงเล็ก ๆ ของเด็กน้อยก็ดังมาจากฟากฟ้า
นางชะงักฝีเท้า
ช่วงเวลานั้นทุกคนต่างก็แหงนมองเบื้องบนอย่างงงงัน…
หมาป่าสี่ตัวลากเลื่อนบัลลังก์อยู่บนท้องฟ้าด้วยความเร็วสูงกระทั่งปรากฏแสงสีเงินราง ๆ ในความว่างเปล่า
บนบัลลังก์สีแดงราวเลือดเรือนผมสีเงินยวงของชายหนุ่มปลิวไสวเพิ่มเสน่ห์ให้กับเขาเกินจะหักห้ามใจ ขณะที่ท่าทีของเขาก็ยโสโอหัง แลดูเป็นใหญ่เหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวง มือของเขายึดบนบัลลังก์ ใบหน้ามีเอกลักษณ์เผยรอยิ้มจาง ๆ อย่างภาคภูมิ
ถัดจากชายผู้นั้นก็คือเด็กน้อยใบหน้ากลมผิวใสอมชมพู ทั้งคู่นั่งเคียงข้างกัน ดูถอดพิมพ์มาราวกับจอมมารกับมารน้อย แลดูงดงามน่าอัศจรรย์ กระทั่งทุกผู้คนไม่อาจละสายตาได้
ฟิ้ว!
แมวขาวในอ้อมแขนของเด็กน้อยวิ่งลงมาก่อนเพื่อนเห็นเพียงเงาสีขาว ๆ พุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋หยาน มันแลบลิ้นนุ่ม ๆ ของมันเลียใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ส่งเสียงร้อง “เมี้ยว…”
ต้องบอกว่าภายหลังออกจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ลูกเสือขาวตัวนี้ก็ยิ่งแลดูคล้ายแมวมากขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งบางครั้งแม้แต่ไป๋หยานเองก็หลงลืมไปแล้วว่าเสี่ยวมี่เป็นเสือขาว
ทว่า…
ครั้นเสี่ยวมี่วิ่งเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋หยานใบหน้าของตี้คังก็เข้มขึ้นทันที สายตาของเขาราวกับจะแผดเผาเสี่ยวมี่ให้เป็นจุณได้เลยทีเดียว
”หม่ามี้…”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระโดดลงมาจากบัลลังก์จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาไป๋หยาน เขาเงยใบหน้ากลม ๆ ขึ้นมองมารดาพลางกล่าวว่า “เฉินเอ๋อได้ยินมาว่ามีคนรังแกท่านน้าของเฉินเอ๋อ”
“ไม่เป็นไรแม่จัดการเรื่องนี้เองได้” ไป๋หยานกล่าวพลางลูบศีรษะไป๋เสี่ยวเฉินพร้อมยิ้มน้อย ๆ จากนั้นก็หันมาหาตี้คัง “ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ?”
ตี้คังก้าวลงจากเลื่อนบัลลังก์เขาอยู่ในชุดอาภรณ์สีม่วง ซึ่งแลดูชั่วร้ายและทรงพลัง
”ก็ว่าที่น้องเขยของข้าถูกรังแกข้าจะไม่มาได้อย่างไร ?”
ครั้นไป๋เซียวได้ยินคำกล่าวของตี้คังร่างที่กำลังยืนนิ่งด้วยความประหลาดใจของเขาพลันกระตุก
เหตุใดคำว่าน้องเขยที่อ๋องคังเรียกจึงเป็นเรื่องที่เขายากจะยอมรับ
”ผู้ใดกันที่งี่เง่ามารังแกว่าที่น้องเขยของข้า”
นัยน์ตาของตี้คังเป็นประกายเขากวาดตามองโดยรอบ ก่อนจะหยุดนิ่งที่ไป๋เฉิงเซียงในที่สุด
ฟุ่บ!
ไป๋เฉิงเซียงไม่อาจต้านทานแรงกดดันระดับนั้นได้เขาจึงทรุดเข่าลงกับพื้น ร่างของเขาสั่นเทา “อ๋องคัง, ข้า…”
”อ๋องคัง!”
ไม่รอให้ไป๋เฉิงเซียงกล่าวคำใดอีกหยูหรงพลันลุกขึ้นยืน นางร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าหดหู่ ยามนี้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวซึ่งแม้แต่มารดาของนางก็คงจะจำนางไม่ได้
”ข้าขอร้องท่านอ๋องคังโปรดให้ความยุติธรรมแก่พวกเราด้วย !”
ฝูงชนตะลึงงัน
นี่…หยูหรงถูกตบจนเสียสติไปแล้วกระนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าอ๋องคังมาที่นี่ ก็เพื่อปกป้องไป๋หยานและน้องชาย ก็แล้วเหตุใดนางถึงยังร้องขอความยุติธรรมจากเขาอีกเล่า ?
บทที่ 187 : ทำเหมือนตี้คังเป็นคนโง่
แม้แต่ไป๋เฉิงเซียงหยูหรงก็ไม่สนใจ นางดึงแขนเสื้อของนางขึ้น พลางร้องไห้ออกมาอย่างน่าสังเวช “ท่านอ๋อง ความจริงแล้ว หญิงที่ท่านพบข้างถนน และมีสัมพันธ์ด้วยเมื่อหลายปีก่อน หาใช่ไป๋หยานไม่ ทว่าเป็นบุตรสาวคนสุดท้องของข้า ไป๋จื่อ ข้าทนไม่ได้ที่จะให้ท่านถูกหลอก นั่นเป็นสาเหตุที่ข้าบอกท่านเรื่องนี้ ได้โปรดเถิด โปรดให้ความยุติธรรมแก่เราด้วย ! ”
ฮือฮา
ฝูงชนต่างส่งเสียงอื้ออึง
อย่าว่าแต่ชาวบ้านทั่วไปแม้แต่หนานกงอี้เองก็จ้องมองหยูหรงอย่างไม่เชื่อในคำกล่าวของนาง
ไป๋หยานยิ้มเยาะหยูหรงมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายของนางให้จงได้ แม้จะต้องแลกด้วยชื่อเสียงของไป๋จื่อนางก็ยอม …
”หยูหรง!”
ไป๋เฉิงเซียงเห็นนัยน์ตาเย็นเยือกของตี้คังแล้วสีหน้าของเขาก็ซีดลง ต่อให้วางแผนว่าจะพูดเช่นนี้มาก่อนก็ตามที หากแต่นี่มิใช่เวลาที่เหมาะสมเลย !
”ความหมายของเจ้าก็คือ… ในวันนั้น เป็น ไป๋จื่อ ?” ใบหน้าที่หล่อเหลาของตี้คังยังคงยิ้ม
อย่างไรก็ตามมันเป็นรอยยิ้มที่แลดูมืดมน กระทั่งไป๋เสี่ยวเฉินยังต้องถอยหนีโดยสัญชาติญาณ
ตอนนี้ป๊ะป๋าวายร้ายน่ากลัวชะมัด
“ใช่แล้ว”หยูหรงยังกุมท้องของนางแน่น “ท่านอ๋อง ไป๋หยาน ไม่เพียงแสร้งเป็นไป๋จื่อ นางยังให้คนทำร้ายลูกในครรภ์ของข้า…ได้โปรด ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่ข้า”
ไป๋เฉิงเซียงเริ่มมีปฏิกิริยากับการกระทำของหยูหรงนางหญิงโง่นี่ ชอบดึงเขาเข้าไปพัวพันกับเรื่องอันตราย ทั้งนางยังทำให้ความสัมพันธ์พ่อลูกระหว่างเขากับไป๋หยานพังทลาย
ทว่า…
เด็กในครรภ์ของนางคือสายเลือดตระกูลไป๋หากเขาสามารถช่วยเหลือนางทันเวลา ก็คงพอจะรักษาชีวิตเด็กน้อยไว้ได้ หากแต่ตอนนี้สายเสียแล้ว …
”หยูหรงเงียบเถอะ !” ไป๋เฉิงเซียงหันไปจ้องหยูหรง จากนั้นก็หันกลับมาคุกเข่าลงคำนับตี้คัง “ท่านอ๋อง ทารกในครรภ์ของหยูหรงกำลังตกอยู่ในอันตราย เด็กคนนั้นยังไร้เดียงสา โปรดปล่อยเราไปเถอะ”
“บัญชียังไม่ได้ชำระผู้ใดกล้าออกไปจากที่นี่ ?” ตี้คังยิ้มเยาะ “หยาน หยาน ดูเหมือนว่า หยูหรง คนนี้มิได้เป็นเพียงแม่เลี้ยงที่ชั่วช้าของเจ้า เพื่อให้ถึงจุดหมายแล้ว นางยังยอมสละแม้แต่ชื่อเสียงของบุตรสาวตนเอง”
การที่หยูหรงป่าวประกาศว่าไป๋จื่อเป็นหญิงคนนั้น นั่นมิได้หมายความว่าบุตรสาวของนางสูญเสียพรหมจรรย์ตั้งแต่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่น*กระนั้นหรือ ? เช่นนี้ไป๋จื่อจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ?
วัยปักปิ่น*คือวัยสาว อายุ 15 ปี
ครั้นได้ยินเช่นนั้นหยูหรงก็ตกตะลึง “ไม่ หาใช่เช่นนั้นไม่…แท้จริงแล้วนาง…”
”เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรื่องที่ไป๋จื่อไปทำผิดประเพณีกับชายอื่น เจ้าจึงคิดจะโบ้ยมาให้ข้ากระนั้นรึ ?” ตี้คังเอื้อมมือดึงไป๋หยานเข้าสู่อ้อมแขน ทีท่าของเขาทั้งปกป้องทั้งคุกคามในเวลาเดียวกัน “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปเอาความมั่นใจนั่นมาจากที่ใด ที่คิดว่า ข้าจะเข้าใจผิดระหว่างหยานเอ๋อกับไป๋จื่อ”
ผู้คนต่างมองผู้ที่อ๋องคังกำลังปกป้องอยู่ในอ้อมแขนพวกเขาต่างก็รู้ซึ้งแก่ใจในทันที
ต่อให้ตอนนั้นอ๋องคังโดนวางยาปลุกกำหนัดทว่าเขาก็ไม่มีวันเข้าใจผิดคิดว่าไป๋จื่อคือไป๋หยานอย่างที่หยูหรงกล่าวเป็นแน่ รูปร่างของหญิงสาวทั้งสองคนแตกต่างกันอย่างมาก อีกทั้งหน้าตาของพวกนางก็ไม่ได้ละม้ายคล้ายคลึงกันเลยด้วย !
นางไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดจึงคิดว่าอ๋องคังจะเชื่อคำพูดของนาง ?
นัยน์ตาของหยูหรงเปลี่ยนเป็นโง่เขลาว่ากันตามจริงแล้ว นางคิดว่า แม้ตี้คังจะไม่เชื่อนาง หากแต่เขาก็ต้องสืบสวนอย่างละเอียด และอย่างน้อยที่สุดหลังจากที่ตี้คังสืบสวน เขาย่อมจะรู้ว่าผู้หญิงเมื่อหกปีก่อนที่เขาพบนั้นมิใช่ไป๋หยาน
ทว่าเหตุใดตี้คังถึงไม่ตรวจสอบ? เหตุใดตี้คังถึงแน่ใจว่าเป็นไป๋หยาน ?
”ไป๋หยานเจ้าพูดสิ เจ้าพูดสิว่า เจ้ามิใช่ผู้หญิงคนนั้น เจ้ามิใช่ผู้หญิงเมื่อหกปีก่อนนั่น ! เจ้าหลอกลวงคนอื่นอย่างไร้ศีลธรรมเช่นนี้ได้อย่างไร ?” หยูหรงกัดริมฝีปากของนางแน่น นัยน์ตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
ไป๋หยานเลิกคิ้ว”ข้านอนหลับสนิททุกคืนแหละ แล้วเจ้าล่ะเห็นมารดาของข้ามาร้องทวงชีวิตทุกคืนหรือไม่ ?
ทันทีที่คำกล่าวของไป๋หยานหลุดออกมานางก็เห็นความตื่นตระหนกในแววตาของหยูหรงได้อย่างชัดเจน นางจึงยกยิ้ม
บทที่ 188 : รอข้าประเดี๋ยว
เป็นดังคาดการตายของหลานเยี่ยต้องเกี่ยวข้องกับหญิงผู้นี้
อย่างไรก็ตามเว้นแต่ไป๋หยานแล้ว ชาวบ้านที่มุงดูต่างก็ไม่คิดอะไรมาก พวกเขาคิดเพียงว่า เหตุเพราะหยูหรงเป็นแม่เลี้ยงทั้งนางยังดูแลไป๋หยาน และน้องชายอย่างโหดร้าย นางย่อมต้องอยากคิดบัญชีกับหยูหรงเป็นธรรมดา
ครั้นหยูหรงกลับมารู้สึกตัวนางก็เห็นไป๋หยานเดินเข้าใกล้นางมากขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงรีบเอ่ยออกมาอย่างหวาดระแวง “เจ้าจะทำอะไร ?”
ไป๋หยานยิ้มเยาะ“ข้ามียา ซึ่งสามารถป้องกันการสูญเสียบุตรในครรภ์ของเจ้าได้…”
หยูหรงซึ่งหวาดระแวงอยู่แล้วก็ยิ่งหวาดระแวงมากขึ้นไปอีก
ไป๋หยานจะใจดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
”แต่หากว่าทารกในครรภ์ของเจ้าตายเสียแล้วหมายถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่มีโอกาสรอด ยาเม็ดนี้จะช่วยให้ทารกเจริญเติบโตขึ้นรวดเร็วกว่าปกติ และในอีกสามเดือนข้างหน้า ทารกที่ตายก็จะคลอดออกมาตามธรรมชาติ”
นัยน์ตาของหยูหรงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว”แล้วจากนั้นเจ้าจะทำอะไรอีก ?”
ไป๋หยานไม่ตอบคำถามทว่านางหันมาเผชิญหน้ากับไป๋เฉิงเซียง “ท่านปฏิบัติกับลูกในไส้ราวกับลูกของชายอื่น เช่นนั้นข้าจะรอจนกว่าทารกจะคลอด จากนั้นข้าจะพิสูจน์เลือดของทารกนั่น เมื่อถึงเวลานั้น ท่านจะได้รู้ว่าชีวิตบัดซบน่ะมันเป็นยังไง ! ”
เมื่อมองสีหน้าที่จริงจังของไป๋หยานไป๋เฉิงเซียงก็นึกสะดุ้ง เขาหันไปมองหยูหรงพลางเอ่ยถามว่า “สิ่งที่นางพูดมานั่นจริงหรือไม่ ?”
หยูหรงเม้มปากแน่น”ท่านพี่ อย่าได้ฟังเรื่องไร้สาระนั่น นางใส่ร้ายข้า ข้าจะมีลูกกับชายอื่นได้อย่างไร ? นอกจากนี้…ลูกของเราก็ตายไปแล้ว จะมีเลือดได้อย่างไร ? ”
นางเสียใจเสียใจที่เชื่อคำของมารดา ทั้งเรื่องฮุบบ้านสกุลไป๋ที่มีแต่เปลือก ทั้งเรื่องมีสัมพันธ์กับชายอื่นเพื่อตั้งครรภ์ !
หากแต่นางไม่มีวันยอมให้ไป๋หยานข่มขู่นางลูกธนูที่หลุดออกจากแล่งย่อมไม่อาจย้อนกลับคืน หยูหรงคิดว่าในโลกใบนี้ ไม่มียาเช่นที่ไป๋หยานกล่าวอ้างหรอก !
“ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็ตามหลังจากนี้สามเดือน เราค่อยมาพิสูจน์ความจริงกัน”
ไป๋หยานไม่เปิดโอกาสให้หยูหรงได้ปฏิเสธนางหยิบยาเม็ดออกมา จากนั้นก็ดีดมันออกไป ยาเม็ดพุ่งเข้าใส่ปากของหยูหรงอย่างรวดเร็วราวกับลูกกระสุน หยูหรงถูกบังคับให้กลืนยานั่นลงไป
หยูหรงตาค้างด้วยความหวาดกลัวนางพยายามใช้นิ้วล้วงยาออกจากลำคอของตน
“ไม่มีประโยชน์หรอกยาของข้าจะละลายทันทีที่สัมผัสกับน้ำ ตอนนี้ตัวยาได้ซึมซับเข้าไปในร่างของเจ้าเรียบร้อยแล้ว” ไป๋หยานเยาะ
รังแกน้องชายข้าใช่หรือไม่? เช่นนั้นข้าก็จะให้เจ้าตกอยู่ในภาวะสิ้นหวังสักสามเดือน !
”ท่านยังจำสิ่งที่ข้าเคยพูดกับท่านก่อนหน้านี้ได้หรือไม่?” ไป๋หยานหันกลับไปมองไป๋เฉิงเซียง “ข้าเคยบอกท่านว่า หากท่านไม่คืนยาเม็ดจิตวิญญาณที่ท่านหลอกเอาจากมารดาข้าไป ข้าจะทำให้ความแข็งแกร่งของท่านย้อนกลับคืนสู่สถานะก่อนหน้านี้ ดูทีว่า ท่านคงไม่มีความสามารถคืนข้าได้เป็นแน่…”
คำกล่าวของนางบ่งบอกอย่างชัดเจน
หากไม่คืนยาก็ลดความแข็งแกร่งของเขาลง หากเป็นเช่นนั้น ไป๋เฉิงเซียงก็ไม่ต่างจากคนไร้ประโยชน์
”อย่างไรเสียข้าก็คือบิดาของเจ้านะ!” ไป๋เฉิงเซียงคำรามออกมาอย่างตื่นตระหนก
ถึงตอนนี้เขายังคงใช้ฐานะความเป็นพ่อข่มขู่ไป๋หยาน หากแต่ดูเหมือนเขาจะลืมไปว่า ก่อนหน้านั้นเขาเป็นคนตัดนางออกจากตระกูลด้วยตนเอง …
”เจ้าประสงค์จะจัดการกับเขาเช่นไร?”
ทันใดนั้นเองเสียงทุ้ม ๆ ก็ดังก้องขึ้นข้างหูของไป๋หยาน นั่นทำให้นางนิ่งงันไปเล็กน้อย ครั้นนางเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าหล่อเหลาราวปีศาจของเขา
ทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากกระทั่งไป๋หยานรู้สึกได้ถึงลมหายใจของตี้คังนางพยายามถอยหนี ทว่าเขากลับรั้งนางแนบชิดมากยิ่งขึ้น ทำให้นางกระดิกตัวแทบไม่ได้
”ข้าต้องการให้ความแข็งแกร่งของเขาถดถอยกลับคืนสู่จุดเดิม”
นางไม่ได้ตั้งใจที่จะกำจัดไป๋เฉิงเซียงในทันทีนางเพียงอยากให้พลังของเขาถดถอยจากขั้นที่สาม เทียนเจี่ยกลับไปเป็นขยะไร้ค่าเช่นเดิม เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะได้ชื่นชมกับความเจ็บปวดจากการไร้อำนาจ และมีชีวิตอยู่อย่างสิ้นหวังแทน
”รอข้าประเดี๋ยว”หลังจากกล่าวจบ ตี้คังในอาภรณ์สีม่วงก็ผ่านหน้านางไป ราวกับสายลมพัดผ่านแก้มนาง เพียงพริบตา ชายที่มีบุคลิกคุกคามชั่วร้ายผู้นี้ก็ไปยืนด้านหน้าไป๋เฉิงเซียงแล้ว
บทที่ 189 : แม่ดอกบัวขาว (1)
ไป๋เฉิงเซียงเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว เขาเปิดปากหมายจะร้องขอความเมตตา ทว่ากลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาจากลำคอ ยามนี้เขาไม่อาจขยับเขยื่อนได้แม้แต่ปลายนิ้ว
“รับไป”ตี้คังส่งเม็ดยากลม ๆ ในมือให้ไป๋เฉิงเซียง แววตาและน้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยอาการข่มขู่และคุกคาม
ถ้อยคำของเขาย่อมไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้
ในที่สุดไป๋เฉิงเซียงก็สามารถขยับนิ้วมือของตนเองได้ เขายื่นมือที่สั่นเทาออกไป รับเม็ดยาในมือของตี้คัง “อ๋องคัง โปรดให้ความกระจ่างแก่ข้า ยาเม็ดที่ท่านให้มานี่คืออะไร ? ”
ตี้คังหัวเราะหยันๆ “นี่เป็นยาที่จะทำให้เจ้ากลายเป็นคนง่อยไร้ประโยชน์”
ครั้นได้ยินคำตอบไป๋เฉิงเซียงก็ตกใจจนแทบจะโยนยาเม็ดในมือทิ้ง
หากแต่เขาก็ไม่กล้า
เอื๊อก!
ไป๋เฉิงเซียงกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเขาหลับตาลงช้า ๆ ก่อนจะค่อย ๆ ส่งเม็ดยาเข้าปากของตน
ยาเม็ดนั่นละลายทันทีที่ผ่านริมฝีปากเข้าไปสัมผัสกับน้ำลายมันกลายสภาพเป็นของเหลวซึมซาบเข้าสู่อวัยวะภายใน ไม่มีโอกาสให้ผู้กินคิดกลับใจ
”ข้ากินยาตามคำสั่งของท่านเรียบร้อยแล้วไม่ทราบว่าข้าจะไปได้หรือยัง ?” ไป๋เฉิงเซียงค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้น ยามนี้ใบหน้าและริมฝีปากของเขาขาวซีด
เพียงเวลาไม่ถึงวันเส้นผมที่เคยดำสนิทของไป๋เฉิงเซียงกลับกลายเป็นหงอกขาวขึ้นมากมาย หลังของเขาโก่งงอ แม้แต่ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างคาดไม่ถึง
บัดนี้ตระกูลไป๋ได้สูญเสียยอดฝีมืออันดับหนึ่งไปเสียแล้วแน่นอนว่าชะตากรรมของพวกเขาจะน่าสังเวชยิ่งนัก ที่สำคัญ เมื่อไม่นานมานี้พวกเขาเพิ่งจะบีบบังคับยึดทรัพย์สินจากผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามาจ่ายคืนสินสอดให้ไป๋หยานอีก
”ปล่อยพวกเขาไป”
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ นางก้าวย่างอย่างแช่มช้ามาที่ไป๋เฉิงเซียง “สำหรับท่านแล้ว ให้ตายจะเป็นการสบายเกินไป ข้าอยากให้ท่านได้สัมผัสกับชีวิตที่เลวร้ายเสียยิ่งกว่าตาย”
ร่างของไป๋เฉิงเซียงกระตุกเขาหลับตาลงอีกครั้ง น้ำเสียงของเขาสั่นเทา “เจ้าเกลียดข้ามากถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?”
คำกล่าวที่ว่า”พ่อแม่ทำสิ่งใดก็ไม่ผิด” อย่างไรเสียข้าก็ให้กำเนิดและเลี้ยงดูนางมา เหตุใดนางถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ ?
ไป๋หยานยิ้มเยาะ”นับแต่วันที่ท่านเชื่อหยูหรง ทอดทิ้งข้า ท่านก็ไม่สมควรเป็นบิดาของข้าอีก !”
ไป๋เฉิงเซียงกำหมัดแน่นเป็นเวลานานทว่าที่สุดก็คลายมือออก เขาเดินกลับบ้านสกุลไป๋อย่างไร้เรี่ยวแรงหมดสิ้นกำลังใจ เขาไม่เหลือบมองหยูหรงอีกเลยนับแต่ต้นจนจบ
“พี่ใหญ่แล้วคนพวกนี้ล่ะ ?” ไป๋เซียวเดินไปยืนข้าง ๆ ไป๋หยาน เขามองหยูเฟย และหยูหรง ที่นอนพังพาบบนพื้น ก่อนจะหันกลับมาถามนาง
”ในเมื่อหยูเฟยใช้มือทำร้ายเจ้าเช่นนั้นเจ้าก็ทำลายมือของมันซะ !”
”ดี…”
ขณะที่ไป๋เซียวเดินไปหยุดตรงหน้าหยูเฟยแววตาของเขาพลันส่องประกายเย็นยะเยือก
”อ๊าค!”
ไป๋เซียวดึงดาบออกมาตัดเส้นเอ็นข้อมือของหยูเฟยโดยไร้ซึ่งอาการลังเลส่งผลให้หยูเฟยกรีดร้องโหยหวนก่อนจะสลบไปอีกครั้ง
ครั้นเห็นเช่นนัั้นหยูหรงก็กลัวจนแทบเป็นบ้า นางสัมผัสได้ถึงสายตาที่เฉยเมย อีกทั้งเย็นชาของไป๋เซียว นางทำได้เพียงรีบหลบตาแล้วแสร้งเป็นลมสลบไป
”ฮัวหลัวโยนพวกเขากลับไปที่บ้านสกุลไป๋ !”
หลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ตระกูลไป๋จะไม่ใช่ตระกูลที่มีชื่อเสียงอันดับต้น ๆ ในอาณาจักรนี้อีกต่อไป !
ไม่แน่ใจว่าหนานกงอี้หลบออกจากที่นั่นตั้งแต่เมื่อใดบางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่มีหน้าที่จะอยู่ต่อ เขารีบเดินกลับตำหนักของตนด้วยความหดหู่
เมื่อกลับมาถึงตำหนักรัชทายาทนางกำนัลของไป๋รั่วก็รีบเข้ามากราบทูล นางย่อกายลง “ฝ่าบาท พระองค์กลับมาแล้ว ! พระชายามีพระประสงค์จะพบพระองค์เพคะ ทว่านางลุกไม่ขึ้น จึงให้หม่อมฉันมารออยู่ที่นี่”
บทที่ 190 : แม่ดอกบัวขาว (2)
ครั้นนึกถึงไป๋รั่วใบหน้าของหนานกงอี้ก็ยิ่งหดหู่ เขาเดินไปที่ห้องพำนักของพระชายา
ภายในห้องหรูหราไป๋รั่วกำลังนอนอยู่บนเตียง นางไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ เนื่องจากความเจ็บปวดบริเวณก้น
ความปวดร้าวอย่างเอกอุในครั้งนี้ทำให้นางกำผ้าปูที่นอนแน่น นัยน์ตาของนางเปล่งประกายแห่งความเกลียดชัง
นางเกลียดไป๋หยาน! เกลียดไป๋หยานเพราะไป๋หยานได้รับความคุ้มครองจากอ๋องคัง ! เกลียดไป๋หยานที่ทำตัวเฉยเมยไม่เห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้อง ทั้งที่นางก็เป็นน้องสาว ไม่ว่าจะทำผิดอย่างไร พี่สาวก็ควรให้อภัยมิใช่รึ
นอกจากนี้นางยังเกลียดหนานกงอี้อีกด้วย!
ในวังหลวงมียาอายุวัฒนะระดับสี่อยู่สองเม็ดหากนางได้กินยานั่น นางก็จะหายทันที
ทว่าหนานกงอี้ที่ปกติพร่ำบอกรักนางอยู่เสมอเมื่อเจอวิกฤติก็กลับกลอก เขาไม่ยอมมอบยานั่นให้นาง !
”รัชทายาทเสด็จแล้ว!”
ทันใดนั้นเองเสียงประกาศสั้น ๆ ก็ดังมาจากประตู ไป๋รั่วรีบกระพริบตาพลันแววตาที่ดุร้ายก็จางหายไปเหลือเพียงแววตาที่แลดูน่าสงสาร ขณะมองบุรุษผู้ซึ่งกำลังเดินผ่านประตูเข้ามา
”พระสวามี… ”
น้ำเสียงของไป๋รั่วแผ่วเบาทั้งยังฟังดูอ่อนแอเฉกเช่นเคย ปกติแล้วต่อให้หนานกงอี้ไม่พอใจสิ่งใดมา อารมณ์เหล่านั้นมักจะหายไป เมื่อได้ยินน้ำเสียงอ่อน ๆ ของไป๋รั่ว
ทว่ายามนี้ในหัวของหนานกงอี้มีแต่เรื่องของไป๋หยานท่าทีของเขาแลดูหงุดหงิดมาก “ไป๋รั่ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้น ?”
ใบหน้าของไป๋รั่วพลันขาวซีด”รั่วเอ๋อไม่ทราบเพคะ”
นับตั้งแต่นางรู้จักหนานกงอี้เขาไม่เคยเรียกชื่อเต็ม ๆ ของนางเลยสักครั้ง นี่ทำให้นางรู้ทันทีว่าต้องมีบางอย่างผิดปกติ
”วันนี้ข้าเห็นบิดามารดาของเจ้าป่าวประกาศบนท้องถนนว่าไป๋หยานเป็นคณิกาดาวเด่นในหอบุปผา !”
”อะไรนะ?”
นัยน์ตาของไป๋รั่วเต็มไปด้วยความประหลาดใจคิ้วเรียวดั่งใบหลิวของนางขมวดเข้าหากันเล็กน้อย “เป็นไปไม่ได้ นางจะเป็นคณิกาดาวเด่นได้อย่างไร ?”
หากไป๋หยานเป็นคณิกาดาวเด่นของหอบุปผาจริงหนานกงอี้ก็น่าที่จะแสดงความรังเกียจ และเหยียดหยาม มิใช่ดูผิดหวังเช่นนี้…
“พระสวามี”ไป๋รั่วกัดริมฝีปากซีด ๆ ของนาง พลางจ้องหน้าหนานกงอี้น้ำตาคลอเบ้า “ท่านพ่อท่านแม่ของหม่อมฉันต้องเข้าใจอะไรผิดเป็นแน่ ไม่มีทางที่พี่สาวของหม่อมฉันจะกระทำเรื่องเช่นนั้นได้”
ครั้นได้ยินคำกล่าวอีกทั้งการแสดงออกของไป๋รั่ว ใบหน้าหม่นหมองของหนานกงอี้ก็แลดูดีขึ้น
ไม่ว่าบ้านสกุลไป๋จะทำผิดอย่างไรก็เป็นเรื่องของบ้านสกุลไป๋ ทว่าบุตรสาวคนนี้ของพวกเขานั้นเป็นคนดีมาก นางจะสมรู้ร่วมคิดกับพวกเขาได้อย่างไร ?
”ถูกต้องแล้วเจ้าเดาไม่ผิด ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเพิ่งรู้มาว่า แท้จริงแล้วไป๋หยานก็คือเจ้าหอบุปผา !” หนานกงอี้กล่าวพร้อมรอยยิ้มบูดเบี้ยว
บูม!
เจ้าหอบุปผา?
ถ้อยคำดังกล่าวราวกับค้อนหนัก ๆ ทุบลงบนหัวใจของไป๋รั่ว ทำให้สีหน้าของนางซีดแล้วซีดอีก
โชคดีที่นางนอนซมอยู่บนเตียง ทำให้หนานกงอี้ไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนั้น
“พระสวามี”ไป๋รั่วเอ่ยเรียก นางกำมือแน่น แน่นกระทั่งเล็บจิกลงไปบนฝ่ามือ “หม่อมฉันไม่คาดคิดเลยว่า พี่สาวของหม่อมฉันจะเป็นเจ้าหอบุปผา ทว่าอย่างไรเสียก็นับเป็นเรื่องดี หม่อมฉันเองก็ยังรู้สึกยินดีไปกับนางด้วย”
หนานกงอี้มองไป๋รั่วด้วยสายตาซับซ้อน”ไป๋หยานทำกับเจ้าถึงเพียงนี้ อีกทั้งวันนี้นางยังทำลายพลังของไป๋เฉิงเซียงบิดาของเจ้า เช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะไม่เกลียดนางอีกกระนั้นหรือ ?”
ไป๋รั่วตัวสั่นระริกอีกครั้งนางค่อย ๆ หลับตาลง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
”พี่สาวของหม่อมฉันอาจใจร้ายอีกทั้งไม่เห็นใจผู้ใด ทว่าหม่อมฉันไม่อาจทำเช่นนั้นได้ ไม่ว่านางจะเป็นเช่นไร หม่อมฉันก็ไม่อาจทำร้ายนางได้”
ไป๋รั่วลืมตาขึ้นจ้องมองหนานกงอี้”และหม่อมฉันเชื่อว่า ต้องมีสักวันหนึ่งที่พี่สาวของหม่อมฉันจะกลับใจ”
***ดอกบัวขาว : 白莲花 (báiliánhuā ไป๋เหลียนฮวา) เป็นคำสแลงที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ในหมู่วัยรุ่นจีน ใช้ล้อเลียนหรือเปรียบเปรยผู้หญิงที่ทำตัวภายนอกดูซื่อใสบริสุทธิ์เหมือนดอกบัว แต่แท้จริง มีพฤติกรรมมัวหมอง คิดฟุ้งแต่เรื่องไม่ดีไม่งาม ประมาณว่าแอบแอ๊บแบ๊ว แต่ในใจระริกๆๆๆๆ หรือแอบแรด แรดเงียบ ! ! !
***จบบทแม่ดอกบัวขาว (2)***