จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 201-205
บทที่ 201 : นางก็เป็นหมอปรุงยาระดับห้าหรือ ?
ยิ่งพูดผู้เฒ่าก็ยิ่งน้ำตาไหล
กี่ปีแล้วหนอ?
ที่นายน้อยของเขาต้องเจ็บป่วยโดยที่หมอปรุงยาในสำนักเวชโอสถต่างก็พยายามอย่างหนักหน่วง ทว่ากลับไม่สามารถให้การรักษาได้เลย
หากแต่ตอนนี้ไป๋หยานกลับสามารถรักษานายน้อยเขาได้นางถือเป็นผู้มีอุปการคุณของสำนักเวชโอสถ !
”เช่นนั้นข้าขอถามหน่อยเถิดว่า แมวของท่านใช้วิธีการเช่นใดในการรักษา ?” นัยน์ตาของผู้เฒ่าสว่างวาบ “หลายปีที่ผ่านมา เราต่างพยายามลองหลากหลายวิธี หากแต่ก็ล้มเหลว”
”เอ่อ… ” สีหน้าของไป๋หยานแลดูเขินอาย “เรื่องนี้ยากที่จะกล่าว”
ชายชราตกใจกับคำตอบที่เหนือความคาดหมายนั่นหากไป๋หยานไม่ต้องการบอก นางก็น่าที่จะปฏิเสธมาเลย ทว่าเหตุใดนางถึงพูดเช่นนั้น ?
”นายน้อย?” ชายชราหันกลับไปหาไป๋จั่นเผิง
สีหน้าของไป๋จั่นเผิงแลดูสับสนเล็กน้อย“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน หลังจากเข้าไปในห้อง ข้าก็หมดสติ และเมื่อข้าตื่น พลังฉีร้ายภายในร่างของข้าก็หายไปแล้ว”
สีหน้าของไป๋หยานยิ่งแลดูกระอักกระอ่วนมากขึ้นเพราะหากไป๋จั่นเผิงรู้ว่าเสี่ยวมี่ดูดพลังร้ายนั่นออกด้วยวิธีใด แน่นอนว่าหากเขายังมีสติสัมปชัญญะ เขาจะต้องปฏิเสธอย่างแน่นอน…
เช่นนั้นนางจึงกระพริบตาส่งสัญญาณให้เสี่ยวมี่ เพื่อให้เสี่ยวมี่ทำให้เขาหมดสติเสียก่อน
”อืม…”ผู้เฒ่าแลดูผิดหวัง ดูเหมือนว่าไป๋หยานจะไม่ต้องการเปิดเผยวิธีการกำจัดพลังฉีร้ายนั่น เลยทำให้นายน้อยของเขาสลบเสียก่อน
แต่ก็ช่างเถอะอย่างไรเสียตอนนี้นายน้อยของเขาก็หายแล้ว
”ข้ามีใบสั่งยาด้วย”ไป๋หยานหยิบใบสั่งยาออกมาจากกระเป๋าของนาง แล้วส่งให้ผู้เฒ่า “เจ้าไปซื้อสมุนไพรตามรายการทั้งหมดนี้ให้ข้า”
”นี่คือ… ”
“ยาพวกนี้จะช่วยให้สุขภาพของนายน้อยของเจ้าฟื้นฟูเร็วขึ้น”
ผู้เฒ่าคลี่กระดาษที่พับไว้ออกแล้วก็ต้องประหลาดใจกับสูตรยาในนั้นทันทีที่ได้อ่าน
ในสำนักเวชโอสถมีหมอปรุงยาเก่งๆ จำนวนมาก รวมถึงตัวเขาเองก็เป็นหมอปรุงยาขั้นห้า หากแต่เขาไม่เคยเห็นผู้ใดนำสมุนไพรเหล่านี้มารวมกันเลย
”แม่นางไป๋หยานยาที่เจ้ากำลังจะปรุงนี่คือยาชนิดใด ?”
”ยาอายุวัฒนะระดับห้า”
ยาอายุวัฒนะระดับห้าเป็นผลพลอยได้จากการที่นางทำการวิจัยปรับปรุงยาเม็ดจิตวิญญาณ
ซึ่งยาเม็ดจิตวิญญาณนั่นในคราก่อนนางก็ได้ใช้กับเจ้าบ้านหลานท่านปู่ของนางไปแล้วตอนนี้ไป๋จั่นเผิงอาการหนักมาก เพียงยาเม็ดจิตวิญญาณระดับสี่ไม่อาจช่วยในการรักษาเขาได้ มีเพียงยาอายุวัฒนะระดับห้าเท่านั้นที่สามารถช่วยเขาได้
”ยาอายุวัฒนะระดับห้า”
เทียบกับตัวยาเมื่อครู่ที่ทำให้เขาประหลาดใจได้แล้วคำตอบของไป๋หยานกลับยิ่งทำให้ผู้ชรารู้สึกตกใจมากกว่าเดิม หรือว่าสตรีตรงหน้าเขาผู้นี้ก็เป็นหมอปรุงยาขั้นห้าด้วย ?
แม้ว่าเขาเองก็เป็นหมอปรุงยาขั้นห้าหากแต่กว่าจะมาได้ถึงขั้นนี้อายุของเขาก็กว่าห้าสิบปีแล้ว ทว่าหญิงสาวผู้นี้มีอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ เท่านั้นรึ ?
นางเป็นหมอปรุงยาในวัยยี่สิบต้นๆ …นี่…นางจะทำให้ข้าหัวใจวายตายใช่หรือไม่ ?
ไป๋หยานไม่ตอบคำถามนางกล่าวต่อว่า “ร่างกายของไป๋จั่นเผิงอ่อนแอเกินไป เพียงยาอายุวัฒนะเม็ดเดียวไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายของเขาได้ เช่นนั้นเจ้าต้องเตรียมส่วนผสมทุกอย่างเพิ่มขึ้นสิบเท่า เพื่อให้ข้าปรุงยาอายุวัฒนะหนึ่งร้อยเม็ด นั่นถึงจะมากพอที่จะฟื้นฟูร่างกายของเขาได้”
มือของผู้อาวุโสสั่นเทาเขาหายใจหอบ “แม่นางไป๋หยาน เจ้าบอกว่า เจ้าสามารถปรุงยาสิบเม็ดในหม้อเดียวได้ ?”
ไป๋หยานขมวดคิ้ว”ก็อย่างน้อยสิบเม็ดต่อหม้อนะ แต่ในกรณีนี้เจ้าจำเป็นต้องเตรียมส่วนผสมมากกว่าปกติ เจ้าสามารถหาได้หรือไม่ล่ะ ?”
กระไรนะ? อย่างน้อยก็สิบเม็ด ? แสดงว่าเคยทำได้มากกว่ากระนั้นสิ ?
สมองของผู้เฒ่าแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาได้แต่ยืนปากสั่นกล่าวคำใดไม่ออก
ว่ากันตามจริงไป๋หยานติดอยู่ในเกาะศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลานานหลายปี นางจึงไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับหมอปรุงยาคนอื่น ๆ ในโลกนี้ ไป๋หยานจึงไม่รู้ว่าหมอปรุงยาในอาณาจักรนี้อยู่ขั้นไหน นางคิดเพียงว่าคงไม่มีผู้ใดห่วยเท่าอาจารย์ทั้งสามของนางแล้วล่ะว่าไหม ?
บทที่ 202 : นี่มันเกินมนุษย์แล้วนะ !
นี่นางคิดว่าการปรุงยาเม็ดขั้น 5 ได้สิบเม็ดในหม้อเดียวนี่เป็นเรื่องปกติธรรมดากระนั้นสิ
ผู้ชราอยากร้องไห้ในสภาวการณ์ที่ยอดเยี่ยมสุด ๆ เขาเองยังปรุงยาได้อย่างมากที่สุดก็สี่เม็ดในหม้อเดียว แต่หากเวลานั้นสถานการณ์ไม่ราบรื่น เขาก็ทำได้ไม่เกินสองเม็ดเท่านั้น
นี่มันเกินมนุษย์แล้วนะ!
”หากไม่มีสิ่งใดแล้วเจ้าก็ไปเตรียมสมุนไพรเหล่านั้นให้พร้อม จากนั้นค่อยกลับมาพบข้า”
ไป๋หยานเหยียดแขนออกอย่างเกียจคร้านครั้นเห็นว่าเวลานี้ก็ยังไม่ดึกเท่าใดนัก นางจึงวางแผนจะกลับไปพักผ่อนในห้องของตนเอง หากแต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงดังมาจากประตูบ้านข้าง ๆ
ดูเหมือนจะเป็นเสียงของหวังเสี่ยวผางใช่ไหมนั่น? … เด็กคนนั้นเป็นเพื่อนของเฉินเอ๋อนี่นา ?
นางคิดแล้วรีบเดินไปที่บ้านข้างๆ
”ผู้เฒ่ากู่”ไป๋จั่นเผิงมองตามหลังร่างของไป๋หยานที่เดินจากไป ริมฝีปากของเขาปรากฏรอยยิ้มจาง ๆ “โลกนี้ ช่างเต็มไปด้วยเรื่องน่าประหลาดใจเสียจริง รวมถึงมีคนที่เกินความคาดหมายให้เราได้พบอีกด้วย ข้าคิดว่า อัจฉริยะในสำนักเวชโอสถทั้งหมดที่มีก็ไม่อาจเทียบกับไป๋หยานได้แม้แต่คนเดียว”
ผู้เฒ่ากู่รู้สึกละอายใจมากนี่เขาไม่ได้ออกมาสู่โลกภายนอกเสียนาน นานกระทั่งเขาไม่รู้เลยว่ามีอัจฉริยะระดับนี้ในโลก …
“นายน้อยเท่าที่ข้าตรวจสอบภูมิหลังของแม่นางไป๋หยาน ข้ารู้มาว่าคนตระกูลไป๋ต้องการขายนางให้ไปเป็นอนุของตาเฒ่าคนหนึ่งเพื่อแลกกับยาเม็ดจิตวิญญาณขั้นสามเท่านั้น ข้าไม่รู้ว่าหากพวกตระกูลไป๋รู้ความสามารถที่แท้จริงของนางว่าแข็งแกร่งเพียงใด พวกเขาจะเสียใจจนอกแตกตายหรือไม่นะ ?”
ไป๋จั่นเผิงลูบไล้ใบสั่งยาในมือและทันทีที่ได้ยินคำกล่าวของชายชรา สายตาที่อบอุ่นอ่อนโยนของเขาก็พลันเย็นชา
”บ้านสกุลไป๋กระนั้นรึ?” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ตรวจสอบตระกูลนี้ให้ข้า ข้าอยากรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับแม่นางไป๋ ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับนางบ้างตอนที่นางอยู่ที่นั่น !”
”ขอรับนายน้อย”
ณบ้านตระกูลหวัง
หวังตี้จวินกำลังอยู่ในห้องตำรา ทันทีที่เสียงกรีดร้องจากภายนอกดังเข้ามาเขย่าโสตประสาทของเขา เขาก็รีบพุ่งตัวออกจากห้องตำราไปยังลานหน้าบ้าน
ภายในลานบ้านหวังเสี่ยวผางถูกกลุ่มองครักษ์จับตัวไว้ เด็กน้อยกำลังร้องครวญราวกับหมู
ด้านหน้าหวังเสี่ยวผางมีอันธพาลน้อยซึ่งอ้วนกว่าเขายืนอยู่ เด็กชายคนนั้นยืนเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง ขณะออกคำสั่งให้ทหารนำตัวหวังเสี่ยวผางไป
หวังเสี่ยวถงยืนนิ่งด้วยความตื่นตระหนกเพียงชั่วครู่ เด็กหญิงก็เริ่มร้องไห้ นางพุ่งไปที่ร่างของหวังเสี่ยวผางผู้ซึ่งยามนี้ถูกรวบมือและเท้าไว้ จากนั้นนางก็พยายามปลดมือที่จับพี่ชายของตนเองออก
”หลีกไป!”
อันธพาลน้อยผลักหวังเสี่ยวถงพร้อมกับกล่าวว่า “หากเจ้ายังขืนเข้ามาอีก ข้าจะให้คนของข้าจับเจ้าไปด้วย จากนั้นก็จะให้เจ้าเป็นคนคอยอุ่นเตียงให้ข้า !”
หวังตี้จวินที่เพิ่งวิ่งมาถึงทันได้ยินประโยคนี้เข้าพอดีเขาโมโหจนลมแทบจับ กล้าดีอย่างไรมาข่มขู่ว่าจะเอาบุตรสาวของเขาไปอุ่นเตียง ? ถึงแม้ว่าพวกเราจะแยกตัวออกมาจากตระกูลใหญ่แล้ว หากแต่อย่าคิดนะว่าจะรังแกหวังตี้จวินได้ง่าย ๆ !”
“ท่านพ่อ!” หวังเสี่ยวผางเห็นหวังตี้จวิน ราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต เขาร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาท่วม “ช่วยข้าด้วย ท่านพ่อ !”
”เด็กนรกปล่อยตัวบุตรชายข้าเดี๋ยวนี้นะ !”
นัยน์ตาของหวังตี้จวินแดงก่ำเขายกไม้ยาว ๆ กวัดแกว่งไปยังพวกองครักษ์ที่จับตัวบุตรชายของเขาไว้
องครักษ์หลายคนต่างก็ได้รับบาดเจ็บกระดูกพวกเขาเกือบจะหักจากการถูกตี มือของพวกเขาอ่อนแรง กระทั่งปล่อยหวังเสี่ยวผางร่วงลงสู่พื้น
”ท่านพ่อ”
หวังเสี่ยวผางรีบคลานมาอยู่ข้างๆ บิดาของตน เขาร้องคร่ำครวญอย่างน่ารันทด “คนพวกนี้เกินไปจริง ๆ ไม่เพียงแต่รังแกเด็ก ยังขนคนหมู่มากมารังแกข้าอีกด้วย ! ท่านช่วยข้าให้บทเรียนคนพวกนี้ที !
“หลีกไป”หวังตี้จวินผลักบุตรชายไปไว้ด้านหลัง พลางกวัดแกว่งไม้ยาว ๆ ไปมาด้วยความโกรธ “ลูกของข้า มีแต่ข้าเท่านั้นที่สามารถตีเขาได้ พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาตีเขา ! วันนี้ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้ตาย ! ”
บทที่ 203 : ข้อตกลงทางการค้า (1)
อันธพาลน้อยตะลึงกระทั่งลืมร้องไห้เด็กอ้วนทำได้เพียงยืนมอง เหล่าองครักษ์ที่ล้มคว่ำไม่เป็นท่าด้วยฝีมือของหวังตี้จวิน
”ข้า… ” ครั้นเห็นสายตาที่หวังตี้จวินจ้องมองมาแล้ว อันธพาลน้อยก็หมดความเย่อหยิ่ง เขาพูดปากคอสั่น “เสด็จพ่อของข้าคือองค์รัชทายาท … ”
”ข้าไม่สนว่าบิดาของเจ้าจะเป็นฮ่องเต้หรือองค์ชายมาแต่ที่ใดหากเขาไม่สามารถอบรมเจ้าได้ ข้าก็จะอบรมแทนเอง !” หวังตี้จวินยกเท้าถีบอกของเด็กชาย
นี่! พวกเจ้าคิดว่าข้าไม่มีมือมีเท้าหรือไร ? ถึงได้เข้ามาทุบตีบุตรชายของข้าถึงในบ้านข้าได้ ? ช่างกล้านัก ! หากไม่ให้บทเรียนแก่พวกเจ้าก็อย่าเรียกข้าว่าหวังตี้จวิน !
อันธพาลน้อยร้องไห้ลั่น
”เสด็จพ่อบอกข้าว่าตอนที่ข้าถือกำเนิด ข้าก็เป็นผู้ที่มีเกียรติสูงสุดในโลกนี้ เนื่องด้วยสรรพสัตว์ต่างก็โค้งคำนับให้แก่ข้า หากเสด็จพ่อของข้ารู้ว่าเจ้าปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ เสด็จพ่อของข้าจะแยกร่างของเจ้าออกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นก็โยนให้สุนัขกิน ! ”
หวังตี้จวินยิ้มเยาะเขาคว้าร่างของอันธพาลน้อยยกสูงขึ้นจนตัวลอยจากนั้นก็ตบหน้าเด็กอ้วน
”ร้องไห้อีกสิร้องสิ แล้วข้าจะโยนเจ้าให้สัตว์ประหลาดกิน”
อันธพาลน้อยตัวสั่นเทาเขาไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ ใบหน้าอ้วนกลมเต็มไปด้วยความหวาดกลัว หนานกงหลินมองหวังตี้จวินที่อยู่เบื้องหน้าอย่างหวั่นเกรง
”ราชวงศ์สัตว์อสูรกระนั้นรึ? คนของราชวงศ์สัตว์อสูรต้องสามารถควบคุมเหล่าสัตว์อสูรได้ เจ้ามีความสามารถหาสัตว์อสูรมาฝึกให้เชื่อง ให้ข้าได้ดูเป็นขวัญตาสักตัวหรือไม่ล่ะ ? ยังมีหน้ามาขู่ข้าว่าเป็นคนของราชวงศ์สัตว์อสูรอีก นึกว่าข้าจะกลัวเจ้ากระนั้นรึ ?”
คนเหล่านี้ช่างโง่จริงๆ พวกเขาเชื่อข่าวลืองี่เง่านั่นได้อย่างไร ? คนจากราชวงศ์สัตว์อสูรอะไรกัน ? เหตุใดจึงไม่มีสัตว์อสูรติดตามแม้สักตัว ?
”ไปให้พ้นหน้าข้า!”
หวังตี้จวินโยนร่างอันธพาลน้อยลงจากนั้นก็จ้องมองเหล่าองครักษ์ที่นอนระทวยอยู่บนพื้นอย่างดุดัน
บรรดาองครักษ์ต่างตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวพวกเขารีบลุกขึ้นมาอุ้มองค์ชายน้อย จากนั้นก็รีบเผ่นออกจากสถานที่แห่งนี้อย่างว่องไว
ขณะเดียวกันนั้นเองด้านนอกประตูบ้านสกุลหวัง ไป๋หยานกำลังยืนกอดอกพิงประตู ริมฝีปากของนางยกยิ้ม
ครั้นเห็นว่าพวกเขาไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือใดจากนาง นางก็หันหลังหมายจะเดินกลับบ้าน
”แม่นาง… ” ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้นางหยุดเดิน
ไป๋หยานหันหลังกลับไปมองหวังตี้จวินซึ่งรีบสาวเท้าเดินตามหลังนางมาอย่างว่องไวพลางเอ่ยปากถาม “มีสิ่งใดกระนั้นหรือ ?”
”แม่นางเป็นมารดาของไป๋เสี่ยวเฉินใช่หรือไม่?” หวังตี้จวินยิ้มให้ ทว่ารอยยิ้มนั้นแลดูเจ้าเล่ห์ เขามองไป๋หยาน ราวกับเห็นหมูที่กำลังรอเชือด
ไป๋หยานถึงกับถอยหลังหนีสองก้าวอย่างไม่ทันรู้ตัว”เจ้ารู้จักข้าด้วยกระนั้นหรือ ?”
”ฮ่าฮ่าเสี่ยวเฉินเคยกล่าวเมื่อนานมาแล้วว่า มารดาของเขาเป็นสตรีที่งามที่สุดในโลก ทันทีที่ข้าเห็นแม่นางเดินออกมาจากประตูบ้านถัดไป ข้าก็เดาว่าต้องเป็นเจ้าแน่” หวังตี้จวินหัวเราะ เขาลากตัวบุตรชายของเขาออกมาอย่างรวดเร็ว “ออกมาเลย รีบทักทายท่านอาสิ”
หวังเสี่ยวผางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม“ท่านอาหญิงคนงาม”
หวังเสี่ยวถงซึ่งหยาดน้ำตาเพิ่งแห้งจากปลายหางตาหมาดๆ ก็เดินเข้ามาพร้อมกับตะโกนออกมาดัง ๆ ว่า “ท่านอาหญิง”
นางเป็นมารดาของไป๋เสี่ยวเฉินนางสวยมากจริง ๆ สวยที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย …
“ข้าเพียงออกมาดูว่าเกิดความวุ่นวายอะไรขึ้นก็เท่านั้นหากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอกลับก่อน”
ไป๋หยานมองสองพี่น้องตระกูลหวังด้วยสายตาที่อ่อนโยน
“หากพวกเจ้าทั้งสองมีเวลาก็ไปเล่นกับเฉินเอ๋อที่บ้านของข้าได้นะ เฉินเอ๋อบุตรชายของข้าชอบเจ้าทั้งสองมาก”
นัยน์ตาของหวังเสี่ยวผางสว่างไสวเป็นประกายเขาไม่เคยไปเล่นที่บ้านข้าง ๆ เลย ขณะที่ไป๋เสี่ยวเฉินมาเล่นที่บ้านของเขาบ่อย ๆ
”หากไปเล่นที่บ้านท่านอาหญิงคนงามก็จงเป็นเด็กดีเชื่อฟังท่านอาหญิง อย่าไปสร้างปัญหาล่ะ เข้าใจหรือไม่ !” หวังตี้จวินเขกหัวบุตรชายตนเอง พร้อมกับไม่ลืมที่จะกำชับเด็กน้อยด้วย
บทที่ 204 : ข้อตกลงทางการค้า (2)
กล่าวจบเขาก็หันกลับมาหาไป๋หยานพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง”ข้าขอทราบนามของแม่นางจะได้หรือไม่ ?”
”ไป๋หยาน”
“แม่นางแซ่ไป๋กระนั้นรึ? แล้วเสี่ยวเฉินก็ใช้แซ่ของเจ้าด้วย ?” หวังตี้จวินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย โดยปกติแล้ว ไป๋เสี่ยวเฉินควรต้องใช้แซ่ของบิดามิใช่มารดา
ครั้นเห็นทีท่าประหลาดใจของหวังตี้จวินไป๋หยานจึงยกยิ้มพร้อมกล่าวว่า “มีสิ่งใดอีกหรือไม่ ?”
”เอ่อ…ก่อนหน้านี้ข้าได้ทราบมาจากเสี่ยวเฉินว่าแม่นางมียาเม็ดจิตวิญญาณอยู่ในความครอบครองจำนวนหนึ่ง ไม่ทราบว่าแม่นางสามารถขายมันให้แก่ข้าได้หรือไม่ ข้าพร้อมจะจ่ายให้ตามที่แม่นางต้องการ”
นัยน์ตาของหวังตี้จวินเปล่งประกายราวกับหมาป่าที่กำลังจ้องมองเหยื่ออย่างหิวกระหาย
ไป๋หยานไตร่ตรองชั่วครู่หนึ่ง”เจ้าต้องการยาระดับใด ?”
”ขอเพียงสูงกว่าระดับสามก็พอ”
”ได้! ข้าจะหาระดับที่สูงกว่าสามทว่าไม่เกินห้าให้เจ้า ส่วนเรื่องราคา ข้าจะให้คนของข้ามาเจรจารายละเอียดกับเจ้า”
หัวใจของหวังตี้จวินบีบเกร็งเขาคาดหวังเพียงให้ไป๋หยานจัดหายาเม็ดระดับสามหรือสี่ให้เขา คาดไม่ถึงว่านางจะมีถึงยาระดับห้า
นี่…น่าประหลาดใจเสียเหลือเกิน!
”เรื่องราคามิใช่ปัญหาข้าขอทราบว่าแม่นางจะสามารถมอบยาเหล่านั้นให้ได้เมื่อใด ?”
”ข้าสามารถหายาเม็ดระดับสามและสี่อย่างละร้อยเม็ดในแต่ละเดือน สำหรับยาเม็ดระดับห้า เจ้าต้องจัดหาส่วนประกอบตัวยาต่าง ๆ มาให้ข้า ส่วนข้าก็เพียงปรุงเดือนละครั้ง จำนวนที่ได้แต่ละเดือนก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา”
นัยน์ตาของหวังตี้จวินเบิกกว้างสว่างไสว
นางปรุงยาได้เองกระนั้นรึ? นั่นหมายความว่า แม่นางไป๋หยานผู้นี้เป็นหมอปรุงยาขั้นห้าใช่หรือไม่ ?
”ตกลงหากแม่นางจัดหายาเม็ดมีค่าเหล่านี้ได้ตามที่ท่านกล่าวมา ท่านก็ให้คนมาพบข้าเพื่อตกลงเรื่องราคาได้เลย ข้าแน่ใจว่าข้าจะไม่ทำให้แม่นางต้องผิดหวัง”
อย่างไรเสียนี่ก็ไม่ใช่เงินของเขาหากแต่เป็นของตระกูลของเขา ซึ่งหมายความว่า เขาย่อมสามารถจ่ายได้ไม่ว่าจะแพงเพียงใดก็ตาม
ไป๋หยานไม่กล่าวคำใดอีกนางเดินกลับไปทางบ้านของนาง เพียงพริบตานางก็หายลับไปจากสายตาของพ่อลูกตระกูลหวัง
หวังเสี่ยวผางมองบิดาของตนด้วยความฉงนสงสัย“ท่านพ่อ คนโลภอย่างท่าน ไหนเลยยอมเจรจาการค้าอย่างตรงไปตรงมา ?”
“พูดอะไรไร้สาระ?” หวังตี้จวินเป่าลมพ่นหนวดพลางมองบุตรชายของตน “เจ้าจำยาเม็ดที่เสี่ยวเฉินมอบให้เจ้าเมื่อหลายวันก่อนได้หรือไม่ ? พ่อส่งมันไปให้ท่านปู่ของเจ้าเม็ดหนึ่ง หลังจากให้หมอปรุงยาของตระกูลเราตรวจสอบ ปรากฏว่า ยาเม็ดของเสี่ยวเฉินนั้นมีประสิทธิภาพสูงกว่ายาเม็ดในระดับเดียวกันที่มีกลาดเกลื่อนทั่วไป”
“เช่นนั้นพ่อจึงไม่ยอมขายยาเม็ดทั้งหมดนั่น หากแต่ต่อมา พ่อก็เอามันไปกำนัลให้แก่ท่านปู่ของเจ้า แล้วท่านปู่ของเจ้าก็บอกว่า ยังมีเหลืออีกเท่าใด เขายินดีที่จะซื้อมันมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ”
ปากของหวังตี้จวินฉีกออกเป็นรอยยิ้มกว้างเขามั่นใจว่าด้วยยาเม็ดพวกนี้แหละที่จะทำให้เขากลับเข้าตระกูลได้
หวังเสี่ยวผางเบ้ปาก”เมื่อมันมิใช่เงินของท่าน ท่านเลยตกลงได้อย่างหน้าชื่นตาบานกระนั้นสิ
บิดาของข้าไม่เคยทำการค้าโดยไม่เอาเปรียบผู้ใดยามใดที่เขาเจรจาการค้าไม่ว่ากับผู้ใด เขามักจะกดราคากระทั่งแทบไม่เหลือค่า นี่เป็นครั้งแรกที่เขายอมเจรจาอย่างจริงใจ และใจกว้างเช่นนี้
หวังตี้จวินมองหน้าหวังเสี่ยวผางผู้เป็นบุตรชาย“เจ้าพูดถึงบิดาของตนเองเช่นนี้ได้อย่างไร ? หรือว่า เจ้าไม่อยากเป็นทายาทรับสืบทอดมรดกของตระกูลเรา ด้วยเหตุนี้ จะต้องจ่ายเท่าไหร่ก็ช่างมันเถอะ ?”
“ยิ่งไปกว่านั้นหากต้องยอมให้ทรัพย์สมบัติตกอยู่ในมือของพี่น้องคนอื่น ๆ ให้แม่นางไป๋หยานได้ผลประโยชน์เสียยังจะดีกว่า”
นี่คือจุดประสงค์หลักของเขา
ในครานั้นพวกเขาถูกพี่เขย และหลานบีบบังคับให้ต้องออกจากตระกูล เมื่อมีโอกาสไหนเลยเขาจะไม่เอาคืนคนพวกนั้น
หวังเสี่ยวผางเกาหัว”แล้วท่านปู่จะเห็นด้วยหรือไม่ ?”
”โฮะโฮะ” หวังตี้จวินยิ้มเจ้าเล่ห์ พลางกล่าวว่า “ข้าได้แจ้งท่านปู่ของเจ้าไว้แล้วว่า ที่ยาเม็ดเหล่านี้มีคุณภาพดีมาก เพราะหมอปรุงยาปรุงเพื่อสร้างเสริมประสบการณ์ เช่นนั้นเขาจึงไม่สนใจยาเม็ดพวกนี้อีก อีกทั้งมันก็มีเพียงจำนวนจำกัดเท่านั้น”
บทที่ 205 : หนุ่มน้อยเหวินหรู่ (1)
เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะมีภาษีพอที่จะอ้าปากพูดอะไรได้บ้าง
”เจ้าลูกชายเจ้าต้องศึกษากลวิธีทางการค้าเหล่านี้ไว้ให้ดี เพราะต่อให้เจ้าไม่สามารถรับสืบทอดมรดกของตระกูลเราได้ เจ้าก็จะไม่อดตายอย่างแน่นอน”
หวังตี้จวินเจ็บใจที่ไม่สามารถหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ (มีลูกไม่ได้ดังใจ) หากเด็กคนนี้ได้สักครึ่งของเสี่ยวเฉิน เขาคงจะสบายใจกว่านี้มาก
”ข้ารู้แล้วน่า”
หวังเสี่ยวผางตอบรับพอเป็นพิธี
ครั้นเห็นหวังตี้จวินเงื้อมือหมายจะตีเขาอีกครั้งเด็กอ้วนก็รีบเผ่นหนีดังฟิ้วก่อนบิดาของเขาจะทันลงมือ เขาไม่ลืมที่จะหันกลับมาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ ทำเอาหวังตี้จวินอดไม่ได้ที่จะม้วนแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็วิ่งไล่ตามหลังบุตรชายไป
”ไอ้เด็กเลวหยุดเดี๋ยวนี้นะ !”
ณคฤหาสน์โบราณ
ภายในห้องรับรองไป๋หยานกำลังจิบชาระหว่างรอคอยอย่างเงียบ ๆ
เพียงไม่นานฮัวหลัวก็รีบรุดเดินเข้าประตูมานางคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น
“นายหญิงเรียกข้าน้อยมา ด้วยกิจอันใด”
”ข้าจะทำการค้ากับคนตระกูลหวังที่อยู่บ้านถัดไปให้มาม่าฉู่ไปเจรจาทำข้อตกลงกับพวกเขา”
”รับทราบนายหญิง” ฮัวหลัวกล่าวอย่างนอบน้อม
ไป๋หยานวางถ้วยชาในมือของนางลงพลางกล่าวเบาๆ ว่า “แล้วเรื่องการฝึกฝนหมอปรุงยาล่ะ ?”
ในโลกนี้อาจนับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเป็นใหญ่ก็จริง ทว่าหมอปรุงยาก็มีความสำคัญมากเช่นกัน
ตราบใดที่เป็นหมอปรุงยาผู้ทรงพลังแม้ว่าจะไม่เก่งกาจในเชิงยุทธ หากแต่คนผู้นั้นก็เหมือนมีเกราะทรงพลังคอยปกป้อง
เช่นนั้นเมื่อสามปีก่อนไป๋หยานจึงฝึกฝนหมอปรุงยาขึ้นอย่างลับ ๆ ทว่านางไม่มีเวลาว่างดูแลคนเหล่านั้นเลย นางจึงไม่เคยรู้ว่าพวกเขาฝึกฝนไปถึงขั้นใดกันแล้ว
“นายหญิงช่วงเวลาสามปีที่ผ่านมานี้ หมอปรุงยาทั้งหมดของเราฝึกได้ถึงขั้นสองเป็นอย่างน้อย ประมาณสามสิบคนก้าวถึงขั้นสาม และอีกเก้าคนอยู่ในขั้นที่สี่
“แล้วขั้นห้าล่ะ?” ไป๋หยานเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว
”เว้นแต่เหวินหรู่แล้วยังไม่มีผู้ใดก้าวถึงขั้นห้าได้”
เหวินหรู่เป็นคนที่ไป๋หยานพบเมื่อสามปีก่อนช่วงเวลานั้นเหวินหรู่กำลังมีชื่อเสียงอีกทั้งหยิ่งยโสเป็นอย่างมาก และเพราะคนทั้งสองต่างก็พบสมุนไพรที่มีค่าพร้อม ๆ กัน พวกเขาจึงแข่งขันกันปรุงยา
หากแต่เหวินหรู่พ่ายแพ้และผลของความพ่ายแพ้นี้เขาจึงยอมศิโรราบให้แก่ไป๋หยาน
”เป็นเช่นที่ข้าคิดไม่มีผู้ใดสามารถก้าวถึงขั้นห้าได้ หากแต่คนที่สามารถไปถึงขั้นสี่ได้ก็น้อยเสียเหลือเกิน ในจำนวนหมอปรุงยาที่มีความสามารถสองร้อยคน มีเพียงเก้าคนเท่านั้นหรือที่ไปถึงขั้นสี่ได้ ?”
ใบหน้าไป๋หยานเริ่มดูไม่ได้นางลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างแช่มช้า
ฮัวหลัวมองสีหน้านายหญิงของนางอย่างระมัดระวัง”และในเก้าคนนั้นก็มีห้าคนที่เคยได้ขั้นสามมาก่อนหน้าแล้ว … ”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเวลาสามปีที่ผ่านมานั้น พวกเขาเลื่อนได้เพียงขั้นเดียวเท่านั้น
”ฮัวหลัวพาข้าไปดูหมอปรุงยาพวกนั้นทีสิ”
นางต้องหาหนทางช่วยพวกเขาให้ก้าวหน้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ภายในลานที่ปกคลุมไปด้วยหมอกควันมีเตาจำนวนมากวางเรียงราย ด้านหน้าเตาแต่ละเตามีคนซึ่งกำลังยืนปรุงยาอยู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
ทันทีที่ไป๋หยานเข้ามาถึงลานปรุงยาร่าง ๆ นั้นก็พุ่งเข้ามาหานางอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าฟาด ทำให้ไป๋หยานยกเท้าตวัดไปโดยไม่ลังเล
เตะถูกเขาดังตุ้บ!
ชายคนนั้นกลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้น ใบหน้าขาว ๆ ที่หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าใจ เขามองไป๋หยานอย่างน่าสงสาร
“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าเมื่อสามปีก่อนอีกล่ะ? บอกหน่อยสิ เจ้าก้าวไปถึงขั้นใดแล้ว ? ไยข้าถึงไม่สังเกตเห็นเจ้าเลยในตอนแรก ?
เมื่อสามปีก่อนเขาพ่ายแพ้ให้กับนางเรื่องการปรุงยา ครานั้นเขาเองก็ไม่เต็มใจยอมรับ เช่นนั้นเขาจึงต่อสู้ด้านเชิงยุทธกับนาง แล้วผลก็คือโดนตียับ !
อย่างไรก็ตามในเวลานั้นเขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงขั้นความแข่งแกร่งทางด้านเชิงยุทธของไป๋หยานทว่าตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะพยายามเช่นไร เขาก็ไม่อาจรู้ได้ถึงระดับขั้นทางเชิงยุธของนาง ราวกับเขาถูกอำพรางด้วยม่านหมอกหนา ๆ