จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 296-300
บทที่ 296 : ทบทวนความสัมพันธ์กับตระกูลตงอีกครั้ง (1)
ทันใดนั้นขันทีก็เข้ามากราบทูลว่า “องค์หญิงหยุน ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท พ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เทียนฉีขมวดคิ้วนิ่วหน้า”นางมาหาข้าด้วยเรื่องใดกัน ? ข้ายุ่งเกินกว่าที่จะพบนาง”
ทันทีที่เขาได้ยินชื่อของฟู่เป่าหยุนเขาก็รู้สึกปวดหัวอย่างฉับพลัน หากหญิงผู้นั้นมิใช่น้องสาวของเขา และก่อนหน้านี้เขาไม่เคยทำผิดต่อนางแล้วล่ะก็ เขาก็คงจะไม่ยอมให้นางก้าวเข้าวังหลวงแห่งนี้อีกเป็นแน่
”พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีน้อมกายลงรับคำสั่งก่อนจะเดินออกไป
ด้านนอกประตูมีเสียงดังโวยวายหลังจากนั้นอีกนาน กว่าเสียงที่ดังจะค่อย ๆ เงียบหาย
เขารู้ว่าฟู่เป่าหยุนจากไปแล้ว
ฟู่เทียนฉีถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขาใช้นิ้วมือลูบระหว่างคิ้วเพื่อบรรเทาความปวดหัว ก่อนที่จะหันกลับมามองของที่ระลึกนั่นต่อไป
ทันใดนั้นเองเงาดำสายหนึ่งพลันพุ่งออกมา เงาร่างนั้นคุกเข่าลงเบื้องหน้าฟู่เทียนฉี
”ถวายพระพรฝ่าบาท”
ฟู่เทียนฉีย่นคิ้ว”เจ้าตื่นเต้นกระไรนักหรือ ? มีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นในอาณาจักรอื่น ๆ กระนั้นรึ ?”
”กราบทูลฝ่าบาทไป๋หยาน คุณหนูบ้านสกุลไป๋ผู้ซึ่งหายตัวไปจากอาณาจักรหลิวฮั่ว บัดนี้ได้กลับมาแล้ว”
ไป๋หยานเป็นหลานสาวของตงรั่วหลานนี่
คิ้วของฟู่เทียนฉียิ่งขมวดแน่นขึ้นก่อนเอ่ยถามเบา ๆ “แล้วเรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่อย่างไรรึ ?”
”กราบทูลฝ่าบาทข้าพระองค์ได้ยินมาว่า ไป๋หยานกลับมาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่นางจะประกาศตัดขาดจากตระกูลไป๋ ทว่านางยังกลายเป็นเจ้าหอบุปผาอีกด้วย”
หอบุปผา
ฟู่เทียนฉีจับของที่ระลึกในมือแน่นกระชับจู่ ๆ นัยน์ตาดำล้ำลึกของเขาก็เปล่งประกาย
”หอบุปผาที่ว่าคือหอบุปผาที่ฮัวหลัวสังกัดอยู่ใช่หรือไม่ ?”
พลังของหอบุปผานั้นเทียบเท่าราชสำนักหากไป๋หยานเป็นเจ้าหอบุปผาจริง เขาควรต้องพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์กับตระกูลตงเสียใหม่
ครานั้นหากไม่เป็นเพราะเขาเบื่อหน่ายฟู่เป่าหยุน เขาก็คงจะไม่ทำตัวเหินห่างจากตระกูลตง ครั้นฟู่เป่าหยุนแต่งงานกับคุณชายรองของตระกูลตงตระกูลตงย่อมต้องถูกผลักดันให้ขึ้นสู่ตระกูลชั้นแนวหน้าของอาณาจักรอย่างไม่ต้องสงสัย
”ไม่เพียงเท่านั้นบุตรชายนอกสมรสของไป๋หยานยังเป็นคนของราชวงศ์สัตว์อสูรในตำนาน แม้แต่มังกรของพรรคสัตว์อสูรในตำนานก็ยังเป็นของเขาหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เด็กผู้นั้นย่อมจะต้องเป็นผู้สืบทอดของพรรคสัตว์อสูรแน่แท้”
ผู้นำพรรคสัตว์อสูรไม่มีบุตรการที่เขาใช้เวลามากมายในการค้นหาคนจากราชวงศ์สัตว์อสูร นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการฝึกฝนผู้สืบทอดใช่หรือไม่ ?
เพล้ง!
ทันทีที่มือของฟู่เทียนฉีคลายออกของที่ระลึกในมือของเขาพลันตกลงสู่พื้น เขาเอ่ยถามว่า “ข้าได้ยินมาว่า ความสัมพันธ์ของฟู่เป่าหยุนที่มีต่อตงรั่วหลานลูกสะใภ้ของตระกูลหลานไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ ?”
”กราบทูลฝ่าบาททุกคนต่างรู้ดีว่าองค์หญิงเข้ากับคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลตงไม่ได้ ทว่าตงรั่วหลานก็รักน้องชายเพียงผู้เดียวของนางมาก เช่นนั้นนางจึงพยายามอดทนกับองค์หญิงมานานหลายปี”
เงามืดตอบกลับอย่างนอบน้อม
”เอาล่ะ”ความตื่นเต้นภายในใจของฟู่เทียนฉีพลุ่งพล่านขึ้น ทว่าเพื่อรักษาทีท่า เขาจึงพยายามสะกดมันไว้ “เช่นนั้นความสัมพันธ์ระหว่างตงรั่วหลาน และไป๋หยานล่ะ … ”
”กราบทูลฝ่าบาทแม่นางไป๋ยอมรับว่าตนเองเป็นคนของสกุลหลาน คุณหนูของบ้านสกุลตงก็มีความสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมกับไป๋หยาน”
ทั้งหมดนี้เป็นข่าวสารจากสายลับที่เขาส่งไปยังอาณาจักรหลิวฮั่ว
เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องจริงและเชื่อถือได้
”มีผู้ใดในอาณาจักรฉื่อเสียรับรู้เรื่องนี้อีกหรือไม่?” น้ำเสียงของเขาสั่นเทา ทว่าเขาพยายามสะกดให้ฟังดูราบเรียบเหมือนที่เคย
”ข้าพระองค์ไม่ทราบได้พ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋หยานกลับมาถึงอาณาจักรหลิวฮั่วนานกว่าสองเดือนแล้วทว่าเรื่องราวของนางยังมิได้แพร่กระจายไปยังอาณาจักรอื่น ๆ ส่วนใหญ่มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะได้รับข่าวสารเหล่านี้
”ดี”
ฟู่เทียนฉีตบโต๊ะพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ใครก็ได้ ไปเชิญองค์หญิงและน้องเขยข้ามา”
บทที่ 297 : ทบทวนความสัมพันธ์กับตระกูลตงอีกครั้ง (2)
ขณะนี้บนทางเดินภายในวังหลวงฟู่เป่าหยุนเตะก้อนหินบริเวณข้างทางด้วยความโมโห ใบหน้าของนางบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ
ตงรั่วฉินผู้ซึ่งเดินตามต้อยๆ แทบไม่กล้าหายใจ ด้วยเกรงว่าจะทำให้สตรีผู้อยู่ด้านหน้าขุ่นเคือง
ทันใดนั้นเองขันทีก็รีบวิ่งตามมาจากข้างหลังกระทั่งเกือบทัน เขาตะโกนขึ้นว่า “องค์หญิง ท่านราชบุตรเขย โปรดช้าก่อน”
ฝีเท้าของฟู่เป่าหยุนพลันชะงักชั่วขณะนั้นขันทีก็รีบวิ่งเข้าไปหานางทันที
”องค์หญิงฮ่องเต้มีรับสั่งให้พระองค์เข้าเฝ้า”
เสด็จพี่อยากพบนางกระนั้นรึ?
ฟู่เป่าหยุนเชิดคางขึ้นสูงนางกล่าวด้วยท่าทางเย่อหยิ่ง “ก็ข้าบอกแล้วไงว่า เสด็จพี่เป็นพระเชษฐาของข้า พระองค์ไม่มีทางไม่อยากพบข้าหรอก ! ยังไม่รีบนำทางไปอีกหรือ ?
”โปรดตามกระหม่อมมาพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก เขาแสดงท่าทีเชิญชวน จากนั้นก็ก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อนำทาง
ตงรั่วฉินมองฟู่เป่าหยุนพลางย่นคิ้วเล็กน้อย
เมื่อครู่ฮ่องเต้เพิ่งจะปฏิเสธที่ฟู่เป่าหยุนขอเข้าเฝ้าทว่าตอนนี้พระองค์กลับอยากจะพบนางอีกเพื่ออะไร ?
เขาคิดไม่ออกเช่นนั้นเขาจึงเลิกคิด จากนั้นเขาก็รีบเดินตามติดฟู่เป่าหยุนไปอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องตำราหลวงที่เงียบสงบฟู่เทียนฉีกำลังจดจ่อพินิจพิจารณาของที่ระลึกชิ้นใหม่ สายลับในชุดดำที่เข้ามากราบทูลรายงานเมื่อครู่ บัดนี้ได้หลบออกไปแล้วเช่นกัน
ทันใดนั้น
น้ำเสียงที่นุ่มนวลก็ดังมาจากนอกห้องตำรา
”เสด็จพี่”
เสียงนี้ทำให้ฟู่เทียนฉีขนลุกวาบทั่วตัวทันทีเขาหายใจเข้าลึก พยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้ไล่หญิงผู้นั้นออกไปอีกครั้ง
”เข้ามาได้… ”
ก่อนที่เขาจะทันกล่าวจบประตูห้องตำราหลวงพลันเปิดออก ฟู่เป่าหยุนเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าแดง ๆ ราวผีเสื้อ ครั้นนางแลเห็นบุรุษผู้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ลายมังกร ดวงตาของนางพลันแดงก่ำ
“เสด็จพี่ที่สุดพระองค์ก็ยอมพบข้าเสียที ทรงทราบบ้างหรือไม่ว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ข้าถูกผู้คนกลั่นแกล้งรังแกมาโดยตลอด ? คนนอกนินทาว่าร้ายข้ายังพอทน ทว่านี่แม้แต่ตาเฒ่ายายเฒ่าทั้งสองของตระกูลตงก็ยังกล้าข่มขู่รังแกข้า !”
สีหน้าของตงรั่วฉินเปลี่ยนไปเขาแทบจะอ้าปาก ทว่าหลังจากเห็นสีหน้าของฟู่เป่าหยุนแล้ว เขาจำต้องกลืนสิ่งที่เขาต้องการจะอธิบายแทนบิดามารดาของตนลงลำคอ
แน่นอนว่าฟู่เทียนฉีย่อมเห็นสีหน้าของตงรั่วฉินเช่นกัน แต่ครั้นเห็นตงรั่วฉินยอมนิ่งเงียบ ในใจของเขากลับรู้สึกเหยียดหยาม
ในฐานะลูกผู้ชายกลับถูกผู้หญิงกดขี่ได้เช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าตงรั่วฉินเป็นคนขี้ขลาดขนาดไหน !
“เป่าหยุนเท่าที่ข้ารู้มา ท่านผู้อาวุโสทั้งสองของตระกูลตงก็ปฏิบัติต่อเจ้าดีมาก ข้าไม่เคยได้ยินว่าเขารังแกอะไรเจ้าเลย”
“เสด็จพี่ไม่ทรงทราบหรอกว่าคนชราทั้งสองนั่นเป็นเช่นไร !” ฟู่เป่าหยุนกล่าวด้วยความโกรธ “หลายปีที่ผ่านมาพวกเขายังคงครองตำแหน่งเจ้าบ้านสกุลตง และเพราะคนแก่ทั้งสองนั่นไม่ส่งมอบตำแหน่งให้รั่วฉิน หาไม่แล้วเสด็จพี่ก็คงไม่ทรงเพิกเฉยต่อตระกูลตงมากเช่นนี้”
นางคือองค์หญิงขนิษฐาของฮ่องเต้!
ที่ฮ่องเต้ไม่ยอมดีกับนางอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ใช่หรือไม่?
การที่ฮ่องเต้ไม่ให้ความสำคัญกับตระกูลตงคงเป็นเพราะตาแก่ยายแก่คู่นั้นไม่ยอมมอบตำแหน่งให้ตงรั่วฉินใช่หรือไม่ ?
หน้าผากของฟู่เทียนฉียับย่นมากขึ้นนัยน์ตาที่เย็นชาของเขากวาดไปทั่วร่างของฟู่เป่าหยุนความไม่ชอบใจปรากฏชัดจากก้นบึ้งของแววตา
เขาค่อยๆ หันมามองตงรั่วฉิน และค่อย ๆ เผยรอยยิ้มบนใบหน้าที่องอาจและเด็ดเดี่ยว
”ตงรั่วฉินตระกูลตงของเจ้าต้องยุ่งยากมากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในวันหน้าหากเจ้ามีเรื่องใดจะให้ข้าช่วย ก็มาพบข้า มาปรึกษาข้าได้ ข้าจะพยายามช่วยเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
บทที่ 298 : ทบทวนความสัมพันธ์กับตระกูลตงอีกครั้ง (3)
ตงรั่วฉินเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจเขามองใบหน้าที่ยิ้มแย้มของฟู่เทียนฉีอย่างประจบประแจง
นับแต่ฟู่เป่าหยุนแต่งเข้าตระกูลตงบางทีฮ่องเต้อาจจจะทรงคิดว่าเขาไม่คู่ควรกับฟู่เป่าหยุน เช่นนั้นพระองค์จึงไม่เคยมองเขาในแง่ดีเลย
ตอนนี้เป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่สุดแล้วฮ่องเต้ก็ทรงยอมรับเขาในฐานะน้องเขย ?
”ขอบ… ขอบพระทัย พ่ะย่ะค่ะ”
ลิ้นของตงรั่วฉินพันกันให้วุ่นใบหน้าที่ตื่นเต้นของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาพูดติดอ่างอย่างประหม่า
ในช่วง20 ปีที่ผ่านมา เหตุใดเขาถึงได้เกรงใจฟู่เป่าหยุนมากนัก ? เหตุผลหนึ่งก็คือฟู่เป่าหยุนต้องเสียสละมากมาย เพื่อที่จะแต่งเข้าบ้านสกุลตง
ก่อนนั้นครั้งอยู่กันเพียงลำพังฟู่เป่าหยุนเคยบอกกับเขาว่าฮ่องเต้ทรงรักและโปรดปรานนางในฐานะขนิษฐามากมายเพียงไร ทว่านับแต่ฟู่เป่าหยุนเข้ามาอยู่ร่วมบ้านสกุลตง นานกว่า 20 ปีแล้วที่ฮ่องเต้ไม่ทรงเรียกหาคนสกุลตงเลย แม้ฟู่เป่าหยุนจะขอเข้าเฝ้าก็ยังถูกปฏิเสธซ้ำ ๆ เรื่อยมา
ฮ่องเต้คงจะกริ้วมากกับการแต่งงานครั้งนี้ เช่นนั้นแม้แต่ขนิษฐาสุดที่รัก พระองค์ก็ยังไม่อยากพบหน้า
”มีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเจ้าได้บ้างหรือไม่?”
เขากล่าวกับตงรั่วฉิน
ทว่ากับฟู่เป่าหยุนนั้นเขากลับเพิกเฉย
”มะ…ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ … ” ตงรั่วฉินกล่าวติดอ่าง
”หากไม่มีอะไรแล้วข้าจะไปส่งเจ้าเอง”
ฟู่เทียนฉียืนขึ้นพร้อมกับยิ้ม
”ส่ง… ส่งข้า ?”
ในหัวของตงรั่วฉินนั้นยังคงงงงวยเขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งอัศจรรย์นี้
ฮ่องเต้ไม่เพียงแต่ยอมรับเขาในฐานะน้องเขยทว่ากลับจะออกไปส่งเขาอีก ?
”เจ้ามัวทำอะไรอยู่?”
ฟู่เป่าหยุนจ้องตงรั่วฉินอย่างมีความสุขเหลือล้น
แน่นอนว่าตอนนี้เสด็จพี่ต้องยอมรับน้องสาวคนนี้แล้ว หาไม่คงจะไม่ทรงสุภาพกับตงรั่วฉินถึงเพียงนี้
ในฐานะฮ่องเต้ฟู่เทียนฉีไม่อาจออกไปส่งคนทั้งคู่ได้ไกลนัก เช่นนั้นเมื่อพวกเขาออกพ้นจากห้องตำราหลวง ฟู่เทียนฉีก็หันหลังกลับ
หลังจากที่ฟู่เทียนฉีเดินจากไปจิตใจของตงรั่วฉินก็ยังคงว่างเปล่า เขาไม่อาจสลัดความประหลาดใจนี้ออกจากใจได้
”ข้าบอกเจ้าแล้วว่าเสด็จพี่ของข้าดีต่อข้าเสมอ” ครั้นฟู่เป่าหยุนเห็นตงรั่วฉินยังคงยืนโง่งมอยู่ นางก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “โดยเฉพาะพวกที่อิจฉาข้า อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ไม่เห็น หากบิดาของเจ้าไม่มอบตำแหน่งเจ้าบ้านให้กับเจ้าเสียที เสด็จพี่ของข้าย่อมไม่มีวันปล่อยตระกูลตงไว้แน่”
ผู้ใดจะมีสิทธิ์ได้รับการต้อนรับจากองค์ฮ่องเต้เช่นนี้บ้าง? เว้นแต่ทูตจากอาณาจักรต่าง ๆ แล้ว ก็มีนางแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่คู่ควร
“เป่าหยุนที่ผ่านมา ข้าผิดต่อเจ้ามาก”
ตงรั่วฉินกลับมารู้สึกตัวเขาสำนึกเสียใจ หากนางไม่แต่งงานกับเขา ฟู่เป่าหยุนก็ยังคงเป็นองค์หญิง
”ข้าผิดเองที่ยอมแต่งเข้าตระกูลตง ด้วยเหตุนี้ ตาแก่ยายแก่ทั้งสองนั่นของเจ้าจึงเอาแต่คอยปกป้องตงรั่วหลาน !” ฟู่เป่าหยุน กัดฟัน พร้อมกับหยิกตงรั่วฉินอย่างดุเดือด “ข้าขอบอกเจ้า ที่จริงข้าจะนำความรุ่งโรจน์มาสู่ตระกูลตง แต่นี่อะไร ๆ ก็ตงรั่วหลาน ดีเท่าไหร่แล้วที่ข้าไม่ขับนางออกจากบ้าน โทษฐานที่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของข้า ! ”
ตงรั่วฉินเม้มริมฝีปากทว่าไม่กล่าวคำใด สายตาที่เขาจ้องมองไฟู่เป่าหยุนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
ภรรยาของเขารักเขาอย่างแท้จริง เหตุใดหลานเสี่ยวหยุนถึงได้กล่าววาจาให้ร้ายนางเช่นนั้น ?
เพราะหากมิใช่รักแท้นางคงไม่สามารถละทิ้งฐานะอันสูงส่งของนาง มาแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์อย่างเขาหรอก
”นายน้อยฮูหยินน้อย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว !”
ในขณะที่ฟู่เป่าหยุนกำลังจะกล่าวต่อนั้นหญิงสาวคนหนึ่งแต่งตัวเหมือนสาวใช้ก็รีบเข้ามา นางกล่าวโดยไม่หยุดหายใจเลยว่า “ฮูหยินน้อย เกิดเหตุร้ายกับนายน้อยมู่หลิน !”
บทที่ 299 : ทบทวนความสัมพันธ์กับตระกูลตงอีกครั้ง (4)
”อะไรนะ!”
ครั้นได้ยินว่าเกิดเหตุุร้ายกับตงมู่หลินฟู่เป่าหยุนก็คว้าแขนของสาวใช้ พลางจิกเล็บมือของนางลึกเข้าไปในเนื้อของสาวใช้
เด็กสาวผู้นั้นเกือบจะร้องไห้ออกมาเพราะความเจ็บปวดหากแต่นางก็รู้นิสัยของฟู่เป่าหยุนดี จึงทำได้เพียงอดทนต่อความเจ็บปวดนั้น ก่อนจะกล่าวรายงานต่อว่า
“นายน้อยมู่หลินถูกทำร้ายในโรงเตี๊ยมเจ้าค่ะ”
”อะไรนะ?” ฟู่เป่าหยุนงงงัน “ผู้ใดกันที่กล้าทำร้ายบุตรชายของข้า ?”
”คือ…เป็นผู้หญิงสองคนกับเด็กอีกหนึ่งคนเจ้าค่ะ”
ผู้หญิงกับเด็กงั้นรึ?
ต้องเป็นพวกนางแน่ๆ !
ฟู่เป่าหยุนกำหมัดแน่นพร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความโกรธ”ตงรั่วฉิน หลานเสี่ยวหยุนทำร้ายมู่หลินของข้า หากเจ้าไม่จัดการให้พวกเราแม่-ลูก ข้าจะไม่มีวันอภัยให้เจ้า”
”เจ้า… เจ้าคิดว่าเสี่ยวหยุนทำร้ายมู่หลินงั้นหรือ ?” ตงรั่วฉินตกใจ เขากล่าวอย่างงง ๆ ว่า “เป็นไปไม่ได้”
เขาไม่อยากเชื่อจริงๆ ว่าหลานเสี่ยวหยุนผู้เป็นหลานสาวของเขาจะกล้ากระทำสิ่งเลวทรามเช่นนั้น
”จะเป็นผู้ใดไปได้นอกจากหลานเสี่ยวหยุน? อย่าลืมนะว่า สตรีที่อยู่ข้าง ๆ หลานเสี่ยวหยุนคนนั้นก็มีลูกด้วย”
ตงรั่วฉินลังเลอยู่เพียงครู่”หากเป็นฝีมือของหยุนเอ๋อ ข้าจะคิดบัญชีให้กับมู่หลิน”
ฟู่เป่าหยุนโดนย่ำยีมามากพอแล้วนับแต่แต่งงานกับเขาจากนี้ไปเขาจะไม่ปล่อยให้ผู้ใดรังแกนางได้อีก
”กลับบ้าน”
นัยน์ตาของฟู่เป่าหยุนเขียวปั้ดครานี้นางจะไม่ยอมปล่อยตงรั่วหลานและบุตรสาวอย่างแน่นอน
ทุกคนที่ช่วยหลานเสี่ยวหยุนย่อมต้องเป็นคนที่น่ารังเกียจเฉกเช่นเดียวกัน!
กล่าวถึงตงมู่หลินเรื่องที่เขาถูกทำร้ายนั้น นับเป็นความผิดของเขาเองทั้งหมด
เมื่อครู่ตี้เสี่ยวอวิ๋น และฉู่อีอี้ไม่อยากอยู่บ้านสกุลตงเฉย ๆ เช่นนั้นพวกนางจึงพาไป๋เสี่ยวเฉินออกมาเดินเล่น
พวกนางไปพบตงมู่หลินในโรงเตี๊ยม
โดยกมลสันดานแล้วตงมู่หลินเป็นพวกบ้าผู้หญิงครั้นเขาเห็นตี้เสี่ยวอวิ๋นและฉู่อีอี้ เขาก็พยายามเกี้ยวพวกนาง ผลก็คือเขาถูกหญิงสาวทั้งสองทุบตีจนปางตาย
ครั้นผู้คุ้มกันของสกุลตงเห็นความแข็งแกร่งของตี้เสี่ยวอวิ๋นพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะประมือด้วย เขารีบพาตงมู่หลินกลับไปที่บ้านตระกูลตงทันที
ตงมู่หลินคาดหวังว่าตระกูลตงจะล้างแค้นให้แก่เขาทว่าตงฮูหยินกลับรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก ขณะที่ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านตงก็ได้กล่าวไว้แล้วว่า เขาไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นนั้นตงมู่หลินจึงทำได้เพียงยอมรับความพ่ายแพ้
”ลูกชายของข้า!”
ทันทีที่ฟู่เป่าหยุนกลับถึงบ้านสกุลตงนางก็รีบไปที่ห้องของตงมู่หลิน ครั้นนางเห็นตงมู่หลินพร้อมด้วยผ้าพันแผลบนศีรษะ นางก็กรีดร้องเสียงดัง “นางปีศาจคนไหนที่กล้าทำร้ายลูกชายของข้า ? ข้าจะฆ่านาง !”
นัยน์ตาของนางแดงก่ำนางจ้องมองบรรดาสาวใช้ที่รวมตัวกันคุกเข่าอย่างดุดัน
”ฮูหยินน้อย… ” สาวใช้คนหนึ่งกลืนน้ำลายก่อนจะกล่าวขึ้นว่า “ผู้ที่ทำร้ายนายน้อยมู่หลินเป็นแขกของท่านเจ้าบ้านและฮูหยินผู้เฒ่า พวกท่านปกป้องหญิงสาวทั้งสองด้วย เช่นนั้น … ”
”เป็นพวกนางจริงๆ !” แววตาของฟู่เป่าหยุนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง “มู่หลินเป็นบุตรชายของข้ากับผู้ที่ข้ารัก เขาเปรียบเสมือนเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตข้า ผู้ใดก็ตามที่กล้าลงมือทำร้ายเขา ข้าจะจัดการมันผู้นั้น ! นำทางข้าไป”
เป็นบุตรชายของข้ากับผู้ที่ข้ารักประโยคนี้ทำให้หัวใจของตงรั่วฉินอบอุ่นขึ้นทันที
เพียงประโยคนี้เขาก็ยินดีที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้กับแม่-ลูกคู่นี้
ยามนี้พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน
ไป๋หยานนั่งบนเก้าอี้หินหลังบ้านอย่างเกียจคร้านนิ้วที่เรียวงามของนางถือถ้วยน้ำชา รอยยิ้มน้อย ๆ ปรากฏบนริมฝีปากได้รูปของนาง
”หม่ามี้นี่สำหรับหม่ามี้”
ไป๋เสี่ยวเฉินวิ่งเข้ามาหาไป๋หยานอย่างน่ารักน่าเอ็นดูเขาส่งกิ่งท้อที่เต็มไปด้วยดอกท้อเต็มกิ่งให้แก่ไป๋หยาน ใบหน้างดงามราวกับรูปแกะสลักจากหยกสีชมพู เผยรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสา
”ฮะ?” ไป๋หยานรับกิ่งท้อมาจากมือของไป๋เสี่ยวเฉิน พร้อมกับเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
บทที่ 300 : ตี้เสี่ยวอวิ๋นผิดหวัง (1)
“วันนี้เฉินเอ๋อออกไปพร้อมกับอาหญิงและพี่สาวฉู่ ตลอดทาง มีชายหลายคนส่งดอกไม้ให้พวกนาง พวกนางกล่าวว่าดอกไม้เป็นสิ่งแทนใจที่คนรักมอบให้กันมากที่สุด” ร่างเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินอยู่ในอ้อมกอดของไป๋หยาน “หม่ามี้เป็นคนที่เฉินเอ๋อรักที่สุด เช่นนั้นเฉินเอ๋อจึงต้องมอบดอกไม้ให้หม่ามี้ แต่ถ้าหม่ามี้มีน้องสาวให้เฉินเอ๋อ เฉินเอ๋อก็จะรักนาง และมอบดอกไม้ให้นางด้วย”
ไป๋หยานหยิบกิ่งท้อมาจากไป๋เสี่ยวเฉินจากนั้นนางก็อุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยขึ้นมาวางบนตักของตน
ร่างเล็กๆ ของเด็กน้อยนั้นนุ่มนิ่ม ทั้งมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ทำให้คิ้วที่ขมวดของไป๋หยานพลันคลายลง
”ผู้ใดสอนให้เจ้าพูดคำเหล่านี้?” ไป๋หยานวางดอกท้อไว้ใต้จมูกพลางสูดกลิ่นหอมเบา ๆ
กลิ่นหอมดึงดูดใจทำให้ริมฝีปากของนางเผยอ นางยิ้มให้ซาลาเปาน้อยที่อยู่บนตักของนาง
“หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าวพร้อมทำแก้มป่อง “นี่เป็นคำพูดจากใจของเฉินเอ๋อนะ หม่ามี้สงสัยเฉินเอ๋อเหรอ ?”
”หมูตงโพสามจานนะเอาหรือไม่?”
ไป๋หยานยิ้มอย่างรู้เท่าทัน
ครั้นได้ยินคำของไป๋หยานไป๋เสี่ยวเฉินก็เงยหน้าขึ้นทันที “หม่ามี้ ที่หม่ามี้สงสัยนั่นถูกต้องแล้ว คำพูดพวกนั้นเป็นอาหญิงที่สอนให้ลูกพูด”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นผู้น่าสงสารนางคงคาดไม่ถึงว่า ไป๋เสี่ยวเฉินจะขายนางเพียงเพราะหมูตงโพสามจาน
”อยู่ให้ห่างจากนางและฉู่อีอี้เพื่อที่พวกนางจะไม่พาเจ้าออกไปเล่นแก่แดดข้างนอก เพราะหากพวกนางทำให้เจ้าเสียคนแล้วล่ะก็ แม่คงไม่ปล่อยพวกนางเป็นแน่”
อย่าคิดว่านางจะไม่รู้นะว่าแม่สาวทั้งสองมักจะไปเที่ยวผู้หญิงที่หอบุปผายามที่นางไม่อยู่ที่นั่น หากไป๋เสี่ยวเฉินไปกับพวกนางตามลำพังอีก เขาอาจจะเสียคนก็เป็นได้
”ตกลงเฉินเอ๋อจะเชื่อหม่ามี้”
ไป๋เสี่ยวเฉินพยักหน้าอย่างเฉลียวฉลาดทว่าประกายเจ้าเล่ห์กลับพาดผ่านนัยน์ตาอันสดใสของเขา
ในขณะที่ไป๋หยานต้องการจะกล่าวกำชับต่อนั้นจู่ ๆ นางก็รู้สึกได้ถึงสายตาเย็นชาที่จ้องมองมา
ความรู้สึกนั้นราวกับถูกงูพันรัดรอบคอกระทั่งอึดอัด
”หม่ามี้เป็นอะไรไปเหรอ ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้นมอง นัยน์ตาบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจ้องมองไป๋หยานไม่กระพริบ
ไป๋หยานกอดร่างอันอ่อนนุ่มของไป๋เสี่ยวเฉินอย่างรวดเร็วนางมองเห็นงูเขียวตัวยาวนอนนิ่งอยู่ในพงหญ้าไม่ไกลกันนัก
งูเขียวเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างดวงตาสอดรู้สอดเห็นของมันที่จ้องไป๋หยานเต็มไปด้วยความอิจฉา โกรธเคืองและไม่พอใจ
หากมองเพียงรูปร่างมันก็เป็นเพียงงูเขียวธรรมดา ๆ ทว่าอารมณ์ของมันกลับชัดเจนมากไม่ต่างจากสัตว์อสูร
ทว่าสัตว์อสูรจะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร?
ขณะที่ไป๋หยานกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเสียงฝีเท้าเบา ๆ ก็ดังมาจากหน้าลานบ้าน
หลังจากได้ยินเสียงฝีเท้านั่นงูเขียวก็รีบเลื้อยกลับไปที่พงหญ้า เพียงพริบตามันก็หายลับไป
”พี่สะใภ้”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็วทันใดนั้นเอง กลิ่นอายบางอย่างในอากาศก็ลอยมาแตะปลายจมูกของนาง ทำให้นางชะงักเท้าอย่างกระทันหัน คิ้วสวยได้รูปของนางย่นยู่ นางมองไปยังทิศทางที่งูเขียวนั่นหายตัวไป ด้วยความหวาดระแวง
“มีอะไรหรือ?” ไป๋หยานเอ่ยถามหน้านิ่วคิ้วขมวด
”ไม่มีอะไร”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นส่ายศีรษะ
กลิ่นอายนั้นอ่อนมากกระทั่งนางไม่แน่ใจว่าจะเป็นหญิงผู้นั้นหรือไม่
อย่าบอกพี่สะใภ้เจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้จนกว่าเจ้าจะแน่ใจ
”พี่สะใภ้”ตี้เสี่ยวอวิ๋นรีบวางเรื่องนี้ทันที นางฉีกยิ้ม “เราจะกลับกันเมื่อไหร่ ?”
“ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ต้องการหลบรอดสายตาของอ๋องคังหรอกรึ? เหตุใดเจ้าถึงอยากกลับแล้วล่ะ ?” แววตาของไป๋หยานเปล่งประกาย ริมฝีปากของนางยิ้ม เป็นยิ้มที่ลึกล้ำ “หรือเจ้ามีบางอย่างปิดบังข้าอยู่ ?”