จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 426-430
บทที่ 426 : ด้วยรักและกัดกัน (4)
”ข้าจะไป”
ทันใดนั้นแววตาของอันเซียงหรันพลันสว่างไสวขึ้น”หวังเสี่ยวผางโง่เรื่องถนนหนทางจะตาย เขาไม่รู้จักทางหรอก ข้าจะพาเจ้าไปที่ฉินหลิงเอง”
แม้ว่าสัตว์อสูรในฉินหลิงจะไม่ทรงพลังเท่ากับสัตว์อสูรบางที่ทว่าที่นั่นก็มีสัตว์อสูรหลายชนิด นอกจากนี้ฉินหลิงก็อยู่แค่นอกเมืองฮวนเฉิงแค่นั้น ดังนั้นไป๋เสี่ยวเฉินจึงเลือกที่นี่
ครั้นได้ยินคำกล่าวของอันเซียงหรันไป๋เสี่ยวเฉินก็หันไปหาหวังเสี่ยวผางพร้อมกับขยิบตากลมโตที่เต็มไปด้วยความฉลาดแกมโกงให้
ใจเย็นน่า!
แม้หวังเสี่ยวผางจะไม่เต็มใจไปพร้อมอันเซียงหรันทว่ายามนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะดื้อดึงได้ เขาทำได้เพียงจ้องมองอันเซียงหรันโดยไม่กล่าวคำใดอีก
*****
ยามนี้สองพี่น้องสกุลหวังหวังตี้หยวนและหวังตี้อี้ยังไม่ทราบเรื่องราวใด ๆ พวกเขามองข้ามเด็กทั้งสอง พวกเขาไม่รู้เลยว่ายามนี้ไป๋เสี่ยวเฉินได้ผูกพันธมิตรกับอันเซียงหรันเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังไม่รู้ตัวอีกว่า ที่สุดแล้วผู้ที่ทำให้ความหวังของพวกเขาต้องพังพินาศ ก็คือเด็กน้อยที่ไม่เคยอยู่ในสายตาพวกเขาเลย
ยามค่ำคืน…
ไป๋หยานยืนเงียบๆ อยู่นอกประตู เพียงไม่ช้านานก็เห็นร่างเล็ก ๆ เดินเข้ามาในลานบ้านอย่างระมัดระวัง
ครั้นเห็นท่าทางขลาดๆ ของเจ้าซาลาเปาน้อย นางก็กระแอมขึ้น ส่งผลให้เจ้าซาลาเปาน้อยยืดตัวตรงทันที เขาวิ่งเข้าไปหาไป๋หยานอย่างมีความสุข ขณะเดียวกันก็ร้องเรียก “หม่ามี้” พร้อมกับส่งยิ้มให้
”เจ้าไปที่ใดมาเหตุใดจึงกลับมาเสียค่ำ” ไป๋หยานเอ่ยถามพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น
มือสั้นๆ สองข้างของเจ้าซาลาเปาน้อยกอดต้นขาของไป๋หยาน พลางกระพริบตา “เฉินเอ๋อ อยากรู้อยากเห็นว่าเมืองนี้มีอะไรบ้าง ดังนั้นจึงออกไปเดินเล่นกับเสี่ยวผาง หม่ามี้ไม่โกรธเฉินเอ๋อใช่ไหม ?”
สีหน้าของไป๋หยานอ่อนโยนนางจะโกรธเจ้าซาลาเปาน้อยน่ารักคนนี้ลงได้ยังไง ?
“ดึกมากแล้วเข้านอนเถิด”
“ไม่เอา”ไป๋เสี่ยวเฉินกอดไป๋หยานไว้พลางกล่าว เขาแนบศีรษะของเขาชิดร่างของนาง “ป๊ะป๋าวายร้ายไม่อยู่ที่นี่ เฉินเอ๋อจะนอนกับหม่ามี้ เวลาป๊ะป๋ามาทีไร ชอบโยนเฉินเอ๋อออกไปนอนที่อื่นทุกทีเลย”
ยามที่เจ้าซาลาเปาน้อยพูดเรื่องนี้สีหน้าของเขาแลดูน่าสงสาร ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็ยังคงจับจ้องมองไป๋หยาน
”เด็กดื้อ… ” ไป๋หยานบีบแก้มน้อย ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉิน ท้ายที่สุดนางก็ต้องยอมตามใจโดยไม่อาจปฏิเสธ นางก้มลงอุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยขึ้นมา “ช่างเถิด ให้เจ้านอนแค่คืนนี้ พรุ่งนี้เจ้าต้องกลับไปนอนที่ห้องของเจ้า”
ไป๋เสี่ยวเฉินซุกศีรษะเข้าหาอ้อมแขนของไป๋หยานพลางยิ้มออกมาอย่างง่ายดาย
หม่ามี้เป็นที่รักที่สุดของเขาชั่วชีวิตนี้เขาจะไม่มีวันทอดทิ้งนาง !
*****
ครั้นได้ยินเสียงลมหายใจที่เป็นจังหวะสม่ำเสมอของไป๋เสี่ยวเฉินไป๋หยานจึงนอนหลับได้สนิท อย่างไรก็ตาม เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เสี่ยวเฉินก็หายตัวไปอีก ทั้งยังหายตัวไปเช่นนั้นทุก ๆ วัน โดยไม่บอกกล่าวสิ่งใด
ไป๋หยานรู้เพียงว่าไป๋เสี่ยวเฉินออกไปเที่ยวเล่นจึงไม่ได้ว่ากล่าวอะไร นางปล่อยให้ไป๋เสี่ยวเฉิน และหวังเสี่ยวผางออกไปด้วยกันทุกวัน
ภายในลานบ้านฝั่งตะวันตก
หวังตี้อี้กวาดชุดน้ำชาทั้งหมดบนโต๊ะลงพื้นใบหน้าที่หมองหม่นของเขาบิดเบี้ยว
”คนของข้าที่ส่งไปลอบติดตามหญิงผู้นั้นเหตุใด จู่ ๆ ถึงหายไปโดยไม่มีเหตุผล ?”
หากไป๋หยานลงมือกับคนที่เขาส่งไปเขาก็น่าที่จะได้ยินเสียงการต่อสู้บ้าง
อย่างไรก็ตามทุกวันนี้ตระกูลหวังยังคงเงียบเชียบไม่มีความวุ่นวายใด ๆ แม้แต่น้อย
นอกจากนี้ไป๋หยานก็ไม่ได้ออกจากบ้านสกุลหวังนานหลายวันแล้ว เช่นนั้นหวังตี้อี้จึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดคนของเขาจึงหายไปโดยไร้ร่องรอย ไม่แม้แต่จะพบศพ
”คุณชายสามท่านจะส่งคนไปเพิ่มหรือไม่ ?” เงามืดเอ่ยถามด้วยความเคารพ
หวังตี้อี้สูดลมหายใจเข้าลึก”เลิกกังวลเรื่องของหญิงผู้นั้นก่อน ว่าแต่มีข่าวใดเกี่ยวกับพี่รองบ้างหรือไม่ ?”
”เรียนคุณชายสามคุณชายรองเอาแต่กิน ๆ นอน ๆ ทุกวัน ไม่ก็พาคุณหนูเสี่ยวถงออกไปเที่ยวเล่น เขาทำอยู่เพียงแค่นั้น”
***จบบทด้วยรักและกัดกัน (4)***
บทที่ 427 : ประหนึ่งเสื้อกั๊กอันอบอุ่น (1)
หวังตี้อี้ขมวดคิ้วแน่นจนยับย่นหลายวันที่ผ่านมานี่ พูดได้ว่าหวังตี้จวินไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรเลยจริง ๆ
”เจ้าไปเถอะไปเฝ้าดูหวังตี้จวินต่อ ส่วนหญิงผู้นั้น … ” หวังตี้อี้เยาะเย้ย “นางคงไม่ยุ่งวุ่นวายอะไรนักหรอก”
*****
ณบ้านสกุลอัน
ลานกว้างภายในบ้าน
อันเซียงหรันเดินเข้ามาเขาสวมใส่ชุดสีชมพูพีชซึ่งขับให้ใบหน้าของเขางดงามมีเสน่ห์ หากมิใช่เป็นเพราะลูกกระเดือกที่เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วล่ะก็ คงไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าชายหนุ่มที่แสนรูปงามผู้นี้จะเป็นบุรุษ
”เจ้ากลับมาแล้วหรือ?”
เขาเดินเข้าบ้านได้เพียงไม่กี่ก้าวเสียงชรา ๆ ก็ดังมาดักหน้า เสียงนั้นไม่ต่างจากอุปสรรคที่แข็งแกร่ง และทรงพลัง มันกีดขวางสะกัดกั้นการย่างก้าวของเขา
อันเซียงหรันตกตะลึงเขาหันไปมองชายชราผู้ซึ่งเดินออกมาจากด้านข้างอย่างสงสัย พลางเอ่ยถามว่า “ท่านปู่ ท่านมีเรื่องใดกับข้างั้นหรือ ?”
”ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้เจ้าสนิทสนมกับเจ้าเด็กอ้วนของตระกูลหวังงั้นหรือ ?” อันเจิ้งหนานขมวดคิ้ว น้ำเสียงของเขาฟังดูเหนื่อยหน่าย
อันเซียงหรันไม่เข้าใจในเจตนาของปู่เขาจึงเงียบไปครู่หนึ่ง
”เจ้าเด็กอ้วนจากตระกูลหวังชอบข่มขู่คุกคามเจ้าเจ้าอยู่ใกล้เขามาก ๆ ข้าเกรงว่า เจ้าจะมีแต่เสียกับเสีย เจ้ายัง… ”
”ท่านปู่”
สีหน้าของอันเซียงหรันเปลี่ยนไปเขาเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงโกรธ ๆ ว่า “ข้ามีอิสระที่จะคบเพื่อนคนไหนก็ได้”
นับแต่เล็กจนโตอันเซียงหรันกลัวว่าด้วยบุคลิกส่วนตัวของเขาเช่นนี้จะทำให้เขาถูกรังแก เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยได้รับอนุญาตให้สนิทสนมกับผู้ใด
เขาเหงามามากพอแล้ว!
“แต่หลานรักปู่เป็นห่วงเจ้านะ บิดาของเจ้าทิ้งเจ้าไปตั้งแต่ยังเล็ก ปู่จะทนเห็นเจ้าถูกรังแกได้อย่างไร ? ฟังปู่นะ จงอย่าให้ความสนิทสนมกับคนเหล่านั้นมากนัก พวกเขาจะรังแกเจ้าได้”
นัยน์ตาของอันเจิ้งหนานพลันเครียดและเป็นกังวลเขากลัวหลานชายของเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานเพราะการมีเพื่อน
ยิ่งไปกว่านั้นหวังเสี่ยวผางก็เป็นคนที่เคยถูกขึ้นบัญชีดำแล้วด้วย
อันเซียงหรันกัดริมฝีปากพลางกล่าวว่า”ข้าอายุสิบสองปีแล้ว ข้าสามารถตัดสินใจเองได้ ท่านปู่ ท่านไม่ต้องห่วงข้า”
”เจ้า… ”
อันเจิ้งหนานกำลังจะเปิดปากพูดต่อทว่าอันเซียงหรันกลับกระแทกเท้าเดินไปที่ลานหลังบ้านเสียก่อน
อันเจิ้งหนานมองตามหลังอันเซียงหรันแววตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
”ท่านพ่อ”
เสียงเรียกต่ำๆ ดึงให้อันเจิ้งหนานที่ตกอยู่ในภวังค์กลับมารู้สึกตัว
อันเจิ้งหนานขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่เบื้องหน้าด้วยท่าทีเคารพ
ชายวัยกลางคนผู้นี้เป็นเจ้าบ้านสกุลอันทั้งยังเป็นลุงของอันเซียงหรัน
“ท่านพ่อท่านกำลังหงุดหงิด เพราะเรื่องหรันเอ๋ออีกแล้วหรือ ?” อันเจิ้นหนิงหัวเราะเบา ๆ “เขาโตแล้ว เขาควรมีอิสระ ปล่อยให้เขาได้ทำตามใจเถอะ”
อันเจิ้งหนานยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมกับส่ายศีรษะ
เหตุใดเขาจะไม่เข้าใจ? เพียงทว่าเขาไม่ต้องการให้หลานเจ็บปวดก็เท่านั้น
”เจิ้นหนิงมีธุระใดเจ้าจึงมาหาข้าได้”
“คือว่าเมื่อไม่นานมานี้ข้าประมูลผลแก้วมังกรเพลิงมาได้หากแต่เมื่อวานนี้คุณชายสามของตระกูลหวังมาพบผู้อาวุโส เขาให้ผู้อาวุโสมาเจรจากับข้า เขาให้ราคาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าของราคาประมูล”
”คุณชายสามของตระกูลหวัง? หวังตี้อี้ อันเซียงหรัน ขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวเบา ๆ ว่า “ก็แล้วแต่เจ้า”
”ไม่มีทาง!”
ครั้นอันเจิ้งหนานกล่าวจบน้ำเสียงที่ทรงภาคภูมิก็ดังขึ้นทันที
”หรันเอ๋อไยเจ้าจึงไม่ยอมขายผลแก้วมังกรเพลิงนี้ ให้กับตระกูลหวังล่ะ ?”
”ข้าบอกว่าไม่!” อันเซียงหรันพูดด้วยความโมโห “ผลแก้วมังกรเพลิงเป็นของข้า ข้าไม่มีวันมอบให้กับคุณชายสามของบ้านตระกูลหวัง”
***จบบทประหนึ่งเสื้อกั๊กอันอบอุ่น (1)***
บทที่ 428 : ประหนึ่งเสื้อกั๊กอันอบอุ่น (2)
บิดามารดาของอันเซียงหรันเสียชีวิตตั้งแต่ยังอยู่ในวัยหนุ่มสาวเหลือเขาซึ่งเป็นทายาทเพียงคนเดียวของบิดา ทั้งยังเป็นคนโปรดของอดีตเจ้าบ้านผู้ชราภาพของตระกูลหลาน รวมทั้งอันเจิ้นหนิงเจ้าบ้านคนปัจจุบันด้วย
ครั้นได้ยินถ้อยคำของอันเซียงหรันอันเจิ้งหนานก็พยักหน้าอย่างตามใจ “เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าต้องการผลแก้วมังกรเพลิงนั่น ปู่ก็จะยกให้เจ้า เจิ้นหนิงยกให้หรันเอ๋อเถอะ”
”ได้สิ”เจิ้นหนิงเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “ตระกูลหวังและผู้เฒ่า … ”
”ไม่ต้องสนใจหรอก”
เป็นเรื่องยากที่หลานชายของเขาจะอยากได้อะไรขึ้นมาบ้างเช่นนั้นอันเจิ้งหนานจึงไม่อยากขัดใจหลานชาย
ส่วนคุณชายสามของตระกูลหวังนั้น
จะเป็นไรไป? ก็แค่คนธรรมดา ๆ มิใช่ผู้เฒ่าเจ้าบ้านหวังมาที่นี่ด้วยตนเองเสียหน่อย
*****
ช่วงขณะเดียวกันนี้นั้นไป๋หยานกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่ในห้อง
แสงแดดจากภายนอกสาดส่องเข้ามาตกกระทบอาภรณ์สีแดงของนาง ก่อเกิดประกายแลดูงดงามมาก
”หม่ามี้”
เสียงนุ่มๆ ใส ๆ ดังมาจากด้านนอกประตู
จากนั้นมือเล็กๆ ก็เปิดประตู ก่อนที่เจ้าตัวน้อยจะวิ่งพรวดพราดเข้าหาอ้อมแขนของนาง
”หม่ามี้กำลังคิดอะไรอยู่ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินเงยใบหน้าที่น่ารักและไร้เดียงสาของเขาขึ้นมองสตรีที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยนัยน์ตากลมโตสุกใส
”ยามนี้แม่ขอให้ฮัวหลัว ช่วยติดตามสถานการณ์ของบ้านเรา รวมถึงพยายามหาข่าวของผลแก้วมังกรเพลิงด้วย”
ไป๋หยานลดถ้วยชาลงจากนั้นก็อุ้มเจ้าซาลาเปาน้อยขึ้นมากอดไว้ในอ้อมแขน พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
”หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินซบอยู่ในอ้อมแขนของไป๋หยาน “ให้เฉินเอ๋อจัดการเรื่องนี้เอง หม่ามี้จะได้ไม่ต้องเหนื่อย”
ไป๋หยานมองไป๋เสี่ยวเฉินอย่างสงสัย”เจ้าสามารถทำได้งั้นหรือ ?”
”หม่ามี้ดูถูกเฉินเอ๋องั้นเหรอ ?”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นไป๋เสี่ยวเฉินก็ทำแก้มป่องทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ
สีหน้าท่าทางที่แสดงออกถึงความโกรธของเจ้าซาลาเปาน้อยนั้นน่ารักเสียเหลือเกินน่ารักกระทั่งไป๋หยานอดไม่ได้ที่จะจูบแก้มเขาอย่างแรง
”ไม่เลยเฉินเอ๋อของแม่มีความสามารถมาก แม่จะดูถูกเจ้าได้อย่างไร แม่ภูมิใจในตัวเจ้ามาก”
ถึงตอนนี้ไป๋เสี่ยวเฉินก็ซุกเข้าไปในอ้อมแขนของไป๋หยานอีกครั้ง
”เฉินเอ๋อจะเป็นเสื้อกั๊กที่อบอุ่นให้หม่ามี้เสมอจะคอยแก้ปัญหาให้หม่ามี้ วันใดที่เฉินเอ๋อเติบใหญ่ เฉินเอ๋อจะแบ่งเบาภาระของหม่ามี้ ไม่ให้หม่ามี้ต้องเหนื่อย”
เฉินเอ๋อจะดูแลหม่ามี้เอง
หัวใจของไป๋หยานพลันอบอุ่น
คนแรกที่กล่าวถ้อยคำอันอบอุ่นเช่นนี้กับนางก็คือบุตรชายตัวน้อยของนาง
เอง!
มีบุตรชายที่แสนอบอุ่นเช่นนี้ชีวิตนี้ยังจะมีสิ่งใดต้องเสียใจอีก ?
”ครั้งนี้แม่จะเชื่อเจ้า”
ไป๋หยานยิ้มรอยยิ้มของนางสดใสราวกับฤดูใบไม้ผลิ
”ครืน!”
ทันใดนั้นเองจู่ ๆ ภายนอกประตูก็ดูเหมือนจะสั่นไหว ส่งผลให้ทั้งลานกว้างสั่นสะเทือนไปหมด
ไป๋หยานขมวดคิ้วนางลุกขึ้นยืนพร้อมกับอุ้มไป๋เสี่ยวเฉินไว้ในอ้อมแขน “ออกไปดูกันเถอะว่าเกิดเรื่องใดขึ้น”
*****
ยามนี้ที่ลานบ้านมีเด็กหญิงตัวเล็กๆ ถักผมเปียสูงราวกับเขาแกะกำลังร้องไห้อย่างน่าเวทนา น้ำตาไหลรินเปรอะเปื้อนไปทั่วใบหน้าที่น่ารักและอ่อนเยาว์ของนาง
ไม่ไกลจากเด็กหญิงน้อยลูกแมวสีขาวราวหิมะกำลังเลียอุ้งเท้า มันเหลือบมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ด้วยประกายแสงที่ดุดันในแววตา
”ชิงเอ๋อ!”
หวังตี้อี้เป็นคนแรกที่วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเขาเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ยืนอยู่ที่ลานบ้านกำลังร้องไห้จ้า เขาก็รีบวิ่งเข้าไปหาอย่างรวดเร็วพลางกล่าวว่า “มีอะไร ? เกิดอะไรขึ้น ?”
”ลูกแมวตัวนั้นจ้องมองข้า!” สองมือของเด็กหญิงตัวน้อยกอดหวังตี้อี้แน่น นางพูดอย่างน่าสงสาร “ท่านพ่อรีบไล่ลูกแมวนั่นออกไป รีบไล่มันออกไปเร็ว ๆ !”
ยามนี้คนที่เหลือต่างก็ทะยอยเข้ามา
***จบบทประหนึ่งเสื้อกั๊กอันอบอุ่น (2)***
บทที่ 429 : ประหนึ่งเสื้อกั๊กอันอบอุ่น (3)
ครั้นหวังหยู่ฟานเจ้าบ้านสกุลหวัง ได้ยินคำพูดของเด็กหญิงตัวน้อย เขาก็คลายใจ ทว่าใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นเย็นชา แววตาของเขาแลดูเคร่งขรึมขณะกล่าว “ข้าไม่ได้บอกหรือไรว่า ช่วงนี้นางไม่ได้รับอนุญาตให้ออกมาลานด้านนอก เจ้าได้ยินไม่ชัดกระนั้นรึ ?”
”ท่านพ่อ!” หวังตี้อี้กล่าวด้วยความโกรธ “ชิงเอ๋อ คือหลานสาวของท่าน เพื่อคนนอกแล้ว ท่านกลับปฏิบัติต่อหลานสาวของท่านเช่นนี้กระนั้นหรือ ? นอกจากนี้นี่มิใช่ความผิดของชิงเอ๋อ หากมิใช่เป็นเพราะแมวนั่นมาทำให้ชิงเอ๋อกลัว มีหรือชิงเอ๋อจะหวาดกลัวถึงเพียงนี้ ?”
หวังหยู่ฟานขมวดคิ้วแมวนั่นเป็นสัตว์เลี้ยงของไป๋หยาน หากมีปัญหากับมัน เขาเกรงว่า…
“หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินเห็นก้อนอิฐอยู่ข้างกายเสี่ยวมี่ พลันนัยน์ตากลมโตของเขาก็กวาดไปมา “บ่าวรับใช้ของบ้านสกุลหวังคงขี้เกียจมาก กระทั่งลืมเก็บกวาดก้อนอิฐขนาดใหญ่ก้อนนี้ พวกเขาจะทำอย่างไร ถ้ามีคนล้มเพราะสะดุดก้อนอิฐนี่ ?”
เดิมทีสายตาของทุกคนต่างมองมาที่เด็กหญิงตัวน้อยทว่าครั้นได้ยินคำพูดของไป๋เสี่ยวเฉิน ทุกคนต่างก็หันมามองก้อนอิฐที่อยู่ข้างกายเสี่ยวมี่
ใบหน้าของหวังหยู่ฟานเคร่งขรึมลง”บ่าวรับใช้ในตระกูลของข้าต้องไม่ทำเรื่องเลินเล่อเช่นนี้ ข้าจะตักเตือนพวกเขาเอง”
“ข้า… ” เด็กหญิงตัวน้อยเหมือนสำนึกผิด นางกัดริมฝีปากพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดนะ ! ข้าแค่พยายามใช้อิฐทุบมัน ก็มันเป็นสัตว์อสูร ! ข้าก็แค่พยายามขับไล่มันออกไป ข้าผิดด้วยหรือ ?”
นัยน์ตาของหวังหยู่ฟานแลดูผิดหวัง
ตระกูลหวังมีทายาทชายเยอะกว่าหญิงมาโดยตลอดและรุ่นนี้ก็มีหญิงเพียงสองคนก็คือ หวังเสี่ยวถงและหวังชิงเอ๋อ ก่อนหน้านี้หวังเสี่ยวถงไม่ได้อยู่ในบ้านสกุลหวัง เช่นนั้นหวังหยู่ฟานจึงโปรดปรานหวังชิงเอ๋อซึ่งเป็นหลานสาวคนเดียวที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างมาก
ทำให้หวังชิงเอ๋อกลายเป็นเด็กไม่มีระเบียบ
“ในอดีตเป็นเพราะเจ้ายั่วโมโหสัตว์อสูรก่อนมันก็เลยรังแกเจ้า มาวันนี้เจ้าก็ยังต้องการจะทำซ้ำแบบเดิมอีกกระนั้นหรือ ?” หวังหยู่ฟาน ส่ายศีรษะพร้อมกับถอนหายใจ “เจ้าสาม เจ้าพานางกลับห้องไปเสีย และห้ามก้าวออกจากห้องโดยไม่มีคำสั่งของข้า ! ”
ใบหน้าของหวังตี้อี้เปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำแววตาของเขาแสดงออกถึงความไม่พอใจ เขาหันกลับไปจูงมือเด็กหญิงตัวน้อยเตรียมจากไป
อย่างไรก็ตาม…
ขณะที่เขาเริ่มก้าวน้ำเสียงเย็นชาพลันลอยเข้าหูของเขา เสียงนั้นไม่ต่างจากเวทมนตร์ ส่งผลให้เท้าของเขาชะงักกึก
”ข้าให้เจ้าไปแล้วกระนั้นหรือ?”
หวังตี้อี้หันหน้ากลับมาด้วยความโกรธ”เจ้าต้องการอะไร ? แม่นางไป๋ ข้าเคารพเจ้าในฐานะหมอปรุงยา ทว่าอย่าหลงตัวเองให้มากนัก ! หากเจ้ากล้ารบกวนข้ามาก ๆ ข้าจะทำให้เจ้าต้องเสียใจไปตลอดชีวิต !”
ริมฝีปากของไป๋หยานยกโค้ง”ให้นางขอโทษเสี่ยวมี่ด้วย”
”ว่าไงนะ?”
หญิงที่น่าสาปแช่งผู้นี้สั่งให้บุตรสาวของเขาขอโทษสัตว์เดรัจฉานนั่นได้อย่างไร ?
“ท่านพ่อข้าไม่อยากขอโทษ มันเป็นแค่สัตว์” เด็กหญิงตัวน้อยพูด แววตาของนางเต็มไปด้วยความโกรธ “ข้าเป็นมนุษย์ ข้ามีเกียรติมากกว่าสัตว์ ไยข้าต้องขอโทษด้วย ?”
ไป๋หยานยกมือขึ้นกอดอกนางเหยียดยิ้มพลางกล่าวว่า “เจ้าจะไม่ขอโทษงั้นหรือ ? ข้าให้ยากับตระกูลหวังเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าเจ้าเองก็น่าที่จะได้กินมันเข้าไปตั้งเยอะแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องขอโทษก็ได้ หากคายยาเม็ดเหล่านั้นออกมาได้หมด”
”ไม่…” หวังตี้อี้ชี้ไปที่ไป๋หยานอย่างมั่นใจในความถูกต้องของตน “นั่นเป็นเพราะตระกูลหวังจ่ายให้เจ้าอย่างเหมาะสมแล้ว เหตุใดเราจึงต้องคายมันออกมาด้วย ?”
นัยน์ตาของไป๋หยานเต็มไปด้วยรอยยิ้มขณะหันไปหาหวังตี้จวิน
ครั้นหวังตี้จวินเห็นว่าตัวเขากำลังมีบทบาทสำคัญเขาก็เชิดศีรษะขึ้นสูงพลางยืดอก
”ยาเม็ดพวกนั้นแม่นางไป๋หยานให้มาฟรี ๆ ต้องจ่ายที่ใดกันเล่า ?”
ฟรี?
นัยน์ตาของหวังตี้อี้เบิกกว้างด้วยความตกใจกับความไร้ยางอายของหวังตี้จวิน
หญิงเจ้าเล่ห์ผู้นี้ให้ยามาฟรีงั้นหรือ? เรื่องหลอกเด็กล่ะสิ !
นอกจากนี้…
”เจ้าบอกว่านางให้มาฟรีๆ โดยไม่ได้เสียเงิน เช่นนั้นเงินที่ท่านพ่อให้เจ้าล่ะอยู่ที่ใด ?”
***จบบทประหนึ่งเสื้อกั๊กอันอบอุ่น (3)**
บทที่ 430 : ประหนึ่งเสื้อกั๊กอันอบอุ่น (4)
”อ้อ! ข้าก็เก็บไว้เองไง”
หวังตี้จวินแตะจมูกของตนพลางกล่าวตอบแบบหน้าด้าน ๆ หวังตี้อี้โกรธ ทว่าก็ไม่อาจทำอะไรได้ แม้จะอยากตบหน้าพี่ชายของตนอย่างเต็มกำลังก็ตามที
”ตกลง!” หวังตี้อี้กล่าวด้วยความเกลียดชัง “ข้าหวังว่า เจ้าจะไม่นึกเสียใจ !”
อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันเกิดของท่านพ่อแล้วเมื่อถึงวันนั้นผู้อาวุโสของสำนักเวชโอสถก็จะมาที่นี่ ครั้นเขามีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักเวชโอสถแล้ว เขาก็ไม่ต้องกลัวว่าบิดาจะไม่เข้าข้างเขา ?
”ชิงเอ๋อขอโทษมัน”
หวังตี้อี้สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับตะโกน
”ท่านพ่อ… ” เด็กหญิงตัวน้อยเบิกตากว้าง พลางอุทานด้วยความประหลาดใจ
”ขอโทษ!”
หวังตี้อี้ย้ำอีกครั้ง
ใบหน้าเล็กๆ ของหวังชิงเอ๋อเปลี่ยนเป็นสีแดง นางเดินช้า ๆ ไปยืนด้านข้างเสี่ยวมี่ นางยังคงแสดงท่าท่างรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด ทว่านางก็กระซิบว่า “ข้า..ขอโทษ”
”ขอโทษแล้วก็ไปกันเถอะชิงเอ๋อ”
หวังตี้อี้จับมือของหวังชิงเอ๋อออกไปจากลานบ้าน
ก่อนที่หวังชิงเอ๋อจะจากไปนางก็เหลียวกลับไปมองไป๋เสี่ยวเฉิน พลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย นางไม่รู้สึกโกรธเขาเลย
ทว่าเหตุใดเด็กชายหน้าตาดีคนนั้นถึงได้เลี้ยงสัตว์ที่น่ารังเกียจเช่นนั้นนะ?
โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้นหวังเสี่ยวถงเดินเข้ามาหาไป๋เสี่ยวเฉินอย่างตื่นเต้น แววตาของหวังชิงเอ๋อก็ยิ่งดูโกรธมากขึ้น นางจ้องมองหวังเสี่ยวถงอย่างดุดัน แววตาของนางเต็มไปด้วยความริษยา
”ท่านพ่อ… ”
หวังชิงเอ๋อกัดริมฝีปากนัยน์ตาของนางแดงก่ำ “ข้าไม่ชอบเลย”
”ลูกรักอย่าได้กังวลไปอีกเพียงไม่กี่วันพ่อก็จะชำระแค้นให้กับเจ้า”
”แล้ว… ข้าจะได้แต่งงานกับเด็กชายที่หล่อเหลาคนนั้นไหม ?”
หวังตี้อี้ตกตะลึงพลางขมวดคิ้วของเขาจนยับย่น “ฐานะของเด็กคนนั้นไม่คู่ควรกับเจ้า … ”
เมื่อถ้อยคำดังกล่าวหลุดออกมานัยน์ตาของหวังชิงเอ๋อก็แดงขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่น้ำตาจะไหลพรากลงมา
หัวใจของหวังตี้อี้ราวถูกบีบคั้นเขารีบพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ หากเจ้าต้องการแต่งงานกับเขาก็แต่ง วันใดที่ลุงของเจ้าขึ้นรับตำแหน่งเจ้าบ้านหวัง วันนั้นก็ไม่มีผู้ใดกล้าขัดคำสั่งของเรา … ”
ทำราวกับว่าหากหวังชิงเอ๋อต้องการแต่งงานแล้ว วันหน้าไป๋เสี่ยวเฉินก็ต้องแต่งงานกับนางอย่างแน่นอน
”ขอบคุณท่านพ่อ”หวังชิงเอ๋อยิ้มทั้งน้ำตาขณะกล่าวตอบด้วยเสียงที่มีเสน่ห์
หวังเสี่ยวถงสามารถใกล้ชิดเขาได้ก็แล้วเหตุใดนางจึงทำไม่ได้ ? ท่านพ่อเคยพูดว่า หากนางต้องการแต่งงานไม่ว่ากับผู้ใด ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธการแต่งงานกับนาง !
หวังตี้อี้พูดเอาใจหวังชิงเอ๋อทว่าแสงเย็นยะเยือกพลันฉายวาบในแววตาของเขา
บุตรสาวของเขามีค่ามากกว่าเด็กคนนั้นหลายเท่านัก! มันก็เป็นเพียงเด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้าคนหนึ่งเท่านั้น
ตอนนี้ตามใจชิงเอ๋อก่อนแล้วกันไว้วันหลังค่อยจัดการเด็กไร้รากนั่น
*****
เวลาล่วงผ่านไป
ไป๋หยานก็อยู่ในเมืองฮวนเฉิงมาครึ่งเดือนแล้ว
ในช่วงเวลาครึ่งเดือนนี้อาจเป็นเพราะคำสัญญาของไป๋เสี่ยวเฉิน นางจึงไม่สนใจเรื่องผลแก้วมังกรเพลิงอีกต่อไป
ในทางกลับกันไป๋เสี่ยวเฉินก็ยังคงทำตัวเฉกเช่นเดิม คือออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ ย่ำค่ำถึงจะกลับเข้าบ้าน ด้วยความไว้วางใจที่นางมีต่อเด็กน้อย นางจึงไม่เคยให้ฮัวหลัวติดตามเขา
เมื่อเปรียบเทียบกับความเฉยเมยของไป๋หยานแล้วสองพี่น้องหวังตี้อี้กับหวังตี้หยวนกลับต้องอารมณ์เสียมาสองวันแล้ว เห็นแก่ผลแก้วมังกรเพลิง พวกเขาถึงกับไปเยี่ยมบ้านสกุลอันด้วยตนเองก็ตั้งหลายครั้ง
แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นซึ่งทำให้สองพี่น้องไม่สบายใจเลย
ท่ามกลางความวิตกกังวลวันเกิดของเจ้าบ้านหวังก็ล่วงมาถึงอย่างเงียบ ๆ
ลานบ้านสกุลหวังกำลังรื่นเริงผู้คนนับไม่ถ้วนต่างเข้ามาแสดงความยินดีไม่หยุดหย่อน ทั้งยังพยายามประจบประแจง เพื่อสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลหวัง
ไม่ว่าตระกูลหวังจะเสื่อมโทรมลงไปสักเพียงใดทว่าฐานะของนายทวารก็ยังคงอยู่เช่นเดิม หากได้คบค้ากับตระกูลหวัง บางทีตระกูลหวังอาจจะยอมเปิดประตูหลังให้พวกเขาได้เข้าไปเยี่ยมชมตำหนักเซียนพยับหมอกบ้างก็เป็นได้
***จบบทประหนึ่งเสื้อกั๊กอันอบอุ่น (4)***