จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 466-470
บทที่ 466 : การแก้แค้นของไป๋เสี่ยวเฉิน (1)
ไป๋ฉางเฟิ่งพยักหน้าเห็นด้วย”เช่นนั้น…ข้าจะเตรียมตัวก่อน อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานชุมนุม เมื่อถึงเวลานั้นนางจะต้องมาเข้าร่วมอย่างแน่นอน”
ด้วยเหตุนี้ไป๋ฉางเฟิ่งจึงจากไปอย่างรีบร้อน
ครั้นเห็นไป๋ฉางเฟิ่งเดินจากไปไป๋จั่นเผิงก็พยายามจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง เขาอยากพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างไป๋หยาน กับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่ากลับพูดไม่ทัน
เขาคิดถึงรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้วก็ได้แต่ยิ้มเซ็ง ๆ
ท่านพ่อของเขาหมายมั่นจะข่มผู้อาวุโสทั้งสามจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์หากเขาบอกท่านพ่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านคงจะไม่แปลกใจ ทว่าต้องตกใจมากเป็นแน่
ตอนนี้อารมณ์ของท่านพ่อยังไม่ดีนักอย่าให้ท่านพ่อได้รับการกระตุ้นมากเกินไปจะดีกว่า
ครั้นคิดได้เช่นนี้ไป๋จั่นเผิงก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องหนังสือหายไปท่ามกลางแสงแดดยามบ่ายที่งดงาม
*****
งานชุมนุมสำนักเวชโอสถเป็นงานชุมนุมที่สำคัญซึ่งจัดขึ้นทุกๆ รอบ 3 ปี หมอปรุงยาจากทั่วทุกมุมโลกจะได้รับเชิญให้เข้าร่วม ว่ากันว่าหากสามารถเป็นผู้ชนะในงานชุมนุม ไม่เพียงจะสามารถได้เข้าเป็นศิษย์ในของสำนักเวชโอสถ ทว่ายังมีอภิสิทธิ์พิเศษบางอย่างในสำนักเวชโอสถอีกด้วย
เช่นนั้นทุกๆ สามปี สำนักเวชโอสถจึงคึกคักมาก
หมอปรุงยาทุกคนต่างก็คาดหวังต่างก็เฝ้ารอคอยการชุมนุมทุก ๆ สามปี
”หม่ามี้อาจารย์ตาไม่มากันเหรอ ?” ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตา พลางมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัย เขาไม่เห็นร่างที่คุ้นเคยทั้งสาม จึงเอ่ยปากถามด้วยความผิดหวัง “อาจารย์ตาหลอกให้เรามาที่นี่ หากแต่พวกเขากลับไม่มา แถมป๊ะป๋าวายร้ายก็มักจะหายตัวไปบ่อย ๆ”
ไป๋หยานลูบศีรษะเล็กๆ ของไป๋เสี่ยวเฉิน “พวกเขามาที่นี่แน่ ทว่าน่าจะมีเหตุบางอย่างที่ทำให้การเดินทางล่าช้า สำหรับบิดาของเจ้า … ”
หลังจากหยุดพูดเล็กน้อยนางก็เอ่ยต่อว่า “บางทีเขาอาจจะกำลังยุ่ง ?”
”หม่ามี้จะไปแดนอสูรพร้อมป๊ะป๋าวายร้ายรึเปล่า ?” ไป๋เสี่ยวเฉินลูบแก้มกลม ๆ ของตน พร้อมกับเบิ่งตากลมโตที่ไร้เดียงสามองจ้องไป๋หยานตาไม่กระพริบ
ไป๋หยานนิ่งอึ้งนางเม้มริมฝีปากบางๆ “ไม่รู้สิ”
นางจะไปรู้อนาคตได้อย่างไร?
“หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินเงียบไปครู่หนึ่ง พลันสีหน้าของเขาก็ดูมั่นคงขึ้นเล็กน้อย มือเล็ก ๆ ของเขาจับมือของไป๋หยาน เขาพูดอย่างจริงจังว่า “เฉินเอ๋อจะปกป้องหม่ามี้ ต่อให้หม่ามี้ไปแดนอสูร เฉินเอ๋อก็จะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายหม่ามี้”
”ลูกของแม่น่ารักมาก”
ไป๋หยานจูบหน้าผากของไป๋เสี่ยวเฉินพร้อมกับยิ้ม”ยามนี้ยังมีเวลาอีกเล็กน้อยก่อนจะเริ่มงานชุมนุม หากเจ้าเบื่อ เจ้าก็สามารถออกไปข้างนอกไปเที่ยวเล่นกับเสี่ยวมี่ แล้วอีกหนึ่งชั่วยามข้างหน้าค่อยกลับมา”
”ได้”
แววตาของไป๋เสี่ยวเฉินสดใสขึ้น”เฉินเอ๋อจะชวนท่านอาโม่ไปด้วยได้มั้ย ?”
”เฉินเอ๋อเจ้าชอบอาโม่มากหรือ ?”
นางไม่เคยเห็นเฉินเอ๋อชอบชายคนไหนมาก่อนเลย
ไป๋เสี่ยวเฉินรีบพยักหน้า
เขาจะไม่บอกหม่ามี้หรอกว่าเหตุที่เขาจะชวนโม่หลี่ชางไปด้วย เป็นเพราะป๊ะป๋าวายร้ายกำชับไว้ว่า ห้ามไม่ให้ชายใดอยู่กับหม่ามี้ตามลำพัง…
เช่นนั้นเขาจะต้องรีบผลักดันให้หม่ามี้เข้าสู่แดนอสูรโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้เพื่อที่เขาจะได้พัฒนาความแข็งแกร่งของเขาไว ๆ
และเมื่อเขามีพละกำลังแข็งแกร่งพอเขาก็จะสามารถเป็นองครักษ์ปกป้องบุปผาที่งดงามเช่นหม่ามี้ได้
”เช่นนั้นเจ้าก็ไปชวนเขาเถอะ”
ต่อหน้าไป๋เสี่ยวเฉินไป๋หยานมักจะไม่คิดมาก นางลูบหัวเจ้าซาลาเปาน้อยเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
”เสี่ยวมี่เราไปกันเถอะ”
จบคำพูดของไป๋หยานไป๋เสี่ยวเฉินก็คว้าหางของเสี่ยวมี่ และลากมันไปอีกทางหนึ่ง
ดินแดนสำนักเวชโอสถครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่คงต้องใช้เวลาพอควรเพื่อตามหาชายหนุ่มรูปหล่อผู้ซึ่งอุ้มลูกหมูสีชมพูในอ้อมแขน
***จบบทการแก้แค้นของไป๋เสี่ยวเฉิน (1)***
บทที่ 467 : การแก้แค้นของไป๋เสี่ยวเฉิน (2)
”อู๊ด”
ช่วงเวลานี้ใบหน้าของลูกหมูสีชมพูกำลังถูกมือขาวๆ บีบ น้ำตาเอ่อคลอดวงตาของมัน ท่าทีของมันยามนี้น่าสงสารยิ่งนัก
“เจ้าลูกหมูเจ้ากินมากเกินไปแล้วนะ คายอาหารในปากออกมา” โม่หลี่ชางทำหน้าดุ “หรือเจ้าอยากให้อาหารไม่ย่อย”
ลูกหมูสีชมพูส่ายหัวน้ำตาเอ่อคลอมันร้องคราง ท้องของมันกลมไม่ต่างกับลูกบอล มันเดินแทบจะไม่ไหว
”คายมันออกมาคายมันออกมาเดี๋ยวนี้ !”
โม่หลี่ชางโมโหเขาใช้สองมือง้างปากลูกหมูสีชมพู ขณะเดียวกันก็กดร่างของลูกหมูลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ยื่นมือเข้าไปในปากของมัน พลางล้วงสิ่งที่มันพยายามอมไว้ออกมา
ไป๋เสี่ยวเฉินอยากจะเดินเข้าไปหาทว่าหลังจากได้เห็นสิ่งที่โม่หลี่ชางกำลังทำ ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาพลันแข็งค้าง
โม่หลี่ชางเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของตน “เจ้าลูกหมู ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วว่าอย่ากินสิ่งที่ยังมีชีวิต ? เหตุใดเจ้าถึงไม่ฟังข้าเลย ? หากท้องอืดจะทำเช่นไร ?”
อู๊ด
ดวงตาของหมูน้อยเศร้าสร้อยมากมันจ้องมองลูกเจี๊ยบที่เพิ่งถูกโยนลงบนพื้นพร้อมสายตาที่บ่งบอกความเสียดาย
เห็นได้ชัดว่าลูกเจี๊ยบนั่นกลัวจนแข้งขาสั่น ร่างของมันถูกปกคลุมไปด้วยน้ำลายเหนียว ๆ มันเดินโซเซ
ครั้นเห็นลูกเจี๊ยบสีเหลืองเดินห่างออกไปเรื่อยๆ เจ้าลูกหมูก็ร้องไห้ออกมาอย่างเจ็บปวดใจ มันเจ็บใจที่ทำได้เพียงยืนดู และกลืนน้ำลายเท่านั้น
”หากเจ้ากินอาหารดิบๆ อีก คราหน้าข้าจะขายเจ้าทิ้ง !” โม่หลี่ชางสูดลมหายใจเข้าจนแก้มพอง
ความอยากอาหารของเจ้าหมูน้อยกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หากมันมากกว่านี้ บางทีเขาอาจจะรับมือไม่ไหว
ลูกหมูสีชมพูหยุดร้องไห้ได้ทันทีทว่าก็ยังเห็นความเศร้าในแววตาของมัน ราวกับโม่หลี่ชางทำรุนแรงกับมันเสียเหลือเกิน
“เสี่ยวเฉินเจ้ากลัวหรือ ?”
โม่หลี่ชางหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉินที่กำลังมีสีหน้างงงวยพลันเขาก็ยกมือขึ้นเกาศีรษะด้วยความละอาย “หมูน้อยตะกละมาก ข้าเลยต้องทำเช่นนี้ มิเช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วมันต้องเดินไม่ไหว”
ลูกหมูสีชมพูตัวน้อยครางฮึดฮัดแสดงความไม่พอใจ
มันยอมกินจนตายดีกว่าจะยอมอด
ครั้นนึกถึงเรื่องนี้ลูกเจี๊ยบสีเหลืองก็เข้ามาเตือนใจมันอีกครั้ง
แรกที่เห็นลูกเจี๊ยบนั่นทั้งสดทั้งนุ่มโดยเฉพาะเจ้าลูกเจี๊ยบที่อยู่บนถนนเมื่อกี้นี้ มันน่ารักมากจริง ๆ
หมูน้อยอยากกินมัน
ลูกหมูสีชมพูอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองโม่หลี่ชางสายตาของมันราวจะร้องเรียนอย่างเงียบ ๆ
”อาโม่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ มีหญิงเลวคนหนึ่งมาหาเรื่องหม่ามี้ของข้า ข้าไม่อาจรับได้ เช่นนั้นข้าจึงต้องการให้อาโม่ไปกับข้า ไประบายความแค้น !” มีความโกรธบนใบหน้าอมชมพูของไป๋เสี่ยวเฉิน
โมหลี่ชางลุกขึ้นยืนใบหน้าที่หล่อเหลา และขาวใสของเขาพลันเต็มไปด้วยความโกรธ
”ผู้ใดกันที่กล้าสร้างปัญหาให้หยานหยาน”
”นางชื่อเย่หยิง … ” ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตา “ดูเหมือนว่านางจะปรากฎตัวในงานวันนี้ด้วย เราไปหาตัวนางกันดีมั้ย ?”
”ดี!”
นัยน์ตาของโม่หลี่ชางส่องประกายเย็นยะเยือก
เมื่อเป็นเรื่องของไป๋หยานทั้งสองคนจึงเหมือนมีศัตรูร่วมกัน และเห็นพ้องต้องกันในทันที ทว่าทันทีที่ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่ เสี่ยวมี่ก็รีบโพล่งออกมาว่า
”นายน้อยงานชุมนุมกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว หากนายหญิงไม่เห็นท่าน นางจะโกรธเอาได้นะ”
”เสี่ยวมี่!”
ไป๋เสี่ยวเฉินทำเสียงดุ
เสี่ยวมี่ลืมเรื่องที่ว่าห้ามมิให้มันพูดภาษามนุษย์ต่อหน้าคนอื่น
ครั้นคิดถึงสิ่งที่มันพูดไปแล้วเมื่อครู่เสี่ยวมี่ก็อึดอัดใจ มันรีบจ้องโม่หลี่ชางทันที
***จบบทการแก้แค้นของไป๋เสี่ยวเฉิน (2)***
บทที่ 468 : การแก้แค้นของไป๋เสี่ยวเฉิน (3)
อย่างไรก็ตาม…
ท่าทีของโม่หลี่ชางกลับไม่เปลี่ยนแปลงราวกับเขารู้เรื่องนี้อยู่แล้ว
“อาโม่”ไป๋เสี่ยวเฉินเอ่ยถามเบา ๆ ว่า “ท่านคิดว่าที่เสี่ยวมี่พูดได้เป็นเรื่องแปลกหรือไม่ ?”
ในแผ่นดินใหญ่ทุกวันนี้สัตว์ทั่วไปไม่สามารถเจรจาภาษามนุษย์ได้ จะมีก็เพียงสัตว์อสูรที่ทรงพลังอำนาจสูง ในป่าสัตว์อสูรเท่านั้นที่มีความสามารถเช่นนี้
”แปลกที่ใด?” โม่หลี่ชางกระพริบตา “เจ้าลูกหมูนี่ เมื่อก่อนมันก็พูดได้ ทว่าต่อมามันไม่ยอมพูด ก็เพื่อปกป้องข้าไม่ให้ถูกทำร้าย”
ไม่แปลก…
ไป๋เสี่ยวเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอกเขายิ้มอย่างสดใส “อาโม่ คนรู้เรื่องเสี่ยวมี่ยิ่งน้อยก็ยิ่งดี เฉินเอ๋อไม่อยากสร้างปัญหาให้หม่ามี้”
”เพื่อเจ้าแล้วข้าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ” โม่หลี่ชางกล่าวพร้อมยิ้มสดใสราวกับดวงตะวัน หากไม่เชื่อเรามาเกี่ยวก้อยสัญญากัน
ไป๋เสี่ยวเฉินเหลือบมองนิ้วที่โม่หลี่ชางยื่นมาข้างหน้าเขาทำปากจู๋
”อาโม่ข้าไม่คิดว่าท่านจะชอบทำเรื่องเด็กๆ เช่นนี้ แต่เฉินเอ๋อก็ไม่ใช่เด็กสามขวบ ไม่อาจทำพฤติกรรมแบบเด็ก ๆ เช่นนั้นได้ ทว่า … ” ไป๋เสี่ยวเฉินเงยหน้าขึ้น “เฉินเอ๋อก็ยินดีที่จะเชื่ออาโม่”
โม่หลี่ชางยืนอึ้งเขามองนิ้วมือตนเอง พลางกระพริบตาอย่างงง ๆ
โดนเด็กว่าเขาทำตัวเหมือนเด็กน้อยเสียแล้ว…
”อาโม่..ไปกันเถอะ”
ไป๋เสี่ยวเฉินหันหลังกลับและออกก้าวเดิน
ทว่ายามนี้เสี่ยวมี่ดึงแขนเสื้อของเขาไว้ ท่าทางของมันน่าสงสาร อีกทั้งแลดูหดหู่
”นายน้อยท่านไปไม่ได้นะ ประเดี๋ยวนายหญิงจะโกรธเอานะ”
ไป๋เสี่ยวเฉินปลอบใจเสี่ยวมี่โดยการใช้มือเล็ก ๆ ของเขาตบหัวของมันพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องห่วงเสี่ยวมี่ ข้าไม่เป็นไรหรอก ข้าจะบอกหม่ามี้ว่า เจ้าเป็นคนชวนข้าไป”
เสี่ยวมี่ร้องไห้ออกมาอย่างรันทดใจ
มันรู้ว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่เพราะทุกครั้งที่นายน้อยสร้างปัญหา มันก็จะต้องตกเป็นแพะรับบาปทุกคราไป
”ไม่ข้าไม่ยอมให้ท่านไป นายหญิง … ”
เพียงพริบตาที่เสี่ยวมี่กำลังจะตะโกนออกมาไป๋เสี่ยวเฉินก็อุดปากมันทันที ปล่อยให้เสียงพูดของมันงึมงำอยู่แต่ในลำคอ
”อาโม่เราไปกันเถอะ หากมันไปฟ้องหม่ามี้ เราก็จะไปไม่ได้”
โม่หลี่ชางพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น”ได้ อย่าให้หยานหยานรู้เลย เราจะช่วยกันจัดการหญิงผู้นั้นเอง”
กล้ารังแกหยานหยานงั้นหรือ? เขาต้องสั่งสอนหญิงไม่รู้ดีรู้ชั่วคนนั้นซะแล้ว จะปล่อยให้หยานหยานถูกรังแกง่าย ๆ ได้อย่างไร ?
”อ๊ะ!”
ครั้นเห็นคนทั้งสองร่วมมือร่วมใจกันเสี่ยวมี่ก็ร้องไห้
นายหญิงเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลย ข้าพยายามยับยั้งนายน้อยอย่างดีที่สุด แล้ว
*****
ขณะเดียวกัน
ภายในสนามหญ้าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานที่จัดงานเย่หยิงสวมชุดกระโปรงสีเขียว เดินตัวปลิวมาพร้อมกับชายชราซึ่งไม่ใช่เย่จง นางต้องการไปพบไป๋หยาน
ทันใดนั้นเองเย่หยิงก็ต้องหยุดชะงัก นางเลิกคิ้วเรียวงามขึ้น
”ลุงหลิงเรื่องที่ข้าไหว้วานให้ทำไปถึงไหนแล้ว ?”
”ไม่ต้องกังวลข้าให้คนนำแหวนของนายน้อยไปไว้ในห้องของหญิงผู้นั้นแล้ว ตราบใดที่เรื่องนี้เผยแพร่ออกไป นายน้อยก็สามารถกล่าวยืนยันได้ว่า แหวนนั่นคือของแสดงความรักระหว่างนายน้อยกับนาง”
เย่หลิงเอ่ยตอบด้วยความเคารพ
ครั้นได้ยินริมฝีปากของเย่หยิงก็ยกโค้ง นางยิ้มเจ้าเล่ห์ “นางเป็นฝ่ายบังคับให้ข้าต้องทำเช่นนี้ หากนางเชื่อฟังข้าแต่แรกก็คงไม่มีปัญหามากมายเช่นนี้ โชคไม่ดีที่นางไม่เชื่อฟังคำของข้า ทั้งเจ้าสำนักเองก็ยังไม่ยอมช่วยข้า”
ทุกวันนี้ท่านย่ายังคงร้องไห้อยู่หน้าสำนักทุกวัน ทว่านางก็ไม่ได้พบเห็นหน้าเขาเลย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดที่จะช่วยนาง
***จบบทการแก้แค้นของไป๋เสี่ยวเฉิน (3)***
บทที่ 469 : การแก้แค้นของไป๋เสี่ยวเฉิน (4)
ในกรณีนี้นางจึงต้องพึ่งพาตนเองเท่านั้น !
“คุณหนูอาการของพี่ชายข้าไม่มีทางรักษาแล้วจริงหรือ ?” เย่หลิงขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม
”ข้าขอให้ผู้อาวุโสของสำนักตรวจอาการลุงจงแล้ว ข้าเองก็ไม่รู้ว่าอ๋องคังใช้วิธีใดอาการของเขาถึงได้หนักเพียงนั้น”
เย่หยิงถอนหายใจอย่างหมดหวัง”หากไร้ซึ่งวิธีรักษาลุงจง ข้าก็ทำได้เพียงรอให้ตี้คังเป็นสามีของข้า จากนั้นข้าจะให้เขารักษาลุงจง เพราะเขาเป็นผู้ลงมือ เขาต้องมีวิธีแก้ไข”
สำหรับลุงจงเพียงโดนตี้คังเตะ เหตุใดอาการจึงร้ายแรงถึงเพียงนั้นได้
ชายผู้นั้นต้องลงมือทำอะไรบางอย่างเป็นแน่
ปัง!
ทันใดนั้นเองร่างเล็กๆ ก็ถลาไปข้างหน้า ปะทะเข้ากับเย่หยิงโดยบังเอิญ
เย่หยิงที่ถูกชนอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง พลันสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
หากแต่เมื่อตระหนักได้ว่ายามนี้ฝูงชนกำลังทยอยเข้ามามุงนางก็ก้มหน้าลงมอง จึงได้เห็นเจ้าซาลาเปาน้อยนั่งอยู่กับพื้น
”เจ้า?”
นางประหลาดใจขณะเอ่ยถามเบา ๆ ว่า “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? เหตุใดเจ้าถึงไม่ระวังเลยล่ะ ? ยังดีนะที่เจ้าวิ่งมาชนข้า หากเจ้าเจอคนใหญ่คนโตคนอื่น บางทีเจ้าอาจจะตกที่นั่งลำบาก”
ยามนี้ผู้ที่มาร่วมงานชุมนุมต่างก็เริ่มเดินเข้ามุงบริเวณที่ทั้งสองคุยกัน ทันทีที่ได้ยินคำพูดของเย่หยิง พวกเขาก็หยุด จากนั้นก็หันไปมองไป๋เสี่ยวเฉินด้วยสายตาตำหนิ
ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีเด็กที่ไร้การอบรมสั่งสอนมาวิ่งเล่นรอบๆ สถานที่ชุมนุม หากมิใช่คุณหนูเย่หยิงผู้ใจดี แต่กลับมาชนพวกเขาแทนแล้วล่ะก็ พวกเขาก็คงต้องมีเรื่องให้อารมณ์เสียอีกนานเลย
ไป๋เสี่ยวเฉินลุกขึ้นยืนพลางน้ำตาไหลพรากเขามีทีท่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง เขากัดริมฝีปากแน่น ขณะเดียวกันร่างเล็ก ๆ ของเขาก็สั่นสะท้าน
”ข้า…ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเพียงอยากให้ท่านปล่อยป๊ะป๋าของข้า”
ว่าไงนะ…
ปล่อยบิดาของเขา? หมายความว่าไง ?
ทุกคนต่างตกตะลึงทุกสายตาที่จ้องมองไป๋เสี่ยวเฉินเต็มไปด้วยคำถาม
”เจ้าหมายถึงเรื่องใด?” เย่หยิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก คิ้วคมของนางขมวดมุ่น
”ท่านป้า…ได้โปรดปล่อยป๊ะป๋าของข้าไปเถอะป๊ะป๋ากับหม่ามี้ของข้ารักกันมาก ป๊ะป๋าจะไม่ยอมมีลูกกับหญิงอื่นหรอก ท่านป้าก็วางแผนว่าจะมีลูกกับพี่หมิงของท่านแล้ว ไยท่านถึงต้องการให้ป๊ะป๋าของข้าเป็นชายชู้อีกเล่า ? เช่นนี้เฉินเอ๋อก็จะกลายเป็นเด็กไม่มีพ่อ ท่านอย่าพรากป๊ะป๋าของข้าไปเลย”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาสีหน้าของเขาซีดเล็กน้อย ยามนี้เห็นได้ชัดว่าเขาสิ้นหวัง อีกทั้งน่าสมเพช สะเทือนใจผู้คนที่อยู่โดยรอบ
”เจ้าพูดอะไร?” สมองของเย่หยิงว่างเปล่า นางตามไม่ทัน
เย่หมิงเป็นพี่ชายของนางนางจะมีลูกกับพี่ชายของนางได้อย่างไร ?
ยิ่งไปกว่านั้นนางต้องการแต่งงานกับอ๋องคัง จะให้อ๋องคังมาเป็นชายชู้แต่เมื่อใดกัน ? หากนางไม่ปฏิบัติตามธรรมเนียมหญิงที่ดี นางจะไม่ถูกตำหนิจนตายหรอกหรือ ?
แล้วที่เด็กนรกกำลังพูดถึงนี่คือเรื่องใดกัน?
”เด็กน้อยหากเจ้าไม่เชื่อข้า ข้าจะฉีกปากของเจ้า !” แววตาของเย่หยิงพลันดุร้าย นางก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับตะคอกอย่างดุเดือด
ไป๋เสี่ยวเฉินกลัวจนตัวสั่นน้ำตาแห่งความเศร้าโศกเอ่อท้นในดวงตาของเขา
”ท่านไม่เพียงแต่ต้องการขโมยป๊ะป๋าของข้าเท่านั้นแต่ยังต้องการขโมยข้าไปเป็นลูกของท่านอีกด้วย … ”
”นี่มันโกหกทั้งเพ”
จากนั้นผู้ที่กำลังยืนมุงจำนวนมากต่างก็หันกระซิบกระซาบแก่กัน
”ใช่แล้ว”ไป๋เสี่ยวเฉินร้องไห้อย่างน่าสังเวช “ข้าได้ยินคำพูดเหล่านี้มาตั้งแต่นอกสำนักแล้ว ท่านคิดจะพรากป๊ะป๋าไปจากหม่ามี้ของข้า ซ้ำยังจะขโมยลูกชายของนางอีก เช่นนี้แล้วหม่ามี้ของข้าจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร ฮือ ฮือ ตราบใดที่หม่ามี้ของเฉินเอ๋อยังอยู่ เฉินเอ๋อจะไม่ยอมไปกับแม่มดแก่อย่างท่าน ! ”
ที่สุดใบหน้าของเย่หยิงก็เปลี่ยนไป นางหายใจเข้าลึก ๆ ยับยั้งแรงกระตุ้นที่อยากจะทุบเด็กคนนี้เต็มแก่ นางเอื้อมมือไปที่ไป๋เสี่ยวเฉิน
***จบบทการแก้แค้นของไป๋เสี่ยวเฉิน (4)***
บทที่ 470 : นักแสดงเจ้าบทบาท (1)
”ฮือ!”
มือของเย่หยิงยังไม่ทันที่จะถึงไป๋เสี่ยวเฉินไป๋เสี่ยวเฉินก็เริ่มร้องไห้อีก เขาซวนเซล้มลงกับพื้นด้วยความกลัวอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยน้ำตา กระทั่งไม่มีผู้ใดทนดูไหว
ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดจึงมีคนคิดที่จะลงมือกับเด็กน้อยน่ารักเช่นนี้ได้ ?
ช่างไร้หัวใจเหลือเกิน!
ครั้นเห็นสายตาของทุกคนเย่หยิงก็ยิ่งตกใจมากขึ้น เมื่อครู่นี้นางยังไม่ได้ทำอะไรเลย
”เด็กน้อย!” หัวใจของเย่หยิงเต็มไปด้วยความโกรธ ขณะที่กล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าต้องเข้าใจอะไรผิดเป็นแน่ ข้าเพียงอยากพาเจ้าไปพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่นี่มีคนมากมาย อาจไม่เป็นการดีหากพวกเขาเข้าใจผิด”
”ไม่…ข้าไม่ไปกับท่านหากข้าไปกับท่าน ข้าคงจะไม่ได้พบหม่ามี้ของข้าอีก” ไป๋เสี่ยวเฉินลุกขึ้นจากพื้น ใบหน้าของเขาเหยเกหมดไป เขาหันไปมองฝูงชนที่อยู่โดยรอบด้วยนัยน์ตาที่น่าสงสาร
”ท่านลุงท่านป้าอย่าให้นางพาข้าไป เฉินเอ๋อไม่อยากถูกขาย”
ครั้นผู้คนเห็นว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับเด็กน้อยแม้พวกเขาจะยังสงบเสงี่ยมสุภาพ ทว่าในใจของพวกเขาต่างก็รู้สึกโกรธ
”ข้าจำได้ว่า”ชายคนหนึ่งเปล่งเสียงขึ้นทันที “แม้ว่าแม่นางเย่หยิงจะถูกยกย่องในแง่ดีมาโดยตลอด ทว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ก็ไม่มีสตรีใดอยู่ข้างกายนางเลย ทุกคนที่แวดล้อมรอบตัวนางล้วนแต่เป็นบุรุษ ดูเหมือนนางเองก็ชื่นชอบที่จะเป็นเช่นนี้”
”จริงด้วยหากเป็นคนธรรมดา ๆ ที่ถูกเด็กน้อยออกมากล่าวหาเช่นนี้ พวกเขาจะต้องโกรธมาก ทว่าแม่นางเย่หยิงกลับไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ถึงตอนนี้นางก็ยังสามารถระงับอารมณ์ได้อยู่ แสดงให้เห็นว่านางยอมรับ”
หากมิใช่หมอปรุงยาที่มีชื่อเสียงในแผ่นดินใหญ่นี้จะสามารถเข้าร่วมการชุมนุมหมอปรุงยาได้หรือ ? นี่เห็นว่าพวกเขาเป็นคนโง่เขลาเพราะหลงรูปสาวงามใช่หรือไม่ ?
แน่นอนว่าหมอปรุงยาที่มีตำแหน่งสูงเหล่านี้ย่อมมีจรรยาบรรณสูงส่งตามไปด้วยหากแต่เย่หยิงเป็นคนของสำนักเวชโอสถ จึงเป็นเหตุให้พวกเขาไม่อาจหาญพอที่จะคัดง้างกับนาง
น่าเสียดายผู้ใดใช้ให้เย่หยิงเป็นญาติของเจ้าสำนักเวชโอสถกันล่ะ ? แล้วพวกเขาจะยอมเสี่ยงเพื่ออะไร ?
เรื่องอะไรจะยอมมีปัญหากับเจ้าสำนักเวชโอสถเพียงเพื่อจะช่วยเด็กน้อยที่น่ารักคนนี้
เย่หยิงไม่อาจรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของนางได้อีกต่อไปสีหน้าของนางดำคล้ำ ขณะหันไปมองเย่หลิงและออกคำสั่งให้เขาพาไป๋เสี่ยวเฉินไป
เย่หลิงพยักหน้าขณะที่เขากำลังจะก้าวไปข้างหน้านั้น ร่าง ๆ หนึ่งก็รีบร้อนวิ่งมาจากด้านหลังของฝูงชน
ชายหนุ่มหล่อเหลารูปงามหน้าขาวใสพุ่งเข้ามาอย่างวิตกกังวล
เขาวิ่งฝ่าฝูงชนเข้ามาหาไป๋เสี่ยวเฉินอย่างรวดเร็วพลางกอดร่างอันนุ่มนิ่มของเจ้าซาลาเปาน้อย จากนั้นก็ร้องเสียงดังลั่น
”เฉินเอ๋อที่น่าสงสารของอาเฉินเอ๋อ… เป็นความผิดของอาเองที่ไม่อาจปกป้องพวกเจ้าสองแม่ลูก ทำให้เจ้าต้องเสียใจเช่นนี้”
ชายหนุ่มแทนตัวเองว่าอาแววตาของเขาส่องประกายรันทด เขามองโดยรอบ ให้สมฐานะอาของเด็กน้อย
เสียงร้องของเขาสะเทือนใจมากและนั่นก็ทำให้ฝูงชนที่ซุบซิบกันอยู่เงียบเสียงลงทันใด
”ท่านอาไยท่านถึงมาที่นี่” ใบหน้าเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินที่ยังคงมีคราบน้ำตาแลดูเป็นกังวล “เฉินเอ๋อ ขอร้องท่านไม่ให้มาที่นี่แล้วนี่ ? ท่านหล่อเหลาออกอย่างนี้ หากแม่มดแก่นางนี้เห็นท่าน นางก็อาจชอบท่านด้วย ตอนนี้หม่ามี้ของเฉินเอ๋อเหลือท่านเพียงคนเดียวแล้วนะ”
โม่หลี่ชางหันไปมองเย่หยิงแววตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ใบหน้าที่หล่อเหลาขาวใสของเขามาดมั่นราวกับคนไม่กลัวตาย
”ข้ายอมตายเสียยังดีกว่ายอมนางแม่มดแก่ผู้นี้บิดาของเจ้าก็ต้องเป็นเช่นเดียวกัน ข้าจะไม่มีวันทิ้งพี่สาวข้า ไม่มีวันทิ้งเฉินเอ๋อ ข้าขอเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเจ้าตลอดไปไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน”
***จบบทนักแสดงเจ้าบทบาท (1)***