จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 556-560
บทที่ 556 : ขุดหลุมฝังตัวเอง (3)
ตี้เสี่ยวอวิ๋นกลัวว่าตี้คังจะถามเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่หลังจากที่กล่าวจบ นางก็รีบเดินออกจากประตูทันที เพียงพริบตานางก็หายตัวไปภายใต้แสงจันทราสีเลือด
”หยานเอ๋อฟังข้านะ” ตี้คังมองตามร่างตี้เสี่ยวอวิ๋น ก่อนจะหันกลับมามองไป๋หยาน “จุนหรู่ชิงคนนั้นไม่ใช่คนดีหรอก !”
ผู้ใดก็ตามที่คิดจะแย่งไป๋หยานไปจากเขาย่อมไม่ใช่คนดี!
”นอกจากนี้เจ้าเองก็เป็นสตรี เจ้าต้องมีลูกกับบุรุษ หาใช่กับสตรีด้วยกันไม่ !”
ราวฟ้าผ่าลงกลางศีรษะไป๋หยานเบิกตากว้าง เขาหมายความว่าอะไรกันที่ว่านางไม่ควรมีใจให้สตรี ? นางไปบอกว่านางมีใจให้สตรีตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
ทว่า…
ครั้นเห็นท่าทีที่เป็นกังวลของตี้คังแล้วไป๋หยานก็เชิดริมฝีปากขึ้น พลางเอนกายลงบนม้านั่งยาวนุ่มอย่างเกียจคร้านอีกครั้ง
”ข้าคิดว่า… ความรักระหว่างเพศเดียวกันคือรักแท้ ส่วนรักระหว่างเพศตรงข้ามนั้นก็เพียงเพื่อสืบสายโลหิต”
ประโยคนี้…สำหรับตี้คังแล้วราวถูกสายฟ้าฟาดในวันที่แดดร้อนจัดและนั่นทำให้ใบหน้าของเขาดำมืดไม่ต่างกับตอตะโก
”เจ้าโกหกข้าใช่หรือไม่?” ตี้คังหรี่ตาลงเล็กน้อย ประกายแสงอันตรายปรากฏขึ้นจากก้นบึ้งของนัยน์ตาเขา “หยานเอ๋อเจ้าต้องปดข้า ! หาก…หากเจ้ามีใจให้สตรี … ”
ไป๋หยานยิ้มพลางกล่าวว่า”แล้วจะเป็นไง ?”
”ข้าก็จะกลายร่างเป็นผู้หญิง! อย่างไรก็ตามชั่วชีวิตนี้ เจ้าไม่สามารถหนีพ้นมือของข้าไปได้”
ตี้คังจับมือของไป๋หยานพลางดึงนางออกมาจากม้านั่งนุ่ม จากนั้นก็รั้งร่างของนางเข้ามาแนบอกแน่น
”ข้าไม่มีวันปล่อยเจ้าไม่มีวัน … ”
ครั้นได้เอนตัวแนบหน้าอกของตี้คังหัวใจของไป๋หยานพลันเต้นไม่เป็นจังหวะ นางหลับตาลงเล็กน้อย พร้อมกันนั้นก็รู้สึกได้ถึงความวางใจ
”ตี้คัง…”
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มของนางเปี่ยมเสน่ห์และน่าประทับใจยิ่ง นางยกมือขึ้นกอดกระชับชายหนุ่มแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
ริมฝีปากของนางทาบทับริมฝีปากสีแดงของเขาเพื่อพิสูจน์ถ้อยคำเมื่อครู่ด้วยการกระทำ …
นางจะมีใจให้สตรีได้เยี่ยงไร? ก่อนหน้าที่จะได้พบตี้คัง นางก็ไม่เคยหวั่นไหวไม่ว่ากับผู้ใด
ทว่าหลังจากรู้จักตี้คัง …
มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าหัวใจของตนหวั่นไหวเพียงใด
เป็นเวลานานกว่าที่นางจะคลายริมฝีปากออกพลางยกมือขึ้นเชยคางชายหนุ่มพร้อมส่งยิ้มให้ “พ่อรูปหล่อ ท่านเฉลียวฉลาดถึงเพียงนี้ ทว่าเหตุใดบางครั้งถึงกลับโง่ยิ่งกว่าตี้เสี่ยวอวิ๋นได้ล่ะ ?”
ตี้คังไม่เข้าใจความหมายที่ไป๋หยานต้องการจะสื่อหากแต่เขารู้ดีว่าถ้านำเขาไปเปรียบเทียบกับตี้เสี่ยวอวิ๋นแล้วล่ะก็ นั่นย่อมไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
“ข้าเพียงล้อท่านเล่นไยต้องจริงจังด้วยเล่า ?” นางเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มลึกล้ำ
ตี้คังยกมือขึ้นกดไป๋หยานกลับไปที่กำแพงเขาลดศีรษะลง กระทั่งหน้าผากของเขาแตะหน้าผากของหญิงสาว
”อย่าหลอกข้าอีกเพราะข้าจะคิดเสมอว่าเป็นเรื่องจริง หากออกจากปากของเจ้า”
”อืม… ” ไป๋หยานกระพริบตา “ข้าเพียงอิจฉาที่ท่านแลดูน่ารักเหลือเกิน ข้าเลยอดไม่ได้ที่จะหยอกท่าน ข้าไม่คาดคิดว่าท่านจะจริงจัง … ”
ไป๋หยานยังกล่าวไม่ทันจะจบตี้คังก็โน้มกายลงปิดริมฝีปากของหญิงสาวเพื่อหยุดถ้อยคำถัดไปของนางทั้งหมดไว้เพียงในลำคอ …
*****
ตำหนักไป๋เยว่
ณประตูพระตำหนัก ในขณะที่องครักษ์ทั้งสองกำลังปฏิบัติหน้าที่ของตน จู่ ๆ ทั้งคู่ก็แลเห็นสตรีผู้หนึ่งในอาภรณ์สีขาวก้าวเข้ามาอย่างช้า ๆ
สตรีผู้นี้แลดูบริสุทธิ์และงดงามรอยยิ้มบริสุทธิ์แลดูสะอาดตา ราวกมุทขาวซึ่งพิเศษกว่าผู้ใดในแดนอสูรนี้
”แม่นางจุน”
ครั้นองครักษ์ทั้งสองเห็นจุนหรู่ชิงใกล้เข้ามาเขาก็รีบก้าวเข้าไปขวางหน้านางพลางกล่าวว่า “ราชินีมีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าไปรบกวนพระองค์”
รอยยิ้มของจุนหรู่ชิงแข็งค้างทว่าเพียงไม่นานนางก็ฉีกยิ้มกว้างขึ้น “ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าราชินีเสด็จกลับมาแล้ว ข้าจึงมาขอเข้าเฝ้าราชินีและองค์ชายน้อย ข้าไม่รู้ว่าเจ้าสองคนจะให้ข้าผ่านเข้าไปได้หรือไม่ ?”
***จบบทขุดหลุมฝังตัวเอง (3)***
บทที่ 557 : จุนหรู่ชิง (1)
”แม่นางจุนอย่าทำให้พวกเราต้องลำบากใจเลยองค์ราชามีรับสั่งแล้วว่า สัตว์อสูรทุกตัวจะต้องเชื่อฟังรับสั่งของราชินี ในแดนอสูรนี้ราชินีเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนองค์ราชาเป็นลำดับสอง” ครั้งที่องค์ราชาเสด็จมา ราชินีก็ปฏิเสธมิให้เข้าเฝ้าเช่นกัน
หัวใจของจุนหรู่ชิงสั่นมือทั้งสองข้างบีบเข้าหากันเบา ๆ หัวใจของนางเต็มไปด้วยรูพรุน แม้กระทั่งหายใจก็ยังรู้สึกเจ็บปวด
”พวกเจ้า…ข้าเพียงอยากเยี่ยมราชินี มิได้มีความหมายอื่นใด รบกวนพวกเจ้าโปรดอำนวยความสะดวกให้ข้าด้วย”
นางพยายามฝืนยิ้มทว่ากลับเป็นรอยยิ้มที่แลดูขมขื่น ยามนี้นัยน์ตาสั่นไหวของนางเศร้าสร้อย
ทหารองครักษ์ทั้งสองจ้องหน้ากันพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่ “แม่นางจุน พวกเราไม่มีทางเลือกจริง ๆ ได้โปรดกลับไปเถิด หากราชินีต้องการพบผู้ใด พระนางก็คงจะมีรับสั่งเรียกตัวคนผู้นั้นให้เข้าเฝ้าเอง”
จุนหรู่ชิงหลุบตาลงเล็กน้อยนางใช้ขนตายาว ๆ ของตนช่วยปกปิดความไม่พึงใจ รวมถึงความเจ็บปวดในดวงตาของนาง
เพียงพริบตานางก็สูดลมหายใจเข้าลึก พลางกล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”
หลังจากกล่าวจบขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับ หางตาของนางกลับตวัดไปเห็นใครบางคนกำลังเดินออกมาจากในวัง นางจึงชะงักฝีเท้าอย่างกระทันหัน ไม่อาจเคลื่อนไหวต่อได้แม้เพียงก้าว
บุรุษผู้นี้ยังคงไม่เปลี่ยนทรงอำนาจ สูงส่งไม่อาจมีผู้ใดเทียบเทียม
บางทีนับแต่นางเห็นบุรุษผู้นี้เป็นครั้งแรก ภาพของเขาก็สลักรอยลึกติดตรึงใจของนางไม่อาจลบเลือนได้แล้ว
”องค์ราชา”
องครักษ์ทั้งสองหน้าถอดสีใบหน้าซีด ๆ ของพวกเขามองบุรุษน่าทึ่งผู้ซึ่งกำลังก้าวมาข้างหน้าพวกเขาด้วยความประหลาดใจ
องค์ราชาเสด็จเข้าไปข้างในตั้งแต่เมื่อใด? ไยพวกเขาจึงไม่รู้ล่ะ ?
”อืม”
ตี้คังพยักหน้าอย่างสงบน้ำเสียงของเขาเย็นยะเยือกเล็กน้อย “พวกเจ้าดูแลที่นี่ต่อไป จำไว้ว่า ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้เข้าไปรบกวนราชินีของข้า”
”พ่ะย่ะค่ะ”
เหงื่อเย็นไหลโซมหลังของทหารรักษาการณ์ทั้งสองโชคดีที่เมื่อครู่พวกเขากระทำตามรับสั่งของราชินี ไม่ปล่อยให้จุนหรู่ชิงเข้าไปในพระตำหนัก หาไม่ หากองค์ราชาทรงทราบ พวกเขาคงไม่อาจรักษาชีวิตน้อย ๆ ของตนไว้ได้ !
จุนหรู่ชิงจ้องมองใบหน้าที่ทรงอำนาจของชายผู้เป็นใหญ่ที่กล่าวปกป้องสตรีอีกคนหัวใจของนางพลันแตกเป็นเสี่ยง ๆ
ทั้งที่แท้จริงแล้วควรเป็นนางที่ยืนเคียงข้างเขา !
หากมิใช่เพราะคำทำนายของท่านราชครูบางที…นางอาจจะกลายเป็นราชินีแห่งแดนอสูรไปแล้ว ตำแหน่งราชินีไม่มีทางตกเป็นของหญิงมนุษย์ผู้นั้น !
จุนหรู่ชิงรู้สึกเจ็บปวดมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนางหวนคิดถึงเรื่องนี้ หลังจากนั้นนางก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ร่างของนางหายวับไปขวางหน้าตี้คัง พลางเอ่ยกล่าวทักทายเขาด้วยความเคารพ “ถวายพระพรเพคะ องค์ราชา”
ฝีเท้าของตี้คังถูกขัดจังหวะด้วยเงาของสาวงามคิ้วของเขาย่นเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจ น้ำเสียงเยือกเย็นของเขาฟังดูโหดเหี้ยม
”หลีกไป!”
จุนหรู่ชิงตัวสั่นสะท้านนางรู้ดีว่าองค์ราชาไร้ซึ่งความปรานี เช่นนั้นนางจึงไม่แปลกใจเลยที่เขามีปฏิกิริยาเช่นนี้
”องค์ราชาบิดาของหม่อมฉันบอกให้หม่อมฉันมาเยี่ยมองค์ราชินี ทว่าองค์ราชินีไม่อนุญาตให้หม่อมฉันเข้าเฝ้า เช่นนั้นหม่อมฉันขอพระราชทานพระราชานุญาตจากพระองค์ ให้หม่อมฉันได้เข้าเฝ้าราชินีด้วยเถิดเพคะ”
ตี้คังกวาดตาไปทางจุนหรู่ชิงอย่างช้าๆ พร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ ริมฝีปากของเขาเหยียดออกยิ้มเยาะ
”เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเข้าไปในนั้นได้อย่างไร?”
จุนหรู่ชิงกัดริมฝีปากพลางเอ่ยตอบว่า “ไม่ทราบเพคะ”
”มองกำแพงพระตำหนักที่สูงตระหง่านนั่นสิ”ตี้คังเย้ยหยัน นัยน์ตาเรียวคมยังคงดุดัน “ข้าปีนกำแพงนั่นเข้าไป”
ถ้อยคำของเขาทำให้ทหารองครักษ์ทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหลังตกตะลึง
เมื่อครู่นี้… แท้จริงแล้วฝ่าบาทปีนข้ามกำแพงหรือนี่ ? นี่มัน …
***จบบทจุนหรู่ชิง (1)***
บทที่ 558 : จุนหรู่ชิง (2)
ตี้คังจิกปากรอยยิ้มบนริมฝีปากสีแดงของเขาช่างน่าสยดสยอง “เจ้าคิดว่าเจ้าจะอาศัยคุณสมบัติใดผ่านเข้าประตูไปได้ หรือว่าฐานะของเจ้าสูงส่งกว่าราชาเช่นข้า”
ร่างของจุนหรู่ชิงสั่นสะท้านหัวใจของนางกำลังเจ็บยุบยิบราวถูกมดรุมกัด เช่นนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะเหยียดมือขึ้นกุมหน้าอกแน่น
องค์ราชาแห่งแดนอสูรที่สง่างามกลับถูกหญิงผู้นั้นปฏิเสธจริง ๆ หรือ ? เพียงเพื่อจะได้พบนางแล้ว แม้แต่องค์ราชาก็ยังต้องอาศัยการปีนกำแพงงั้นหรือ ?
หญิงผู้นั้นอาศัยคุณสมบัติใดถึงทำให้ราชายอมกระทำเรื่องน่าละอายเช่นนั้นได้ ?
“หากเจ้าต้องการที่จะพบหยานเอ๋อ”สายตาของตี้คังกวาดไปทางโพรงหมาลอดที่อยู่ไม่ไกลกันนัก “ก็คลานลอดโพรงนั้นเข้าไป เจ้าก็จะสามารถพบหยานเอ๋อได้”
จุนหรู่ชิงมองตามสายตาของตี้คังกระทั่งพบกับโพรงหมาลอด สีหน้าของนางซีดเผือด ริมฝีปากของนางเม้มแน่น
องค์ราชา… จะให้นางลอดโพรงสุนัขเช่นนั้นหรือ? นางเป็นถึงบุตรสาวของผู้อาวุโสกลับต้องลอดโพรงสุนัข เพียงเพื่อจะได้พบกับหญิงมนุษย์ผู้นั้นน่ะนะ ?
อย่างไรก็ตามต่อให้ไม่พอใจเพียงใด จุนหรู่ชิงก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าใด ๆ นางโค้งกายคำนับด้วยความเคารพ “องค์ราชา หม่อมฉันถือวิสาสะมากเกินไป หม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้ โปรดพระราชทานอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”
ภายในพระราชวังแห่งแดนอสูรนางต้องรู้จักเอาตัวรอด ต่อให้เป็นบุตรสาวบุญธรรมของผู้อาวุโสก็ไม่ควรยั่วยุองค์ราชา
เพราะผู้ที่กล้ายั่วยุองค์ราชามีแต่ตาย… กับตาย..!
นัยน์ตาอันเย็นยะเยือกของตี้คังกวาดไปมองจุนหรู่ชิงจากนั้นก็สั่งการทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังอย่างเย็นชา “นับแต่นี้หากมีผู้ใดยืนกรานที่จะเข้าเฝ้าราชินี ก็ให้พวกเขามุดโพรงสุนัขลอดเข้าไป”
”พ่ะย่ะค่ะ”
ทหารองครักษ์สัมผัสได้ถึงความเย็นชาเพราะแม้แต่องค์ราชาเองจะเข้าพบราชินีได้ก็ด้วยอาศัยการปีนกำแพง ผู้ใดจะเข้าทางประตูหน้าได้บ้างเล่า ? ฝันไปเถิด !
หลังจากตี้คังทิ้งประโยคสุดท้ายเรียบร้อยแล้วเขาก็เดินผ่านร่างของจุนหรู่ชิง สายตาของเขาไม่เหลือบเหลียวมองนางแม้สักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาแปลก ๆ ของเขา ทำให้จุนหรู่ชิงรู้สึกว่า
ชายผู้นี้อาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร…
การได้รู้เช่นนี้ยิ่งทำให้จุนหรู่ชิงตื่นตระหนกแววตาของนางเริ่มมั่นคงขึ้น
อย่างไรก็ตามนางจะต้องได้ครอบครองเขา แม้ว่าจะต้องแลกกับทุกสิ่งทุกอย่างที่นางมี !
*****
สภาผู้อาวุโสแห่งแดนอสูรเป็นสถานที่ลึกลับที่สุดในแดนอสูรกล่าวกันว่าผู้อาวุโสเหล่านี้มีชีวิตอยู่มาเนิ่นนานเท่าใดไม่มีผู้ใดรู้ ทั้งพวกเขาบางคนก็ยังมีชีวิตตั้งแต่ก่อนที่แดนอสูรจะถูกผนึกเสียอีก
ยามนี้ในสภาผู้อาวุโส
ผู้อาวุโสกำลังคุกเข่าพร้อมกับหลับตาทันใดนั้นเองเสียงฝีเท้าหนึ่งก็เดินเข้ามาหา เขาค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
”ชิงเอ๋อเจ้าเองก็มาที่นี่ด้วยหรือ ?” เขาเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
จุนหรู่ชิงก้มศีรษะลง”ท่านพ่อ เมื่อครู่ … ข้าไปขอเข้าเฝ้าราชินี”
“โอ้?” ผู้อาวุโสยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าก็ควรสานสัมพันธ์กับองค์ราชินีไว้ให้ดี ควรพยายามผูกมิตรกับพระนางให้ยั่งยืน เพราะนั่นจะเป็นประโยชน์กับเจ้าอย่างมากเช่นกัน”
จุนหรู่ชิงกัดริมฝีปาก”ทว่า … ทันทีที่ราชินีเสด็จมาถึงวัง พระนางก็มีรับสั่งห้ามมิให้ผู้ใดเข้าเฝ้า ไม่เว้นแม้แต่องค์ราชา กระทั่งองค์ราชาประสงค์จะพบพระนางก็ยังต้องปีนกำแพงพระตำหนักเข้าไป”
นางเลิกคิ้วมองบิดาบุญธรรมด้วยแววตาที่น่าสงสาร
“ท่านพ่อบุญธรรมที่ถูกต้องแล้ว ราชินีไม่ควรกระทำเช่นนี้ การที่พระนางได้เป็นราชินีก็เพียงเพราะคำพยากรณ์ของท่านราชครู ! หากแต่พระนางกระทำเกินไปหรือไม่ ที่ปฏิบัติต่อองค์ราชาของพวกเราเช่นนี้ ? ในฐานะผู้อาวุโส ท่านพ่อบุญธรรมควรช่วยองค์ราชาของเราด้วย”
รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสเจื่อนไปเล็กน้อยเขาจ้องมองท่าทีของจุนหรู่ชิง น้ำเสียงของเขาพลันแผ่วลงเล็กน้อย “ชิงเอ๋อ นั่นเป็นเรื่องขององค์ราชาหาใช่กงการใดของเจ้าไม่”
***จบบทจุนหรู่ชิง (2)***
บทที่ 559 : จุนหรู่ชิง (3)
หัวใจของจุนหรู่ชิงสั่นไหวพ่อบุญธรรมของนางเทิดทูนองค์ราชาเหนืออื่นใดเสมอ ไยตอนนี้ … พ่อบุญธรรมกลับทนเห็นองค์ราชาถูกเหยียบย่ำเช่นนี้ได้ ?
”พ่อบุญธรรม”จุนหรู่ชิงยื่นปากเรียวบางของนาง พลางจะกล่าวต่อว่า “ข้าเพียงอยากปกป้ององค์ราชา … ”
ผู้อาวุโสเงียบชั่วครู่หนึ่งเขามองจุนหรู่ชิงอีกครั้ง แววตาของเขาฉลาดเฉลียวราวกับสามารถมองทะลุปรุโปร่ง
”ชิงเอ๋อเจ้ามีใจให้องค์ราชาใช่หรือไม่ ?”
บางทีอาจเป็นเพราะถ้อยคำดังกล่าวแทงใจดำของนางแววตาของจุนหรู่ชิงจึงแลดูหวาดหวั่น ทว่าความหวาดหวั่นนั้นก็หายวับทันที เมื่อนางควบคุมหัวใจของตนไว้ได้ นางพยายามฝืนยิ้ม
”พ่อบุญธรรมนี่ท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด ข้าจะ … ”
”ไม่ว่าเจ้าจะมีใจให้องค์ราชาหรือไม่ก็ตามในฐานะพ่อบุญธรรม ข้าอยากจะเตือนเจ้าสักสองสามประโยค องค์ราชาหาใช่สิ่งที่เจ้าสามารถอาจเอื้อมได้ พระองค์และราชินีถูกลิขิตให้มาเป็นคู่กันแล้ว เรื่องนี้มิได้เป็นเพราะคำทำนายของท่านราชครูแต่เพียงฝ่ายเดียว บรรดาผู้อาวุโสทุกคนในสภาผู้อาวุโสของเราต่างก็ล่วงรู้เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี” ผู้อาวุโสถอนหายใจ “หากเจ้ามิอาจหักห้ามใจตนเอง ท้ายที่สุดเจ้าเองจะเป็นฝ่ายเจ็บปวด”
จุนหรู่ชิงกำหมัดแน่นขณะเดียวกันใบหน้าบริสุทธิ์ของนางก็ปั้นยิ้ม “พ่อบุญธรรม ยังมีบางสิ่งที่ข้าไม่อาจหักห้ามใจได้ ทั้งราชินีเองก็เป็นเพียงหญิงมนุษย์ผู้หนึ่ง …”
ผู้อาวุโสขมวดคิ้วน้อยๆ เขาหันไปมองจุนหรู่ชิงด้วยแววตาเย็นชา “ชิงเอ๋อ เห็นแก่ที่บิดามารดาของเจ้าสละชีวิต เพื่อแดนอสูรของเรา รวมทั้งเจ้าเองก็ฉลาดเฉลียว มีปฏิภาณไหวพริบดี ข้าจึงรับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรม แต่เจ้าต้องไม่หลงลืมกำพืดตนเอง บิดาของเจ้าเป็นเพียงนายทหารคนหนึ่งเท่านั้น ขนาดหญิงสูงศักดิ์จำนวนมากในแดนอสูรยังไม่สามารถขึ้นเป็นราชินีของเราได้เลย เจ้าเองก็อย่าได้คิดเพ้อฝันเลย ! หากเจ้าทำให้องค์ราชาพิโรธ ต่อให้ข้าก็คงไม่อาจช่วยเจ้าได้”
จุนหรู่ชิงก้าวโซเซไปสองสามก้าวนางเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสอย่างไม่เชื่อหู
นางคิดว่านางเป็นบุตรสาวบุญธรรมของผู้อาวุโสมานานหลายปี ทั้งผู้อาวุโสเองก็รักและเอ็นดูนางมาก กระทั่งนางเชื่อมั่นกับสิ่งที่นางเป็นในปัจจุบัน
ทว่า…
เขากลับบอกว่านางเป็นเพียงบุตรสาวของนายทหาร ไม่คู่ควรจะใฝ่ฝันถึงบุรุษที่โดดเด่นผู้นั้น
จุนหรู่ชิงใจสั่นเล็บของนางฝังเข้าเนื้อ นางหลุบตาลงเล็กน้อย “ขอบคุณท่านพ่อที่สั่งสอน ชิงเอ๋อเข้าใจดีแล้ว”
”เจ้าควรจะหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่ออนาคตในวันหน้าอย่างไรเสียเจ้าก็ยังคงเป็นบุตรสาวที่เชื่อฟัง และฉลาดเฉลียวของข้า”
ที่สุดรอยยิ้มกว้างก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโส”ข้าจะฝึกฝนต่อแล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
”อืม”
จุนหรู่ชิงหมุนตัวกลับช้าๆ หมัดที่กำแน่นของนางคลายออก เลือดไหลลงมาจากฝ่ามือของนางหยดลงพื้นดังเปาะแปะ
ผู้อาวุโสมองหยาดเลือดที่หยดลงบนพื้นหลังจากนั้นเขาก็ไม่กล่าวคำใดอีก เขาเพียงขมวดคิ้ว แล้วก็คลายออก ก่อนจะถอนหายใจอย่างนุ่มนวล
ข้าไม่เคยคิดว่าจุนหรู่ชิงจะใฝ่ฝันถึงตำแหน่งราชินี! ข้าหวังว่านางจะเข้าใจอะไร ๆ ได้ดี หาไม่ก็คงไม่มีผู้ใดสามารถปกป้องนางได้ …
*****
จุนหรู่ชิงหยุดอยู่ด้านนอกลานบ้านของผู้อาวุโสแสงจันทราสีแดงฉานสาดส่องลงมากระทบใบหน้าซีด ๆ ของนาง
”ที่แท้หลายปีที่ผ่านมานี้ ท่านพ่อมองข้าเป็นเพียงบุตรสาวของทหารเท่านั้น” จุนหรู่ชิงยิ้มเยาะ รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง “ข้าเองที่คิดว่าเป็นเพราะข้าสืบเชื้อสายเผ่าจิ้งจอก ทั้งยังเป็นบุตรสาวบุญธรรมของผู้อาวุโส เช่นนั้นข้าจึงเฝ้าคิดว่าศาลาริมน้ำย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อน* ท่านจะต้องสนับสนุนข้าอย่างแน่นอน”
*ศาลาริมน้ำย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อนความหมายคือคนใกล้ตัวผู้มีอิทธิพลย่อมได้รับผลประโยชน์
หากแต่นางไม่เคยคาดคิดว่าผู้อาวุโสจะบอกให้นางเลิกคิด
ไร้สาระสิ้นดี
หากนางไม่คู่ควรกับเขาเช่นนั้นหญิงมนุษย์ผู้นั้นเล่ามีคุณสมบัติใด ?
”ดี…ในเมื่อท่านไม่ช่วยข้า ข้าก็จะใช้ความแข็งแกร่งของข้าแย่งชิงเขามาให้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะทำให้แดนอสูรสยบแทบฝ่าเท้าของข้า และข้าจะทำให้ท่าน … ต้องเสียใจในสิ่งที่ท่านพูด !”
***จบบทจุนหรู่ชิง (3)***
บทที่ 560 : จุนหรู่ชิง (4)
จุนหรู่ชิงหันกลับไปมองลานสภาผู้อาวุโสประกายแสงเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในแววตาของนาง นางหันหน้ากลับมาอย่างช้า ๆ ก่อนจะเหาะหายไปในท้องฟ้าโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
*****
ยามนี้ภายในที่พำนักของเผ่าพยัคฆ์กำลังยุ่งวุ่นวายมาก
“เสี่ยวหยิงอย่าวุ่นวายนักเลย รีบวางของในมือของเจ้าลงก่อน ระวัง ๆ อย่าทำหล่นล่ะ” หวงฉีจ้องมองเด็กสาวที่อยู่เบื้องหน้าอย่างหงุดหงิด เขาจับจ้องมองตามการเคลื่อนไหวของนาง ทุกครั้งที่นางขยับตัวหัวใจของเขาก็แทบจะหยุดเต้น
หวงเสี่ยวหยิงกอดถ้วยหยกไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นเหนียวพร้อมกันนั้นนางก็ก้าวถอยหนีไปเรื่อย ๆ นัยน์ตาที่ไร้เดียงสาของนางแลดูระแวดระวัง “ข้าไม่วาง แม้ว่าข้าจะขโมยของสิ่งนี้มาจากคลังสมบัติของท่านก็ตาม ข้าก็จะไม่คืนให้หรอก”
”เสี่ยวหยิงถ้วยหยกนี้…ไม่มีประโยชน์สำหรับเจ้าหรอก ลูกรักคืนถ้วยหยกนั่นให้บิดาเถอะ เพื่อของสิ่งนี้บิดาต้องพยายามอย่างหนักกว่าจะได้มานะ”
น้ำตาของหวงฉีแทบร่วง
เขาผู้ซึ่งเป็นถึงหัวหน้าเผ่าพยัคฆ์ทว่ากลับให้กำเนิดลูกเฮงซวยเช่นนี้ ที่สำคัญเด็กผู้นี้ยังเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาอีกด้วย ! เช่นนั้นที่ผ่านมาเขาจึงตามใจนางทุกอย่าง
”ถ้วยหยกไม่มีประโยชน์สำหรับข้าก็จริงหากแต่ข้าสามารถนำไปกำนัลผู้อื่นได้” หวงเสี่ยวหยิงยกยิ้ม “ข้าไม่มีวันคืนให้ท่าน”
หวงฉีกัดฟันกรอดนางขโมยสมบัติจากคลังสมบัติที่เขาเก็บสะสมไว้หลายชิ้นแล้ว หากมิใช่เป็นเพราะเขาซ่อนตัวอยู่ในคลังสมบัติเพื่อจับขโมย เขาย่อมไม่มีวันรู้ได้เลยว่าผู้ที่เป็นหัวขโมย จะเป็นบุตรสาวของเขาเอง !
ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือเด็กสาวหัวรั้นคนนี้มักจะนำทุกสิ่งที่ขโมยได้ไปกำนัลผู้อื่นนี่สิ !
”หยิงเอ๋อลูกรัก เจ้าบอกพ่อได้หรือไม่ว่า เจ้าจะมอบของสิ่งนี้ให้กับผู้ใด ?”
แววตาของหวงฉีเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขอเพียงเขารู้ว่านางจะนำไปให้ผู้ใด เขาก็จะพยายามไปเอากลับคืนมา
”ว่าที่ลูกเขยของท่าน”หวงเสี่ยวหยิงยิ้ม รอยยิ้มของนางน่ารักและไร้เดียงสา “ว่าที่สามีของข้าไง”
เปรี้ยง!
ราวกับฟ้าฟาดลงมาตรงหน้าหวงฉีเบิกตากว้างด้วยความหวาดหวั่น
ว่าที่ลูกเขย?
เด็กเอาแต่ใจคนนี้ไปตกหลุมรักบุรุษไม่มีหัวนอนปลายเท้าที่ไหนกัน? ไอ้เด็กนั่นมีดีอะไรงั้นหรือ ?
เหตุใดบุตรสาวของเขาจึงต้องขโมยสมบัติของบิดาไปกำนัลไอ้เด็กบ้าคนนั้น?
”หยิงเอ๋อนี่เจ้าขโมยสมบัติของข้าจนเกลี้ยง เพียงเพื่อผู้ชายงั้นหรือ ?” หวงฉีแทบกระโดด
หากมิใช่เป็นเพราะถ้วยหยกยังคงอยู่ในมือของนางเขาคงไม่รอช้าที่จะเข้าไปทุบเด็กบ้านี่แล้ว
”ท่านพ่อเพื่อที่ลูกสาวของท่านจะได้เอาใจลูกเขย แค่ของไม่กี่อย่างจะกระไรนักหนา” หวงเสี่ยวหยิงหน้ามุ่ย “นอกจากนี้ ข้ายังสัญญากับเขาด้วยว่าจะมอบเผ่าพยัคฆ์ให้กับเขา”
หวงฉีกลอกตาเขาเกือบจะเป็นลมแล้ว ทว่าโชคดีที่ผู้คุ้มกันซึ่งยืนข้างกายคว้าเขาไว้ได้ทันเวลา ทำให้เขาไม่ทันได้รับบาดเจ็บจากการล้ม
”เจ้า… ” ในที่สุดหวงฉีก็ระงับสติอารมณ์ของตนลงได้ ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เขาตวาดออกมาด้วยความโกรธ “ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยว่า วันนี้เจ้าถูกกักบริเวณ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวออกจากบ้าน หากเจ้ากล้าก้าวออกจากบ้านพยัคฆ์ของเรา ข้าจะหักขาของเจ้าเสีย … ”
กล่าวยังไม่ทันจบเขาก็เห็นหญิงชราคนหนึ่งผลุนผลันวิ่งออกมาจากบ้าน ในมือของนางมีไม้เท้า
“หักขาผู้ใด? เจ้าคิดจะหักขาของผู้ใด ? หากเจ้ากล้าหักขาหลานสาวของข้า ข้าก็จะทุบเจ้าก่อน ! ก็แค่หลานสาวของข้าต้องการมอบของให้หลานเขย เจ้าจะกระไรนักหนา หา ?”
หวงฉีรู้สึกตกใจเขารีบเบี่ยงกายหลบไม้เท้า “ท่านแม่ ลูกผิดไปแล้ว ลูกรู้ผิดแล้ว”
”เมื่อรู้ตัวว่าผิดก็อย่ามัวโอ้เอ้ ไปนำสมบัติของเจ้ามาให้ข้าไว ๆ หลานสาวของข้าจะได้นำไปกำนัลหลานเขย เจ้าได้ยินชัดหรือไม่ ?” หญิงชรากระแทกไม้เท้าใส่ด้วยความโกรธ พร้อมกันนั้นนางก็ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น
***จบบทจุนหรู่ชิง (4)***