จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 631-635
บทที่ 631 : ไป๋เสี่ยวเฉินคลั่ง (2)
แต่ก่อนที่นางจะทันเข้าถึงตัวไป๋เสี่ยวเฉินร่างของไป๋เสี่ยวเฉินก็มาปรากฏต่อหน้าอัศวินเงา พลันมือเล็ก ๆ ของเขาก็ฟาดลงบนหัวของอัศวินเงา
ฟุ่บ…ร่างของอัศวินเงาไม่ต่างกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลมมันเหี่ยวลงในทันทีจากนั้นก็หมุนติ้วลอยหายไป
”หวงเสี่ยวหยิงเสี่ยวมี่ ช่วยข้าหยุดเฉินเอ๋อ ! เขาไม่ควรทำเช่นนั้นอีก”
ชั่วขณะนี้หัวใจของไป๋หยานรู้สึกสับสน นางรู้สึกว่าหากปล่อยให้เขาทำเช่นนี้อีกจะต้องมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่
”นายหญิง…เสี่ยวหยิงและข้าไม่อาจหยุดนายน้อยได้ !”
เสี่ยวมี่ยืนอยู่ข้างหลังไป๋หยานด้วยท่าทางเสียใจมันมองดูไป๋เสี่ยวเฉิน ผู้ซึ่งยามนี้นัยน์ตาแดงก่ำ สายตาที่มันมองนางมีทั้งเศร้า ทั้งหวาดกลัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จากก้นบึ้งของหัวใจ
มันเองก็รู้สึกไม่ต่างกับไป๋หยานโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นนัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินแดงขึ้นเรื่อย ๆ มันเองก็ได้แต่นิ่งงันราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์ หากมีอสูรแฝงอยู่ในร่างของนายน้อย ยิ่งนายน้อยสังหารผู้คนมากขึ้น ก็เท่ากับยิ่งปลุกอสูรให้ตื่นเร็วขึ้น !
*****
ภูเขาทั้งลูกถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงฉาน
นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินเต็มไปด้วยเจตนาสังหารโหดเหี้ยมร่างเล็ก ๆ ของเขาว่องไวราวสายลมพัด เขาเริ่มลงมือกับ ชายคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้าเขา
เขามีเพียงความคิดเดียวนั่นก็คือเข่นฆ่าสัตว์อสูรให้หมดสิ้น
แม้ว่าเลือดจะชโลมล้างแดนอสูรเจ้าก็ต้องปกป้องมารดาของเจ้า !
ทว่าจู่ๆ
มือคู่หนึ่งพลันยื่นมาจากด้านหลังของไป๋เสี่ยวเฉินดึงร่างเล็ก ๆ ของเขาเข้าไปกอดแน่น
หากแต่ในใจของเด็กน้อยมีเพียงความรู้สึกต้องการเข่นฆ่าทั้งนัยน์ตาของเขาก็มืดบอดด้วยความเกลียดชัง โลกทั้งใบพร่าเลือนไปแล้วสำหรับเขา
กระทั่งเขาไม่สามารถเห็นใบหน้าของบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าเขาได้ประกายโหดเหี้ยมในแววตาของเขายังคงลุกโชน กระทั่งเขาได้กลิ่นอายที่คุ้นเคยทำให้ร่างของเขาแข็งค้าง
อ้อมกอดที่คุ้นเคยเช่นนี้ช่างอบอุ่นเหลือเกิน ดั่งต้นไม้ที่คอยกันลมกันฝนให้เขาตลอดมา ทำให้จิตใจที่กำลังคลั่งของเขาค่อย ๆ ทุเลาลง
”หม่ามี้?”
หม่ามี้งั้นเหรอ?
ใช่แล้วผู้ที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจได้ นอกจากหม่ามี้แล้ว ยังจะมีผู้ใดได้อีกเล่า ?
ริมฝีปากของไป๋เสี่ยวเฉินยกขึ้นเป็นรอยยิ้มประกายแสงสีเลือดที่ครอบคลุมนัยน์ตาของเขา ค่อย ๆ จางหายไป เขากระพริบตา พลันใบหน้าของสตรีที่อยู่เบื้องหน้าเขาก็ชัดเจนขึ้น
ใบหน้าของสตรีผู้นั้นแลดูเป็นกังวลและซีดเซียวนางมองเขาด้วยความห่วงใย
เขาหลับตาลงเล็กน้อยรู้สึกเหน็ดเหนื่อย
เหมือนหม่ามี้จะเป็นห่วงข้ามาก?
เฉินเอ๋อขอโทษ
”เฉินเอ๋อ!”
ไป๋เสี่ยวเฉินซบหัวลงในอ้อมแขนของไป๋หยานใบหน้าเล็ก ๆ ของเขายังคงมีรอยยิ้มสดใสดั่งดวงอาทิตย์ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขาจะมั่นคงขึ้น
ไป๋หยานกำหมัดแน่นนางกอดร่างของไป๋เสี่ยวเฉินแน่น นัยน์ตาดำขลับของนางมองอัศวินเงาที่เหลืออยู่เพียงผู้เดียวอย่างเฉยเมยและไร้ปรานี
”ข้ารู้แต่ว่าแม้ร่างเงาของเจ้าจะตาย ทว่ากายเนื้อของเจ้ากลับไม่ตายเช่นนั้น จงส่งข้อความนี้ถึงตี้คัง !” ไป๋หยานหัวเราะ นางหัวเราะอย่างบ้าคลั่งน้ำตาของนางไหลรินอาบแก้ม “เขาหลอกใช้ข้าเพื่อช่วยแดนอสูร ข้าไม่ตำหนิเขา แต่เขาไม่ควรคิดสังหารพวกเราทั้งหมด ! ชั่วชีวิตนี้ข้าไม่มีวันอภัยให้เขา !”
บูม!
อัศวินเงาผู้นั้นมองอย่างประหลาดใจเขาเห็นไป๋หยานอุ้มไป๋เสี่ยวเฉินขึ้นมา หากแต่ก็ไม่ทราบว่าเกิดสิ่งใดขึ้นด้านหลังเขา ปัง ขณะที่เขากำลังตื่นตะลึง จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดังลั่น จากนั้นเขาก็ทรุดลงสู่พื้นดิน
อัศวินเงาผู้นี้ได้รับบาดเจ็บมาก่อนเช่นนั้นการลงมือครั้งสุดท้ายนี้จึงไม่ยากนักสำหรับไป๋หยาน
หลังจากสังหารอัศวินเงาแล้วนางก็กอดซาลาเปาน้อยไว้ในอ้อมแขน พลางหยิบยาเม็ดทั้งหมดออกจากถุงเก็บสมบัติ นางป้อนยาทั้งหมดเข้าปากของไป๋เสี่ยวเฉิน
***จบบทไป๋เสี่ยวเฉินคลั่ง (2)***
บทที่ 632 : ไป๋เสี่ยวเฉินคลั่ง (3)
”เหตุใดเหตุใดยาเหล่านี้ถึงไร้ประโยชน์ ?”
ครั้นเห็นว่าหลังจากกินยาไปเป็นจำนวนมากแล้วไป๋เสี่ยวเฉินก็ยังคงหมดสติ หัวใจที่พยายามแสร้งทำเป็นแข็งแกร่งของไป๋หยาน พลันทรุดลงอย่างสมบูรณ์ หยาดน้ำตาร่วงรินลงมา
”นายหญิง… ” หวงเสี่ยวหยิงมองซาลาเปาน้อยในอ้อมแขนของไป๋หยาน อย่างเจ็บปวด นางสูดจมูก “องค์ชายน้อยอาจจะไม่…”
”หุบปาก!”
เสี่ยวมี่โกรธมันสูดลมหายใจ พลางหันไปดุหวงเสี่ยวหยิงด้วยความโกรธ “หยุดพูด เจ้าไม่รู้อะไร ! นายน้อยจะไม่มีวันเป็นอะไรทั้งนั้น”
ใช่…นายน้อยนั้นทรงพลังมากเขาจะไม่มีวันพบอันตรายใด ๆ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกับเขาได้อย่างไร ?
แต่…
ครั้นมองเห็นลักษณะราวไร้ซึ่งชีวิตของไป๋เสี่ยวเฉินแล้วพลันน้ำตาของเสี่ยวมี่ก็รินไหนลงมา ในที่สุดมันก็กระโดดขึ้นไปบนร่างไป๋เสี่ยวเฉิน แล้วร่ำไห้โฮ พลางคร่ำครวญว่า “นายน้อย ตื่นขึ้นมาเถอะ ข้ายอมให้สัญญากับท่านว่า จากนี้ไป ข้าจะมอบอาหารอร่อย ๆ ให้ท่าน ท่านจะโยนบาปให้ข้า ข้าก็จะไม่บ่นสักคำ ได้โปรดอย่าทำให้พวกเราตกใจเช่นนี้เลย”
”บิดาของท่านทอดทิ้งนายหญิงไปแล้วนางเหลือเพียงท่านเท่านั้น หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนายหญิง แล้วนางจะทำเช่นไร ? แล้วข้าควรทำอย่างไรดี ?”
ไป๋หยานนั่งอยู่บนพื้นที่รายล้อมไปด้วยขวดยาเปล่าๆ เป็นกอง ๆ นัยน์ตาของนางจ้องมองเจ้าซาลาเปาตัวน้อยในอ้อมแขนไม่วางตา
“นายหญิงท่านไม่เห็นหรือไรว่าเกิดอะไรขึ้นกับนายน้อย ?” ดวงตาของเสี่ยวมี่เป็นสีแดง และเสียงของเขาก็เจือการสำลัก เขาหันหน้าไปมองหน้าไป๋หยาน ยามนี้ใบหน้าของไป๋หยานขาวซีดไร้สีเลือด
ไป๋หยานไม่ตอบคำถามของเขานิ้วมือของนางลูบไล้ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉิน “เฉินเอ๋อ…เจ้าคือโลกทั้งใบของแม่”
”หากเฉินเอ๋อเป็นอะไรไปข้ายินดีสละทุกสิ่ง ขอเพียงได้ทำลายแดนอสูร !”
”นายหญิง… ” เสี่ยวมี่มองไป๋หยาน น้ำตาไหลพราก เขาเช็ดน้ำตา พลางพูดว่า “ข้าจะไปกับนายหญิง ! ข้าต้องการล้างแค้นให้นายน้อย !”
ฮือออออออออออ!
ทันใดนั้นเองกลุ่มคนชุดดำก็ร่อนลงมาจากอากาศว่างเปล่า พวกเขาตรงเข้าโอบล้อมไป๋หยาน และพรรคพวกอีกครั้ง
ไป๋หยานจับมือของไป๋เสี่ยวเฉินขึ้นมาลูบไล้แก้มนางเบาๆ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย เพื่อปกปิดเจตนาสังหารในแววตาของตน
”นายหญิงคนพวกนี้เป็นหุ่นพยนต์งั้นหรือ ?” เสี่ยวมี่หันไปมองผู้มาเยือนที่ไม่ได้รับเชิญอย่างดุดัน พร้อมกับกล่าวด้วยสายตาดุร้าย
ไป๋หยานค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “เจ้าดูแลเฉินเอ๋อไว้ให้ดี”
”นายหญิงแล้วท่าน … ” หัวใจของเสี่ยวมี่สั่นไหว มันกัดริมฝีปากแน่น
พลังของหุ่นพยนต์กลุ่มนี้ไม่ต่ำกว่าที่นายน้อยและองค์หญิงได้พบในตลาดครั้งก่อน !
ไม่คาดคิดตี้คังไม่ยอมปล่อยนายหญิงของเขา จึงส่งผู้คนมามากมาย !
ในบรรดาหุ่นพยนต์เหล่านี้ผู้นำเป็นชายวัยกลางคน เขาก้าวมาข้างหน้าสองก้าว พลางมองไปที่ไป๋หยาน “ทำตามรับสั่งขององค์ราชา สังหารราชินีและองค์ชาย !”
ไป๋หยานกำดาบในมือแน่นขณะเอ่ยถามว่า “เขาต้องการฆ่าเฉินเอ๋อด้วยงั้นหรือ ?”
”ใช่แล้วเนื่องจากราชินี และองค์ชายไม่เต็มใจที่จะกลับแดนอสูร เช่นนั้นพวกท่านก็ต้องถูกสังหาร !”
ชายวัยกลางคนกล่าวโดยไม่แสดงท่าทีใดๆ
แน่นอนว่าสำหรับหุ่นพยนต์ย่อมไม่มีการแสดงออกที่ซับซ้อนนัก
เสี่ยวมี่กระโดดตัวลอยขึ้นเอ่ยกล่าวด้วยความโกรธ “เจ้าโกหก ไม่ใช่เป็นเพราะคำทำนายของแดนอสูรหรอกหรือ ที่ว่าไม่มีผู้ใดสามารถให้กำเนิดองค์ชายได้นอกจากนายหญิงของข้า และเขาเองมิใช่หรือที่ต้องการมีลูก ?”
”อ่า… ” หุ่นพยนต์หัวเราะเยาะขณะกล่าวว่า “ราชินีท่านรู้มากเกินไปแล้ว หากราชินีไม่กลับแดนอสูร องค์ชายก็ไม่สามารถอยู่ในแดนอสูรได้ เช่นนั้นองค์ราชาจึงต้องส่งพวกท่านไปเกิดใหม่ และหลังจากที่ท่านตายไปแล้ว ท่านก็จะเกิดใหม่มาเป็นราชินีแห่งแดนอสูรของเรา !”
***จบบทไป๋เสี่ยวเฉินคลั่ง (3)***
บทที่ 633 : ฉู่อี้เฟิงงั้นรึ ? (1)
”ฮ่าฮ่า!!!”
ทันใดนั้นไป๋หยานก็เริ่มหัวเราะ เป็นเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่ง หากแต่คราวนี้ นางไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว
”ข้ารู้แล้วสิ่งที่เขาต้องการคือการสังหารข้า และเฉินเอ๋อ”
ภาพต่างๆ ที่นางเห็นนั้นมีความสำคัญเช่นไร ?
เห็นได้ชัดว่าตี้คังในภาพเหล่านั้นปวดร้าวกับการตายของนางอย่างไม่อาจวางเฉยได้
ทว่าตี้คังไม่อาจระลึกถึงเรื่องราวทุกสิ่งในชีวิตก่อนหน้าของเขาเช่นนั้น วันนี้นิสัยของเขาจึงไม่เหมือนกับสิ่งที่นางเห็นในภาพฝัน
”สังหารนาง!”
หุ่นพยนต์เหล่านั้นร้องตะโกนพร้อมกับพุ่งตัวเข้าหาไป๋หยาน
ลมหายใจที่เต็มไปด้วยแรงกดดันแพร่กระจายไปทั่วบริเวณหน้าผาหญิงสาวในอาภรณ์สีแดงภายใต้แรงลมที่พัดกระหน่ำราวพายุ เต็มไปด้วยจิตวิญญานแห่งการสังหารอันน่ากลัว
เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับไป๋เสี่ยวเฉินประกอบกับการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของหุ่นเหล่านั้นทำให้ไม่มีผู้ใดสนใจหลงเอ๋อเลย
นางงอตัวเงยหน้าซีด ๆ มองสถานการณ์เลวร้ายที่ไป๋หยานกำลังถูกรายล้อมไปด้วยหุ่นพยนต์จำนวนมาก
”เสี่ยวหยิงดูแลนายน้อยของข้า ข้าจะไปช่วยนายหญิง”
เสี่ยวมี่คำรามทันใดนั้นเองร่างของมันก็ใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว มันพุ่งเข้าหาหุ่นตัวหนึ่งที่อยู่ใกล้ไป๋หยานมากที่สุด จากนั้นก็ตะปบหุ่นนั่นไปสองสามครั้ง
”ไม่!..ไม่นะ !”
ครั้นหลงเอ๋อเห็นดาบที่กำลังจะพุ่งเข้าใส่ร่างของไป๋หยานหัวใจของนางพลันว่างเปล่าชั่วขณะ จากนั้นนางก็เปล่งเสียงมังกรคำรามลั่น ทันใดนั้นร่างของนางก็กลายเป็นมังกรตัวใหญ่ นางพุ่งไปข้างหน้าเข้าไปคว้าแขนหุ่นตัวนั้นฉีกมันทันที
”วู้ววว…พวกคนชั่วอย่ามารังแกราชินีนะ !”
หุ่นเหล่านั้นไม่รู้จักเจ็บปวดทั้งไม่รู้จักกลัวตาย เช่นนั้นแม้ว่าแขนข้างหนึ่งของมันจะถูกฉีกขาด มันก็ไม่แม้แต่ขมวดคิ้ว มันยังคงโจมตีไป๋หยานต่อเนื่อง
*****
ไม่รู้ว่าเมื่อใดที่ท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆดำเสียงฟ้าร้องคำรามลั่นดูเหมือนว่าอีไม่นานฝนคงจะตกหนัก
ทันใดนั้นเองเสียงที่แผ่วเบาก็ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งท้องฟ้า ทว่าสามารถทำให้ทุกคนที่นั่นหูแทบหนวก
”หุ่นพยนต์และสัตว์อสูร กล้าดียังไงมาสร้างความวุ่ยวายถึงที่นี่ !”
บูม!
แท้จริงแล้วเสียงนี้เบามากหากแต่กลับดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้อง ฉับพลันหุ่นพยนต์เหล่านั้นพลันระเบิด
ไม่ทันที่ผู้ใดจะได้ล่วงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหุ่นพยนต์เหล่านั้นก็หายไปต่อหน้าไป๋หยานไม่ต่างจากการสลายตัว
บนท้องฟ้าชายในเสื้อคลุมสีขาวยืนไพล่มือไว้ด้านหลัง ท่าทางของเขาแลดูภาคภูมิราวเทพเจ้า ขณะยืนหยัดท่ามกลางสายฟ้าเปรี้ยงปร้าง เขายังคงแลดูไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใด
ชายผู้นี้หล่อเหลายิ่งนักสายตาเฉยเมยของเขาซ่อนความหยิ่งทระนงเอาไว้ เหมือนมองไม่เห็นหัวผู้ใดในโลก ไม่ต่างจากพระราชาที่ทุกคนจะต้องน้อมเชื่อฟัง
”ฉู่อี้เฟิง?”
หลังจากได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของชายในอาภรณ์สีขาวไป๋หยานก็ตัวแข็งค้างครู่หนึ่ง จากนั้นท่าทีของนางก็แลดูเย็นชาลงเล็กน้อย “เจ้าไม่ใช่ฉู่อี้เฟิง เจ้าเป็นผู้ใด ?
แม้ว่าผู้ที่อยู่กลางอากาศคนนั้นจะคล้ายกับฉู่อี้เฟิงมากเรียกได้ว่าใบหน้าของเขาเหมือนฉู่อี้เฟิงแทบจะเป็นพิมพ์เดียว ทว่าแรงกดดันระหว่างคนทั้งสองนั้นกลับแตกต่างกันมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…
ฉู่อี้เฟิงมีเรือนผมสีดำสนิทหากแต่บุรุษเบื้องหน้านางมีเรือนผมยาวสีขาวราวกับยืนอยู่บนภูเขาหิมะ
”เฉิน..”
”อะไร?”
”ข้าชื่อเฟิงลี่เฉิน เจ้าเรียกข้าว่าเฉินก็ได้”
สองคิ้วของเขาบรรจบกันเล็กน้อยแสดงให้เห็นถึงความภาคภูมิใจเขากล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวสายลม
เสี่ยวมี่…พยายามที่จะปกป้องไป๋หยานด้วยจิตใต้สำนึกเขารู้สึกว่า ชายผู้นี้มีเจตนาที่ไม่ดี !
ความคิดของไป๋หยานในยามนี้มุ่งประเด็นไปที่ไป๋เสี่ยวเฉิน นางมองชายผู้ที่อยู่บนอากาศ จากนั้นก็ถอนสายตากลับมาพลางเอ่ยถามว่า “เฉินเอ๋อเป็นไงบ้าง ?”
”นายหญิง… ” หวงเสี่ยวหยิงยกมือขึ้นด้วยท่าทางเศร้าสร้อย “องค์ชายน้อยอยู่นี่”
ไป๋หยานตะลึงงันนางมองไปที่มือของหวงเสี่ยวหยิง จึงเห็นว่าหวงเสี่ยวหยิงกำลังอุ้มสุนัขจิ้งจอกสีเงินอยู่ในมือ จิ้งจอกน้อยกำลังนอนหลับตาพริ้ม
***จบตอนฉู่อี้เฟิงงั้นรึ ? (1)***
บทที่ 634 : ฉู่อี้เฟิงงั้นรึ ? (2)
ตอนนี้เขาหมดลมหายใจไปเมื่อครู่ ข้าไม่รู้ว่าเขากลายเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ?
”นายหญิงข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ ๆ นายน้อยก็กลับคืนสู่ร่างเดิมของเขา” หวงเสี่ยวหยิงน้ำตาไหล ขณะมองไป๋หยานอย่างน่าสงสาร
”เฉินเอ๋อ!”
ไป๋หยานก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วนางแย่งจิ้งจอกน้อยมาจากมือของ หวงเสี่ยวหยิง ท่าทางของนางราวกับมีความสุขมาก “เฉินเอ๋อ เจ้าสบายดีหรือไม่ ?”
ก่อนหน้านี้ลมหายใจของไป๋เสี่ยวเฉินแผ่วลง ด้วยทักษะทางการแพทย์ของนาง นางเองก็ยังไม่อาจหาสาเหตุได้ ตอนนี้เมื่อเห็นจังหวะการหายใจที่มั่นคงของบุตรชาย หัวใจของไป๋หยานก็คลายกังวลขึ้น
ก็ยังดีที่เขาแค่คืนร่างกลับไปเป็นจิ้งจอกน้อยตราบใดที่เฉินเอ๋อยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็เพียงพอแล้ว !
เฟิงลี่เฉินเดินไพล่มือไว้ข้างหลังลงมาจากกลางอากาศเขาเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็มาถึงด้านหน้าไป๋หยาน
”มีบางอย่างในร่างของเขาถูกสะกดบางทีอาจเป็นเพราะการถูกกระตุ้นเมื่อครู่นี้ เจ้าสิ่งนั้นก็เลยเกือบจะครอบครองเขา โชคดีที่ท้ายสุดแล้วเขาก็กดเจ้าสิ่งนั้นกลับลงไปได้ ทว่าเขาก็สูญพลังทั้งหมดของตนเองเช่นกัน กระทั่งต้องกลับคืนสู่ร่างเดิม”
มีบางสิ่งในร่างของไป๋เสี่ยวเฉินกดดันไป๋เสี่ยวเฉินงั้นรึ?
ไป๋หยานขมวดคิ้วเหตุใดนางไม่เห็นอะไรเลยล่ะ ?
“สิ่งนี้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขาหากเขาใช้มันดี ๆ มันก็อาจจะกลายเป็นอาวุธชั้นดีในการเพิ่มพูนความสามารถของเขา” ชายผู้นั้นจิกปากโค้งงอเล็กน้อย ก่อนจะหันไปมองหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเด็กน้อย
“แล้วเฉินเอ๋อจะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้อย่างไร?” ไป๋หยานนิ่วหน้า
”มีเมล็ดพืชชนิดหนึ่งในตำหนักเซียนพยับหมอกเป็นเมล็ดพืชจากเถาองุ่นเลือด หลังจากที่เจ้าเอาเมล็ดนั่นให้เขากิน เขากินแล้วก็จะหาย
ตำหนักเซียนพยับหมอก?
ไป๋หยานกอดจิ้งจอกน้อยแน่น”ได้ เช่นนั้นข้าจะไปที่ตำหนักเซียนพยับหมอก แต่กว่าจะไปถึง จะมีอันตรายอะไรกับเฉินเอ๋ออีกหรือไม่ ?”
“เขาจะไม่เป็นอันตรายใดๆ ทว่าเขาจะเป็นจิ้งจอกอยู่เช่นนี้ ทั้งไม่สามารถพูดได้” ชายคนนั้นมองสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของไป๋หยาน ด้วยแววตาสงสาร
ทันใดนั้นเองสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยก็ลืมตาขึ้น มันแลบลิ้นนุ่ม ๆ เลียหลังมือของไป๋หยาน ดูราวกับว่ามันกำลังปลอบโยนนางอย่างเงียบ ๆ
ไป๋หยานรู้สึกโล่งใจนางหันไปมองชายผู้นั้น พลางย่นคิ้วเล็กน้อย “เฟิงลี่เฉิน เราเคยพบกันมาก่อนหรือไม่ ?”
”นายหญิงท่านก็ไม่น่าโง่เลย เขาเหมือนนายท่านฉู่มาก” เสี่ยวมี่ทำหน้าปุเลี่ยน
นายหญิงไม่น่าถามโง่ๆ
”ไม่…นอกเหนือจากเรื่องนี้ข้ารู้สึกว่าเราเคยรู้จักกันดี” ไป๋หยานขมวดคิ้วแน่น พลางมองชายผู้นั้นตาไม่กะพริบ
ชายผู้นั้นนิ่งงันก่อนจะยิ้ม พร้อมกับส่ายศีรษะ “ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย”
”หากเป็นเช่นนั้นข้าจะขอให้ท่านช่วยข้าหน่อยจะได้หรือไม่ ?” มีพันธะสัญญาบางอย่างอยู่ในร่างข้า ท่านมีวิธีใดบ้างที่จะลบล้างมัน
ชายผู้นั้นมองไป๋หยานอย่างประหลาดใจเขาไตร่ตรองอยู่นาน ที่สุดก็พยักหน้าน้อย ๆ “ได้ ข้าจะช่วยเจ้า”
*****
ณแดนอสูร
วังแลดูสงบสุขเฉกเช่นเคย
โดยปกติแล้วไป๋หยานไม่เคยก้าวออกจากประตูวังไป๋เยว่เช่นนั้นจึงไม่มีผู้ใดรู้ว่านางจากไปแล้ว
แต่ครั้นตี้คังผลุนผลันเข้ามาในวังความเงียบสงบก็พังทลายลงด้วยความโกรธเคืองของเขา
”ราชินีอยู่ที่ใด? ราชินีของข้าอยู่ที่ใด ?”
ตลอดทางที่ผ่านมาเขาเต็มไปด้วยอาการกระสับกระส่าย ทั้งความตื่นตระหนกยังพลุ่งพล่านขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจเขาราวกับน้ำพุ ยิ่งส่งผลให้ใบหน้าของเขาน่าเกลียดอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะเมื่อครึ่งชั่วยามก่อน(1 ชั่วโมง) ที่เขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของนางจากพันธะสัญญา
เพราะสิ่งเดียวที่ยังทำให้เขามีความสุขอยู่บ้างก็คือพันธะสัญญาระหว่างกัน
”เสด็จพี่พี่สะใภ้นางจะต้องอยู่ในวังไป๋เยว่”
***จบบทฉู่อี้เฟิงงั้นรึ ? (2)***
บทที่ 635 : กล้าใส่ร้ายราชินี (1)
ตี้เสี่ยวอวิ๋นคอหดด้วยความหวาดกลัวนางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเสด็จพี่ถึงได้โกรธมากเพียงนี้ ?
ครั้นได้ยินเช่นนั้นตี้คังก็รีบไปที่วังไป๋เยว่ องครักษ์ที่เฝ้าประตูวังไป๋เยว่ต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นพวกเขาจึงรีบเข้าไปที่ประตูแล้วผลักประตูเปิดออก
ทว่าไม่มีผู้ใดอยู่เลยในห้องนั้นว่างเปล่ามีเพียงกลิ่นยาจาง ๆ ซึ่งพิสูจน์ได้ว่านางเคยอยู่ที่นี่
ครั้นกลุ่มคนที่ติดตามมาจากด้านหลังแลเห็นห้องที่ว่างเปล่าพวกเขาต่างก็นิ่งอึ้ง พวกเขาพยายามกระซิบกระซาบ แต่เมื่อเห็นตี้คังยกร่างขององครักษ์ขึ้นมาต่างก็ชะงักงัน
ชั่วขณะนี้นัยน์ตาของตี้คังเป็นสีแดงฉานราวกับสัตว์ป่าที่กำลังนำพาองครักษ์คนนั้นไปสู่ความตาย “ราชินีหายไปไหน ?”
”ทูลฝ่าบาท… ” องครักษ์ตัวสั่นเทา “ราชินีเสด็จออกจากวังไป๋เยว่ เมื่อชั่วยามก่อน (2 ชั่วโมง) ทั้งยังไม่เสด็จกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ชั่วยามก่อน?
ตี้เสี่ยวอวิ๋นกระพริบตาพลางหันไปมองตี้คัง “เสด็จพี่ พี่สะใภ้ของข้าดูเหมือนช่วงนี้จะอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก นางอาจจะออกไปพักผ่อน แล้วนางก็คงจะกลับมาในเร็ว ๆ นี้”
“ออกไป!” ตี้คังโกรธ เขาทุ่มองครักษ์ลงกับพื้น จากนั้นเขาก็ดึงทึ้งเส้นผมด้วยความเจ็บปวด แววตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “นางจะไม่กลับมา ข้ารู้ว่านางจะไม่กลับมาแล้ว … ”
”เป็นไปไม่ได้”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อพี่สะใภ้จะไม่ไปจากแดนอสูร นางจะทิ้งเสด็จพี่ และทิ้งข้าไปได้อย่างไร ?
”ตี้เสี่ยวอวิ๋น!”
ทันใดนั้นเองเสียงตวาดอย่างโกรธเกรี้ยวก็ทำให้ตี้เสี่ยวอวิ๋นตื่นจากภวังค์ นางเงยหน้าขึ้นอย่างรู้สึกผิด พลางมองตี้คังน้ำตาเอ่อคลอ
”บอกข้าทีสิว่าเกิดอะไรขึ้นเหตุใดหยานเอ๋อถึงได้หนีข้าไป ข้าไม่ดีพออีกงั้นหรือ ?” ตี้คังหน้าซีด ยามนี้เขาไม่อาจเดินได้อย่างมั่นคงด้วยซ้ำ
ดูเหมือนว่าการจากไปของไป๋หยานจะทำให้เขาสิ้นหวังทุกสิ่งในโลกใบนี้
ตี้เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึงแต่ครั้นนางต้องการจะพูด จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่ง ดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน
”ทูลฝ่าบาทข้ารู้ว่าเหตุใดราชินีถึงได้จากไป !”
ท่ามกลางฝูงชนหญิงผู้นี้แลดูโดดเด่นมาก แม่แววตาของนางจะดูเย็นชา หากแต่ความเย็นชานี้กลับกลายเป็นความอ่อนโยนหลายพันเท่าเมื่อได้เห็นตี้คัง
”เจ้าว่ามาสิเจ้ารู้อะไร เหตุใดราชินีถึงได้จากไป ?” ตี้คังหันหน้าไปมองสตรีผู้ซึ่งเดินออกมาจากฝูงชน แววตาที่กระหายเลือดของเขา ยามนี้ดูเหมือนกำลังมองคนใกล้ตาย
ด้วยสายตาเช่นนี้ของตี้คังทำให้ชิงเซียะตัวสั่นเทา หากแต่นางก็ยังกัดฟันก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้น “องค์ราชา ข้าได้ยินบทสนทนาระหว่างราชินีกับองค์ชายน้อย ราชินี รับสั่งถึงสหายของนางที่มีนามว่าฉู่อี้เฟิง นางไม่ต้องการรามือจากชายผู้นั้น เช่นนั้นนางจึงจากไปพร้อมองค์ชายน้อย”
ถึงยามนี้ริมฝีปากของชิงเซียะก็ฉีกยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ
เรื่องของไป๋หยานในแดนมนุษย์นั้นเป็นความลับที่ไม่มีผู้ใดในแดนอสูรล่วงรู้ ไม่มีผู้ใดรู้จักญาติสนิทมิตรสหายของนางในแดนมนุษย์เลย
แต่ตอนที่องค์หญิงน้อยออกจากแดนอสูรมิใช่มีเพียงชิงหลวนเท่านั้นที่ลอบติดตามนางอย่างลับ ๆ ทว่าชายโง่ที่นางหลอกใช้ ก็แอบส่งหุ่นพยนต์ลอบติดตามไปยังแดนมนุษย์ด้วย
เช่นนั้นจึงไม่แปลกที่นางจะรู้จักชื่อฉู่อี้เฟิง !
ชั่วขณะที่ชิงเซียะกำลังย่ามใจอยู่นั้นลำคอของนางก็ถูกคว้า นางเงยหน้าขึ้นด้วยความหวาดกลัว พลางจ้องมองชายหนุ่มผู้ซึ่งปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านาง
”เจ้ากล้าใส่ร้ายราชินีงั้นรึ? เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้างั้นรึ ?”
***จบบทกล้าใส่ร้ายราชินี (1)***