จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 646-650
บทที่ 646 : ข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (4)
”เสด็จพี่”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึงนางกล่าวพึมพำกับผู้ที่อยู่เบื้องหน้านาง ผู้ที่ยามนี้เสมือนมีแต่ร่าง ทว่าไร้ซึ่งจิตวิญญาณ เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นท่าทีเช่นนี้ของพี่ชาย
”อา!” ตี้คังยันกายลุกขึ้น เขาซวนเซเล็กน้อย หากแต่เพียงไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนได้ “ไป๋หยาน เจ้าคิดว่าด้วยวิธีนั้นเจ้าจะสามารถหนีจากข้าได้กระนั้นรึ ?”
”ต่อให้สุดขอบโลกไม่ว่าจะขึ้นสวรรค์ หรือต้องลงนรก ข้าก็จะตามหาเจ้าให้พบ !”
”เสด็จพี่… ”
ครั้นเห็นตี้คังกำลังจะออกจากวังตี้เสี่ยวอวิ๋นก็รีบวิ่งตามเขาไป
นางไล่ตามไปได้ไม่กี่ก้าวจู่ ๆ บุรุษที่อยู่เบื้องหน้านางก็หยุด โชคดีที่นางเองก็หยุดได้ทันเวลา ก่อนที่จะชนกับเขา
”นังงูนั่นกับเจ้าตัวปลอม… ” มุมปากของตี้คังยกยิ้มเต็มไปด้วยความเย็นชา “ยกให้เจ้าจัดการกับพวกมัน แต่อย่าให้พวกมันตายล่ะ !”
”อืม…”ตี้เสี่ยวอวิ๋นถูจมูกของนาง พลางรับคำอย่างเชื่อฟัง
”อัศวินเงา…นับจากวันนี้ข้าไม่ต้องการเห็นพวกมันอีกต่อไป”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นพยักหน้าอีกครั้งคนพวกนี้ทำร้ายพี่สะใภ้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เสด็จพี่จะละเว้นคนเหล่านี้
”ส่วนฮัวหยูผู้อาวุโสรอง และราชครู … ” ตี้คังหันหลังให้กับตี้เสี่ยวอวิ๋น พลางกล่าวคำด้วยน้ำเสียงหม่นหมอง “รอราชินีเสด็จกลับมา ทุกคนจะถูกส่งมอบให้กับราชินี !”
ราชครูนั้นมีฐานะสูงส่งกว่าทุกคนในแดนอสูรคราวนี้เห็นได้ชัดเจนว่าตี้คัง โมโหอย่างสุด ๆ กระทั่งไม่อาจวางเฉยอยู่ได้
”เสด็จพี่พี่จะไปหาพี่สะใภ้งั้นหรือ ?”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นกระพริบนัยน์ตากลมโตนางอยากให้ตี้คังพานางไปด้วย หากแต่ร่างของชายในอาภรณ์สีม่วงกลับเลือนหายไปเสียแล้ว
”เสี่ยวอวิ๋น… ” นัยน์ตาของราชครูย้ายกลับมาจากทิศทางที่ตี้คังจากไป เขาฝืนส่งยิ้มอย่างขมขื่นให้กับตี้เสี่ยวอวิ๋น “ข้าขอโทษ เรื่องนี้เป็นความผิดของข้าเอง”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นมีทีท่าฮึดฮัดนางไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองราชครูอีก นางต้องการกลับวัง
”เสี่ยวอวิ๋น”
ใบหน้าหล่อเหลาของราชครูแปรเปลี่ยนเล็กน้อยเขาเอื้อมมือไปหาตี้เสี่ยวอวิ๋น ทว่าหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขากลับเบี่ยงกายหลบเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามตี้เสี่ยวอวิ๋นก็หยุด นางกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา “ท่านยังมีอะไรต้องพูดอีกกระนั้นรึ ?”
”ข้า…”
มีถ้อยคำมากมายนับหมื่นนับพันในใจแต่ทว่าไม่อาจเอ่ย
ถ้อยคำที่เขาพอจะหลุดออกมาเป็นประโยคได้มีเพียง “ข้าขอโทษ … ”
“ไม่ต้องขอโทษข้าท่านควรไปขอโทษพี่สะใภ้และเฉินเอ๋อมากกว่า ข้ารู้ว่าท่านทำเจ้าตัวปลอมขึ้นก็เพื่อเสด็จพี่ แต่ไยท่านไม่ดูแลเขาให้ดี ปล่อยให้เขาออกมาทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ?” “ดังนั้นช่วงเวลาสิบปีนับจากนี้ อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าจะดีกว่า”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นกล่าวก่อนจะหันหลังเดินจากไป
ครั้นเห็นร่างที่งดงามนั้นค่อยๆ เลือนหายไป ความเศร้าพลันปรากฏในแววตาของราชครู
ครานี้นางโกรธจริง ๆ แม้ว่านางจะพยายามสะกดอารมณ์แล้ว ทว่าจะเป็นการดีกว่า หากไม่พบหน้านาง
”ราชครู”ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยพร้อมยิ้มมุมปาก “องค์หญิงคงจะกริ้วเพียงชั่วครู่ชั่วยาม หากว่าองค์ราชินี และองค์ชายน้อยเสด็จกลับมาได้อย่างปลอดภัย สุดท้ายก็จะทรงหายกริ้วเอง”
ราชครูยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ “ครั้งนี้เสี่ยวอวิ๋นโกรธจริง ๆ ข้ากลัวว่านางจะไม่มีวันให้อภัยข้าอีกเลย …”
”เอ่อ…” อาวุโสใหญ่กล่าวคำใดไม่ออกไปชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานเขาก็กล่าวปลอบโยนขึ้นว่า “องค์หญิงเชื่อฟังราชินีมาก เมื่อราชินีกลับมา ท่านก็อ้อนวอนขอให้พระนางอภัยโทษให้ เมื่อนั้นองค์หญิงก็จะให้อภัยท่านเอง …”
สำหรับราชครูแล้วผู้อาวุโสใหญ่ให้ความเคารพและมองเขาในแง่ดีเสมอ
แต่สำหรับผู้อาวุโสรองแล้ว
ไอ้ชั่วนี่…กล้าปิดบังเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้กับเขาในเมื่อรนหาที่ตายเอง ! จะไปตำหนิผู้ใดได้
***จบบทข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (4)**
บทที่ 647 : ข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (5)
”ผู้อาวุโสแล้วข้าควรทำเช่นไรต่อไปดี ?” แข้งขาของฮัวหยูสั่นเทา
หากรู้มาก่อนเราคงไม่ตกที่นั่งลำบากเช่นนี้ ?
”เจ้างั้นรึ?” ผู้อาวุโสใหญ่มองฮัวหยูอย่างเย็นชา “องค์ราชาไม่ได้รับสั่งหรือไรว่า รอให้ราชินีกลับมาจัดการกับเจ้าเอง แต่ในเมื่อเจ้าเองก็ถูกหลอกเช่นกัน โทษทัณฑ์นั้นจึงไม่ควรถึงตาย หากแต่เจ้าก็มีส่วนผิดที่ทำให้องค์ราชินี และองค์ชายน้อยต้องรับทุกข์ทรมาน ความผิดของเจ้าก็เรียกกว่าใหญ่หลวงเช่นกัน ข้าเดาว่าบทลงท้ายน่าที่จะไม่ดีนัก”
ฮัวหยูกัดฟันแน่นพลางลดศีรษะลงสายตาที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจกวาดไปมองชิงเซียะผู้ซึ่งอยู่อีกด้าน
ราชินีคงไม่ต้องโดนทำร้ายหากมิใช่ความคิดชั่วช้าของหญิงผู้นี้ นางพยายามไขว่คว้าสิ่งที่มิใช่ของ ๆ นาง? หญิงเช่นนี้สมควรมีชีวิตที่อยู่มิสู้ตาย !
แต่ครั้นมองเห็นสภาพที่น่าสังเวชของชิงเซียะแล้วฮัวหยูก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก มุมปากของเขายกโค้งเป็นรอยยิ้มสาแก่ใจ
*****
นอกเมืองฮวนเฉิงมีประตูอันแข็งแกร่ง ทั้งไม่อาจทำลายได้โดยง่าย
ทหารยามสองคนผู้มีหน้าที่เฝ้าประตูกำลังนั่งอยู่บนพื้นพลางสนทนากัน จู่ ๆ เรือนร่างอันงดงามก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าสายตาพวกเขา ส่งผลให้สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
หญิงสาวผู้ซึ่งแลดูโดดเด่นงดงามที่สุดในโลกหล้า นางผู้ซึ่งอยู่ในอาภรณ์สีแดง !
ในอ้อมแขนของนางมีสุนัขจิ้งจอกสีเงินตัวน้อยน่ารักน่าถนอมกระทั่งผู้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเอ็นดู
มืออีกข้างของนางจับจูงเด็กหญิงตัวน้อยรูปร่างอ้วนกลมผิวขาวนวลเนียนเด็กหญิงนั้นช่างน่ารัก ทั้งฉลาดเฉลียว
”ราชินีไม่ให้เสี่ยวมี่กับหวงเสี่ยวหยิงติดตามมาด้วยนี่จะดีหรือ ?” หลงเอ๋อหันกลับมามองไป๋หยาน พลางกระพริบนัยน์ตากลมโต ขณะเอ่ยถาม
ชั่วขณะนั้นยามที่พวกนางกำลังจะจากมา เสี่ยวมี่รู้สึกผิดหวังมาก มันรีบก้าวขึ้นดักหน้าราชินี พลางร้องไห้อย่างขมขื่น
ครั้นหวนนึกถึงภาพฉากดังกล่าวหลงเอ๋อก็อดเอ่ยถามมิได้
”ไม่เป็นการสะดวกที่จะพาพวกเขามาด้วยนอกจากนี้ ข้าให้เสี่ยวมี่กลับไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพราะเขามีบางเรื่องที่ต้องทำ” ไป๋หยานไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมามองหลงเอ๋อ “อีกอย่าง ข้าไม่ได้เป็นราชินีแห่งแดนอสูรแล้ว เจ้าเลิกเรียกข้าว่าราชินีเถอะ”
“โอ้!” หลงเอ๋ออุทานด้วยแววตาที่ไร้เดียงสา “เช่นนั้นข้าควรจะเรียกท่านอย่างไรดีล่ะ ?”
ไป๋หยานนิ่งคิดพลันนางก็ห่อริมฝีปากเล็กน้อย “เจ้าเรียกข้าว่าท่านแม่แล้วกัน เมื่อไปถึงตำหนักเซียนพยับหมอก เจ้าก็แสดงตัวเป็นบุตรสาวของข้า อย่าให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรล่ะ”
สัตว์อสูรหาใช่เรื่องแปลกไม่หากแต่สัตว์อสูรที่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ย่อมตกเป็นเป้าให้คนหาเรื่องได้
เพื่อความปลอดภัยแล้วนางต้องซ่อนตัวตนที่แท้จริงของหลงเอ๋อ
”หลงเอ๋อเชื่อฟังท่านแม่”
หลงเอ๋อยิ้มรอยยิ้มนั้นน่ารัก เต็มไปด้วยความสดใส
ขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากันอยู่นั้นพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูเมือง
ครั้นองครักษ์ทั้งสองที่ประตูเมืองแลเห็นไป๋หยานพวกเขาต่างก็ตกใจ”ท่านก็คือแม่นางไป๋หยาน”
ไป๋หยานพยักหน้าน้อยๆ “ข้าต้องการพบหวังตี้จวิน”
*****
ณตระกูลหวัง
ซึ่งเป็นนายทวารของตำหนักเซียนพยับหมอกทั้งยังเป็นตระกูลชั้นนำของเมืองฮวนเฉิง
ขณะนี้กำลังมีเสียงร่ำไห้คร่ำครวญอย่างโหยหวน
”ท่านพ่อข้าเป็นบุตรชายของท่านนะ อย่าตีข้าอีกเลย ข้าเจ็บจะตายอยู่แล้ว !”
เสียงดังลั่นสะท้านสะเทือนแผ่นดินแม้แต่ผู้คนบนท้องถนนต่างก็ได้ยินทั่ว
บางคนละสายตาจากสินค้าเพื่อหันไปมองบ้านตระกูลหวัง ภาพที่พวกเขาได้เห็นก็คือ ภายในคฤหาสน์ตระกูลหวัง หวังตี้จวินกำลังถือไม้เท้าขนาดใหญ่ ตีหวังเสี่ยวผางอย่างไร้ปรานี
”ไอ้ลูกหมาเจ้ามีอายุเพียงเท่านี้ ก็ริอ่านจีบหญิงเสียแล้ว ผู้ใดสอนให้เจ้าจีบหญิง ? อายุเพียงแค่นี้คิดจะหาเมียแล้วงั้นรึ ? หากวันนี้ข้าไม่ตีเจ้าให้ตาย อย่ามาเรียกข้าว่าหวังตี้จวิน !” ใบหน้าของหวังตี้จวินเต็มไปด้วยความโกรธ ขณะฟาดไม้ลงไปอีกครั้ง
”โอ๊ย!”
พลันเสียงเหมือนหมูร้องก็ดังขึ้นอีกครั้งทันใดนั้นเองหวังเสี่ยวผางก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในบ้านสุกลหวัง นัยน์ตาของเขาแจ่มใสขึ้นทันที ไม่รู้ว่าเขาไปเอาพละกำลังมาจากที่ใด เขาผลักหวังตี้จวินออก ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาสตรีผู้ซึ่งเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
***จบบทข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (5)***
บทที่ 648 : ข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (6)
”พี่ไป๋หยานช่วยข้าด้วย! บิดาของข้ากำลังจะฆ่าข้าแล้ว !”
ไป๋หยาน!
หวังตี้จวินตกตะลึงเขาเงยหน้าขึ้นจึงเห็นบุตรชายที่โง่เขลาของตนกำลังร้องห่มร้องไห้อยู่บนตักของไป๋หยาน มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุก “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แม่นางไป๋หยาน ?”
ไป๋หยานยิ้มน้อยๆ “ข้าอยากไปเยือนตำหนักเซียนพยับหมอก”
“เจ้าต้องการไปเยือนตำหนักเซียนพยับหมอกงั้นรึ? ก็หาใช่เรื่องยากไม่ ขอข้าคุยกับท่านพ่อก่อน จากนั้นข้าจะไปส่งเจ้าเอง” หวังตี้จวินยิ้มประจบประแจง
ขณะที่หวังตี้จวินเดินไปหาท่านเจ้าบ้านหวังเขาก็ไม่ลืมที่จะกวาดตามองเจ้าเด็กอ้วน ท่าทีของเขาแลดูเหมือนจะบ่งบอกว่ามีความสุขขึ้นเล็กน้อย
”พี่ไป๋หยานหลังจากที่พี่กับไป๋เสี่ยวเฉินไม่อยู่ใกล้ ๆ ข้า ท่านพ่อของข้าก็ไม่เคยหยุดทุบตีข้าเลย รู้งี้ข้าไปกับพวกพี่ดีกว่า” หวังเสี่ยวผางเช็ดน้ำตาป้อย ๆ “ว่าแต่ เฉินเอ๋ออยู่ที่ไหนล่ะ ?”
ไป๋หยานลูบอุ้งเท้าสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยพลางตัวสั่น ริมฝีปากของนางไร้ซึ่งรอยยิ้ม “เฉินเอ๋อกลับบ้านไปแล้ว”
”อ้อ! เฉินเอ๋อกลับบ้านไปพร้อมป๊ะป๋าของเขาหรอกหรือ ?” หวังเสี่ยวผางดูเหมือนจะนึกบางสิ่งออก “ข้าไม่ได้พบพี่ใหญ่มานานแล้ว ข้าคิดถึงเขาจะตาย”
หวังเสี่ยวผางไม่ได้สังเกตท่าทีของไป๋หยานเขาเหลือบมองเด็กผู้หญิงที่ไป๋หยานจูงมา ดวงตาของเขาหรี่ลง ก่อนจะสว่างไสวขึ้น
“พี่ไป๋หยานคนสวยนี่ใครหรือ ? หวังเสี่ยวผางถูฝ่ามือพลางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
หลงเอ๋อรีบหลบซ่อนตัวข้างหลังไป๋หยานนางรู้สึกว่าเด็กอ้วนคนนี้มีเจตนาไม่ดี
”นี่คือบุตรสาวคนใหม่ของข้านางคือน้องสาวของเฉินเอ๋อ” ไป๋หยานกล่าวพลางลูบศีรษะของหลงเอ๋อเพื่อเป็นการปลอบใจ “เจ้าไม่ต้องกลัวหรอก เขาจะไม่ทำร้ายเจ้า”
ครั้นได้ยินเช่นนี้หลงเอ๋อก็รู้สึกโล่งใจ นางก้าวออกมาจากด้านหลังของไป๋หยาน ทว่านางก็ยังไม่กล้ามองหวังเสี่ยวผาง
หวังเสี่ยวผางพยายามหาทางกระลิ้มกระเหลี่ยหลงเอ๋อทว่าจู่ ๆ มะเหงกก็กระแทกลงบนศีรษะของเขาอย่างแรง
“ไอ้ลูกหมาไอ้เด็กดื้อ คิดจะเกี้ยวหนูน้อยคนนี้อีกงั้นหรือ ?”
หวังตี้จวินจ้องตาหวังเสี่ยวผางพลางมองอย่างโกรธเคือง ส่งผลให้หวังเสี่ยวผางคอหดไม่กล้ากล่าวคำใดอีก
”แม่นางไป๋หยาน”หวังตี้จวินหันไปมองไป๋หยาน พลางยิ้ม “ท่านพ่อของข้ากำลังรอเจ้าอยู่”
”อืม…”ไป๋หยานพยักหน้าน้อย ๆ “หลงเอ๋อ เราไปกันเถอะ”
หลงเอ๋อน้อยจับมือของไป๋หยานและตามไป๋หยานไปยังแท่นบูชาของตระกูลหวัง
สถานที่ที่ซึ่งจะเปิดประตูสู่ตำหนักเซียนพยับหมอกอยู่บนแท่นบูชาของตระกูลหวังหลังจากได้ยินคำกล่าวของหวังตี้จวิน ท่านเจ้าบ้านหวังก็เรียกเหล่าผู้อาวุโสตระเตรียมการ
เช่นนั้นทันทีที่ไป๋หยานก้าวเข้าสู่แท่นบูชานางก็สามารถเข้าสู่ตำหนักเซียนพยับหมอกได้ทันที
ในขณะเดียวกัน
บนภูเขาสูงตระหง่านที่ซึ่งมีควันสีขาวจางๆ ลอยอย่างอ้อยอิ่ง แลดูคล้ายสวรรค์ชั้นฟ้า
ณจุดสูงสุดของภูเขา บุรุษในเสื้อคลุมสีขาวยืนกลางอากาศ มือของเขาไพล่อยู่ด้านหลัง สายลมพัดพลิ้วเพียงแผ่วเบา ชายอาภรณ์ของเขาสะบัดไหว ภายในดินแดนที่แลคล้ายสวรรค์แห่งนี้ เขาช่างงดงามอย่างสมบูรณ์แบบ ยากหาผู้ใดเทียบ
”นางไปถึงตำหนักเซียนพยับหมอกแล้วใช่หรือไม่?”
น้ำเสียงของชายผู้นั้นแจ่มชัดยิ่งกว่าสายน้ำไหลเขามองไปที่จุดสูงสุดที่ซึ่งอยู่ห่างไกลอย่างเฉยเมยไร้ซึ่งอารมณ์ ไม่แตกต่างจากรูปลักษณ์ของเขา
”ใช่”
ชายผู้ซึ่งอยู่ข้างหลังเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อนายน้อยไม่อาจปล่อยมือจากนาง ก็แล้วเหตุใดนายน้อยไม่ขวางนางไว้ไม่ให้นางจากไป นอกจากนี้ ท่านเองก็รั้งอยู่ที่นี่นานเกินไปแล้ว หากท่านยังไม่กลับ เกรงว่าคนพวกนั้นอาจจะ … ”
”เหอะ”ชายผู้นั้นเย้ยหยัน “ในครานั้น หากมิใช่เพื่อคนพวกนั้น นางก็คงไม่ทอดทิ้งข้า !”
***จบบทข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (6)***
บทที่ 649 : ข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (7)
”นายน้อย….”ชายหนุ่มต้องการจะเกลี้ยกล่อมเขา ทว่าชายที่ยืนเบื้องหน้าก็ไม่ให้โอกาสเขาได้พูดเลย
”หลายปีที่ผ่านมาข้าได้แต่เฝ้าเสียใจ !” อาภรณ์ของชายผู้นี้ปลิวสะบัดล้อไปกับสายลม ความโศกเศร้าฉายประกายในแววตาอันเย่อหยิ่งของเขา “ผู้คนในโลกนี้ช่วยอะไรข้าได้บ้าง ? ข้าขอทำผิดพลาดแค่เพียงครั้ง ข้าจะไม่ทำผิดพลาดอีกเป็นครั้งที่สอง ! ครั้งหนึ่งข้าเคยละทิ้งนาง เพราะแดนสวรรค์ ครานี้ ข้าจะละทิ้งแดนสวรรค์เพื่อนาง !”
เฟิงลี่เฉินหลับตาลงเบาๆ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มร่าเริงของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความสุขปรากฏชัดในใจของเขา หากแต่โชคร้ายที่นั่นเป็นเพียงแค่ครั้งเดียวที่เขาได้เห็น
เป็นเพราะเขาทำผิดพลาดเขาจึงไม่อาจเห็นรอยยิ้มของนางได้อีก
จู่ๆ เขาก็ลืมตาขึ้น แววตาของเขาส่องประกายเย็นชา “เจ้ากลับไปก่อน ข้าจะยังไม่ตามเจ้ากลับแดนสวรรค์”
”หากแต่ท่านเป็นเทพสวรรค์… ” ชายหนุ่มห่วงใย
เขากล่าวไม่ทันจบประโยคชายผู้นั้นก็ขัดจังหวะขึ้นเบา ๆ “ข้าไม่สนใจแดนสวรรค์แล้ว ชีวิตนี้ของข้า เพียงต้องการนาง”
”ขอรับนายน้อย” ชายหนุ่มคนนั้นก้มศีรษะลง “หากแต่นายน้อย จากนี้ท่านจะไปที่ใด”
”ข้าจะไปหาตี้คัง!”
ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าวชายหนุ่มพลันตกตะลึง นี่ นายน้อยต้องการจะพบตี้คังงั้นรึ ?
นี่มัน…
คราครั้งนั้นพวกเขาต่อสู้กันอย่างหนักนี่พวกเขาจะต้องต่อสู้กันอีกครั้งหรือไม่ ?
ไม่รอให้ชายหนุ่มเอ่ยถามอะไรอีกร่างของเฟิงลี่เฉินพลันหายลับไปจากยอดเขา เหลือเพียงสายลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านหน้าผาเพียงแผ่ว
*****
ภายในหุบเขาร่างในอาภรณ์สีม่วงร่อนลงจากท้องฟ้าสู่พื้นดิน
ชายหนุ่มเลิกคิ้วเล็กน้อย
ครั้งที่เขาฝ่าผนึกออกมาคราแรกนั้นความแข็งแกร่งของเขาถูกทำลายเสียหายอย่างรุนแรง ทั้งตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส กระทั่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แต่ครั้งนี้กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อาจเป็นเพราะเขายึดครองพื้นที่ผนึกนั้นได้ใช่หรือไม่?
”หยานเอ๋อ”
ตี้คังนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งที่สุดเขาก็สลัดความคิดต่าง ๆ นานา ทิ้ง เขาทอดสายตาเหม่อมองท้องฟ้าสีคราม นัยน์ตาเรียวคมของเขาพลันเปล่งแสงแรงกล้าแน่วแน่
”ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่มีวันรามือจากเจ้า!”
ต่อให้นางแทงเขาสักกี่พันครั้งเขาก็ยินดี หากว่านางจะอภัยให้เขาได้
เวลานั้น…
ท้องฟ้าสีครามพลันถูกเมฆดำแผ่เข้าปกคลุมกลิ่นอายแปลก ๆ โชยมาจากท้องฟ้า ส่งผลให้ตี้คังหรี่ตาลงเล็กน้อย
ในความว่างเปล่าบุรุษหล่อเหลาในอาภรณ์สีขาวที่แลดูไม่แยแสต่อโลกหล้าพลันปรากฏกาย
รูปร่างหน้าตาของเขาคล้ายกับฉู่อี้เฟิงทว่าเพียงครู่ ตี้คังก็จดจำได้ คนผู้นี้มิใช่ฉู่อี้เฟิง !
”ตี้คังไม่พบกันเสียนานเลยนะ… ” ชายผู้นั้นเอ่ยปาก ขณะก้าวลงมาจากอากาศว่างเปล่าอย่างแช่มช้า
ตี้คังหัวเราะเยาะ”ข้าเคยพบเจ้าเมื่อใดกัน ?”
”การที่เจ้าลืมข้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่เคยพบข้า”
ชายผู้นี้มาหาข้า…
ระหว่างสองฝ่ายแรงผลักดันดั่งขั้วตรงข้ามเพิ่มทวีขึ้น ๆ เรื่อย ๆ จากคนทั้งสอง แม้ต่างเพิ่มแรงกดดันทว่าก็สมดุลกัน
นัยน์ตาของตี้คังเคร่งขรึมลงเล็กน้อยชายผู้นี้คือคนผู้เดียวกับที่เขาได้พบเจอ เมื่อหลายปีก่อน จะเรียกว่าเป็นศัตรูกันก็ได้
”ข้ามาหาเจ้าเพียงเพื่อจะบอกเจ้าว่า ในเมื่อเจ้าไม่สามารถปกป้องนางได้ เช่นนั้นข้าจะขอปกป้องนางเอง”
ชายผู้นี้พูดถึง‘นาง’ … ตี้คังย่อมรู้ดีว่า ‘นาง’ ที่พูดถึงนั้นคือผู้ใด
เช่นนั้นเขาจึงไม่ให้โอกาสชายผู้นั้นได้พูดประโยคต่อมาเขาเปิดฉากโจมตีราวพายุ
ทุกสถานที่ที่ซึ่งตี้คังพุ่งผ่านไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ต้นไม้ สรรพสิ่งโดยรอบพลันเหี่ยวแห้งด้วยแรงกดดันของเขา ทั่วทั้งท้องฟ้าพลันสาดประกายแสง ฟ้าร้องคำรามราวกับสามารถสะท้อนความโกรธในใจของเขาออกมาได้
”ผ่านมานานหลายปีเจ้ายังคงไม่เปลี่ยน ตราบใดที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับนาง เจ้าจะลงมือทันที”
***จบบทข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (7)***
บทที่ 650 : ข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (8)
”ในเมื่อมีคนคิดจะขโมยภรรยาของข้าหากไม่ให้ข้าลงมือ จะให้ข้าเชิดชูเจ้างั้นรึ ?”
ตี้คังเยาะเย้ยในอาภรณ์สีม่วง เรือนผมสีเงินยวง ทีท่าราวกับกำลังบ้าคลั่งของเขา ยิ่งขับเน้นให้เขาแลดูมีเสน่ห์ยิ่งกว่าเดิม
”ข้าจำได้ว่าแรกเริ่มเพียงเพื่อให้ได้รับความสนใจจากนาง เจ้าไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น เจ้ายอมกระทั่งแสร้งทำตัวเป็นขอทาน เพียงเพื่อจะได้รับความสงสารจากนาง” เฟิงลี่เฉินเหลือบมองตี้คังเล็กน้อย “แต่ข้าไม่สนใจเจ้าหรอก ! ข้าเติบโตมาพร้อมกับนาง ข้าคิดว่าตราบใดที่ข้ายังดีพอสำหรับนาง นางย่อมไม่มีวันถูกผู้ใดช่วงชิงไปได้”
”ทว่าสุดท้ายนางกลับเลือกเจ้า… ”
ครั้นพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของเฟิงลี่เฉินกลับกลายเป็นไร้ชีวิตจิตใจ ทั้งดูเหมือนว่าเขาจะไร้สิ้นซึ่งการรับรู้ใด ๆ ในโลก
ทว่าหัวใจของเขาสงบแล้วจริงๆ กระนั้นหรือ ? เกรงว่าคงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้
”ข้าอิจฉาเจ้ามากที่เจ้ายอมสละศักดิ์ศรีทุกอย่าง ยอมแม้กระทั่งทำตัวต่ำต้อยที่สุดเท่าที่จะต่ำได้ หากข้าทำได้เช่นเจ้า บางทีเจ้าอาจไม่มีโอกาสได้นางไป …”
ตี้คังเชิดปากขึ้นอย่างเย็นชา”เจ้ามองตัวเองสูงส่งเกินไป นางเป็นภรรยาของข้า ข้าย่อมพร้อมจะสละทุกอย่างเพื่อติดตามนาง”
เฟิงลี่เฉินไม่ใส่ใจคำพูดของตี้คังเขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อเจ้ายอมทำเพื่อนางถึงเพียงนี้ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงทำร้ายหัวใจของนางได้ บัดนี้เจ้าเลือกที่จะทำร้ายนางแล้ว ชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าตามตื๊อนางได้อีก !”
ตี้คังยิ้มรอยยิ้มของเขาเต็มไปด้วยอาการดูถูก เขาเงยหน้าขึ้นมองเฟิงลี่เฉินผู้ซึ่งอยู่เบื้องหน้า พลางกล่าวน้ำเสียงเย็น “โชคไม่ดีที่เจ้าไม่มีโอกาสนั้นแล้ว หยานเอ๋อ ไม่เพียงแต่จะให้กำเนิดบุตรชายแก่ข้า นางยังเข้าพิธีราชาภิเษกแล้วด้วย”
”ไม่”เฟิงลี่เฉินส่ายหน้า “เป็นเพราะข้ามาสายเกินไป หากแต่ข้ายังมีโอกาสพิชิตใจนาง”
ตี้คังกำหมัดแน่นเขาพยายามยับยั้งแรงกระตุ้นที่ต้องการจะอัดคนผู้นี้
แทนที่จะเสียเวลาต่อสู้กับชายผู้นี้น่าที่จะเป็นการดีกว่า หากเอาเวลาไปใช้ในการค้นหาหยานเอ๋อ
”งั้นรึ?” ตี้คังเยาะเย้ย พร้อมกับเม้มปาก “น่าเสียดายที่ข้าจะไม่ให้โอกาสเจ้าได้ในสิ่งที่เจ้าต้องการเป็นแน่ …”
เฟิงลี่เฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยเขารู้สึกแปลกใจ นี่ตี้คังคิดจะทำสิ่งใดกันแน่ ?
ด้วยนิสัยของตี้คังหากไม่ชนะจะไม่มีวันเลิกรา นี่เขากลับไม่ยอมสู้งั้นรึ ?
พลัน…คำพูดต่อมาของตี้คังก็ขจัดปัญหาในใจของเฟิงลี่เฉิน
”เจ้าใฝ่ฝันถึงภรรยาของข้าไว้ข้าได้เจอหยานเอ๋อก่อน แล้วข้าจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า !”
ในแววตาของตี้คังปรากฏเจตนาสังหารเปล่งประกาย
หากแต่ตี้คังก็มิได้ทำสิ่งใดหลังจากที่เขาจบประโยค ร่างในอาภรณ์สีม่วงพลันเหาะผ่านท้องฟ้าที่ซึ่งปกคลุมไปด้วยเมฆดำ เขามุ่งหน้าไปตามทิศทางสู่เมืองฮวนเฉิง
เฟิงลี่เฉินขมวดคิ้วแน่นขณะจ้องมองตามหลังตี้คังผู้ซึ่งจากไปแล้ว พลางบ่นพึมพำกับตนเองว่า “ดูเหมือนเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่จริงแล้วเขากลับเปลี่ยนไปมาก”
หากตี้คังปกป้องนางได้ตลอดทั้งชีวิตก็แล้วไป แต่หากตี้คังไม่อาจทำได้ เขาจะพยายามให้ดีที่สุด เพื่อดึงนางกลับคืนมา !
*****
ภายในหุบเขาลึกลับไป๋หยานนอนนิ่งอยู่บนพื้นหญ้า นางรู้สึกเพียงว่าศีรษะของนางเหมือนถูกเปิดออก นางเจ็บปวดอย่างรุนแรง
หวังตี้จวินไอ้ลูกไม่มีพ่อ! ไม่บอกนางเลยว่าเมื่อถูกส่งผ่านมาที่นี่ นางจะหมดสติเยี่ยงนี้
นางต้องการที่จะลืมตาอยู่หลายครั้งแต่ก็รู้สึกว่าเปลือกตาหนักอึ้ง กระทั่งไม่สามารถลืมขึ้นได้
นางได้ยินเสียงกระซิบกระซาบดังมาแผ่วๆ
”พี่ใหญ่มีสาวน้อยหมดสติอยู่ตรงนี้”
”อา! หญิงผู้นี้สวยจริง ๆ”
“พี่ชายเอ๊ย! แก่จะตายอยู่แล้วยังบ้าผู้หญิงอีกหรือ ? หากแต่หญิงสาวผู้นี้ช่างมีเรือนร่าง และกระดูกที่ยอดเยี่ยม นางเหมาะที่จะฝึกฝนจริง ๆ ”
***จบบทข้าไม่มีวันรามือจากเจ้าชั่วชีวิต (8)***