จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - ตอนที่ 756-760
บทที่ 756 : ต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (2)
สุนัขจิ้งจอกตัวนี้คุ้นเคยกับหลานสาวของเจ้าตำหนักกระนั้นหรือ?
สัตว์อสูรเหล่านี้มาเพื่อนางมิใช่เพื่อเทพธิดากระนั้นหรือ?
”มันเกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?” เทพธิดาตัวสั่นเทา สายตาที่เต็มไปด้วยความตกใจมองไปที่ไป๋หยาน
นางรู้จักคนเผ่าจิ้งจอกงั้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นสุนัขจิ้งจอกนั่นยังสามารถบังคับบัญชาสัตว์อสูรได้มากมายมันจะต้องมีตำแหน่งพอควรในเผ่าจิ้งจอก !
เทพธิดากัดริมฝีปากของนางแน่นนางสงบหัวใจที่สั่นไหว ก่อนจะหายใจเข้าลึก
”ไป๋หยาน…” นางเพียงอยากจะถาม หากแต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงอันดัง
”พวกเราขอคารวะองค์ราชาราชินีและองค์ชายน้อย !”
พวกเราขอคารวะองค์ราชาราชินีและองค์ชายน้อย !
ประโยคนี้ดังกระหึ่มด้วยเสียงของสัตว์อสูรจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนกระทั่งดังสนั่นท้องฟ้า สั่นสะเทือนราวกับฟ้าร้อง กระทั่งหูแทบหนวก
””พวกเราขอคารวะองค์ราชาราชินี และขอทูลเชิญพระองค์เสด็จกลับสู่แดนอสูร !”
ครั้นเห็นไป๋หยานไม่ตอบสนองเสียงสัตว์อสูรทั้งหมดก็ดังขึ้นอีกครั้งก้องไปทั่วท้องฟ้า
สีหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นอึดอัดนางจ้องมองตี้คัง ก่อนจะดึงสุนัขจิ้งจอกที่สวยงามออกจากอ้อมแขนของนาง พลางเอ่ยถามว่า “ตี้เสี่ยวอวิ๋น เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ?”
ทันทีที่สุนัขจิ้งจอกกระโดดลงมาที่พื้นร่างของนางก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างวาบ เพียงพริบตาหญิงสาวสวยผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าไป๋หยาน
น้ำตาของนางคลอหน่วยนางสะอึกสะอื้นอย่างน่าสมเพช “หลังจากเสด็จพี่จากมา ผนึกแดนอสูรก็แตกสลาย เช่นนั้นพวกเราจึงสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ เพื่อขออภัย สัตว์อสูรทุกตัวจึงต้องการจะเข้าเฝ้าพี่สะใภ้ เช่นนั้นข้าจึงมาพร้อมกับพวกเขาด้วย พี่สะใภ้ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่รู้ว่าไอ้ตัวปลอมของราชครูจะมาทำร้ายพี่สะใภ้”
ไป๋หยานเงียบนางพยายามปกปิดตัวตนที่แท้จริงของไป๋เสี่ยวเฉินว่าเป็นสัตว์อสูรมานานหลายปี หากแต่ตี้เสี่ยวอวิ๋นและคนอื่น ๆ กลับมารวมตัวกันด้วยร่างอสูรเช่นนี้ ดังนั้นตัวตนของเฉินเอ๋อก็ไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป
”พี่สะใภ้”
ครั้นตี้เสี่ยวอวิ๋นเห็นไป๋หยานเงียบไปนางก็ยิ่งเครียด นางกอดไป๋หยานด้วยท่าทางน่าสงสาร น้ำตาหยดจากดวงตางดงามของนาง “พี่สะใภ้ โปรดยกโทษให้พี่ชายข้าด้วย – หาไม่พี่ชายของข้าต้องตีข้าตายแน่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ความโกรธของไป๋หยานพลันปะทุขึ้นอีกครั้งนางจ้องมองตี้คัง “ดูสิว่า เขากล้าหรือไม่ !”
“……”
ใบหน้าของตี้คังงงงวยเขาทำอะไร ? เขาไปตีนางตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
เขาเหลือบตามองจึงได้เห็นรอยยิ้มแสนซุกซนของตี้เสี่ยวอวิ๋น ความงงงวยเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขากัดฟัน : “ตี้เสี่ยวอวิ๋น !”
เด็กชั่วนี่กล้าสาดโคลนเขาต่อหน้าหยานเอ๋อกระนั้นรึ ?
“พี่สะใภ้ดูเสด็จพี่สิ เขาดุร้ายมาก ท่านควรติดตามข้ากลับแดนอสูรเพื่อปกป้องข้า เวลาพี่ไม่อยู่พี่ชายของข้ามักจะข่มเหงข้าเสมอ” ตี้เสี่ยวอวิ๋นหลบอยู่หลังไป๋หยาน พลางทำเสียงกระซิก ๆ
นางเคยกลัวเสด็จพี่ทว่าเมื่อนางมีพี่สะใภ้ ตราบใดที่นางไม่ล้ำเส้นเสด็จพี่ นางก็ไม่ต้องกลัวเขาอีกต่อไป
มีพี่สะใภ้ก็ดีอย่างนี้มีพี่สะใภ้ นางก็สบายเหมือนมีคนคอยหนุนหลังทุกสิ่ง !
”หยานเอ๋ออย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของเด็กคนนี้ ข้าเคยแตะต้องนางเมื่อไหร่กัน ?” น้ำเสียงของตี้คังฟังดูเป็นกังวล เพราะเกรงว่าไป๋หยานจะเชื่อคำพูดพล่อย ๆ ของน้องสาว
ไป๋หยานเหลือบมองตี้คังอย่างเย็นชา”ข้าเชื่อว่า ท่านไม่ได้ตีนาง เพียงท่านชอบขู่ให้นางกลัวอยู่บ่อยครั้งก็แค่นั้น”
ตี้คังเถียงไม่ออก
”หยานเอ๋อต่อไปข้าจะไม่ทำอะไรที่เจ้าไม่ชอบ ข้าจะไม่ทำให้คนที่เจ้าต้องการจะปกป้องหวาดกลัว ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเศร้าอีก เจ้าให้โอกาสข้านะ ตกลงหรือไม่ ?”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นถึงกับตกตะลึง
***จบบทต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (2)***
บทที่ 757 : ต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (3)
เหตุใดนางถึงได้รู้สึกว่าเสด็จพี่เปลี่ยนแปลงไป?
ในอดีตเขาจะไม่กล่าวคำหวานหูเช่นนี้
ไป๋หยานมองใบหน้าที่จริงจังของเขาแล้วหัวใจของนางพลันสั่นไหวเล็กน้อย นางจับมือของไป๋เสี่ยวเฉินแน่น พลางเอ่ยปากว่า “ตกลง ข้าจะให้โอกาสท่านอีกครั้ง นับจากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านห้ามปิดบังข้า หรือหลอกลวงข้าอีก ห้ามแสร้งทำเป็นเจ็บ เพื่อให้ข้าเห็นใจด้วย !”
“……” ดวงตากลมโตอันงดงามของตี้เสี่ยวอวิ๋นมองตี้คังค้าง
เสด็จพี่คิดจะใช้อาการบาดเจ็บเพื่อให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจกระนั้นรึ ?
นี่คือเสด็จพี่ที่คอยข่มเหงรังแกนางแน่หรือ?
เสด็จพี่ของนางเปลี่ยนเป็นคนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?
ยามนี้ตี้คังรู้สึกตื่นเต้นมากกับถ้อยคำของไป๋หยาน เขาไม่สนใจท่าทีของตี้เสี่ยวอวิ๋นที่อยู่อีกด้านหนึ่ง แม้แต่ไป๋เสี่ยวเฉินเขาก็ไม่สนใจแล้ว
เขาดึงไป๋หยานเข้ามากอดโดยไม่สนใจผู้ใดเลยเขากอดสตรีที่ทำให้เขามอบความรักอันลึกซึ้งที่สุดคนนี้แนบแน่น
”หยานเอ๋อขอบคุณที่เจ้าให้โอกาสข้าอีกครั้ง ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอีก”
ข้าจะไม่ปิดบังอะไรเจ้าอีก
เสียงที่ทุ้มลึกและแหบห้าวของตี้คังสั่นเทาทว่าริมฝีปากแดง ๆ ของเขาชุ่มฉ่ำเช่นเดิมโดยไม่ตั้งใจ
ใบหน้าของเขาหล่อเหลางดงามเรือนผมสีเงินของเขาเปล่งประกายในสายลมผสมกลมกลืนไปกับเรือนผมดำขลับของนาง
การกอดที่เหมาะเจาะสมบูรณ์นี้ช่างงดงามราวกับภาพวาดหาใดเทียบทำให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดตะลึงงัน และลืมตัวไปชั่วขณะ
ทุกคนกำลังมองดูคนทั้งสองอย่างเงียบๆ แม้แต่สัตว์อสูรเองก็ลืมกล่าวคำสรรเสริญต่อ ไม่มีผู้ใดอยากทำลายความสุขสงบในยามนี้
ยิ่งไปกว่านั้นจิตใต้สำนึกยังบงการว่า การรบกวนคนทั้งสองจะเป็นอาชญากรรมที่ชั่วร้ายซึ่งไม่สามารถแลกได้แม้ชีวิต
ในที่สุดก็เป็นไป๋เสี่ยวเฉินที่เป็นผู้นำในการเอ่ยปากเสียงอ่อนโยนดังขึ้นเหมือนก้อนหินที่โยนลงไปในทะเลสาบ
”ท่านอาหญิงท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ? นัยน์ตากลมโตของไป๋เสี่ยวเฉินนั้นน่ารักน่าเอ็นดู เขามองตี้เสี่ยวอวิ๋นด้วยความสงสัย แก้มสีชมพูของเขาแต่งแต้มด้วยสีแดงอ่อน ๆ ซึ่งน่ารักและน่าประทับใจยิ่งนัก
ตี้เสี่ยวอวิ๋นมีความสุขมากนางยกมือขึ้นบีบแก้มเจ้าตัวน้อย พลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “จริง ๆ แล้ว เรามาถึงที่นี่ก่อนนานแล้ว ข้าอยากจะเข้าไปในเมืองเพื่อตามหาเสด็จพี่ หากแต่ข้าสามารถปกปิดกลิ่นสัตว์อสูรได้แต่เพียงผู้เดียว ส่วนสัตว์อสูรคนอื่นทำไม่ได้ เสด็จพี่เลยให้พวกเรารออยู่นอกเมือง … ”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นเล่านางคิดจะลอบออกมาคนเดียว ทว่าพี่ชายของห้ามนางอย่างเด็ดขาด นางจึงทำได้เพียงรออยู่นอกเมืองพร้อมกับพวกสัตว์อสูรอื่น ๆ อย่างลับ ๆ
”ทว่าเมื่อครู่ข้าได้รับสารจากเสด็จพี่ว่าพี่สะใภ้ถูกรังแก ทั้งให้ข้านำคนเผ่าสัตว์อสูรเหล่านี้มาที่นี่ให้เร็วที่สุด ด้วยรูปลักษณ์เดิม เช่นนั้นข้าจึงให้พวกเขามารวมตัวกันที่นี่… ” ตี้เสี่ยวอวิ๋นกล่าวต่อ “แต่เมื่อพวกเขาปรากฏตัวในฐานะสัตว์อสูรด้วย ข้าก็ไม่อยากแปลกแยก เช่นนั้นข้าจึงมาพบพวกเขาในรูปลักษณ์ของสุนัขจิ้งจอก โชคดีที่พี่สะใภ้จำข้าได้”
ไป๋เสี่ยวเฉินตกตะลึงนางยังโง่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ ? ต่อให้นางมาในร่างเดิม หากแต่กลิ่นอายของนางก็ไม่เปลี่ยน เหตุใดหม่ามี้จะจำนางไม่ได้ ?
ตี้คังคิดว่าน้องสาวของเขาแลดูโตขึ้นเล็กน้อยทว่าสุดท้ายนางก็ยังคงเป็นเด็กโง่คนเดิม
เห็นได้ชัดว่าตี้เสี่ยวอวิ๋น ไม่เข้าใจว่า เขากำลังนึกตำหนินาง สีหน้าของนางยังคงยิ้มแย้มแจ่มใส “ผู้ใดเป็นคนข่มขู่พี่สะใภ้ข้าหรือ เฉินเอ๋อ ?”
”อ้อ”ไป๋เสี่ยวเฉินกล่าวพร้อมกับมองสตรีที่ยืนอยู่บนแท่นบูชา “นั่นไง เทพธิดานางนั้นบอกว่า นางเป็นเจ้านายของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ และป๊ะป๋าวายร้ายก็ตามตื๊อนาง ขนาดหม่ามี้ปล่อยมังกรเขียวออกมา นางก็ยังบอกว่า มังกรเขียวเป็นของปลอม … ”
***จบบทต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (3)***
บทที่ 758 : ต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (4)
ตี้เสี่ยวอวิ๋นตกตะลึงเมื่อได้ยินถ้อยคำพูดเหล่านั้น ความโกรธแค้นพลันพวยพุ่งเข้ามาในหัวใจของนาง ใบหน้าที่สวยงามของนางดำคล้ำ นางกล่าวด้วยความโกรธว่า “จะยังมีพวกผู้หญิงไร้ค่าราคาถูกอีกสักกี่คนที่ต้องการทำลายความรักของเสด็จพี่และพี่สะใภ้ของข้า ? ในฐานะน้องสาว หากพี่ชายข้าตามตื๊อเจ้า เหตุใดข้าจึงไม่รู้จักเจ้าสักนิดเลยล่ะ ?”
หลังจากได้ยินเสียงบรรดาสัตว์อสูรสรรเสริญไป๋หยานเทพธิดาก็ใจสั่น ใบหน้าของนางพลันซีดขาว
มาตอนนี้…
ครั้นได้ยินถ้อยคำของตี้เสี่ยวอวิ๋นใบหน้าของนางก็ยิ่งแลดูน่าเกลียดมากขึ้นนางกล่าวคำใดไม่ออกเพราะความหวาดกลัว
หญิงผู้นี้เป็นองค์หญิงแห่งแดนอสูรกระนั้นหรือ?
แล้วหากไป๋หยานเป็นราชินีสามีของนางก็ต้องเป็นราชาแห่งแดนอสูรกระนั้นสิ ?
ไม่…
เป็นไปไม่ได้!
ราชาและราชินีแห่งแดนอสูรจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไรนอกจากนี้ราชินีแห่งแดนอสูรก็ตายมานานหลายปีแล้วไม่ใช่รึ ? นางจะมาเป็นบุตรสาวของเหวินหยุนเฟิงได้อย่างไร ?
เทพธิดากัดริมฝีปากของตนนางมองตี้คังด้วยความหวาดกลัว ร่างของนางเปล่งประกายแสง นางพยายามดึงร่างแยกของตนเองหลบออกจากตำหนักเซียนพยับหมอก ทว่าเมื่อนางกลับมารู้สึกตัว นางก็พบว่าตนเองยังคงยืนอยู่ ณ ที่เดิม
”นี่มันอะไรกัน?” เทพธิดาพึมพำ แววตาของนางแลดูว้าวุ่น
นางสามารถควบคุมร่างที่เกิดจากกายแยกได้หากแต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางไม่สามารถดึงร่างแยกกลับคืนได้ และมีเพียงเหตุผลเดียวว่าไยนางจึงควบคุมร่างแยกไม่ได้ นั่นก็คือคนที่แข็งแกร่งกว่านางอีกหลายคนที่นี่ !
เทพธิดากลืนน้ำลายอย่างแรงพลางหันไปมองตี้คังอีกครั้ง ความหวาดกลัวทำให้แววตาของนางยิ่งแสดงชัดมากขึ้น นางถอยหลังไปอีกหลายก้าว
”หยานเอ๋อ”จุนเทียนเยว่เรียกไป๋หยาน พลางถามนางออกมาจนได้ด้วยเสียงแผ่วเบา “เกิดอะไรขึ้น ? เหตุใดสัตว์อสูรเหล่านี้ถึงเรียกเจ้าว่าราชินี ?”
ไป๋หยานนิ่งอึ้งนางปล่อยแขนตี้คัง ก่อนจะยกมือขึ้นแตะศีรษะของไป๋เสี่ยวเฉิน แววตาของนางแลดูอึดอัด
”เอ่อ…อันที่จริงเรื่องราวก็มิได้ซับซ้อนอะไรนัก เมื่อครู่นี้ เทพธิดาบอกว่าราชาแดนอสูรตามตื๊อนาง แต่โชคไม่ดีที่ราชาแดนอสูรที่นางว่าก็คือสามีของข้า มีเรื่องที่เขาเคยตามตื๊อนางหรือไม่นั้น ก็ควรจะถามสามีของข้าโดยตรงเลยดีกว่า”
ราชาอสูรเป็นสามีของนางงั้นหรือ?
สายตาของทุกคนค่อยๆ เคลื่อยย้ายไปที่ตี้คังด้วยความตกใจและหวาดกลัว พวกเขาอาจคาดไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องเช่นนี้ในวันนี้
”เจ้า… ” จุนเทียนเยว่จับมือของไป๋หยาน พลางชี้ไปทางตี้คังตัวสั่นเทา สมองของนางว่างเปล่า ร่างของนางเกือบทรุดร่วงลงไปกอง “เจ้าหมายถึงว่า เขาเป็นสัตว์อสูรงั้นหรือ ? เหมือนเด็กสาวตัวเล็ก ๆ ที่เป็นจิ้งจอกคนนั้นงั้นรึ ?”
ตี้คังรู้สึกมีความสุขเพราะคำว่าสามีข้าของไป๋หยานหากแต่ตอนนี้เมื่อเขาเห็นว่าจุนเทียนเยว่ตื่นเต้นมาก ใบหน้าของเขาก็แลดูเขินอาย
ก่อนหน้านี้เขาใส่ใจแต่เพียงเหวินหยุนเฟิง หากแต่ไม่ได้คิดถึงญาติคนอื่นของหยานเอ๋อว่าจะยอมรับตัวตนของเขาหรือไม่ ?
หากเป็นเมื่อก่อนผู้ใดจะคิดอย่างไรกับเขาก็ช่าง เขาไม่สนใจ สิ่งใดที่เขาอยากทำเขาก็ทำ ไม่มีผู้ใดสามารถหยุดคนอย่างตี้คังได้
ทว่าจุนเทียนเยว่เป็นย่าของหยานเอ๋อ! เขาไม่ต้องการให้หยานเอ๋อต้องกังวลอะไร !
”เย่วเอ๋ออย่าทำให้ข้ากลัวสิ” เหวินหวู่เหว่ยกลัวมาก เขารีบช้อนอุ้มร่างของจุนเทียนเยว่ “หากเป็นเรื่องจริง ก็ไม่เห็นเป็นไร เผ่าจิ้งจอกก็ไม่มีสิ่งใดเลวร้าย พวกเราก็ไม่ใช่คนของโลกภายนอก จะต้องสนใจผู้ใด นอกจากนี้หยานเอ๋อยังมีบุตรชายตัวน้อย ทั้งหลานเราก็น่ารักมาก เขาคงได้รับสืบทอดมาจากบิดา-มารดาของเขา”
ครั้นได้ยินถ้อยคำดังกล่าวไป๋หยานก็มองเหวินหวู่เหว่ยด้วยความประหลาดใจ เหมือนคาดไม่ถึงว่าเขาจะกล่าวเช่นนั้น
”ท่านย่า…” ไป๋หยานเงียบไปนาน นางก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ นางพยายามจะปลอบจุนเทียนเยว่
***จบบทต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (4)***
บทที่ 759 : ต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (5)
จุนเทียนเยว่ผลักมือของเหวินหวู่เหว่ยออกแม้ว่าร่างของนางจะยังสั่นอยู่บ้าง หากแต่นางก็สามารถยืนได้อย่างมั่นคง
”ราชาอสูรเยี่ยมมาก ครานี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถกลั่นแกล้งรังแกหลานสาวของข้าได้อีกต่อไปแล้ว ฮ่า ๆ !”
จุนเทียนเยว่ยิ้มน้ำตาไหลรินลงมา นางกอดตี้คังแน่นยิ้มทั้งน้ำตา
ตี้คังย่นหัวคิ้วเล็กน้อยเขาไม่ชอบให้ผู้อื่นแตะต้องแม้แต่เสื้อผ้าของตน ทว่าอย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดได้ว่านางเป็นท่านย่าของไป๋หยาน เขาก็พอทนได้
”หลานเขยย่าฝากหยานเอ๋อให้เจ้าดูแลด้วยนะ อย่าให้คนอื่นกลั่นแกล้งรังแกนางอีก หยานเอ๋อทนทุกข์ทรมานมามากแล้ว ข้าเองก็ไร้ประโยชน์ไม่สามารถดูแลปกป้องนางได้” จุนเทียนเยว่เช็ดน้ำตา พลางหันกลับมามองเทพธิดาอย่างไม่พึงใจ “ในครั้งนั้น นางต้องการหยุนเฟิง จึงบีบบังคับพวกเขาทั้งสามคนให้ต้องพรากจากกัน มาวันนี้นางบอกว่า นางเป็นสตรีที่ราชาอสูรเคยตามตื๊อ เพื่อบังคับตำหนักเซียนพยับหมอกให้ทำร้ายหยานเอ๋ออีก !”
”สำหรับ…หยุนเฟิง… ” จุนเทียนเยว่กล่าวต่อ “เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเขา ข้าตัดสินใจแทนเขาได้ ตราบใดที่เจ้าสามารถปกป้องนางได้ ข้าก็จะมอบนางไว้กับเจ้า !”
ครั้นไป๋หยานได้ฟังถ้อยคำของจุนเทียนเยว่ที่กล่าวกับตี้คังราวกับนางเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งแล้ว หัวใจของนางพลันรู้สึกอึดอัด เท่าที่นางจำได้ ตี้คังเป็นชายแก่ที่มีอายุมานานนับพันปี เพียงแต่เขามีใบหน้าที่อ่อนเยาว์เท่านั้น
”ท่านย่าไม่ต้องเป็นกังวลข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำร้ายนางได้อีกแล้ว !” ตี้คังหันเหสายตา นัยน์ตาที่เศร้าโศกของเขาจับจ้องบนใบหน้าซีด ๆ ของเทพธิดา “โดยเฉพาะ…นาง เพราะนางต้องการทำร้ายหยานเอ๋อของข้า !”
เทพธิดาตัวสั่นและตื่นตระหนก “ท่านจะทำอะไรข้า นี่เป็นเพียงร่างแยก ท่านไม่สามารถสังหารข้าได้ และข้าก็เป็นเทพธิดา ใช่…ข้าเป็นเทพธิดา ! หากท่านกล้าลงมือกับข้า เหล่าทวยเทพจะไม่ยอมปล่อยท่านเป็นแน่ !”
โลกของเหล่าทวยเทพและโลกแห่งอสูรนั้นไม่สามารถกลมเกลียวกันได้อยู่แล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไปหาพยานหลักฐานจากแดนสวรรค์
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าเขาจะไปที่อาณาจักรสวรรค์ เพื่อรวบรวมหลักฐาน นางก็คงจะหนีไปไกลแล้ว
หากแต่หลังจากคำพูดของเทพธิดาจบลงเสียงหัวเราะเย็นยะเยือกก็ดังมาจากอากาศว่างเปล่า ประหนึ่งดังข้ามแผ่นดินรกร้างทุรกันดารอันหนาวเหน็บ
เห็นได้ชัดว่าเสียงนั้นเบามากราวกับไม่มีตัวตน แต่มันกลับชอนไชเข้าไปในหูของเทพธิดาไม่ต่างกับสายฟ้าฟาด กระทั่งทั้งร่างของนางแข็งทื่อ
”ข้าไม่รู้ว่าอาณาจักรสวรรค์ตกต่ำกระทั่งหญิงรับใช้น้อยๆ กลายเป็นเจ้านายไปแล้วกระนั้นหรือ ?”
บุรุษผู้หนึ่งยืนกุมมืออยู่กลางอากาศที่ว่างเปล่าเส้นผมสีขาว และเสื้อคลุมสีขาวนั้น ช่างแลดูบริสุทธิ์ไร้มลทิน
เขามีใบหน้าที่งดงามราวเทพบุตรทรงความภาคภูมิ ทว่าเฉยเมยเฉกเช่นเทพเจ้าผู้สูงส่ง กระทั่งทำให้ผู้คนทั้งหมด ณ ที่นั้นต้องกลายเป็นมดตัวน้อยในทันที
คิ้วของตี้คังมีรอยยับย่นมุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มเยาะ สายตาเย็นยะเยือกมองตรงไปที่บุรุษผู้ซึ่งอยู่กลางอากาศ
ระหว่างนัยน์ตาทั้งสี่ราวกับมีประกายไฟแปลบปลาบแม้แต่ไป๋หยานเองก็ยังหวั่นใจ ว่าชายทั้งสองอาจต่อสู้ครั้งใหญ่ภายในชั่วอึดใจนับจากนี้
ทว่าท้ายที่สุดก็ไม่มีผู้ใดลงมือแรงกดดันจากพวกเขาไม่ต่างกันเลย ทำให้ทุกคนรู้สึกตึงเครียด
”ท่าน…”
ทันทีที่เห็นเฟิงลี่เฉินนัย์ตาของเทพธิดาพลันเบิกกว้าง ยามนี้ร่างซึ่งเคยสั่นไหวของนางก็ยิ่งสั่นแรงขึ้น
”ฝ่าบาทฝ่าบาท … ”
เหตุใด?
พระองค์เสด็จมาที่นี่ได้อย่างไร?
เหตุใดราชาแห่งอาณาจักรสวรรค์เทพเจ้าระดับสูงสุดถึงมาปรากฏตัวบนโลกนี้ได้?
เฟิงลี่เฉินจ้องมองเทพธิดาอย่างเย็นชาทันใดนั้นเองเสียงของเทพธิดาก็เงียบลง นางกลัวกระทั่งพบว่านางไม่สามารถกล่าวคำใดออกมาได้อีก นางไม่อาจเอ่ยเรียกเขาออกมาได้แล้ว
เทพเจ้าราชาสวรรค์ !
***จบบทต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (5)***
บทที่ 760 : ต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (6)
เทพธิดาหลับตาลงยามนี้นางรู้แล้วว่าความสิ้นหวังคืออะไร ?
ในความเป็นจริงเหตุที่ทำให้นางได้พบราชาเทพสวรรค์ นั่นก็เป็นเพราะนางได้ติดตามนายน้อยไปคารวะเหล่าทวยเทพชั้นสูง และราชาสวรรค์ และที่ราชาสวรรค์จำนางได้ก็เป็นเพราะ ครั้งนั้นนางไม่รู้ดีชั่วกล้ายั่วยวนเขา กระทั่งถูกคนในวังทุบตี ก่อนจะโยนออกมา
หลังจากนั้นนางก็ถูกนายน้อยขาย นางยิ่งกลายเป็นคนไร้ค่าไร้ฐานะ จากหญิงรับใช้คนสนิทของตระกูลใหญ่ กลายมาเป็นสาวใช้ของครอบครัวเล็ก ๆ
”ไป๋เอ๋อ”
แววตาเฉยเมยของเฟิงลี่เฉินแฝงแววอ่อนโยนเล็กน้อยเขากล่าวเบา ๆ ว่า “ข้ามาที่นี่เพราะยังมีบางสิ่งที่ต้องบอกกับเจ้า หากแต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่าจะเจอเรื่องเช่นนี้”
ไป๋หยานจ้องมองใบหน้าหล่อเหลางดงามของเฟิงลี่เฉินก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก “ท่านมาจากอาณาจักรสวรรค์กระนั้นหรือ ?”
นางและแดนสวรรค์ย่อมไม่มีทางเข้ากันได้! หากนางรู้ว่าเขาเป็นคนของแดนสวรรค์ บางที…
ไป๋หยานยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ
แต่ต่อให้รู้เร็วกว่านี้แล้วไง? เพื่อช่วยเฉินเอ๋อแล้ว อย่างไรเสียนางก็ไม่มีทางเลือก !
”ที่พยัคฆ์ขาวและมังกรเขียวต้องตาย เป็นเพราะคนจากแดนสวรรค์ของท่านใช่หรือไม่ ?”
ศัตรูที่นางเห็นในความทรงจำของนางนั้นมาจากอาณาจักรสวรรค์ เช่นนั้นนางถึงได้บอกว่า ระหว่างนางและแดนสวรรค์นั้นไม่มีวันเข้ากันได้แน่ !
เฟิงลี่เฉินไม่กล่าวคำใดเขามองไป๋หยานด้วยสายตาที่ซับซ้อน หลังจากเงียบไปนาน เขาก็กล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ “ไม่ว่าคนอื่นจะทำอะไรก็ช่าง หากแต่ข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดกลั่นแกล้งรังแกเจ้า”
ทันทีที่คำพูดประโยคนั้นจบลงสายตาที่เยือกเย็นของเขาก็กวาดไปมองใบหน้าหมดหวังของเทพธิดา
”นางทาสรับใช้ต่ำต้อยกล้าอ้างชื่ออาณาจักรสวรรค์เพื่อข่มเหงผู้คน ทั้งยังโอ้อวดพวกเขาว่าเป็นผู้หญิงของราชาเทพสวรรค์กระนั้นรึ ?” เฟิงลี่เฉินเชิดริมฝีปากของเขาขึ้นน้อย ๆ “ข้าจำได้ว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน เจ้าพยายามยั่วยวนราชาเทพสวรรค์ กระทั่งถูกไล่ออกจากวัง จากนั้นเจ้าก็ถูกเจ้านายและบุตรชายของเขาขายไปเป็นทาสให้กับครอบครัวเล็ก ๆ ”
ถ้อยคำของชายผู้นั้นไม่ต่างจากฆ้อนปอนด์หนักๆ ทุบหัวใจของทุกผู้คน
ตอนแรกที่เฟิงลี่เฉินกล่าวว่านางเป็นเพียงสาวใช้เล็กๆ ยามนั้นทุกคนกำลังประหลาดใจ และตกใจมาก กระทั่งไม่มีผู้ใดสังเกตคำพูดนี้ หากแต่ตอนนี้ เมื่อเฟิงลี่เฉินกล่าวออกมาอีกครั้ง ก็เป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะเพิกเฉยได้
คนอื่นนั้นอาจเพียงแค่โกรธและตกใจไม่มีอารมณ์อื่นใดอีก เว้นแต่เฟยเฟยหยางผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เลือกที่จะเข้าข้างเทพธิดานั้น ยามนี้เขาได้แต่ยืนโง่งมไปแล้ว
เขาไม่คิดว่าเทพธิดาที่ครอบงำพวกเขามานานหลายปีเป็นเพียงหญิงรับใช้ของครอบครัวเล็ก ๆ เท่านั้นหรือ ?
ยิ่งไปกว่านั้นนางเป็นเพียงนางทาสราคาถูกที่เจ้าของเดิมขายทิ้ง เพราะไปยั่วยวนราชาเทพสวรรค์
ควรรู้ก่อนว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตำหนักเซียนพยับหมอกต้องอดทนกับนางเพียงใด ไม่เพียงแต่กลัวนางในฐานะเทพธิดาเท่านั้น ทว่ายังต้องการอาศัยเกาะนาง เพื่อเข้าสู่แดนสวรรค์อีกด้วย
เช่นนั้นสิ่งที่เฟิงลี่เฉินกล่าวมานั้น ย่อมมีผลต่อความรู้สึกของพวกเขาเป็นอย่างมาก ผู้อาวุโสบางคนอดไม่ได้ที่จะโกรธ และจ้องมองเทพธิดาด้วยสายตาขุ่นเคือง
”เจ้าเป็นเพียงหญิงรับใช้หรอกหรือ?”
เหวินหวู่เหว่ยก้าวถอยหลังไปสองก้าวเขามองเทพธิดาด้วยใบหน้าซีดเผือด เขาหลับตาลงอย่างเจ็บปวด ภาพตลอดหลายปีที่ผ่านมาพลันปรากฏขึ้นในใจ ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้นและหัวเราะร่า
เสียงหัวเราะนั้นบ้าคลั่งดังก้องไปทั่วท้องฟ้า
“แค่หญิงรับใช้ผู้หนึ่งในอาณาจักรสวรรค์สามารถชักจูงคนทั้งหมดในตำหนักเซียนพยับหมอกของข้าได้เพราะเจ้าทำให้ข้าทำลายครอบครัวของบุตรชายข้า เพราะเจ้าทำให้หลานสาวของข้าต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ข้างนอก ! หยุนเฟิงต้องเจ็บป่วยมานานหลายปี ทั้งบุตรชายของข้าและภรรยาของข้าต้องตำหนิข้ามาเป็นเวลาหลายปี !”
ทุกอย่างเป็นเพราะนาง! มันเป็นความผิดของนางที่ทำให้ครอบครัวของเขาต้องแตกแยก ! มันเป็นเพราะนางอีกเช่นกันที่ทำให้บุตรสาวของไป๋ฉางเฟิ่งหายตัวไปนานหลายปี
***จบบทต้อนรับหมู่สัตว์อสูร (6)***