จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1016 -1020
บทที่ 1016 : พัฒนาการอันน่าทึ่ง (1)
ครั้นฉู่อีอี้เห็นการแสดงออกของบิดาริมฝีปากของนางก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกสองสามครั้ง
ไม่น่าเลยไม่น่าเชื่อพ่อเลย หากการตัดสินใจครั้งนี้ผิดพลาดแล้วล่ะก็ เกาะศักดิ์สิทธิ์จะต้องนองเลือดอย่างแน่นอน …
“ท่านประมุขฉู่ท่านรู้สึกอะไรบ้างหรือไม่ ?”
ในตอนนี้เสียงของไป๋ฉางเฟิ่งดังเข้าหูเขา
ไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้วการแสดงออกของเขายังคงสง่างาม อาภรณ์สีขาวของเขากระพือพัดขึ้นเบา ๆ ดูราวกับเทพเซียน กลิ่นอายน่าเคารพพลุ่งพล่านออกมา
ฉู่หรานตกใจเขาหันไปมองชายชราที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเงียบงันไปชั่วขณะ
ไม่นานต่อมารูม่านตาของเขาก็หดรัดอย่างงงงวย แววตาของเขาฉายประกายแห่งความประหลาดใจ
“นี่มัน… เหตุใดพลังของเกาะศักดิ์สิทธิ์ถึงแข็งแกร่งขึ้นเพียงนี้ได้ ?” สายตาฉู่หรานเต็มไปด้วยความว่างเปล่าราวกับ เขาไม่รู้ว่าสถานการณ์นี้เกิดได้อย่างไร ?
เพราะก่อนนี้เขาเอาแต่เป็นกังวลกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งภายนอกกำแพงเวท เช่นนั้นเขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงประหลาด ๆ นี้ ทว่าเมื่อเขาได้ยินคำกล่าวของไป๋ฉางเฟิ่ง เขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าพลังของเกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ค่อย ๆ เพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
กระทั่งมาถึงจุดที่น่าตกใจ
”เร็ว!เข้าสมาธิกันเร็ว !”
หลังจากที่ฉู่หรานคลายความตกใจลงเขาก็ออกคำสั่งทันที
การเปลี่ยนแปลงของพลังลมปราณนี้ต้องมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับการที่ไป๋หยานเข้าสู่แดนปาฏิหาริย์ หากแต่เขาไม่รู้ว่าพลังนี้จะคงอยู่ได้นานเพียงใด เช่นนั้นเขาจึงเร่งรีบอาศัยโอกาสนี้ฝึกฝน
หลังจากกล่าวจบฉู่หรานก็ลงนั่งสมาธิ เขาสังเกตเห็นว่ามีพลังไหลเข้าสู่ร่างของเขาอย่างช้า ๆ ช่วยบำรุงเส้นลมปราณของเขา
ครั้นเห็นฉู่หรานเริ่มฝึกคนอื่น ๆ ก็รีบลงนั่งขัดสมาธิ และผสานพลังลมปราณที่ลอยอยู่กลางอากาศเข้าสู่ร่างกายของพวกเขา
พลังลมปราณเหล่านี้ไหลออกมาอย่างต่อเนื่องให้พวกเขาได้ดูดซับราวไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนต่างก็ฝึกฝนอย่างเต็มที่ และไม่ยอมอ่อนแอกว่าคนอื่น ๆ
กลุ่มคนที่โจมตีอยู่ภายนอกต่างก็หยุดการเคลื่อนไหวพวกเขามองดูผู้คนซึ่งจู่ ๆ ก็ลงนั่งขัดสมาธิเพื่อฝึกฝนบนเกาะศักดิ์สิทธิ์โดยไม่ทราบสาเหตุ
”คนพวกนี้… เป็นบ้าไปแล้วหรือไง ? ฮ่าฮ่าฮ่า !” เหอลู่หัวเราะร่า เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยอาการถากถาง และเยาะเย้ย “ต้องรับมือกับระดับเทพแห่งอาณาจักรวิญญาณเรา พวกมันยังคิดจะมาฝึกฝนกันในตอนนี้ ไม่สายเกินไปหน่อยหรือ ? ดู ๆ ไปสงสัยจะสวดภาวนาขอพรกันเสียมากกว่าที่จะฝึก แต่ทำไปก็เปล่าประโยชน์”
ฟิ้ว!
ครั้นคำกล่าวของเหอลู่จบลงพายุก็ก่อตัวขึ้นภายในกำแพงเวท ทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้าง
การสวดภาวนาต่อพระพุทธองค์ก็สามารถทำให้ก้าวหน้าขึ้นได้หรือนี่? เช่นนี้จะไม่พัฒนาง่ายไปหน่อยหรือ ?
ทว่าฉากต่อมากลับทำให้ทุกคนตื่นตะลึง
เกิดพายุรวมตัวรังสีแสงนับไม่ถ้วนพลันเปล่งประกาย จากกลางกระหม่อมของผู้คนเหล่านั้นทีละคน ทีละคน จนกระทั่งท้องฟ้าทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยแสง
“เกิดอะไรขึ้น?” ใบหน้าของอาวุโสหยวนเคร่งเครียด เขาจ้องมองผู้คนที่อยู่บนเกาะกลางทะเลสาบด้วยแววตาดุดัน จังหวะหายใจของเขาไม่คงที่อีกต่อไป มันถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย
หากคนๆ หนึ่งทะลุขึ้นไปอีกระดับได้อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ ทว่าเหตุใดคนหลายคนถึงทะลุขึ้นไปอีกระดับได้ในเวลาเดียวกัน ? ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ยังมีไพ่อื่นอีกกระนั้นหรือ ?
ผู้คนบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ปิดกั้นเสียงรบกวนและการกระทำต่าง ๆ จากโลกภายนอก พวกเขาทั้งหมดลงนั่งขัดสมาธิบนพื้น ฝึกฝนกันอย่างเร่งด่วน
แม้กำแพงเวทของเกาะศักดิ์สิทธิ์จะสั่นสะท้านภายใต้การโจมตีของผู้คนเหล่านั้น ทว่าพวกเขาก็ยังคงนั่งนิ่งไม่ต่างจากภูเขาที่ไม่อาจมีสิ่งใดสั่นคลอนได้
ไป๋ฉางเฟิ่งลืมตาขึ้นทันใดนั้นพายุที่อยู่เหนือศีรษะของเขาก็เกิดขึ้น พร้อมกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นราวกับพายุอันรุนแรง
นับตั้งแต่ได้รับแก่นแท้สัตว์อสูรจากไป๋หยานในวันนั้นเขาก็ก้าวเข้าถึงระดับตี้เจี่ยขั้นสูง ด้วยแก่นแท้สัตว์อสูรเหล่านั้น ทำให้เขาอยู่ห่างจากระดับเชิงเจี่ยเพียงหนึ่งก้าวเท่านั้น
บทที่ 1017 : พัฒนาการอันน่าทึ่ง (2)
ทว่าตอนนี้…
จากการฝึกฝนในเกาะศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ทำให้เขาสามารถก้าวเข้าถึงระดับเชิงเจี่ยได้โดยตรง ซึ่งเขาไม่เคยก้าวข้ามขึ้นสู่อีกระดับได้ไวถึงเพียงนี้มาก่อน
ฉู่หรานและเหวินหวู่เหว่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเมื่อเห็นไป๋ฉางเฟิ่งฝ่าเข้าถึงระดับเชิงเจี่ย
ควรรู้ก่อนว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาทั้งสามนั้นเท่ากัน ทว่าตอนนี้ไป๋ฉางเฟิ่งกลับก้าวเข้าถึงระดับเชิงเจี่ยก่อนผู้ใด ทำให้ทิ้งระยะห่างไกลจากพวกเขามาก สิ่งนี้จะให้พวกเขายินดีได้อย่างไร ? พวกเขาทำได้เพียงไล่ตามไป๋ฉางเฟิ่งด้วยกำลังทั้งหมดที่มี …
เหอลู่มองผู้คนบนเกาะศักดิ์สิทธิ์ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวไข่ห่าน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “ผู้อาวุโสหยวน…ผู้คนเหล่านี้กำลังสนทนากันถึงพัฒนาการในวันนี้กระนั้นหรือ ? มีคนที่สามารถก้าวเข้าถึงระดับเชิงเจี่ยได้เลย ก็แล้วเหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงไม่สามารถผ่านได้เล่า ? เหตุใดการพัฒนาถึงเกิดขึ้นพร้อม ๆ กันหมด …?”
นี่มัน… ไม่น่าเชื่อเลย มันเหลือเชื่อมาก
และเมื่อคำกล่าวของเหอลู่จบลงฉู่หรานและเหวินหวู่เหว่ยก็ทะลุทะลวงพร้อม ๆ กัน พายุใหญ่พลันปรากฏขึ้นท่ามกลางท้องฟ้าที่ว่างเปล่า เกิดปรากฏการณ์ทั้งฟ้าผ่าและฟ้าร้องจนน่าตกใจ
“นายน้อยหากข้าเดาไม่ผิดมีใครบางคนได้รับปาฏิหาริย์แล้ว” อาวุโสหยวนรู้สึกตัวจากอาการตื่นตกใจ พลางกล่าวพึมพำ “และความก้าวหน้าของพวกเขาก็เกิดจากปาฏิหาริย์นั้นเช่นกัน”
เหอลู่สะดุ้งความโกรธฉายวาบในดวงตาของเขา “ผู้ใดกันกล้าแย่งปาฏิหาริย์นี้ไป ? กล้ากระทำการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากข้า”
เจ้าแดนวิญญาณไม่ได้ประกาศข่าวเรื่องปาฏิหาริย์ทว่า … เหอลู่และพวกของเขามาที่นี่ ก็เพื่อตามหาปาฏิหาริย์ดังกล่าว เช่นนั้นเจ้าแดนวิญญาณย่อมต้องบอกความจริงกับพวกเขาเป็นธรรมดา
ไม่คาดคิดเลยว่าจะมีคนพบปาฏิหาริย์เสียก่อนทว่านอกจากพวกเขาแล้ว ใครกันที่รู้เกี่ยวกับปาฏิหาริย์นี้ ?
อาวุโสหยวนมองดูกลุ่มคนที่ค่อยๆ ก้าวข้ามผ่านระดับมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างเจ็บปวดเล็กน้อย เขาไม่อาจสงบนิ่งเช่นเคย เขาเอ่ยกล่าวด้วยความปวดใจ
“ใช้ปาฏิหารย์กับขยะพวกนี้ช่างน่าเสียดายไร้ค่า ไร้ค่ายิ่งนัก ! หากการพัฒนาของพวกเขาเกิดจากปาฏิหาริย์ นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่มีคนก้าวข้ามผ่านแต่ละระดับ พลังของปาฏิหาริย์ก็จะลดทอนลง ปาฏิหาริย์นี้จะมีประโยชน์มากกว่า หากมันตกอยู่ในมือของอาณาจักรวิญญาณ การถูกคนกลุ่มนี้ใช้เป็นเพียงเรื่องสูญเปล่าโดยแท้ !”
ความหมายก็คือสิ่งดีๆ เช่นนี้ อาณาจักรวิญญาณเท่านั้นที่คู่ควร ตรงกันข้าม หากเป็นคนอื่นก็ถือว่าสมบัติชิ้นนี้กลายเป็นขยะไร้ค่าอย่างมาก !
”กล่าวให้มากความจะมีประโยชน์ใด”เหอลู่รู้สึกทุกข์ใจมากกว่าอาวุโสหยวนเสียอีก เขากัดฟัน “รีบทำลายกำแพงเวทและสังหารทุกคนที่ได้รับปาฏิหาริย์ซะ !”
ไม่ช้าก็เร็วอาณาจักรวิญญาณจะต้องตกเป็นของเขาหากพลังปาฏิหาริย์ถูกใช้กับบุคคลที่อยู่ในอาณาจักรวิญญาณ อำนาจของเขาจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ทว่าตอนนี้… กลับถูกมดปลวกพวกนี้ดูดซับไป
สิ่งนี้จะไม่ทำให้เหอลู่โกรธได้อย่างไร?
ปัง!
ภายใต้การรวมพลังของยอดฝีมือระดับเทพหลายคนกำแพงเวทก็เริ่มเกิดรอยปริเล็กน้อย จากรอยปริเล็ก ๆ ก็เริ่มขยายใหญ่ขึ้น ทำให้คนอาณาจักรวิญญาณมองเห็นความหวัง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข
”หากเป็นเมื่อหลายร้อยปีก่อนเราอาจไม่สามารถทำลายกำแพงเวทนี่ได้ ทว่าน่าเสียดายที่กำแพงเวทนี่ก่อตัวมานาน กระทั่งลดระดับความแข็งแกร่งลงไปมาก เพียงแค่เราทุกคนร่วมมือกันโจมตี ที่สุดกำแพงเวทก็จะพังทลายลงไปเอง”
อาวุโสหยวนลูบเคราสีขาวราวกับหิมะของตนพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า เขารวบรวมพลังไว้ที่กำปั้นเป็นชั้นพลัง ก่อนจะกระแทกเข้ากับกำแพงเวท
รอยปริเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต่างจากแก้วร้าว ราวกับว่าอีกเพียงไม่นานมันจะแตกสลายไปในบัดดล
“ประมุขฉู่”
ไป๋ฉางเฟิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อยเอ่ยกล่าวด้วยเสียงต่ำ “ข้าคิดว่ากำแพงเวทนี้คงจะต้านรับไว้ได้อีกไม่นาน ท่านพอมีวิธีอื่นบ้างหรือไม่ ? … ”
ฉู่หรานยิ้มอย่างขมขื่นพลางส่ายศีรษะ “กำแพงเวทนี่ ถือเป็นไพ่ใบสุดท้ายแล้ว นอกจากนี้ข้าก็ไม่มีวิธีใดอีก”
บทที่ 1018 : พัฒนาการอันน่าทึ่ง (3)
ได้ยินเช่นนั้นสีหน้าของเหวินหวู่เหว่ยก็ดูไม่ค่อยดีนัก เขาจ้องมองฉู่หราน “หากข้ารู้ว่าค่ายกลของเจ้าไร้ประโยชน์ ข้าจะไม่ปล่อยให้ไปรับตระกูลหลานมา ให้พวกเขาไปที่ป่าสัตว์อสูรดูจะปลอดภัยกว่า หากตระกูลหลานเป็นอะไรไปด้วยความผิดพลาดของพวกเรา เจ้าจะให้ข้าอธิบายกับหยานเอ๋ออย่างไร ?”
เหวินหยุนเฟิงไม่ได้กล่าวคำใดทว่าแววตาของเขาเปลี่ยนเป็นดุร้าย เขาเงยหน้าขึ้นมองศัตรูที่ทรงพลังซึ่งอยู่ภายนอก ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาพลันเคร่งขรึมลง
เขาจะตายในสถานที่แห่งนี้ก่อนที่เขาจะพบหนิงเอ๋อได้อย่างไร ?
อย่างน้อยก่อนหนิงเอ๋อจะกลับมา… เขาต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรอนาง !
ณขณะนี้…
เสียงเสือคำรามดังก้องมาจากเชิงเขาของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
เสียงนั้นทรงพลังและน่ากลัวมากกระทั่งทุกคนไม่สามารถควบคุมจิตใจไม่ให้สั่นไหวได้ พวกเขาต่างมองหาที่มาของเสียงว่ามาจากที่ใด ?
เบื้องหน้าเต็มไปด้วยเมฆควันและฝุ่นฟุ้งกระจาย ภายใต้ผงฝุ่นที่ปลิวว่อน พยัคฆ์ขาวสง่างามยืนตระหง่านท่ามกลางฝุ่นตลบ
ขนของมันเปล่งประกายร่างโปร่งแสงเป็นสีขาวทั้งตัว และดั่งมีคำว่า “ราชา” สลักไว้บนหน้าผากของมัน ช่างเต็มไปด้วยความทรนงองอาจและทรงพลัง
ด้านหลังของพยัคฆ์ขาวตัวนี้มีหญิงสาวสวยยืนอยู่นัยน์ตากลมโตของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่ามันสามารถพูดได้
ก่อนที่ทุกคนจะหายจากอาการตกตะลึงพวกเขาก็เห็นว่าด้านหลังพยัคฆ์ขาวมีสัตว์อสูรนับพันติดตามมา กระทั่งต้นไม้ใบหญ้าล้มกันระเนระนาดราบเป็นหน้ากลอง
เหอลู่ตัวสั่นด้วยความตกใจเขามองดูสัตว์ร้ายที่เดินมาท่ามกลางฝุ่นตลบจากระยะไกล ๆ พลางกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “อาวุโสหยวน…นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?”
แม้ว่าปากเหอลู่จะพร่ำพูดว่าเขาไม่กลัวแดนอสูรแต่หลังจากได้เห็นพยัคฆ์ขาวที่องอาจและทรงพลังแล้ว เขาก็ตกตะลึงใบหน้าของเขาซีดเซียวทันที
แค่นี้ยังไม่พอ
ราวกับสวรรค์จะคิดว่าคนเหล่านี้ยังไม่หวาดกลัวพอ ยังมีมังกรอีกตัวหนึ่งส่งเสียงคำรามก้องอยู่บนท้องฟ้า จากนั้นมังกรสีเขียวที่สวยงามก็บินวนไปมา ราวกับแหวกว่ายน้ำกลางอากาศ
ลำตัวของมันเรียวยาวแม้จะไม่ใหญ่โตมากนักแต่ถึงกระนั้นภายใต้ดวงตาบางเฉียบ และละเอียดอ่อนของมังกรเขียวตัวนี้ ก็ทำให้ผู้คนตัวสั่นด้วยความตื่นตระหนก และหวาดกลัวอย่างไม่อาจพรรณนาได้
มังกรยักษ์หลายร้อยตัวบินตามหลังชิงหลงมาพลันท้องฟ้าก็มีเมฆครอบคลุมดำทะมึน ราวกับว่าสายฝนกำลังจะกระหน่ำเทลงมา
“ตี้เสี่ยวอวิ๋น!”
ฉู่อีอี้เห็นตี้เสี่ยวอวิ๋นนั่งอยู่บนหลังพยัคฆ์ขาวได้อย่างรวดเร็วนางลุกขึ้นยืนด้วยความประหลาดใจ พลางคว้าแขนเสื้อของฉู่หราน พร้อมกับอุทานอย่างตื่นเต้น
“ท่านพ่อรีบถอนกำแพงเวทออกซะ”
ฉู่หรานรู้สึกสับสนเล็กน้อย”นี่เจ้ารู้จักนางด้วยงั้นหรือ ?”
”ตี้เสี่ยวอวิ๋นเป็นน้องสาวของตี้คัง”
ฉู่หรานนิ่งเงียบ
ตี้คังคือ…?
ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่รู้จักตัวตนของตี้คังมาก่อนทว่าในวันที่ตี้คังพาสัตว์อสูรไปที่ตำหนักเซียนพยับหมอก เพื่อพบไป๋หยาน ตัวตนของเขาก็ถูกเปิดเผย
คนของเขามาจากแดนอสูร! แม้ว่าแดนอสูรจะหายไปจากโลกนี้เป็นเวลาหลายปี ทว่าทุกคนก็มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า สัตว์อสูรนั้นทรงพลังเพียงใด
ทันทีที่เขาได้ยินว่าบุคคลเหล่านั้นมาจากแดนอสูร ฉู่หรานก็ดีใจมาก พลางร้องตะโกนออกมาทันทีว่า “เร็ว ๆ ออกไปจากกำแพงเวทนี่กัน”
ในที่สุด…การช่วยเหลือที่เขารอคอยก็มาถึง !
ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้จบลงกำแพงเวทที่มีแต่เดิมรอบเกาะศักดิ์สิทธิ์พลันถูกถอดถอน ทว่าหลังจากที่กำแพงเวทถูกถอดถอนไปแล้ว พลังลมปราณที่แข็งแกร่งก็ยังไม่กระจายหายไป มันยังรวมตัวอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น
”โฮก…”
พยัคฆ์ขาวส่งเสียงคำรามดังลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าหาฉู่อีอี้อย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวของเขาทำให้ใบหน้าเล็ก ๆ ของ ฉู่อีอี้ซีดเผือด นางมองพยัคฆ์ขาวที่ดุร้ายด้วยความหวาดกลัว นางไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว ได้แต่ยืนนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น
”อีอี้ระวัง!”
ฉู่หรานตกใจมาก
บทที่ 1019 : พัฒนาการอันน่าทึ่ง (4)
พยัคฆ์ขาวนั่นอยู่ห่างจากฉู่อีอี้เพียงนิดเดียวเท่านั้นสายเกินกว่าที่นางจะวิ่งหลบหนี พยัคฆ์ขาวว่องไวมาก เพียงพริบตามันก็เข้าถึงตัวฉู่อีอี้
ฉู่อีอี้กลัวมากกระทั่งเกือบจะร้องไห้นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสัตว์อสูรตัวนี้ เหตุใดมันถึงโจมตีนาง ?
กระทั่งนางรู้สึกอุ่นๆ บนใบหน้า นั่นทำให้ดวงตางงงวยของนางเปลี่ยนไป …
”เจ้า…”
นางกระพริบตาด้วยความประหลาดใจขณะมองพยัคฆ์ขาวที่กำลังกระดิกหางเบื้องหน้า จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าที่มันเลียด้วยอาการตกตะลึงเล็กน้อย
“เจ้าคือ… เสี่ยวมี่หรือ ?”
ฉู่อีอี้จ้องมองพยัคฆ์ขาวอยู่เป็นนานก่อนจะตระหนักได้ว่าที่แท้พยัคฆ์ขาวตัวนี้ก็คือเสี่ยวมี่นั่นเอง ทว่ามันตัวใหญ่กว่าเสี่ยวมี่เกินสิบเท่า ทั้งมันก็ไม่ได้น่ารักน่าเอ็นดูเหมือนเสี่ยวมี่อีกด้วย
เมื่อครู่นางเอาแต่หวาดกลัวกับความดุร้ายของพยัคฆ์ขาวเช่นนั้นนางจึงไม่อาจค้นพบตัวตนแท้จริงของพยัคฆ์ขาวนี่ …
เสี่ยวมี่ส่ายหาง”ตอนนี้ข้าโตแล้ว แน่นอนว่าท่านย่อมจำข้าไม่ได้ แล้วนายหญิงของข้าล่ะ เหตุใดนางไม่อยู่ที่นี่ ข้าคิดถึงนางจะตายแล้ว”
เสี่ยวมี่?
ชั่วขณะนี้สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องไปที่ร่างอันใหญ่โตและทรงอำนาจของเสี่ยวมี่
ฉู่หรานเอ่ยถามด้วยความตกใจ”เสือตัวโตนี่คือเสี่ยวมี่งั้นหรือ ? ข้าไม่ได้เจอมันสองสามเดือนเอง เหตุใดมันจึงได้โตถึงเพียงนี้ ?”
ปากของเสี่ยวมี่ยกโค้งมันสะบัดหัวอย่างภาคภูมิใจ “นั่นเป็นเพราะความแข็งแกร่งของข้าพัฒนาขึ้น ด้วยเหตุนี้ขนาดตัวของข้าก็ย่อมโตขึ้นเป็นธรรมดา ตามที่ข้าควรจะเป็นจริง ๆ ”
ฉู่อีอี้แตะหัวของเสี่ยวมี่พลางถอนหายใจ “ยังคงเป็นเสี่ยวมี่ตัวเล็กที่น่ารักเหมือนเคย ทว่ารูปลักษณ์ของเจ้ายามนี้น่ากลัวเกินไป … ”
”น่ากลัวแต่ก็สามารถปกป้องเจ้านายของข้าได้ดีกว่าข้าเกรงว่าจะมีหญิงแพศยาที่มีตาแต่หามีแววไม่ มาทำให้เจ้านายของข้าเดือดร้อน”
เสี่ยวมี่ตะคอกพลางรู้สึกโกรธ เมื่อหวนคิดได้ว่ามักมีหญิงแพศยามาคอยสร้างปัญหาให้กับนายของมัน
หากมิใช่เพราะสตรีเผ่าอสรพิษนายหญิงก็คงไม่เข้าใจราชาอสูรผิด ทั้งนายน้อยก็จะไม่ต้องรับบาดเจ็บ …
”หลานเสี่ยวหยุน…อยู่ที่นี่ด้วยหรือ?” ครั้นตี้เสี่ยวอวิ๋นแลเห็นหลานเสี่ยวหยุน ท่ามกลางฝูงชนแววตาของนางพลันสว่างไสวขึ้น นางวิ่งเข้ามาหา พร้อมกับรอยยิ้ม จากนั้นก็ตบไหล่สหายของนาง “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
เป็นเวลานานมากแล้วนับจากพวกนางออกจากสำนักเวชโอสถในวันนั้นพวกนางก็ไม่เคยพบหน้าพร้อมกันทั้งสามคนอีกเลย
”เจ้าก็เป็นสัตว์อสูรงั้นหรือ?” หลานเสี่ยวหยุนเบิกตากว้างอย่างสงสัย ขณะมองตี้เสี่ยวอวิ๋น
ไม่น่าแปลกใจเลยที่สัตว์อสูรทุกตัวเชื่อฟังไป๋เสี่ยวเฉินปรากฏว่าพี่ชายของตี้เสี่ยวอวิ๋นเป็นราชาของแดนอสูร …
เช่นนี้พี่ไป๋หยานก็ไม่ต้องถูกรังแกอีกต่อไป
ดีจังเลย…
“หากข้าเดาไม่ผิดนี่น่าจะเป็นองค์หญิงแห่งแดนอสูรใช่หรือไม่ ?” อาวุโสหยวนเอ่ยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าชราของเขา
ตี้เสี่ยวอวิ๋นตะคอก”ตาแก่ พวกเจ้าช่างกล้าหาญชาญชัยเสียจริง กล้ามาสร้างปัญหากับเครือญาติของพี่สะใภ้ข้า รอให้พี่ชายของข้ามาก่อนเถิด เขาจะต้องถล่มแดนวิญญาณของเจ้าเละอย่างแน่นอน”
สีหน้าของอาวุโสหยวนเปลี่ยนไปน้ำเสียงของหญิงสาวนั้นฟังดูหยาบคายเสียเหลือเกิน ทว่านางก็เป็นถึงองค์หญิงแห่งอาณาจักรอสูร แม้ว่าจะไม่พอใจมากเพียงใด อาวุโสหยวนมีหรือจะกล้าต่อต้านอาณาจักรอสูรอย่างโจ่งแจ้ง
”องค์หญิง…นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิด … ”
อาวุโสหยวนพยายามหาข้อแก้ตัวทว่าผู้ใดจะรู้ว่าเหอลู่กลับรู้สึกหงุดหงิดกับน้ำเสียงของตี้เสี่ยวอวิ๋น กระทั่งลืมความหวาดกลัวที่เขามีเมื่อครู่นี้สิ้น เขาตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาล
”เป็นเพียงองค์หญิงจากอาณาจักรอสูรกล้าแสดงทีท่ายโสโอหังต่อหน้านายน้อย ! หากอาณาจักรอสูรของเจ้ากล้าโจมตีอาณาจักรวิญญาณของเรา อาณาจักรวิญญาณของเราก็จะเข้าร่วมกับอาณาจักรสวรรค์ เพื่อที่จะโจมตีอาณาจักรอสูรของเจ้ากลับ เมื่อนั้นพวกเจ้านั่นแหละที่จะถูกถล่มเละเป็นโจ๊ก !”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเกรี้ยวนางกัดฟันด้วยความโมโห “เสี่ยวมี่ ฆ่าเขาซะ !”
บทที่ 1020 : พัฒนาการอันน่าทึ่ง (5)
ถึงแม้ร่างของเสี่ยวมี่อาจจะดูใหญ่โตเทอะทะทว่าทันทีที่ถ้อยคำของตี้เสี่ยวอวิ๋นจบลง ร่างของเขาก็เปลี่ยนเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าหาเหอลู่อย่างรวดเร็ว
อาวุโสหยวนตกใจแม้ว่าเขาจะไม่ชอบนายน้อยคนนี้นัก ทว่าชายผู้นี้ก็เป็นบุตรชายคนเดียวของเจ้าแดนวิญญาณ เช่นนั้นอาวุโสหยวนจึงรีบก้าวออกไปยืนขวางหน้านายน้อยของเขาทันที
งั่ม!
ฟันอันแหลมคมของเสี่ยวมี่กัดลงบนไหล่ของอาวุโสหยวนอย่างรวดเร็วทันใดนั้นเลือดก็ไหลรินออกมาเปื้อนเสื้อผ้าด้านหน้าของเขา
“สัตว์อสูรระดับเทพ?” อาวุโสหยวนตกใจ สัตว์อสูรตัวนี้เป็นสัตว์อสูรระดับเทพจริงกระนั้นหรือ ?
ทั้งยังมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเขา
”ผู้อาวุโส…ไม่ว่าพยัคฆ์ขาวตัวนี้จะแข็งแกร่งเพียงใดก็มีมันเพียงตัวเดียว ทว่าอาณาจักรวิญญาณของเรามีคนระดับเทพมากกว่าหนึ่ง จะเป็นไปได้หรือที่ว่าเราจะไม่ชนะน่ะ ?”
เหอลู่…หัวเราะเยาะเย้ยเสี่ยวมี่ที่ยังเกรี้ยวกราด
มังกรเขียวบนท้องฟ้าส่งเสียงกรรโชกขึ้นอีกครั้งจากนั้นร่างมังกรเรียวยาวของนางก็ค่อย ๆ เปลี่ยนสภาพเป็นสาวสวยก้าวลงมาจากท้องฟ้า
เหอลู่รู้สึกว่าอากาศควบแน่นทีละน้อยๆ ในทุกย่างก้าวของนาง ใบหน้าของเขายิ่งแลดูน่าเกลียดมาก
“เจ้าคิดผิดแล้วในบรรดาสัตว์อสูรของเราไม่ใช่มีเพียงแค่..พยัคฆ์ขาวเท่านั้นที่บุกเข้าสู่ระดับเทพได้ ข้าเองก็เพิ่งทะลุสู่ระดับเทพก่อนมาที่แผ่นดินใหญ่นี่…”
หญิงสาวผู้นั้นยิ้มน้อยๆ ทว่าแววตาของนางขณะมองมาที่เหอลู่กลับโดดเด่น และแน่วแน่มาก
”สำหรับจำนวนคนที่เจ้าพูดว่าน้อยกว่าพวกเจ้านั้น… ” หญิงผู้นั้นยกริมฝีปากขึ้นอย่างเฉยเมย “สัตว์อสูรของข้ามีกองทัพนับหมื่น จะแพ้พวกเจ้าที่มีคนเพียงนับร้อยกระนั้นรึ ?”
เหอลู่หรี่ตาลงเล็กน้อยเขาไม่คาดคิดว่ามังกรนางนี้ก็จัดอยู่ในระดับเทพด้วย
ทว่า…
แม้แต่มังกรก็ยังอยู่ในระดับเทพกระนั้นรึ?
ทว่าอย่างไรเสียยอดฝีมือระดับเทพที่เขานำมาด้วยก็มีตั้งห้าคน!
“ผู้อาวุโส…ในเมื่ออาณาจักรอสูรสร้างความขุ่นเคืองให้กับพวกเราเช่นนั้นเราควรเดินหน้าต่อไป สังหารพวกมันให้สิ้นซาก ! หลังจากจัดการคนเหล่านี้แล้ว เราค่อยไปเข้าร่วมกับอาณาจักรสวรรค์ เชื่อว่า… อาณาจักรสวรรค์ย่อมสามารถต่อสู้กับอาณาจักรอสูรได้อย่างแน่นอน ?”
เดิมทีอาณาจักรอสูรนี้เคยเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับอาณาจักรสวรรค์ทั้งก็ล่มสลายไปนานนับพันปีแล้ว จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของอาณาจักรสวรรค์ …
เช่นนั้นนี่คือเหตุที่เหอลู่ยังกล้า…
อาวุโสหยวนถอนหายใจเบาๆ “ดูเหมือนว่านี่จะเป็นทางเดียวที่เราสามารถทำได้ องค์หญิงน้อยแห่งแดนอสูรอย่าตำหนิพวกเราที่โหดเหี้ยม ! หากจะตำหนิ ท่านก็ควรตำหนิตนเองที่รนหาเรื่อง”
“โฮก!”
เสี่ยวมี่คำรามด้วยความโกรธ”อย่ามัวกล่าววาจาไร้สาระกับข้า แม้ว่าวันนี้เจ้าจะไม่ลงมือ อย่างไรเสียข้าก็จะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ อยู่ดี !”
ทันทีที่สิ้นเสียงกรงเล็บของมันก็ตะปบเข้าใส่อาวุโสหยวน
อาวุโสหยวนรีบยกดาบขึ้นต้านรับทว่ากรงเล็บของมันแข็งกล้ายิ่งกว่าเหล็กนิล คมดาบมิอาจทำร้ายมันได้
ความแข็งแกร่งของเสี่ยวมี่นั้นยอดเยี่ยมมากกระทั่งอาวุโสหยวนแทบจะรับมือไม่ไหว โชคดีที่สหายข้าง ๆ เขามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว สหายของเขาเคลื่อนตัวเข้าไปจู่โจมเสี่ยวมี่อย่างทันท่วงที
ครั้นชิงอี้เห็นว่ามีคนพุ่งเข้าหาเสี่ยวมี่นางก็ชักดาบสีเขียวที่เอวขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นนางก็พุ่งเข้าไปหาคนระดับเทพเหล่านั้น
ทว่านางเพิ่งทะลวงผ่านระดับเทพได้เพียงไม่นาน เช่นนั้นจึงเป็นการยากที่จะจัดการยอดฝีมือระดับเทพหลาย ๆ คนในเวลาเดียวกัน นางกัดริมฝีปากบาง ๆ ของนางแน่น ขณะร่ายรำดาบสีเขียวในมือของตน
”เสี่ยวมี่ข้าไม่อาจรับมือคนพวกนี้ได้นานนัก เจ้ารีบจัดการตาเฒ่านั่น แล้วรีบมาช่วยข้าเร็วเข้า” ชิงอี้หันไปมองเสี่ยวมี่ที่อยู่ด้านหลังพลางขมวดคิ้ว
เสี่ยวมี่ย่อมไม่กล้าที่จะชักช้าอีกต่อไปกรงเล็บของเขาตะปบใส่อาวุโสหยวนอย่างแรง กระทั่งได้ยินเสียงดาบของอาวุโสหยวนขาดออกเป็นสองส่วน และปลายดาบด้านหนึ่งตกลงสู่พื้นเสียงดังฟังชัด