จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1056-1060
บทที่ 1056 : แผนการของซางหยู (4)
ยามนี้บนยอดหุบเขาไม่ไกลจากเมืองสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่บนยอดเขาลมพัดอาภรณ์สีแดงของนางสะบัดพลิ้ว ท่าทีของนางแลดูเฉยเมย นางทอดตามองชุมชนแออัดในเมืองที่อยู่ไม่ไกลนัก
”ดินแดนลับแห่งนี้แลดูไม่ต่างจากโลกภายนอกหากแต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เฉินเอ๋ออยู่ที่ใดกัน ? … ”
นางคลายคิ้วที่ขมวดมุ่นพลางกระโดดลงจากยอดเขา อาภรณ์สีแดงพาดผ่านท้องฟ้าลงมาจากยอดหุบเขา เพียงพริบตาก็ถึงเชิงเขา
จากนั้นไป๋หยานก็มุ่งหน้าเข้าตัวเมือง
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นในเผ่าเวหา บุรุษผู้หนึ่งหย่อนกายลงนั่งบนที่นั่งสูง นัยน์ตาทรงอำนาจทอดมองผู้คนซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่
”พวกเจ้าพบเบาะแสขององค์ชายหรือยัง?”
”กราบทูลองค์ราชากระหม่อมได้ส่งคนออกค้นหาสถานที่ใกล้เคียงทั้งหมด แล้ว ทว่ากลับไม่พบองค์ชายเลย”
ทหารองครักษ์ก้มศีรษะลงต่ำกล่าวตอบเสียงสั่น ๆ
กลิ่นอายของตี้คังเย็นลงเรื่อยๆ แผ่กระจายสาดซัดไปมาไม่ต่างจากคลื่นขนาดมหึมา
ชั่วขณะนั้นเองร่างหนึ่งก็รีบร้อนเดินผ่านประตูเข้ามา เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าตี้คัง “องค์ราชา…กระหม่อมได้รับจดหมายดูเหมือนว่าจะเป็นของพระองค์”
”ส่งมาให้ข้า”
เสียงของตี้คังทั้งทุ้มต่ำทั้งเย็นชา
”พ่ะย่ะค่ะ”
องครักษ์รีบลุกขึ้นยืนพลางยื่นจดหมายในมือส่งให้ตี้คัง
ตี้คังยกมือขึ้นคว้าจดหมายมาเปิดดูทันทีที่เขาเห็นเนื้อหาในจดหมายใบหน้าที่หล่อเหลางดงามของเขาพลันเย็นชาลงทันที
”ตามราชาผู้นี้ไปที่เมืองหลางทันที!”
ตี้คังลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างรวดเร็วส่งผลให้กระดาษจดหมายในมือร่วงหล่นจากมือเขา มันตกอยู่ในสายตาของกลุ่มองครักษ์
และชั่วขณะนี้…ทุกคนก็ได้อ่านเนื้อหาในจดหมายกันหมด…
”หากองค์ราชาทรงมีพระประสงค์ที่จะพบองค์ชายน้อยโปรดเสด็จมาที่เผ่าหมาป่าอสูร เพื่อพบกับซางหยู”
การแสดงออกของทุกคนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยองค์ชายน้อยอยู่ในเผ่าหมาป่าอสูรกระนั้นรึ ?
ทว่าทุกคนก็ไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้อีกเพราะตี้คังได้ผละจากเผ่าเวหาไปเสียแล้ว พวกเขาจึงรีบลุกขึ้นยืน และรีบเร่งติดตามอย่างรวดเร็ว
ครั้นตี้คังก้าวพ้นจากเผ่าเวหาเปลวเพลิงพลันลุกพรึ่บขึ้นภายในเผ่าเวหา เผาเผ่าเวหาทั้งเผ่าจนมอดไหม้ … ยามนี้เผ่าเวหาได้ถูกกำจัดจนสิ้นซาก
ณบ้านสกุลซาง
ไป๋เสี่ยวเฉินเอนกายลงพิงหัวเตียงนัยน์ตากลมโตของเขาจ้องนิ่ง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่
ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกมือเรียวงามของของตงฟางเฉียนผลักให้เปิดออกไป๋เสี่ยวเฉินหันหน้าไปมอง เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านประตูเข้ามา
มีรอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของนางทว่าในดวงตาที่สวยงามนั้นมีประกายแสงที่ไม่อาจเข้าใจได้
”เฉินเอ๋อ…เจ้าตื่นแล้วหรือ?” ตงฟางเฉียนก้าวช้า ๆ เข้าไปหาไป๋เสี่ยวเฉิน พลางเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แม่เตรียมขนมอบไว้ให้เจ้าแล้ว แม่เดาว่าเจ้าคงจะหิว ลองชิมดูสิ”
ไป๋เสี่ยวเฉินมองหญิงสาวก่อนจะค่อย ๆ เอื้อมมือเล็ก ๆ ไปหยิบขนม จากนั้นก็นำขนมมาจ่อปลายจมูก พลางสูดดม ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาผ่อนคลายลง
อืม…ไม่มีพิษ…
เขาหยิบขนมอบเข้าปากทว่าเพียงแค่กัด เขาก็อดไม่ได้ที่จะถ่มมันออกมา
”ไม่อร่อยไม่อร่อยเลย ใครทำของไม่อร่อยแบบนี้ให้ข้า เจ้าต้องการทำให้ข้าอ้วกใช่หรือไม่ ?”
ใบหน้าของตงฟางเฉียนแข็งกระด้างเด็กชายผู้นี้ไม่ชอบฝีมือทำขนมของนาง
นางรับประกันได้เลยว่าในเมืองหลางแห่งนี้ไม่มีผู้ใดมีฝีมือทำขนมดียิ่งไปกว่านางอีกแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นไป๋เสี่ยวเฉินยอมพูดออกมาบ้างในใจของนางก็มีความสุข
โชคดีที่เด็กคนนี้ไม่ได้เป็นใบ้…
”เฉินเอ๋อแม่ทำเองกับมือ เจ้าไม่ชอบหรือไร ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตาสองสามครั้งใบหน้าน่ารักสีชมพูของเขายกยิ้มสดใส นัยน์ตาที่แวววาวของเขาจับจ้องมองตงฟางเฉียน
บทที่ 1057 : แผนการของซางหยู (5)
“ท่านเป็นแม่ของเฉินเอ๋อจริงๆ หรือ ?”
หญิงสาวเม้มปาก”แน่นอน…หากข้าไม่ใช่แม่ของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงได้อยู่ในบ้านสกุลซางนี่ล่ะ ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินนึกในใจว่าเหตุใดข้าถึงมาที่นี่งั้นรึ ? ก็พวกเจ้าหลอกข้ามาเองไม่ใช่รึ ?
อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ แม้แต่น้อย เขายังคงมองตงฟางเฉียนด้วยนัยน์ตาที่มีหยาดน้ำตาใสเอ่อคลอ
”หากแต่…ในความทรงจำของเฉินเอ๋ออาหารอันโอชะของท่านแม่นั้นอร่อยมาก แม้แต่พ่อครัวในร้านอาหารอันดับหนึ่งของแผ่นดินใหญ่ยังเทียบนางไม่ได้…ทว่ารสชาติของขนมนี่ … ดูเหมือนจะแตกต่างจากที่เฉินเอ๋อเคยจำได้มากเลย”
ตงฟางเฉียนสะดุ้งพี่หยูบอกว่าเด็กคนนี้สูญเสียความทรงจำไปแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงยังมีความทรงจำในอดีตตกค้างอยู่อีกเล่า ?
โชคดีที่เขาจำได้เพียงฝีมือปรุงอาหารมิใช่จำได้ว่าราชินีอาณาจักรอสูรเป็นมารดาเขา
“อาจเป็นเพราะแม่ไม่ได้ทำอาหารมานานฝีมือก็เลยเป็นสนิมไป แม่ว่าแม่ควรจะไปอบขนมมาให้เฉินเอ๋อใหม่ดีหรือไม่ ?” ตงฟางเฉียนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
งานของนางก็คือการเอาอกเอาใจเจ้าหนูน้อยคนนี้และทำให้เขาเชื่อฟังพวกของนาง !
”อืม…”ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “เฉินเอ๋อ ชอบกิน ขาหมูตงโพ ไก่ขอทาน เต้าหู้มาโฝ และไก่ตุ๋นมะเขือยาว”
ตงฟางเฉียนแทบจะไม่สามารถฉีกยิ้มของนางได้อีกต่อไปนางเป็นเพียงหญิงสาวในเผ่าหมาป่าอสูรที่เรียนรู้วิธีทำอาหารง่าย ๆ ทว่าไม่เคยทำอาหารชั้นสูง แล้วนางจะทำอาหารประณีตละเอียดลออพวกนี้เป็นได้อย่างไร ?
ไก่ขอทาน? เต้าหู้มาโฝ ? อาหารแบบนี้คนอย่างนางจะทำได้อย่างไร ?
”เฉินเอ๋ออาหารเหล่านี้ธรรมดาเกินไปเจ้ากินอาหารที่อร่อย ๆ อย่างอื่นดีหรือไม่ ?” ตงฟางเฉียนพยายามอดทนกับเด็กชายคนนี้ ขณะเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
”โอ้!” ไป๋เสี่ยวเฉินพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นเฉินเอ๋อก็อยากกินเนื้อมังกร แต่ต้องเป็นมังกรที่มีชีวิตมานานกว่าพันปีนะ”
ตงฟางเฉียนแทบจะกระอักเลือดออกมา
เนื้อมังกรหรือ? เนื้อมังกรที่มีชีวิตมานานกว่าพันปี ? เหตุใดไม่กินบนสวรรค์เสียเลยเล่า?
“ยากไปงั้นหรือ?” ไป๋เสี่ยวเฉินขมวดคิ้ว เขาเขกหัวตนเองอย่างแรง เอ่ยกล่าวด้วยความสับสน “แต่เฉินเอ๋อเพิ่งฝัน เฉินเอ๋อฝันว่าแม่ของเฉินเอ๋อกำลังทำเนื้อมังกรให้เฉินเอ๋อกิน ทว่าแม้เฉินเอ๋อจะพยายามเพ่งสักเท่าไร เฉินเอ๋อก็ไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของท่านแม่ แต่เฉินเอ๋อรู้ว่านางเป็นแม่ของเฉินเอ๋อแน่ ๆ นางกำลังปรุงเนื้อมังกรให้เฉินเอ๋อกิน”
เนื้อมังกรงั้นรึ? ไป๋เสี่ยวเฉินไม่กินอาหารเช่นนี้อย่างแน่นอน สัตว์อสูรเหล่านั้นล้วนเป็นคนของเขา เขาจะกินพรรคพวกของเขาได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตามครั้นเห็นตงฟางเฉียนอยากจะโกรธ แต่ก็ไม่กล้า ทำให้หัวใจของไป๋เสี่ยวเฉินสดชื่นขึ้นมาก
ผู้ใดใช้ให้ไอ้พวกนี้มาปลอมเป็นหม่ามี้ของเขาทั้งยังกล้าหลอกลวงเขาอีกด้วย !
”เฉินเอ๋อที่นี่ไม่มีมังกรแล้ว” ตงฟางเฉียนกระพริบตาสองสามครั้ง นางพยายามสงบความโกรธภายในใจของตนลง พลางยกยิ้ม “มังกรเหล่านั้นแม่เคยให้เจ้ากินจนไม่เหลือแล้ว เช่นนั้นแม่จึงไม่มีทาง … ”
สีหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินแลดูตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดเขาเพียงพูดเล่น ๆ แต่นางมารที่สวมรอยเป็นแม่เขาคนนี้ ยังอ้างว่ามังกรทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ตัวเขาถูกเขากินหมดแล้วได้อีก ?
”งั้น… ” นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินเป็นประกายเล็กน้อย “งั้นก็ทำไก่ตุ๋นมาก็ได้ เฉินเอ๋ออยากให้ท่านกินพร้อมกับเฉินเอ๋อ”
”ได้สิ”ในที่สุด ตงฟางเฉียน ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกนางยิ้มเล็กน้อย “รอสักครู่นะ แม่จะรีบกลับมา”
หลังจากกล่าวจบตงฟางเฉียนก็รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะเกรงว่าไป๋เสี่ยวเฉินจะร้องขออะไรอีก …
ครั้นเห็นนางรีบจากไปอย่างขลาดๆ ไป๋เสี่ยวเฉินก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เขานั่งลงบนเก้าอี้ เพื่อรอซุปไก่ของตงฟางเฉียน
บทที่ 1058 : ปีศาจน้อยไป๋เสี่ยวเฉิน (1)
รอไม่นานนักตงฟางเฉียนก็เดินผ่านประตูเข้ามา พร้อมด้วยซุปไก่ชามใหญ่ แม้ว่าในใจของนางจะรู้สึกขุ่นเคือง ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กชายตัวน้อยคนนี้ นางก็ยังคงแย้มยิ้ม
”เฉินเอ๋อ…ซุปไก่ที่เจ้าต้องการมาแล้ว”
ไป๋เสี่ยวเฉินหยิบตะเกียบขึ้นมาคุ้ยเขี่ยซุปไก่สักพักกระทั่งพบตูดไก่ เขาก็คีบใส่ในชามของตงฟางเฉียน
“กินด้วยกันสิ”
ตงฟางเฉียนมองตูดไก่ที่ไป๋เสี่ยวเฉินคีบให้นางยิ้ม พลางหย่อนกายลงนั่ง
“ยังคงเป็นเฉินเอ๋อที่น่ารักของแม่เสมอ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของนางบางทีการกระทำของไป๋เสี่ยวเฉินอาจทำให้นางรู้สึกดีขึ้น นางหยิบตูดไก่ขึ้นมา จากนั้นก็ยัดเข้าปาก
อย่างไรก็ตาม…
หลังจากกัดแล้วนางก็พ่นตูดไก่ออกมาดังพรวด นางรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปาก พลางขมวดคิ้ว “นี่มันอะไร ?”
“ตูดไก่ไงนี่เป็นอาหารโปรดของท่านแม่ไม่ใช่หรือ ?” นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินสว่างไสวขึ้น เขาจ้องตงฟางเฉียนไม่กระพริบ
ใบหน้าของตงฟางเฉียนเปลี่ยนไปอย่างมากนางเคยตุ๋นไก่เสียที่ไหนกัน ? นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่ คือตูดไก่ หาไม่นางคงจะหั่นทิ้งไปแล้ว
เพียงคิดว่าที่นางกัดเมื่อครู่นี้คือตูดไก่ ท้องไส้ของนางก็ปั่นป่วน กระทั่งอดไม่ได้ที่จะอาเจียนออกมา
”ท่านแม่…ท่านเปลี่ยนไป…”ไป๋เสี่ยวเฉินเบะปากราวกับจะร้องไห้ “เมื่อก่อนนี้ท่านเคยชอบกินตูดไก่มากเลย หรือเป็นเพราะเฉินเอ๋อคีบให้ ท่านเลยอาเจียน ?”
มุมปากของตงฟางเฉียนกระตุก”จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร …?”
”ท่านแม่แล้วเหตุใดท่านถึงอาเจียนออกมาล่ะ ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเอ่ยถามน้ำตาคลอหน่วย แลดูน่าสงสารยิ่ง
ตงฟางเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึกพลางคีบตูดไก่ขึ้นมาอีกครั้ง ตะเกียบของนางสั่นเล็กน้อย ก่อนจะยัดมันเข้าปากของตน
หลังจากนั้นนางก็กลั้นใจกลืนตูดไก่ลงคอ ทันใดนั้นความรู้สึกผะอืดผะอมก็หวนกลับมาอีกครั้ง
ตงฟางเฉียนอดไม่ไหวแล้วนางคว้าผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดปากอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวิ่งหนีออกนอกประตูไป
หลังจากร่างของนางลับตาไปเสียงหัวเราะของไป๋เสี่ยวเฉินก็ดังก้องทั่วห้อง…
”นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้นในเมื่อเจ้ากล้าบอกว่าข้าเป็นลูกชาย ข้าก็จะไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่อย่างสบายใจได้อีกเลย”
เขาจิบซุปไก่แต่เพียงแค่ตักเข้าปาก เขาก็อาเจียนออกมา
“รสชาติแย่มากแย่กว่าฝีมือของแม่ครัวพวกนั้นอีก ยิ่งเทียบไม่ได้กับแม่ของข้าเข้าไปใหญ่ กล้าเอาอาหารฝีมือห่วย ๆแบบนี้มาให้ข้า แหวะ.”.”
ไป๋เสี่ยวเฉินทิ้งตะเกียบในมือก่อนจะเดินไปล้มตัวลงนอนบนเตียง
ภายในลานบ้านของคฤหาสน์บ้านสกุลซางตงฟางเฉียนเอามือปิดปากวิ่งออกมาจากห้องของไป๋เสี่ยวเฉิน กระทั่งที่สุดนางก็พบสถานที่ที่ซึ่งไม่มีใครอยู่ จากนั้นนางก็พยายามอาเจียน นางเหยียดนิ้วล้วงคอ ทว่าก็ยังไม่สามารถขย้อนอาหารที่กินเข้าไปออกมาได้
ยามนี้ใบหน้าของนางแลดูไม่ได้เลย ใบหน้าของนางซีดมาก หน้าผากของนางเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ นางแลดูอ่อนเพลียมาก
“ซีซี”
ทันใดนั้นเองเงาร่างที่คุ้นเคยก็เดินมาจากด้านหลังตงฟางเฉียนรีบหันกลับไปมอง นางคว้าแขนเสื้อของซางหยูทันที
“พี่หยู…เด็กนั่นเป็นปีศาจเขาเป็นปีศาจชัด ๆ !”
“ซีซีนี่เจ้าทำบ้าอะไร ?” ซางหยูขมวดคิ้ว พลางตบมือของตงฟางเฉียนที่จับแขนเสื้อของตนไว้แน่น เขาเอ่ยกล่าวอย่างเหลืออด
“พี่หยู…ข้าไม่อยากเป็นแม่ของเด็กนั่นแล้วเขาเป็นปีศาจตัวน้อย หากข้ายังฝืนเล่นละครต่อไป ข้าจะต้องถูกเขากลั่นแกล้งอย่างบ้าคลั่ง !”
เสียงของตงฟางเฉียนแหบแห้งร่างของนางสั่นเทา เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ไป๋เสี่ยวเฉินทำกับนาง
“เจ้าพูดเรื่องบ้าอะไร?” ซางหยูตะคอกอย่างดุดัน “ข้าได้ส่งสารแจ้งราชาไปแล้ว ทั้งไม่ช้านี้ราชาก็จะมาที่นี่ หากเราปล่อยองค์ชายน้อยไปตอนนี้ แผนการของเราจะเป็นอย่างไร ? เจ้าต้องการให้เผ่าหมาป่าอสูรเราถูกทำลายสิ้นงั้นหรือ ?”
บทที่ 1059 : ปีศาจน้อยไป๋เสี่ยวเฉิน (2)
น้ำเสียงของซางหยูนั้นคมชัดทั้งการแสดงออกของเขาก็ดุดัน ทำเอาตงฟางเฉียนตกใจจนกล่าวคำใดไม่ออก
“เอาล่ะเจ้าเพียงทำให้เด็กนั่นพอใจก็พอ และช่วงขณะที่เขายังไม่รู้ตัว เจ้าก็เอายาใส่ชามอาหารของเขา ข้าต้องการให้เขาเชื่อฟัง และอยู่ในอาณัติข้า !”
นัยน์ตาของซางหยูส่องประกายแสงเย็นขณะเอ่ยกล่าวอย่างเย็นชา
ตงฟางเฉียนสำลักในลำคอ“พี่หยู…เด็กนั่นความจำเสื่อมจริง ๆ หรือ ?”
“จะหลอกกันได้หรือ? ข้าเคยลองประสิทธิภาพของยาเม็ดนั่นมาก่อน ไม่มีการหลอกลวงแน่ เขาย่อมจำเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้แน่ ๆ !”
ซางหยูกล่าวยืนยัน
ตงฟางเฉียนเลิกคิ้วนางรู้สึกตลอดเวลาว่า เด็กนั่น หาได้จัดการง่ายอย่างที่เห็นไม่ …
“พี่หยู…เราจะแก้ปัญหาเด็กที่องค์ชายนำมาด้วยอย่างไร?” ตงฟางเฉียนไตร่ตรองสักพัก พลางเอ่ยถาม
“ไม่ต้องห่วงข้าให้ยาความจำเสื่อมแก่เขาด้วย ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะก่อเรื่องไม่ดี ตอนนี้เขาเองก็ไม่มีความทรงจำใด ๆ ไม่สามารถทำลายแผนการใหญ่ของเราได้แน่”
ตงฟางเฉียนขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ“หากท่านกลัวเขาจะทำลายแผนการของเรา เราก็แค่สังหารเขาซะ เหตุใดต้องทำให้เขาสูญเสียความทรงจำด้วยล่ะ”
ซางหยูหัวเราะเยาะ“เจ้าไม่เห็นหรอกรึว่า เสือดาวน้อยก็มีความสามารถดีไม่น้อยเช่นกัน เผ่าหมาป่าอสูรของเราขาดแคลนกำลังคน หากเราฝึกฝนเขาดี ๆ เขาจะช่วยเผ่าหมาป่าอสูรของเราได้เป็นอย่างดี … “
ตงฟางเฉียนเข้าใจถึงเจตนาของซางหยูทันที
ในขณะเดียวกันนางก็รู้สึกละอายใจเล็กน้อยที่นางถามโดยไม่คิด …
“ข้าเข้าใจแล้วพี่หยู ข้าจะทำตามที่ท่านบอก ไม่ว่าปีศาจน้อยจะร้ายกาจมากเพียงใด ข้าก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เขาพอใจข้า”
“เข้าใจก็ดีแล้ว”
ซางหยูเงียบพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง เอ่ยกล่าวเสียงแผ่วเบา “อีกไม่นานราชาอสูรจะมาที่เผ่าหมาป่าอสูรของเรา … และนี่คือโอกาสที่ดีที่สุดของเรา !”
โชคดีที่บิดาของเขายังไม่กลับมามิเช่นนั้นจะไม่สะดวกอย่างยิ่งสำหรับเขา เพราะไม่ว่าเขาจะทำอะไร บิดาของเขาก็จะขลาด และหวาดกลัว แน่นอนว่าบิดาของเขาต้องห้ามเขาอย่างแน่นอน
ตงฟางเฉียนกัดริมฝีปากของนางเมื่อเห็นใบหน้าที่มั่นใจของซางหยู ไม่ว่านางจะรู้สึกไม่สบายใจเพียงใด นางก็ต้องระงับใจไว้ …
เพียงไม่กี่วัน
คฤหาสน์สกุลซางก็เปลี่ยนจากที่เคยเงียบสงบกลายเป็นความวุ่นวายหวาดหวั่น
นับตั้งแต่ไป๋เสี่ยวเฉินมาที่คฤหาสน์สกุลซางหากเขาไม่ได้แกล้งตงฟางเฉียน เขาก็วางเพลิงเผาห้องครัว กระทั่งทำให้คฤหาสน์บ้านสกุลซางไม่กล้าจุดไฟในบ้านอยู่หลายวัน
แต่คราวนี้เขายิ่งเตลิดไปไกลมาก ชั่วขณะที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจ เขาก็วิ่งเข้าไปในคลังสมบัติของเจ้าบ้านตระกูลซาง พลางกวาดของในคลังสมบัติออกมา
จากนั้นก็จุดไฟเผา
คราวนี้เขาทำความผิดใหญ่หลวงนัก ทำให้ตงฟางเฉียนตกใจมาก นางรีบสั่งให้สาวใช้ และยามในบ้านทำความสะอาด ก่อนจะรีบออกไปหาซางหยู
“พี่หยูเกิดเรื่องใหญ่แล้ว เด็กนั่นเผาคลังสมบัติของท่านพ่อ … ”
เพล้ง!
ในโรงน้ำชาถ้วยชาเซรามิกในมือของซางหยูตกลงพื้นโดยไม่เจตนาเขาลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว หายใจถี่กระชั้น
“เมื่อครู่…เจ้าว่ากระไรนะ? เด็กนั่นเผาคลังสมบัติของท่านพ่องั้นหรือ ?”
ตงฟางเฉียนเหงื่อแตกพลั่ก“พี่หยู ตอนนี้ข้าควรทำเช่นไรดี ? หากท่านพ่อกลับมาเขาจะต้องไม่ให้อภัยเราอย่างแน่นอน”
ซางหยูฟื้นจากอาการตกใจเขานั่งลงช้า ๆ แววตาของเขาสั่นไหวน้อย ๆ “หากข้าสามารถเป็นราชาแห่งแดนอสูรได้ คลังสมบัติจะมีค่าใด หากพ่อของข้าต้องการ ข้าก็สามารถรวบรวมสมบัติเหล่านั้น และมอบคืนให้เขาเอง”
บทที่ 1060 : ปีศาจน้อยไป๋เสี่ยวเฉิน (3)
ใช่แล้วเมื่อใดที่เขากลายเป็นราชาอสูร จะมีสิ่งใดในโลกนี้อีกล่ะที่เขาจะคว้ามาไม่ได้ ?
“เจ้าไม่ต้องมาบอกเรื่องเล็กๆ เช่นนี้กับข้าอีก ว่าแต่เรื่องยาที่ข้าขอให้เจ้าให้เขากินเป็นไงบ้าง ?”
ซางหยูเงียบไปชั่วขณะก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตงฟางเฉียนพลางเอ่ยถาม
ตงฟางเฉียนกัดริมฝีปากตน“ข้าใส่ยาลงในซุปให้เขาดื่มทุกวัน ข้าเดาว่าเขาอาจได้รับพิษมากเกินไป ทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตนเองได้เลยทำให้เขาหงุดหงิดและทำหลายสิ่งหลายอย่างเช่นที่ผ่านมา”
“อืม”ซางหยูหยุด “เจ้ากลับไปก่อนเถอะ ช่วงนี้ก็อย่าให้เขาติดต่อกับบุคคลภายนอก หาไม่เขาอาจจะรู้ตัวว่าเขาเป็นจิ้งจอก ส่วนเราเป็นหมาป่าอสูรซึ่งจะทำให้เด็กคนนั้นสับสน หลังจากควบคุมเขาได้อย่างสมบูรณ์ เราก็ไม่จำเป็นต้องกลัวเช่นนี้อีก … “
“ข้าเข้าใจแล้ว”
ตงฟางเฉียนกัดริมฝีปากแดงๆ ของนาง พลางเดินออกจากโรงน้ำชา
นางหวังว่าจะสามารถควบคุมปีศาจน้อยตัวนี้ได้โดยไวหาไม่นางเกรงว่านางจะไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ทั้งอาจถึงขั้นบีบคอเด็กจนตายได้ …
ณเมืองหลาง
บนถนน…ไป๋หยานกำลังกวาดตามองโดยรอบทำให้นางไม่ทันเห็นหญิงสาวที่ก้าวออกมาจากโรงน้ำชาด้านหน้า
ด้านหญิงสาวก็รีบวิ่งออกจากโรงน้ำชาอย่างรวดเร็วจึงทำให้นางไม่ทันเห็นไป๋หยานที่เดินสวนมาเช่นกัน
ชั่วขณะนั้นเองร่างของหญิงสาวทั้งสองก็ปะทะกันส่งผลให้พวกนางต่างก็ก้าวถอยหลังกลับไปสองก้าว …
ตงฟางเฉียนขมวดคิ้วพลางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้านางก็คือใบหน้าที่งดงามเปี่ยมเสน่ห์
แม้ว่าตงฟางเฉียนจะเป็นสตรีทว่าหลังจากได้เห็นหญิงสาวที่เปี่ยมเสน่ห์เย้ายวนเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นหายใจ แววตาของนางเต็มไปด้วยความตกใจ
“เอ่อ…?”
ไป๋หยานได้สติภายหลังจากชนกับตงฟางเฉียนนัยน์ตาของนางหรี่แคบลง นางกวาดตามองตงฟางเฉียน พลันความประหลาดใจก็กระพริบวาบในแววตาของนาง
“เผ่าหมาป่าอสูรกระนั้นรึ?”
ร่างของตงฟางเฉียนสั่นสะท้านคงไม่แปลก หากนางจะถูกมองออกว่าเป็นสัตว์อสูร ทว่าในดินแดนลับนี้ทุกคนสามารถปิดบังกลิ่นอายของตนได้
ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้สตรีผู้นี้ยังสามารถบอกได้อย่างรวดเร็วว่านางเป็นสมาชิกของเผ่าหมาป่าอสูร ?
“เจ้าคือ… ” ตงฟางเฉียนขมวดคิ้ว
ไป๋หยานหรี่ตา“ก่อนที่ข้าจะมา ผู้อาวุโสใหญ่บอกข้าว่า ในดินแดนลับนี้มีคนแดนอสูรเพียงไม่กี่คนที่ถูกขับ ให้มาอยู่ในดินแดนลับเพื่อปกป้องที่นี่ และเผ่าหมาป่าอสูรก็ทำเรื่องผิดพลาด จึงถูกขับให้มาอยู่ในดินแดนลับนี้”
ไป๋หยานหยุดก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หัวหน้าเผ่าของเจ้ามีชื่อว่าซางฉางชิงใช่หรือไม่ ?”
เผ่าหมาป่าอสูรมีความทะเยอทะยานเฉกเช่นนิสัยของหมาป่าเว้นแต่ซางฉางชิงซึ่งขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าเผ่าตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่ม
ซางฉางชิงคนนี้เป็นคนขี้ขลาดหวาดกลัวไม่กล้าที่จะทำการใดๆ อีกทั้งความแข็งแกร่งของเผ่าหมาป่าอสูรก็ถูกจำกัด เขาย่อมไม่กล้ากระทำการใด ๆ ในดินแดนลับ
“ใช่…ซางฉางชิงเป็นหัวหน้าเผ่าหมาป่าอสูรของเราทั้งยังเป็นพ่อของสามีข้า” ตงฟางเฉียนเอ่ยถามต่อพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไม่ทราบว่า แม่นางเป็นใคร ?”
“ข้าเพียงอยากถามเจ้าคำถามเดียวเจ้าเคยพบตี้คังหรือไม่ ?”
ตี้คัง?
ตงฟางเฉียนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจผู้ใดกันกล้าเรียกชื่อองค์ราชาแดนอสูรเช่นนี้ หญิงผู้นี้มีฐานะใดกันแน่ ?
“ไม่ทราบว่าแม่นางมีความสัมพันธ์ใดกับองค์ราชา …?”
“อ้อ…ข้าเป็นภรรยาของเขา”
อ้อข้าเป็นภรรยาของเขา !
ประโยคนี้กระแทกหัวใจของตงฟางเฉียนอย่างแรง
หญิงผู้นี้เป็นชายาของราชาทั้งยังเป็นพระมารดาขององค์ชายใช่หรือไม่ ?
ทว่าตอนนี้องค์ชายอยู่ในคฤหาสน์สกุลซางทั้งนางก็สวมรอยเป็นมารดาขององค์ชายด้วย หากหญิงผู้นี้รู้ล่ะก็ …