จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1101-1105
บทที่ 1101 : เริ่มสงคราม (1)
ตี้เสี่ยวอวิ๋นวิ่งมาจากด้านหลังนางใกล้จะพุ่งเข้าสู่อ้อมแขนของไป๋หยาน หากแต่ก็ต้องปะทะกับมือที่ยื่นมือออกมาขวางเสียก่อน
ใบหน้าของตี้คังมืดมน“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพี่สะใภ้ของเจ้าตั้งครรภ์อยู่ ?’’
นัยน์ตาของตี้เสี่ยวอวิ๋นเบิกกว้างนางมองไป๋หยานจึงได้พบกับหน้าท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยของไป๋หยาน
“พี่สะใภ้ตั้งครรภ์อีกแล้วหรือ? นี่ข้ากำลังจะมีหลานชายอีกคนแล้วหรือ ?”
เสียงของตี้เสี่ยวอวิ๋นสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นนางอยากจะกอดไป๋หยาน แต่ครั้นนางเห็นตี้คังมีสีหน้าน่าเกลียด ในที่สุดนางก็หยุด …
ครั้งที่แล้ว…ไป๋หยานมาถึงก็รีบจากไปส่วนนางก็พักอยู่บนเกาะศักดิ์สิทธิ์เสียนาน เช่นนั้นตี้เสี่ยวอวิ๋นจึงเพิ่งรู้ว่าไป๋หยานกำลังตั้งครรภ์
“ท่านอาหญิง”ไป๋เสี่ยวเฉินพูดอย่างไม่พอใจ “หม่ามี้กำลังตั้งครรภ์น้องสาวของเฉินเอ๋อ !”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นทำปากจู๋“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าจะเป็นน้องสาว”
“น้องสาวบอกข้าเองยังไงหม่ามี้ก็ต้องตั้งครรภ์น้องสาวของข้าแน่”
ครั้นตี้เสี่ยวอวิ๋นเอ่ยกล่าวว่าไป๋หยานตั้งครรภ์หลานชายไป๋เสี่ยวเฉินก็รู้สึกไม่พอใจเล็ก ๆ ปากของเขาโค้งงอจนแทบจะแขวนขวดนมได้เลยทีเดียว
เห็นได้ชัดว่าจะต้องเป็นน้องสาวที่น่ารักและงดงาม เหตุใดท่านอาหญิงจึงบอกว่าเป็นหลานชายของนางล่ะ ?
“เอาล่ะเอาล่ะ เอาล่ะ…เจ้าบอกว่าเป็นน้องสาวก็น้องสาว” ตี้เสี่ยวอวิ๋นลูบศีรษะเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดออกจากปากใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินก็ดูดีขึ้น นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยความหลงใหล ยามที่มองหน้าท้องของไป๋หยาน น้ำเสียงที่อ่อนโยนของเขายิ่งอ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิม
“ในวันหน้า…ข้าจะต้องเป็นพี่ชายที่ดีข้าจะปกป้องน้องสาวของข้า”
ตี้เสี่ยวอวิ๋นอดใจไม่ไหวนางคว้าไป๋เสี่ยวเฉินเข้ามากอด จากนั้นก็หอมแก้มเขาอย่างแรง รูปร่างหน้าตาของเขานี่ช่างน่ารักจริงๆ …
“พี่สะใภ้”ตี้เสี่ยวอวิ๋นปล่อยมือจากไป๋เสี่ยวเฉิน หลังจากหอมแก้มหลานแล้ว นางก็มองไป๋หยานด้วยดวงตาที่สวยงาม “ขอข้าไปกับพี่ด้วยจะได้หรือไม่ ?”
“ไม่…”
ไป๋หยานปฏิเสธโดยไม่ลังเล
“เจ้ายังไม่ถึงระดับเทพเช่นนั้นเจ้าจึงเข้าร่วมในสนามรบไม่ได้”
“พี่สะใภ้!” ตี้เสี่ยวอวิ๋นเม้มปากเล็ก ๆ ของนาง พลางเขย่าแขนของไป๋หยาน “ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงหรอก…”
“หากเจ้าก้าวเข้าสู่ระดับเทพได้ข้าถึงจะพาเจ้าไป”
ไป๋หยานไม่ให้โอกาสตี้เสี่ยวอวิ๋นนางปฏิเสธออกมาตรง ๆ
ตี้เสี่ยวอวิ๋นลดศีรษะลงด้วยความหงุดหงิด“ก็ได้…ก็ได้…แต่ว่าความแข็งแกร่งของข้าถูกผนึกไว้นี่ เสด็จพี่ก็ไม่ช่วยข้าหาวิธีปลดผนึกนั้นเลย”
ครั้นได้ยินเช่นนั้นสายตากดขี่ของตี้คังก็กวาดไปทั่วใบหน้าของตี้เสี่ยวอวิ๋น “ราชครู…ออกไปหาวิธีปลดผนึกให้เจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้อภัยให้เขา”
“จริงหรือ?” นัยน์ตาของตี้เสี่ยวอวิ๋นสว่างไสวขึ้นทันที ทว่าจู่ ๆ นางก็หรี่ตา พร้อมกับยิ้มอย่างเย็นชา “แต่อย่าคิดนะว่าข้าจะยกโทษให้เขา หากมิใช่เพราะความผิดของเขา วันนั้นพี่สะใภ้ก็คงจะไม่หนีออกจากบ้าน”
อย่างไรเสียก็เป็นความผิดของราชครูอยู่ดีที่แอบสร้างเจ้าตัวปลอมของเสด็จพี่ ซ้ำยังปกปิดทุกคน กระทั่งทำให้พี่สะใภ้เข้าใจเสด็จพี่ผิด
“เจ้าอยู่ที่บ้านรอคอยราชครูกลับมาเถอะ” ไป๋หยานลูบศีรษะของตี้เสี่ยวอวิ๋น จากนั้นก็หันไปมองผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่น ๆ “นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว พวกเราจะไปกันได้หรือยัง ?”
“พ่ะย่ะค่ะราชินี”
ครั้นผู้อาวุโสและคนอื่น ๆ ได้ยินคำพูดของไป๋หยาน พวกเขาก็รีบตอบด้วยความเคารพทันที
“หม่ามี้”ไป๋เสี่ยวเฉินรีบดึงแขนเสื้อของไป๋หยาน “ท่านไม่พาข้าไปด้วยหรือ ?”
“เฉินเอ๋อ…เจ้ารอแม่อยู่ที่บ้าน”
“ทำไมล่ะ?” นัยน์ตาของไป๋เสี่ยวเฉินแดงก่ำ “เฉินเอ๋อ…อุตส่าห์ไปฝึกฝนยังดินแดนลับก็เพื่อปกป้องหม่ามี้ ตอนนี้เฉินเอ๋อมีความแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว ทำไมไม่ให้เฉินเอ๋อตามไปด้วยล่ะ ?”
บทที่ 1102 : เริ่มสงคราม (2)
ไป๋หยานมองดวงตาที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของไป๋เสี่ยวเฉินด้วยความเจ็บปวดใจนางหลุบตาลง พลางจูบหน้าผากของเขาเบา ๆ
“เฉินเอ๋อ…แม่ไปดูสถานการณ์ก่อนแล้วครั้งหน้าจะกลับมาพาเฉินเอ๋อไปด้วย ตกลงหรือไม่ ?”
การต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่เริ่มขึ้นนางยังไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งของอาณาจักรสวรรค์ เช่นนั้นนางจึงไม่อยากให้เฉินเอ๋อต้องเสี่ยง
ดังนั้นครั้งนี้นางจะไม่เอาใครไปด้วยทั้งนั้น
”จริงหรือ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเบิกตาโต “หม่ามี้ไม่ได้หลอกเฉินเอ๋อนะ ?”
”จริงสิ…”
ไป๋หยานระงับความเศร้านางกอดร่างของไป๋เสี่ยวเฉินแน่น “เฉินเอ๋อ เชื่อแม่นะ ไม่นานพ่อกับแม่ก็จะกลับมา”
”อืม”
ไป๋เสี่ยวเฉินก้มศีรษะลงหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้น เอ่ยกล่าวพร้อมดวงตาพร่างพราวราวกับดวงดาว “หม่ามี้พูดอะไรเฉินเอ๋อก็เชื่อหมด เฉินเอ๋อจะรอให้หม่ามี้กลับมารับเฉินเอ๋อ … ”
ไป๋หยานปล่อยร่างเล็กๆ ในอ้อมแขนของตน จากนั้นก็หันไปมองตี้คัง พลางยิ้มอย่างไม่เต็มใจนัก “ตี้คัง เราไปกันเถอะ”
ตี้คังย่อมรู้ดีว่านางไม่เต็มใจที่จะจากไป๋เสี่ยวเฉินเขาจึงรั้งนางเข้ามากอด พร้อมทั้งกระชับอ้อมกอดแน่นขึ้น เขาหวังว่าอ้อมกอดนี้จะช่วยระบายความทุกข์ และทำให้นางสบายใจ
ผู้อาวุโสใหญ่ก็รีบตามออกไป
ไป๋เสี่ยวเฉินจ้องมองตามทิศทางที่ไป๋หยานค่อยๆ หายลับตาไป
“เสด็จพี่… ”
เสี่ยวหลงเอ๋อจับมือไป๋เสี่ยวเฉินไว้ด้วยเหตุผลบางอย่าง นางรู้สึกหวาดกลัวเสด็จพี่ในเวลานี้เล็กน้อย
ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจของตน ตี้เสี่ยวอวิ๋นกล่าวลาพวกเขา หลังจากนั้นก็เดินไปที่สวนหลังบ้าน ดังนั้นภายในสวนจึงเหลือเพียงสองคนเท่านั้นก็คือ ไป๋เสี่ยวเฉิน และเสี่ยวหลงเอ๋อ
“หลงเอ๋อเจ้าไม่อยากตามหม่ามี้ไปหรือ ในเมื่อหม่ามี้ไม่พาพวกเราไป พวกเราก็แอบติดตามไปจะดีหรือไม่ ?”
นัยน์ตาของหลงเอ๋อสว่างไสวขึ้นทันที”จะดีหรือ ?”
“แน่นอนว่าหากข้าไม่ได้อยู่เคียงข้างหม่ามี้ ข้าก็ไม่อาจวางใจได้ ทว่าเราต้องแอบตามไปเงียบ ๆ หากผู้อาวุโสเหล่านั้นเห็นเข้า พวกเขาไม่มีวันปล่อยเราไปอย่างแน่นอน”
ดวงตาของไป๋เสี่ยวเฉินกลอกไปมาในเมื่อหม่ามี้ไม่ให้เขาตามไป เขาก็ … ทำได้เพียงแค่แอบลอบตามไปอย่างเงียบ ๆ เท่านั้น
ณเมืองชายแดน
เหอหลิงและคนอื่นๆ ทราบข่าวมานานแล้วว่า ไป๋หยานและตี้คังกำลังจะมา พวกเขาจึงมารออยู่ที่ประตูเมืองก่อนเวลา
หลังจากนั้นไม่นานร่างที่คุ้นเคยของคนทั้งสองก็ปรากฏขึ้นในคลองสายตาของพวกเขา ทำให้หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความสุข
”ท่านป้าหญิงในที่สุดท่านก็มาถึงที่นี่แล้ว”
ขณะเดียวกันสัตว์อสูรในเมืองชายแดนก็คุกเข่าลง เสียงของพวกเขาดังก้องฟ้า
”คารวะราชาคารวะราชินี !”
เสียงของพวกเขาประสานกันอย่างทรงพลังดังกึกก้องล่องลอยไปในสายลมเป็นเวลานานกว่าจะจางหายไป
ตี้คังจับมือของไป๋หยานค่อยๆ ร่อนลงจากท้องฟ้า สายตาที่กดขี่ของเขากวาดมองโดยรอบ น้ำเสียงของเขาฟังดูเย็นชาเล็กน้อย : “พวกเจ้าเตรียมการกันไปถึงไหนแล้ว ?”
”ทูลองค์ราชากระหม่อมได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว รอเพียงรับสั่งของพระองค์ พวกกระหม่อมก็จะโจมตีอาณาจักรสวรรค์”
”ดี”
แววตาของตี้คังเคร่งขรึมขึ้นอีกเล็กน้อยน้ำเสียงทรงอำนาจของเขาดังก้องในหูของทุกคน
“รอราตรีมาเยือน…เราจะเริ่มลงมือกัน!”
”พ่ะย่ะค่ะ!”
สัตว์อสูรคุกเข่าลงอีกครั้งเพื่อน้อมรับคำสั่งของตี้คังด้วยความเคารพ
”นอกจากนี้เตรียมลานบ้านแยกต่างหากสำหรับราชินีของข้า หากไม่มีเรื่องใหญ่โตใด ห้ามไม่ให้ใครรบกวนราชินี”
”พ่ะย่ะค่ะ”
สัตว์อสูรรับคำสั่งอีกครั้ง
ตี้คังละสายตาจากเหล่าสัตว์อสูรเพื่อประคองร่างของไป๋หยานอย่างระมัดระวังด้วยสีหน้าเป็นกังวล
บทที่ 1103 : เริ่มสงคราม (3)
”หยานเอ๋อระวังนะ ข้าจะช่วยพยุงเจ้าไปพักผ่อนก่อน ช่วงนี้เจ้าควรจะรอฟังข่าวดีของข้าอยู่ที่เมืองชายแดนนี่”
สีหน้าของไป๋หยานเปลี่ยนเป็นมืดหม่น”ข้าไม่ได้บอบบางถึงเพียงนั้น นอกจากนี้ข้าเพิ่งตั้งครรภ์แค่ห้าเดือนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องกังวลมากขนาดนี้ก็ได้”
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะเหนื่อย… ”
สัตว์อสูรมองตี้คังที่ทำตัวหงอต่อหน้าไป๋หยานก็ให้ตกใจจนกรามค้าง
แม้ว่า…เมื่อครั้งอยู่ในดินแดนลับพวกเขาจะเคยเห็นตี้คังเอาอกเอาใจไป๋หยาน หากแต่พวกเขาก็ไม่คาดคิดว่าตี้คังจะเอาใจไป๋หยานถึงเพียงนี้
ในแดนอสูร…เขาคือพระราชามีแต่คนคอยรับใช้ตลอดเวลา หากแต่เมื่อเขาอยู่ต่อหน้าราชินี เขากลับกลายเป็นผู้รับใช้ราชินีไปเสียแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสัตว์อสูรหญิงที่ต่างก็มองตี้คังผู้ซึ่งกำลังเอาอกเอาใจไป๋หยาน เห็นเช่นนั้นแล้ว พวกนางก็ยิ่งอิจฉาจนเข้ากระดูกดำ
หากแต่พวกนางก็รู้ฐานะของตนเองดีพวกนางเข้าใจโดยธรรมชาติว่าราชาไม่มีวันปฏิบัติต่อสตรีอื่นเช่นนี้เป็นแน่
ในความคิดของราชามีเพียงราชินีเท่านั้นที่เขาจะทุ่มเทกายใจและความภาคภูมิให้ อีกทั้งยังคอยปรนนิบัตินางอย่างระมัดระวังถึงเพียงนี้
เหอหลิงและคนอื่นๆ ได้เตรียมคฤหาสน์ไว้สำหรับไป๋หยานเรียบร้อยแล้ว ที่นั่นทั้งสะอาดและสดชื่น
ไป๋หยานเดินเข้าไปโดยมีตี้คังคอยพยุงนางเอ่ยถามเสียงหนัก ๆ
“คืนนี้ท่านวางแผนโจมตีอาณาจักรสวรรค์อย่างไร ?”
ตี้คังยิ้ม”ด้านหลังเมืองชายแดน มีสนามรบโบราณ สนามรบนี้เวลานี้เป็นของแดนสวรรค์ ย่อมมีคนจากแดนสวรรค์เฝ้าอยู่ที่นั่น”
”อย่างไรก็ตามมีสมบัติมากมายนับไม่ถ้วนในสนามรบโบราณแห่งนี้ข้าจะทำลายสนามรบโบราณแห่งนี้ และส่งมอบมันเป็นกำนัลให้เจ้าก่อน จากนั้นข้าจึงจะโจมตีสถานที่อื่น ๆ ของอาณาจักรสวรรค์”
ไป๋หยานบีบมือตี้คังแน่น”ข้าอยากไปกับท่านด้วย”
”หยานเอ๋อ” ตี้คังกดไหล่ของไป๋หยานน้ำเสียงของเขาเริ่มหนักขึ้น “ตอนนี้เจ้ากำลังตั้งครรภ์ ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำงานหนัก พวกเทพสวรรค์ในสนามรบโบราณนั่นไม่ได้ทรงพลังมากนัก เช่นนั้น เจ้าจงดูแลลูกในครรภ์อยู่กับบ้านให้สบายใจ และรอข้ากลับมา”
รอข้ากลับมา…
ถ้อยคำสี่พยางค์นี้กระทบใจไป๋หยานอย่างแรงนางยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม : “เรามีพันธะสัญญาต่อกัน ข้าย่อมรู้สึกได้ทันทีว่าท่านกำลังตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ ? ถ้าหาก … ข้าพบว่า ท่านตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายแล้วล่ะก็ ข้าต้องไปที่นั่นแน่ !”
ครั้นถ้อยคำสุดท้ายจบลงการแสดงออกของไป๋หยานก็เคร่งขรึม “เช่นนั้น เพื่อข้าแล้ว ท่านต้องใส่ใจในความปลอดภัยของตนเองด้วย”
ตี้คังลดสายตาลงก่อนจะประทับจูบที่ริมฝีปากของไป๋หยาน
เขาตอบคำของนางด้วยจุมพิต
สายลมอ่อนๆ ทำให้เสื้อผ้าของคนทั้งสองพลิ้วสะบัด ฉากที่ทั้งสองคนจุมพิตกันท่ามกลางสายลมนั้นช่างสมบูรณ์แบบราวกับภาพวาดจากศิลปินฝีมือเยี่ยม ช่างงดงามและอบอุ่น
ภายหลังจุมพิตเสียงแหบทุ้มของตี้คังก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าสัญญากับเจ้าและลูกๆ ของเราแล้ว ว่าข้าจะดูแลตัวเองเป็นอย่างดี”
เพราะเขาต้องมีชีวิตอยู่เท่านั้นถึงจะสามารถปกป้องภรรยาและลูกๆ จากอันตรายทั้งปวงได้…
ไป๋หยานยกยิ้ม”จำสิ่งที่ท่านสัญญาไว้กับข้าให้ดี หาไม่ข้าจะเข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ ออกไปร่วมเป็นร่วมตายพร้อมกับท่านอย่างแน่นอน … ”
ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน!
ประโยคนี้กระทบใจของตี้คังอย่างแรงเขารั้งไป๋หยานเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง ทั้งยังกอดนางแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่การร่วมเป็นร่วมตายแต่ … นางต้องรอดเท่านั้น !
”หยานเอ๋อ… ” ลำคอของตี้คังแห้งผาก เสียงของเขาก็แหบแห้ง “บางครา ข้าก็พอจะจำอะไรบางอย่างได้เลือนลาง ข้าจำได้ว่า เมื่อนานมากแล้ว…ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถปกป้องเจ้า กระทั่งต้องสูญเสียเจ้าไป … ”
”ตอนนี้…ข้าจะไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นอีกไม่มีทาง !”
นี่คือคำสัญญาของเขาที่มีต่อนางและสัญญานี้ เขาจะรักษาตราบชั่วชีวิต !
บทที่ 1104 : เริ่มสงคราม (4)
”เจ้าไปพักผ่อนเถอะ”ตี้คังปล่อยมือจากสตรีในอ้อมแขนพลางยิ้ม “ข้าจะไปคุยเรื่องตอนค่ำนี้กับพวกผู้อาวุโส ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้ว”
ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นจ้องใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์งดงามของชายหนุ่มพลางพยักหน้าน้อยๆ
ท้ายสุดตี้คังก็จูบหน้าผากของนาง จากนั้นก็หันหลังกลับเดินไปยังห้องหนังสือ…
ในห้องหนังสือเหล่าผู้อาวุโสกำลังรอเขาอยู่ ทันทีที่พวกเขาเห็นตี้คังผลักประตูเข้ามา พวกเขาก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้
”คารวะองค์ราชา”
ผู้อาวุโสทั้งหลายป้องหมัดเอ่ยกล่าวด้วยความเคารพ
ตี้คังเดินเข้ามาเขาสะบัดแขนเสื้อก่อนจะนั่งลง นัยน์ตาของเขาทรงอำนาจ ทั้งน้ำเสียงก็ยังดังก้อง “ผู้อาวุโสจงรายงานสถานการณ์ในสนามรบโบราณต่อราชา”
”พ่ะย่ะค่ะ”ผู้อาวุโสป้องหมัด จากนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “คนที่คอยดูแลสนามรบโบราณคือเทพระดับกลาง หากแต่ความแข็งแกร่งของคนส่วนใหญ่ยังอยู่ในระดับเทพขั้นต้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถทะลุทะลวงไปถึงระดับเทพขั้นกลางได้พ่ะย่ะค่ะ”
นิ้วของตี้คังเคาะพื้นโต๊ะเบาๆ “มีสมบัติใดบ้างในสนามรบโบราณ ?”
”เนื่องจากสภาพทางภูมิศาสตร์ของสนามรบโบราณอุดมไปด้วยสมุนไพรล้ำค่าทางการแพทย์และส่วนประกอบทางยาเหล่านั้นก็นับเป็นของหวงแหนของอาณาจักรสวรรค์ เช่นนั้นการที่เทพระดับกลางคอยปกป้องสนามรบโบราณมานานหลายปี ย่อมเป็นเพราะที่นั่นเต็มไปด้วยสมบัติมีค่าไม่ขาดแคลน”
ตี้คังหรี่ตา”ส่วนประกอบทางยากระนั้นหรือ ? เหมาะที่จะเป็นกำนัลแก่ราชินี เช่นนั้น สนามรบโบราณนี้ … ราชาคนนี้จะต้องยึดมาให้ได้ !”
มุมปากของผู้อาวุโสกระตุกที่ราชาตั้งใจโจมตีจากสนามรบโบราณก็เพียงต้องการสมบัติในสนามรบโบราณ เพื่อเป็นบรรณาการรักกระนั้นหรือ ?
สมบัติเหล่านี้เพียงตั้งใจจะเป็นของกำนัลให้ราชินีแค่นั้นหรือ?
”อาวุโสใหญ่เจ้าไปสั่งการให้สัตว์อสูรฝีมือดีสักสองสามคนมาปกป้องราชินีเป็นการส่วนตัว”
ตี้คังยังคงเป็นห่วงหยานเอ๋ออยู่เขาสั่งการด้วยน้ำเสียงเย็นชา
”พ่ะย่ะค่ะ…”
ผู้อาวุโสใหญ่หลุบตาลงพลางป้องหมัด
แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่มนานหลายปีความรักของราชาที่มีต่อราชินีก็ยังฝังลึกอยู่ในกระดูก ไม่มีผู้ใดเทียบนางได้ …
ตี้คังครุ่นคิดเพียงครู่ก่อนจะกล่าวว่า “สนามรบโบราณแห่งนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม เจ้าไปหาคนที่อยู่ในระดับเทพขั้นต้นสักสิบคนมาให้ข้า เพื่อร่วมทางไปโจมตีกับข้าในครั้งนี้”
ผู้อาวุโสใหญ่ผงะเขามองตี้คังอย่างงง ๆ “ราชา..เหตุใดต้องทรงทำเช่นนี้ ?”
ตี้คังหัวเราะเยาะ”ทันทีที่สงครามครั้งนี้เริ่มต้น ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ข่าวจะต้องแพร่ไปถึงหูของผู้ที่อยู่ในแดนสวรรค์ ข้าจะไม่ให้พวกเขารู้ถึงความแข็งแกร่งของแดนอสูร เช่นนั้นครานี้แค่เอาไปเพียงสิบคนก็น่าก็ที่จะพอแล้ว !”
แท้ที่จริงแค่คนที่มีพละกำลังต่ำต้อยเช่นนั้น ตี้คังคนเดียวก็เพียงพอแล้ว หากแต่เขาไม่เต็มใจที่จะจัดการทุกอย่างเอง เช่นนั้นเขาจึงให้ผู้อาวุโสใหญ่เตรียมคนสิบคนให้กับเขา
ได้ฟังเช่นนั้นผู้อาวุโสใหญ่ก็เข้าใจเจตนาของตี้คังทันที
แท้ที่จริงการเปิดฉากต่อสู้ในครั้งนี้ หากปล่อยให้อาณาจักรสวรรค์รับรู้ถึงความแข็งแกร่งของอาณาจักรอสูรได้นั้น นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่ออาณาจักรอสูร ข้าจึงวางแผนที่จะซ่อนขุมพลังให้พ้นจากสายตาของอาณาจักรสวรรค์
ยิ่งไปกว่านั้นนี่ก็เป็นเพียงสนามรบโบราณซึ่งมีอาณาบริเวณเล็ก ๆ ไม่จำเป็นต้องใช้ผู้คนจำนวนมากนัก …
”พ่ะย่ะค่ะกระหม่อมจะรีบไปจัดการเรื่องนี้”
ผู้อาวุโสป้องหมัดแน่นก่อนจะเดินออกไป
ผู้อาวุโสสามและผู้อาวุโสห้าต่างหันมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างก็ยืนรอรับคำสั่งของตี้คังอย่างเงียบ ๆ
ตี้คังหันมาสบตาพลางเอ่ยถามอย่างใจเย็น “พวกเจ้ามัวทำอะไรอยู่ที่นี่อีก หากเจ้ามีเวลาก็ไปฝึกฝนต่อสิ”
”พ่ะย่ะค่ะราชา”
ผู้อาวุโสทั้งสองตัวสั่นทั้งคู่รีบเดินออกจากห้อง ก่อนไปพวกเขายังช่วยตี้คังปิดประตู
เหลือเพียงตี้คังคนเดียวที่อยู่ในห้องหนังสือ…
ในคืนนั้น
ท้องฟ้ามืดครึ้ม
เหมาะกับการเปิดฉากสงครามราตรีนี้จันทราดวงเดิมที่เคยแขวนอยู่บนท้องฟ้าก็ยังคงซ่อนตัวอยู่หลังก้อนเมฆ
ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิทมองไม่เห็นแม้แต่ลายนิ้วมือ มีเพียงเสียงนกกลางคืนดังแว่วมาในราตรีที่เงียบสงบ
บทที่ 1105 : เริ่มสงคราม (5)
สนามรบโบราณ
ที่ชายขอบสนามรบมีคฤหาสน์หรูหราตั้งตระหง่านอยู่คฤหาสน์นั่นสว่างไสว ทั้งมีเสียงร้องเพลงและเต้นรำดังลอยมา
ในห้องโถงมีการร้องเพลงและเต้นรำ ชายวัยกลางคนอุดมไปด้วยไขมันนั่งบนเบาะสูง มือข้างหนึ่งของเขากอดสาวงามนางหนึ่ง ทว่าสายตาของเขากลับจับจ้องมองหญิงสาวอีกนางหนึ่งที่กำลังเต้นรำด้านล่างพลางยิ้ม
”แม่สาวงามมาร่วมดื่มกับข้าเถอะ”
เขาหัวเราะพร้อมกับหยิบถ้วยสุราขึ้นมาแล้วรินใส่ปากสาวงามในอ้อมแขน
สาวงามสำลักจากการกระทำของเขานางไอแค่ก ๆ ออกมาสองสามครั้ง ทว่าใบหน้าของนางยังคงแย้มยิ้ม นางกล่าวโกรธ ๆ ว่า “นายท่านนิสัยไม่ดีเลย”
”ฮ่าๆ หากข้าไม่เลว ข้าจะได้ครอบครองคนสวยเช่นนี้หรือ ?”
เว่ยเชิงผิงหัวเราะเสียงดังนิ้วอวบอ้วนมันวาวของเขาลูบไล้หญิงสาวสวยในอ้อมแขน ใบหน้าของเขาแย้มยิ้มอย่างน่าเกลียด
ปัง!
ชั่วขณะนั้นก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกคฤหาสน์เว่ยเชิงผิงกระโดดลุกพรวดขึ้นทันที
”ผู้ใดกันกล้ามาสร้างปัญหาในสนามรบโบราณนี่”
นับแต่เขาก้าวเข้ามาดูแลสนามรบโบราณก็ไม่มีผู้ใดกล้าสร้างปัญหา กระทั่งเวลาผ่านมาเนิ่นนาน เขาก็หมดความสนใจกับการทำหน้าที่ดูแลที่นี่ เขาเอาแต่สนุกสนานไปวัน ๆ
เห็นได้จากรูปร่างของเขาที่ไม่ได้ออกกำลังต่อสู้มาเป็นเวลานาน
ยามนี้เสียงร้องเพลงและการเต้นรำหยุดลงแล้ว
ใบหน้าของบรรดานางรำต่างตื่นตระหนกไม่มีผู้ใดรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ?
”เรียน…นายท่านมีเหตุร้ายเกิดขึ้นขอรับ !”
ทหารยามวิ่งถลาผ่านประตูเข้ามาบางทีอาจเป็นเพราะเขาวิ่งเร็วเกินไปจึงทำให้เขาเซล้มลงกับพื้น หากแต่เขาก็รีบคลานไปที่ด้านหน้าของเว่ยเชิงผิง
”นายท่านสัตว์อสูรมาบุกที่นี่แล้ว !”
”ว่าไงนะ?”
เว่ยเชิงผิงประหลาดใจ”สัตว์อสูรพากันมาสร้างปัญหาที่นี่กระนั้นรึ ? สำหรับแดนสวรรค์ของเรา สัตว์อสูรเป็นพวกที่มีฐานะต่ำต้อยที่สุด พวกมันมากันกี่คน หนึ่งหรือสองกันแน่ ?
แม้ว่าจะมีสัตว์อสูรอยู่ในแดนสวรรค์ทว่าจำนวนของสัตว์อสูรนั้นก็มีน้อยมาก เนื่องจากสัตว์อสูรถูกไล่ล่าจากกองกำลังต่าง ๆ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เว่ยเชิงผิงจะกล่าวเช่นนี้
“เอ่อ…พวกมันมากันสิบเอ็ดคน”
”สิบเอ็ดรึ?” เว่ยเชิงผิงขมวดคิ้ว “ก็นับว่ามากอยู่ ทว่าแค่สัตว์อสูรเพียงไม่กี่ตัวเจ้าก็ต้องลนลานถึงเพียงนี้เลยหรือ ?”
ทหารยามกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก”เป็นยอดฝีมือสัตว์อสูร ดูราวกับว่าพวกมันจะมีพลังมาก”
”ฮึ่ม!” เว่ยเชิงผิงหัวเราะเยาะ “กะอีแค่สัตว์อสูรมันจะแข็งแกร่งขนาดไหนกันเชียว จะเก่งกว่าข้ากระนั้นรึ ? หากเก่งกว่าข้าจริง ๆ ข้าจะยกลูกสาวคนเล็กให้ไปแต่งงานด้วยเลย เหอ ๆ ๆ ๆ ”
ประโยคสุดท้ายนี้ฟังดูก็รู้ว่าเขากำลังแดกดัน
สัตว์อสูรที่มีความสามารถสูงส่วนใหญ่ได้ถูกคนของอาณาจักรสวรรค์กำจัด
กระทั่งเกือบหมดแล้ว ผู้ที่ไม่เชื่อฟังต่างก็ถูกสังหารสิ้น เช่นนั้นจึงเหลือสัตว์อสูรที่มีฝีมืออยู่ในระดับธรรมดา ๆ เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
จัดการกับสัตว์อสูรเหล่านี้แค่หายใจเฮือกเดียวก็เพียงพอที่จะพัดพาคนเหล่านี้ไปได้แล้ว …
ร่างของทหารยามสั่นสะท้านครั้นเขาหวนนึกถึงพลังของสัตว์อสูรเหล่านั้นแล้ว เขาถึงกับกลืนน้ำลายด้วยความสยดสยอง
หากแต่เขาก็เข้าใจดีว่าไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรนายของเขาก็ไม่มีวันเชื่อหรอก ปล่อยให้นายของเขาได้เห็นด้วยตาตนเองจะดีกว่า …
เว่ยเชิงผิงตะคอกพลางเดินไปที่ประตู
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรีเส้นผมสีเงินยวงยิ่งทอประกาย
บุรุษรูปงามท่วงท่าสง่าองอาจในอาภรณ์สีม่วง เปี่ยมเสน่ห์ยากจะบรรยายได้ นัยน์ตาของเขาทรงอำนาจกดขี่ทุกสรรพสิ่ง
“นี่มัน… ” เว่ยเชิงผิงยืนอึ้งกลืนน้ำลายเอื๊อก
สัตว์อสูรผู้นี้แลดูสวยงามเหลือเกินสวยงามกว่าสาวงามรอบตัวเขาหลายร้อยเท่า ทว่าน่าเสียดายที่มันเป็นผู้ชาย …