จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1106-1110
บทที่ 1106 : เริ่มสงคราม (6)
เว่ยเชิงผิงมีสีหน้าเสียใจหากสัตว์อสูรผู้นี้เป็นผู้หญิง เขาคงไม่รังเกียจเลยที่จะยอมรับ …
”สัตว์อสูรเจ้าช่างเหิมเกริมนัก กล้ามาสร้างปัญหาที่บ้านของข้าเลยกระนั้นหรือ ?” สีหน้าเยาะเย้ยปรากฏบนใบหน้าของเว่ยเชิงผิง เขาส่ายพุงอ้วน ๆ ก้าวเข้าไปหาตี้คัง
“ทว่า… ข้าขอพนันกับเจ้า หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องยอมศิโรราราบให้ข้า หากข้าแพ้ข้าจะมอบบุตรสาวของข้าให้แต่งงานกับเจ้าดีหรือไม่ ? ฮ่า ๆ ๆ !”
เว่ยเชิงผิงหัวเราะเสียงดังเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน เขาไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าที่ดำคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ ของตี้คัง
”นี่นับเป็นวาสนาสำหรับเจ้านะบุตรสาวของข้านั้นสวย ทั้งมากด้วยความสามารถ นางเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ยอดเยี่ยม ใครที่ได้แต่งงานกับนางก็นับว่าได้ประโยชน์มาก หากแต่แน่นอนว่า ก่อนอื่นเจ้าต้องเอาชนะข้าให้ได้เสียก่อน”
แววตาของตี้คังเป็นประกายเย็นยะเยียบเขาไม่อยากกล่าวคำใดกับเว่ยเชิงผิงแม้สักคำ ราวกับว่าการพูดออกมาสักคำหนึ่งจะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาต้องอับอาย
เช่นนั้น…
ตี้คังจึงเริ่มลงมือก่อน…
กลิ่นอายของเขาราวกับทะเลที่พลุ่งพล่านไม่ต่างจากคลื่นลูกใหญ่ที่สาดซัดเข้าหาเว่ยเชิงผิงไม่หยุด ทันทีที่ตี้คังยกมือขึ้น เว่ยเชิงผิงก็เหมือนจะรู้สึกว่าหัวใจของเขาถูกมือบีบแน่นกระทั่งอึดอัดหายใจแทบไม่ออก
ตูม!
จู่ๆ พลังที่ราวกับภูเขาทั้งลูกก็พุ่งเข้าปะทะหน้าอกของเขา เว่ยเชิงผิงไม่ทันจะตอบสนอง ร่างของเขาก็กระเด็นออกไปแล้ว
ดวงตาของเขาเบิกกว้างใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนว่าเขายังไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ครั้นรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงเขาก็หายงง เขาจ้องมองชายในอาภรณ์สีม่วงด้วยความสยดสยอง “เจ้า … เป็นไปได้อย่างไร ?”
สัตว์อสูรระดับนักบุญส่วนใหญ่ในดินแดนสวรรค์ไม่ได้ถูกสังหารไปหมดแล้วหรอกรึ? เหตุใดจึงยังมีผู้ที่ทรงพลังเช่นนี้อยู่อีกเล่า ?
เว่ยเชิงผิงกำหมัดแน่นขณะที่เขาพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นจากพื้น ร่างของชายหนุ่มก็มาถึงหน้าเขาแล้ว
นัยน์ตาหยิ่งยโสของชายหนุ่มทอดลงมองเว่ยเชิงผิงซึ่งนอนอยู่บนพื้นจากนั้นใบหน้าที่สวยงามของเขาก็ถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีที่มืดมน
บางทีกลิ่นอายรอบตัวชายหนุ่มอาจจะน่ากลัวมากกระทั่งเว่ยเชิงผิงหวาดกลัวเกินกว่าจะขยับตัวได้ในตอนนี้ ที่สุดเว่ยเชิงผิงก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดทหารยามถึงได้กล่าวเช่นนั้น
กลายเป็นว่าเขาประเมินชายผู้นี้ต่ำเกินไป…
พร้อมเสียงโครมเท้าของตี้คังก็กระทืบลงบนหน้าอกของเว่ยเชิงผิงอย่างแรง จากนั้นก็เหยียบร่างของเว่ยเชิงผิงกระทั่งจมลงกับพื้น
บนพื้นดินแข็งๆ ทว่าด้วยพลังของตี้คังก็ก่อให้เกิดร่องรอยของร่างมนุษย์
“เจ้า… เจ้าเป็นใครกันแน่ ?” น้ำเสียงของเว่ยเชิงผิงสั่นสะท้าน
ด้วยพลังเท้าของชายผู้นี้ทำให้เขาสูญเสียความแข็งแกร่งที่จะต้านทานได้ เลือดไหลออกมาจากปากของเขาตลอดเวลา ใบหน้าของเขาอาบไปด้วยเลือด
ตี้คังหัวเราะเยาะ”ก็แค่โจรที่มาปล้นเจ้า !”
ปรากฏเส้นสีดำสามเส้นปูดโปนบนขมับของสัตว์อสูรที่ติดตามตี้คังมา
ผู้ใดเป็นโจรมาปล้นคนๆ นี้กัน ?
พวกเขาไม่ใช่โจรสักหน่อย…
แม้ว่าพฤติกรรมในยามนี้ของพวกเขาจะเหมือนโจรมากสักเพียงใดก็ตามที…
”แค่ก!” เว่ยเชิงผิงกระอักเลือดออกมาสองคำ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ ว่า “เอ่อ ข้าจะมอบทุกอย่างตามแต่เจ้าจะต้องการ โปรดอย่าสังหารข้า ข้ายังไม่อยากตาย … ”
ที่สุดตี้คังก็ขยับเท้าของเขาออก ก่อนจะดึงตัวเว่ยเชิงผิงออกมาจากหลุมรูปมนุษย์ขนาดใหญ่ ชั่วขณะนั้น กริชขนาดเล็กก็ปรากฏขึ้นบนมือของเขา กริชนั้นแทงทะลุตาซ้ายของเว่ยเชิงผิงดังป๊อป
”อ๊าค!”
เว่ยเชิงผิงกรีดร้องเสียงลั่นความเจ็บปวดที่บริเวณตาซ้ายของเขา ทำให้ร่างของเขาสั่นสะท้าน นัยน์ตาข้างที่เหลือของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ชายผู้นี้ไม่ใช่สัตว์อสูรหากแต่เป็นปีศาจชัด ๆ !
บทที่ 1107 : เริ่มสงคราม (7)
”หากเจ้ายังกล้ามองข้าอีกครั้งข้าจะแทงตาขวาของเจ้าด้วย !” น้ำเสียงของตี้คังนั้นน่ากลัวชวนสยดสยอง เสียงนั้นดังมาพร้อมกับกลิ่นอายกดดันหนาแน่น “นอกจากนี้…หากเจ้ากล้าพล่ามวาจาไร้สาระอีก ข้าก็จะ … ทำให้เจ้าไม่สามารถพูดได้อีกแม้แต่คำเดียว !”
เว่ยเชิงผิงตัวสั่นเขาก้มศีรษะลง ไม่กล้ากล่าวคำใดอีก เขาหวังเพียงว่าปีศาจตนนี้จะออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็ว
”ข้าจะรออยู่ที่นี่ไปเอาสมบัติของเจ้ามา”
ตี้คังปล่อยมือน้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาเล็กน้อย
เขาไม่กลัวว่าเว่ยเชิงผิงจะหลบหนีเพราะคฤหาสน์เว่ยแห่งนี้ยากที่จะหลบหนีได้
เว่ยเชิงผิงตัวสั่นเขาไม่กล้าอิดออด เขารีบเดินไปที่คลังสมบัติทันที เพราะเกรงว่าหากเขาช้าไปเพียงชั่วอึดใจ ผู้ที่ไม่ต่างจากปีศาจคนนี้จะทำให้ชีวิตของเขาแย่เสียยิ่งกว่าตาย !
ตี้คังหันไปกวาดตามองผู้ใต้บังคับบัญชานับสิบคนที่อยู่ด้านหลังเขา”จับทุกคนในบริเวณใกล้เคียงสนามรบโบราณนี้ไว้ให้หมด ผู้ใดกล้าขัดขืนฆ่าได้ไม่ต้องปรานี !
”พ่ะย่ะค่ะ”
สัตว์อสูรถอยกลับไป
คฤหาสน์เว่ยซึ่งเดิมทีมีการร้องเพลงร่ายรำยามนี้กลับถูกปกคลุมไปด้วยความเคร่งเครียด
เหล่านักร้องและนางระบำของคฤหาสน์เว่ยต่างพากันขดตัวไม่กล้ากล่าวคำใด
พวกนางไม่คาดคิดว่าชายหนุ่มที่หล่อเหลาถึงเพียงนี้จะโหดเหี้ยมมากเพียงเขาเริ่มลงมือ เขาก็ทำลายดวงตาของเว่ยเชิงผิงไปแล้วข้างหนึ่ง
เช่นนั้น…ยามนี้พวกนางต้องพยายามทำเหมือนไม่มีตัวตน เพื่อจะได้ไม่ดึงดูดความสนใจของปีศาจตนนี้ …
เว่ยเชิงผิงปิดตาที่เปื้อนเลือดของตนวิ่งเข้าไปในคลังสมบัติอย่างรวดเร็ว เขาแอบหยิบยาเม็ดหนึ่งออกมากินเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด จากนั้นก็เริ่มหาสมบัติ
”โชคไม่ดีเลยสนามรบโบราณแห่งนี้สงบเงียบมานานหลายปีแล้ว เหตุใดปีศาจตนนี้ถึงมาโผล่ที่นี่ได้ ?”
เว่ยเชิงผิงมองสมบัติที่เขาเก็บสะสมมานานหลายปีด้วยสีหน้าอมทุกข์จากนั้นใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือด มือของเขาสั่นระริก เขาหยิบสมบัติเหล่านั้นขึ้นมาใส่ไว้ในกระเป๋าเก็บของด้วยใจที่เต้นระรัว
”ท่านพ่อ!”
ทันใดนั้นเสียงเรียกก็ดังมาจากด้านหลังเว่ยเชิงผิง
หัวใจของเว่ยเชิงผิงสั่นไหวเขาหันศีรษะไปมองสตรีที่เข้ามาจากด้านหลัง
รูปร่างของหญิงผู้นี้คล้ายเว่ยเชิงผิงมากนางทั้งตัวใหญ่หนาเตอะ อีกคิ้วของนางก็เชื่อมต่อกันราวกับเส้นตรง
นอกจากผิวที่ขาวแล้วก็หาข้อดีไม่ได้เลย
”โอ้…ลูกสาวที่รักของข้าเหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่ได้ ?” เว่ยเชิงผิงกระทืบเท้าอย่างเป็นกังวล “เจ้ารีบหาที่ซ่อนตัวเร็ว ไว้คนเหล่านี้ออกไปก่อน เจ้าจึงค่อยออกมา ตาของพ่อก็บอดไปข้างหนึ่งแล้ว เจ้างามถึงเพียงนี้ หากคนเหล่านั้นพยายามข่มเหงเจ้าจะทำเยี่ยงไร ?”
หากเหล่าสัตว์อสูรได้ยินถ้อยคำของเว่ยเชิงผิงเมื่อครู่พวกเขาอาจจะอาเจียนอาหารค่ำออกมา
หากสตรีนางนี้เรียกว่าสวยเกรงว่าในโลกนี้จะไม่มีผู้หญิงหน้าตาดีอีกแล้ว
ด้วยเหตุที่เว่ยชิงชิงไม่เคยออกจากสนามรบโบราณทั้งคนในตระกูลเว่ยต่างก็ชื่นชมนางเป็นอย่างมาก ทั้งนางยังเป็นที่รู้จักในฐานะสาวงามอันดับหนึ่งในสนามรบโบราณแห่งนี้
เช่นนั้นเว่ยชิงชิงจึงมั่นใจในความงามของนางอย่างสูง
“ท่านพ่อนี่ท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด ? ไยท่านถึงต้องการให้ข้าไปซ่อนตัว ข้าได้ยินมาว่า เมื่อครู่ท่านพนันว่าหากท่านแพ้ ท่านจะให้ข้าแต่งงานกับชายรูปงามผู้นั้น”
เว่ยชิงชิงก้มหน้าลงอย่างเคอะเขินๆ นางบิดผมพลางโยกตัวไปมา “ท่านพูดแล้วไม่ควรคืนคำ”
นางไม่เคยเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีถึงเพียงนี้มาก่อนในเมื่อบิดาของนางแพ้พนันนางก็ต้องยอมเป็นเมียของเขา !
สีหน้าของเว่ยเชิงผิงเย็นชาลงเขากล่าวเล่น ๆ ไม่ได้ตั้งใจจะให้เว่ยชิงชิงแต่งงานจริง ๆ
ที่จริงแม้ว่าเขามักจะชมเชยความงามของบุตรสาวเสมอหากแต่เห็นได้จากรูปโฉมของเหล่าอนุข้าง ๆ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่า เขาไม่ใช่แยกไม่ออกระหว่างสาวงาม และสาวอัปลักษณ์
บทที่ 1108 : เริ่มสงคราม (8)
แต่เพราะว่าเว่ยชิงชิงเป็นบุตรสาวของเขาและเขาไม่ต้องการให้นางเสียใจ เขาจึงตั้งฉายาให้นางว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งสนามรบโบราณ
”ชิงชิงชายผู้นั้นไม่ใช่คนดี เขาไม่เหมาะกับเจ้า เขาโหดร้ายเกินไป และที่สำคัญเขายังเป็นสัตว์อสูร !” เว่ยเชิงผิงกล่าวอย่างจริงจัง
เว่ยชิงชิงกล่าวด้วยปากใหญ่หนาของนาง”เมื่อท่านเริ่มเดิมพัน เขาก็รีบเอาชนะท่าน เขาอาจได้ยินว่าข้าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งสนามรบโบราณแห่งนี้ เขาจึงเจาะจงมาที่นี่เพื่อแต่งงานกับข้า”
”ชิงชิง!” เว่ยเชิงผิงกระวนกระวายใจ
แม้ว่าเขาจะมีนางบำเรอมากมายหากแต่เขาก็มีบุตรสาวสุดที่รักแค่เพียงคนเดียว แน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้นางตาย
หากแต่เว่ยชิงชิงกลับตะคอกใส่ว่า”ท่านพ่อ ท่านไม่ตั้งใจจะให้ข้าแต่งงานกับเขา ท่านจะส่งนางบำเรอของท่านไปให้เขาแทนใช่หรือไม่ ?”
ต้องบอกว่าเว่ยเชิงผิงมีความคิดเช่นนั้นจริง ๆ มีหญิงสาวสวยมากมายรายล้อมรอบตัวเขา แม้ว่าชายผู้นั้นจะเป็นสัตว์อสูร หากแต่ชายผู้นั้นก็ย่อมต้องชอบสาวงามเช่นกัน คงจะดีมาก หากจะทำให้ชายผู้นั้นพอใจด้วยสิ่งนี้
“ชายผู้นั้นทรงพลังมากนางบำเรอตัวน้อยของท่านผอมราวกับเสาไม้ไผ่ จะทนต่อพลังมากมายของเขาได้เยี่ยงไร ? มีเพียงเรือนร่างของข้าเท่านั้นที่สามารถทนต่อพลังอันเปี่ยมล้นของเขาได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าข้าได้ชื่อว่าเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งสนามรบโบราณ ข้าจะไม่คู่ควรกับเขามากกว่ากระนั้นหรือ ?”
มือใหญ่ที่แข็งแรงของเว่ยชิงชิงโบกไปมาในอากาศหลายครั้งราวกับจะแสดงพละกำลังของนาง
เมื่อเห็นว่าเว่ยเชิงผิงไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ นางก็เขย่าไหล่ของเขาอีกครั้ง “ท่านพ่อ…ข้าไม่สนอะไรทั้งสิ้น ข้าจะแต่งงานกับหนุ่มรูปงามคนนี้ เขาต้องแต่งงานกับข้า !”
“แล้วหาก… เขามีเมียแล้วล่ะ ?”
“นั่นก็ไม่เห็นจะยากเลยผู้ชายมีภรรยาสามสนมสี่เป็นเรื่องธรรมดา ให้เขาลดระดับภรรยาของเขามาเป็นนางบำเรอและแต่งงานกับข้าอีกครั้งก็ได้”
เว่ยชิงชิงเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิขณะเอ่ยกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ
นัยน์ตาของเว่ยเชิงผิงกระพริบสองสามครั้งมีนางบำเรอที่สวยงามมากมายอยู่รอบตัวเขา เขาจะเสนอชายผู้นั้น จากนั้นค่อยนำเสนอบุตรสาวของเขา
หากได้เห็นนางบำเรอมากมายบางทีชายผู้นั้นอาจปฏิเสธชิงชิง …
คฤหาสน์เว่ย
ภายในห้องนั่งเล่นตี้คังเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เรือนผมสีเงินยวงราวผ้าไหมละไปกับอาภรณ์สีม่วงช่างเปี่ยมเสน่ห์อย่างไร้ที่ติ
แววตาที่ชั่วร้ายและเกียจคร้านในตอนแรกของตี้คังพลันเคร่งเครียดขึ้น เมื่อเห็นสตรีผู้หนึ่งผ่านประตูเข้ามา เขารีบลุกขึ้นจากเก้าอี้เอ่ยทักทาย
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าคืนนี้ให้เจ้ารอข้าอยู่ที่บ้าน? เหตุใดเจ้าถึงยังมาที่นี่อีก?”
ภายใต้ท้องฟ้าดำมืดยามราตรีหญิงสาวในอาภรณ์สีแดงเปี่ยมเสน่ห์หยุดยืนอยู่ที่ประตูอย่างเงียบ ๆ สายลมยามค่ำพัดมาสะบัดชายผ้าของนางในยามนี้ ช่างงดงามมากกระทั่งผู้พบเห็นแทบลืมหายใจ
ผู้อาวุโสใหญ่เดินตามหลังนางมาพลางยิ้มอย่างขมขื่น “ราชา…กระหม่อมพยายามห้ามราชินีแล้ว หากแต่พระองค์เคยรับสั่งว่า ผู้คนในแดนอสูรจะต้องทำตามรับสั่งของราชินีก่อนรับสั่งของพระองค์ เช่นนั้น … กระหม่อมจึงไม่อาจทัดทานได้”
สีหน้าของเขาเหมือนทำอะไรไม่ถูกหากราชินียืนยันที่จะออกมาก็ไม่มีผู้ใดห้ามนางได้
ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ “หลังจากคิดดูแล้ว ข้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เช่นนั้นจึงอยากมาดูเองให้เห็นกับตา”
ครั้นเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของไป๋หยานแล้วตี้คังก็ไม่อาจตำหนินาง เขาจับแขนของนาง พาเดินขึ้นไปยังที่นั่งอย่างระมัดระวัง
“หยานเอ๋อ…ช่างเถอะเจ้ามานั่งพักได้แล้ว ข้าจะจัดการเรื่องเหล่านี้เอง”
ไป๋หยานพยักหน้าเล็กน้อย
อย่างไรเสียสถานที่แห่งนี้ก็เป็นอาณาเขตเชื่อมต่อไปยังอาณาจักรสวรรค์มีอันตรายมากมายในอาณาจักรสวรรค์ นั่นทำให้นางไม่อาจนอนหลับอย่างสงบที่บ้านได้ เช่นนั้นนางจึงมาหาเขา
เพียงแค่ได้เห็นเขาปลอดภัยนางก็สบายใจ …
ขณะที่ไป๋หยานกำลังนั่งลงเว่ยเชิงผิงก็เดินผ่านประตูเข้ามา ตามหลังเขามาคือสตรีร่างใหญ่หนานางหนึ่ง
บทที่ 1109 : เริ่มสงคราม (9)
หากมิใช่เป็นเพราะหน้าอกอวบใหญ่ของนางก็คงไม่มีผู้ใดคิดว่านางเป็นสตรี
เว่ยชิงชิงเห็นหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างกายตี้คังอย่างรวดเร็วนัยน์ตาของนางเบิกกว้าง นางแสดงอาการโกรธเคืองออกมาทันที
”ท่านพ่อหญิงผู้นั้นเป็นนางบำเรอของท่านใช่หรือไม่ ? ผู้ใดอนุญาตให้นางนั่งตรงนั้น ? นั่นคือตำแหน่งของข้าให้นางลงมาซะ ข้าจะไปนั่งตรงนั้น !”
ชั่วขณะนั้นทุกคนในห้องต่างก็หันไปมองเว่ยชิงชิง
ไป๋หยานหรี่ตาลงเล็กน้อยแววตาของนางเย็นชา ขณะมองเว่ยชิงชิงผู้ซึ่งกำลังมีอารมณ์พลุ่งพล่าน
สีหน้าของตี้คังก็ดำคล้ำลงเช่นกันเจตนาสังหารแผ่ออกมาโดยรอบ ทำให้บรรยากาศในห้องนั่งเล่นมืดหม่นและน่ากลัว
“ราชินีของข้า…กลายไปเป็นนางบำเรอของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่?” น้ำเสียงของตี้คังเยือกเย็นราวกับแว่วมาจากขุมนรก ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตาย
ครั้นเว่ยเชิงผิงนึกถึงความน่ากลัวของชายผู้นี้เขาถึงกับยกมือขึ้นปาดหยาดเหงื่อเย็นบนหน้าผาก “ชิงชิง เจ้าเข้าใจผิดนี่ไม่ใช่นางบำเรอของบิดา เจ้ารีบยอมรับผิดเสียไว ๆ เถอะ !”
”ยอมรับ…เหตุใดข้าต้องยอมรับ”เว่ยชิงชิงกระโดดขึ้น นางเหล่ตาไปมองตี้คัง แววตาของนางเต็มไปด้วยความหลงใหล “ท่านมาที่นี่ไม่ใช่เพราะท่านได้ยินว่าข้าเป็นโฉมงามอันดับหนึ่งในสนามรบโบราณหรอกรึ ? ท่านมาที่นี่เพื่อแต่งงานกับข้าไม่ใช่หรือ ? หญิงผู้นี้มีอะไรดี เหตุใดข้าต้องขอ…? ”
เว่ยชิงชิงนิสัยเสียมาตลอดทั้งไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น นางได้ยินแต่สิ่งที่เว่ยเชิงผิงกรอกหูมาตลอด นางจึงเชื่อว่าตี้คังมาที่นี่เพื่อแต่งงานกับนาง
หาไม่…เหตุใดเขาถึงต้องรีบเอาชนะบิดานางทันทีที่บิดาของนางกล่าวเช่นนั้นไปล่ะ?
คาดไม่ถึงว่าชายผู้นี้มาแต่งงานกับนางทั้งทีกลับพาหญิงอื่นมาด้วย ช่างไม่จริงใจเอาเสียเลย !
น่าเสียดาย…
เว่ยชิงชิงกล่าวยังไม่ทันจบถ้วยชาในมือของตี้คังก็ลอยมากระทบหน้าผากของนาง
ส่งผลให้หน้าผากของนางปรากฏเลือดไหลออกมาเป็นทางเลือดนั้นไหลอาบใบหน้าที่อุดมไปด้วยไขมันของนาง
เว่ยชิงชิงตกตะลึงนางไม่เข้าใจว่าชายผู้นี้ต้องการสิ่งใดไยเขาถึงต้องทำร้ายนาง ?
”โอหังยิ่งนัก!” ผู้อาวุโสใหญ่ตวาด “เจ้ากล้าดียังไงถึงได้กล่าวตำหนิราชินีแห่งแดนอสูรของเรา ? อีกทั้งด้วยรูปลักษณ์ที่น่าเกลียดของเจ้า เจ้ายังกล้าที่จะไขว่คว้าองค์ราชาอีกกระนั้นรึ ?”
ราชินี?
เว่ยเชิงผิงตกใจมากเขารีบคุกเข่าลงบนพื้น พลางมองคนทั้งสองที่นั่งบนที่สูงเนื้อตัวสั่นเทา
”ทะ… ท่านเป็นสัตว์อสูรในแดนอสูรกระนั้นหรือ ?”
ทั้งยังเป็นราชาและราชินีแห่งแดนอสูรอีกด้วยรึ ?
ใช่แล้ว… นอกจากคนจากอาณาจักรอสูรแล้ว สัตว์อสูรที่อื่นจะสามารถเอาชนะเขาได้อย่างไร ? ครานี้เขาแหย่รังแตนขนาดใหญ่เข้าให้แล้วสิ ?
ถ้อยคำดูหมิ่นของผู้อาวุโสใหญ่ทำให้เว่ยชิงชิงโกรธอย่างบอกไม่ถูกนางกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธจัดว่า “ข้าเป็นถึงโฉมงามอันดับหนึ่งในสนามรบโบราณ เจ้าจะว่าข้าน่าเกลียดได้อย่างไร ? มีเพียงคนเยี่ยงข้าเท่านั้น ที่สามารถแบกรับความร้อนแรงของชายผู้นี้ได้ หญิงอ่อนแออ้อนแอ้นเช่นนี้จะรองรับอารมณ์เขาได้อย่างไร ต่อให้นางท้องเด็กในท้องของนางก็คงไม่ได้เกิดออกมาดูโลกเป็นแน่ !”
ไป๋หยานกำลังจิบชาอย่างเฉยเมยแม้แต่ปลายหางตาของนางก็ไม่ได้เหลือบแลมองเว่ยชิงชิง
ในสายตาของนางเว่ยชิงชิงเป็นเพียงตัวตลกที่กำลังกระโดดโลดเต้นไปมา
อย่างไรก็ตาม…
ถ้อยคำของเว่ยชิงชิงส่งผลให้ถ้วยชาในมือของไป๋หยานพลัดตกลงบนพื้น นางลุกขึ้นยืนพร้อมกับมองเว่ยชิงชิงด้วยความโกรธ เสียงไป๋หยานตวาด
“เจ้ากล้าแช่งลูกของข้ารึนางสารเลว !”
ไป๋หยานตบฝ่ามือลงบนโต๊ะพลันโต๊ะก็แยกออกเป็นสองส่วน ร่างของนางสั่นเทิ้มอย่างโกรธเกรี้ยว กลิ่นอายสังหารแผ่กระจายไปทั่วห้องโถง
ผู้อาวุโสใหญ่และคนอื่นๆ ต่างก็กลัวจนหัวหด ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเว่ยชิงชิงจะพูดอะไรเช่นนี้
ตี้คังลุกขึ้นยืนทันทีเขาลูบหน้าอกของไป๋หยานเบา ๆ “หยานเอ๋อ เรื่องนี้ไว้ให้ข้าจัดการเอง อย่าโมโห ไม่คุ้มหรอกที่จะโกรธ”
บทที่ 1110 : เริ่มสงคราม (10)
พฤติกรรมก่อนหน้านี้ของเว่ยชิงชิงได้ยั่วยุความโกรธของตี้คังเข้าแล้วยามนี้เขากำลังใคร่ครวญว่าควรจะทรมานนางเช่นไรเพื่อเป็นการลงโทษดี ?
หากมิใช่เป็นเพราะมัวแต่คิดว่าจะจัดการเว่ยชิงชิงเช่นไรเขาคงไม่สงบนิ่งนานถึงเพียงนี้ หญิงผู้นี้ไม่เพียงแต่สาปแช่งลูกของเขาที่ยังไม่ได้ถือกำเนิด ทว่ายังทำให้หยานเอ๋อโกรธมากอีกด้วย
”อาวุโสใหญ่ลากตัวหญิงผู้นั้นมา!”
สายตาของตี้คังค่อยๆ กวาดมามองเว่ยชิงชิง แววตาของเขาเย็นชา อีกทั้งเคร่งขรึม ไม่หลงเหลือความอบอุ่นเฉกเช่นตอนที่เผชิญหน้ากับไป๋หยานอีกต่อไป
”เฉือนเนื้อนางออกมาพันชิ้น! หากนางตายก่อนเฉือนเนื้อชิ้นสุดท้าย ข้าจะจัดการกับเจ้า !”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทุกครั้งที่นางถูกเฉือนเนื้อนางต้องไม่ตาย นางต้องดูร่างของนางถูกมีดเฉือนเป็นพันชิ้น นางยังต้องมีชีวิตอยู่รับรู้ความเจ็บปวด จนกว่านางจะหลั่งเลือดครั้งสุดท้าย !
นี่… คือผลลัพท์ที่ทำให้ตี้คังเดือดดาล
เว่ยชิงชิงตกใจท่าทีของนางตื่นตระหนก “ท่านไม่ได้มาที่นี่เพื่อแต่งงานกับข้าหรอกหรือ ? เหตุใดท่านถึงได้ปฏิบัติกับข้าเช่นนี้ ? ไม่…ข้ายังไม่อยากตาย ท่านพ่อช่วยข้าด้วย !”
“นังโง่!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะคอกอย่างเย็นชา “หากจะเปรียบราชินีกับเจ้าแล้ว ก็ไม่ต่างจากก้อนเมฆขาวกับโคลนตม ยังจะกล้าพูดอีกว่าองค์ราชาเสด็จมาที่นี่ เพื่อแต่งงานกับเจ้า ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าควรจะเอาหน้าตัวเองไปซุกไว้ที่ใด”
”ไม่…ข้าไม่ได้โกหกเขาเป็นคนยอมรับเองชัด ๆ ทันทีที่ท่านพ่อของข้าบอกว่า หากท่านพ่อแพ้ ท่านพ่อก็จะยกข้าให้แต่งงานกับเขา เขาก็รีบเอาชนะท่านพ่อทันที ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมเห็นได้ชัดว่าการที่เขาเอาชนะท่านพ่อของข้าก็ย่อมเป็นเพราะต้องการแต่งงานกับข้ามิใช่หรือ ?”
ครั้นเห็นสัตว์อสูรสองตัวเข้ามาใกล้หัวใจของนางก็เต้นระรัวมากขึ้น นางก้าวถอยหลัง ใบหน้าอ้วน ๆ ของนางซีดเผือด
หลังจากนางกล่าวจบน้ำเสียงอันเยือกเย็นของตี้คังก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ก็แค่เขาไม่มีคุณสมบัติพอที่จะมาพูดกับราชาเช่นข้า!”
ประโยคนี้ทำให้เว่ยชิงชิงรู้สึกราวกับตกลงไปในห้องน้ำแข็งใต้ดินทันทีร่างของนางสั่นสะท้าน
เป็นไปได้เยี่ยงไร?
แววตาของนางเปลี่ยนจากความตื่นตระหนกในตอนแรกเป็นความสิ้นหวัง ยามนี้แม้จะถูกสัตว์อสูรลากตัวไป นางก็ไม่มีความรู้สึกอะไรอีกแล้ว นางยังคงเอาแต่จ้องมองใบหน้าที่สวยงามนั้นไม่วางตา
”ช้าก่อน!”
ไป๋หยานกล่าวขึ้นเพื่อหยุดฝีเท้าของสัตว์อสูรทั้งสอง
ตี้คังรั้งไป๋หยานเข้าสู่อ้อมแขนพลางลดสายตาลงมองนางพร้อมกับเอ่ยถาม “มีอะไรหรือหยานเอ๋อ ?
ไป๋หยานสูดลมหายใจเข้าลึกพลางระงับความโกรธในใจเอ่ยกล่าวอย่างเย็นชา “หากขืนทำเช่นนั้น นางก็อาจจะเจ็บปวดตายเสียก่อน”
จากถ้อยคำของไป๋หยานแววตาที่แต่เดิมสิ้นหวังของเว่ยชิงชิงเริ่มกลับมามีความหวังเต็มเปี่ยม
หรือว่า…หญิงผู้นี้จะปล่อยนางไป? หรือจะไม่ให้นางต้องทนทรมาน ?
ไป๋หยานไม่ได้มองเว่ยชิงชิงหากแต่นางมองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ “ข้ามียานี่อยู่ ยานี่จะป้องกันไม่ให้นางสิ้นใจ ทั้งไม่ให้นางหมดสติด้วย แม้ว่านางจะต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าพัน ๆ ครั้งก็ตามที เจ้าเอาไปให้นางกินเถิด”
และนี่คือผลที่กล้าแช่งลูกของไป๋หยาน!
แววตาของเว่ยชิงชิงมืดมนลงอีกครั้งนางรีบดิ้นรนทันที
”ท่านพ่อช่วยข้าด้วย! นางผู้หญิงสารเลว…เจ้า … ”
สัตว์อสูรสองตัวที่กำลังลากตัวนางกลัวว่าหญิงผู้นั้นจะกล่าวสิ่งไม่ควรออกมาอีก เขาจึงตวัดมีดลงบนข้อมือของนาง ส่งผลให้ชิ้นเนื้อถูกตัดขาดออกมาในทันที
”กรี๊ด!”
เว่ยชิงชิงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดนางหยุดทุกถ้อยคำที่นางต้องการก่นด่า ยามนี้ร่างของนางสั่นสะท้าน และนางก็ไม่สามารถกล่าวคำสาปแช่งใด ๆ ได้อีกต่อไป
เสียงกรีดร้องดังก้องไปทั่วคฤหาสน์กระทั่งเงียบลงอีกครั้ง
เว่ยเชิงผิงตัวสั่นแม้ว่าเว่ยชิงชิงจะเป็นบุตรสาวสุดที่รักของเขา หากแต่บางคนก็รักตัวกลัวตาย เมื่ออยู่ในช่วงเวลาวิกฤต
เขาไม่กล้าที่จะร้องขอชีวิตให้เว่ยชิงชิงเพราะเกรงว่าเขาจะต้องดับดิ้นสิ้นใจไปด้วย
“สมบัติอยู่ที่ใด?”
น้ำเสียงของตี้คังเย็นชาเขามองเว่ยเชิงผิงด้วยแววตาเหนื่อยหน่าย