จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1161-1165
บทที่ 1161 : ปาฏิหาริย์อีกครั้ง (4)
“เอาน่าลองดูก่อน ข้าไม่อาจจมอยู่ที่นี่ชั่วชีวิต หากไม่ได้ผลอย่างมากก็แค่เสียดาบ”
ไป๋หยานคะเนชั่งดาบยักษ์ในมือของตนนัยน์ตาของนางสั่นไหว พลันนางก็เหวี่ยงดาบออกไปด้วยท่วงท่าสบาย ๆ จากนั้นดาบก็พุ่งไปยังริมหน้าผา
ปลายด้านหนึ่งของดาบวางไว้ใต้เท้าของไป๋หยานส่วนอีกด้านหนึ่งก็กำลังจะใช้เป็นสะพาน
ไป๋หยานรู้สึกดีใจมากดูเหมือนว่าจุดประสงค์ของดาบเล่มนี้ ไม่เพียงแต่จะมีไว้เพื่อข่มขู่หลงหยันกับป้านชิงเฉิงเท่านั้น หากแต่ยังสามารถนำมาใช้ในสถานการณ์ตอนนี้ได้ด้วย
ครั้นใช้ดาบนี้ต่างสะพานไป๋หยานก็สามารถมาถึงอีกด้านของหน้าผาได้อย่างง่ายดาย นางยกมือขึ้น พลันดาบยักษ์ก็ลอยเข้ามาสู่มือของนางอีกครั้ง
หลังจากนั้นนางก็ค่อยๆ หันหน้าไปจ้องมองประตูทองสำริดเบื้องหน้า
ฟิ้ว!
ทันทีที่ไป๋หยานเข้าใกล้ประตูทองสำริดดาบยักษ์ก็พุ่งแหวกอากาศเข้าจู่โจมประตูสำริดอย่างไม่อาจควบคุมได้
ตูม!
ดาบยักษ์ฟาดฟันประตูทองสำริดกระทั่งประตูทองสำริดสั่นสะท้าน ทว่าเพียงพริบตาประตูทองสำริดก็กลับคืนสู่ความสงบในทันที
ทว่าดาบยักษ์ก็ยังไม่หยุดมันกลับโจมตีหนักหน่วงรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งทั่วทั้งหุบเขาแตกตื่น
ไป๋หยานสะดุ้ง
เมื่อครู่นี้ที่ได้ยินป้านชิงเฉิงพูดถึงดาบขนาดยักษ์นี้ว่า สามารถแทงทะลุหัวใจของหลงหยันได้ภายในดาบเดียว หากแต่ในตอนนี้ประตูทองสำริดโดนโจมตีหลายต่อหลายครั้งหนักหน่วงถึงเพียงนี้กลับไม่ได้รับความเสียหายใดเลยกระนั้นหรือ ?
เช่นนี้ความแข็งแกร่งของประตูทองสำริดนี้ก็มากกว่าหลงหยันอีกกระนั้นสิ?
ฟ้าว!
ดาบยักษ์เริ่มหมดแรงมันหมุนวนไปรอบ ๆ อย่างเป็นกังวลดูเหมือนมันจะไม่พึงใจอย่างมาก เพียงไม่นานมันก็ฟาดฟันลงอีกครั้ง พร้อมเสียงดังลั่น ประตูทองสำริดพลันสั่น ปรากฏรอยแตกเล็ก ๆ อยู่เหนือบานประตู
แม้รอยแตกจะปรากฏเพียงนิดแต่ถึงกระนั้น ก็เห็นได้ชัดว่าดาบยักษ์รู้สึกโล่งใจ มันกลับมามีความมั่นใจ และเริ่มโจมตีประตูทองสำริดอย่างดุเดือดอีกครั้ง
ยามนี้ดาบยักษ์ไม่ต่างจากคนบ้าคลั่งที่พุ่งเข้าโจมตีศัตรูของมันอย่างเมามันดูเหมือนว่ามันจะไม่มีวันหยุด หากไม่ได้ทำลายศัตรูให้สิ้นซาก !
ในที่สุด…
ภายใต้การโจมตีอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของดาบยักษ์ท้ายสุดประตูทองสำริดก็พังทลายลง
เหนือประตูปรากฏลูกปัดสีฟ้ากลิ้งตกลงมา
ทันทีที่ลูกปัดนี้ปรากฏดาบยักษ์ก็พุ่งออกไปรองรับลูกปัดอย่างรวดเร็วราวกับมันกำลังค้นพบสมบัติบางอย่าง มันปล่อยให้ลูกปัดจมลงในตัวดาบ …
ชั่วขณะนั้นดาบที่แต่เดิมมีขนาดใหญ่ยักษ์ ก็เริ่มหดเล็กลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็มีขนาดเหลือเท่าดาบธรรมดา มันนอนนิ่งสงบอยู่บนพื้น
บริเวณด้ามดาบปรากฏลายลูกปัดสีฟ้าสดใสแลเห็นเด่นชัดทว่าไม่มีลูกปัดฝังอยู่ เพราะลูกปัดได้หลอมรวมเข้ากับดาบไปแล้ว
ไป๋หยานหยิบดาบขึ้นมาจากพื้นพลางกดตัวดาบเบา ๆ
ดาบนี้เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ก่อนหน้านี้ที่ทรงพลังและทรงอำนาจ ยามนี้กลับไม่ต่างจากดาบธรรมดา
มีเพียงไป๋หยานเท่านั้นที่รู้ว่าดาบเล่มนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่นี้มากนัก
“แท้จริงแล้ว…เจ้าเป็นดาบที่มีจิตวิญญาณไม่น่าแปลกใจเลยที่เจ้าจะทรงพลังมาก เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้า” ไป๋หยานยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มที่ทรงอำนาจพลันปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของนาง “อืม… เจ้าจงชื่อว่าดาบล่าเทวดาจะดีหรือไม่ ?”
ดาบล่าเทวดา! สังหารพวกเทพสวรรค์ในอาณาจักรสวรรค์ให้สิ้น !
จากนั้นนางก็จะใช้ดาบเล่มนี้ล้างแค้นให้ วิหคอัคคี มังกรเขียว ที่ได้รับบาดเจ็บทีละคน !
ดาบล่าเทวดาไม่ได้ขยับมันสงบนิ่งอยู่ภายในอ้อมแขนของไป๋หยานราวกับกำลังหลับ
ไป๋หยานถือดาบล่าเทวดาไว้ในอ้อมแขนพลางก้าวเข้าไปในประตูสำริด …
ภายในประตูเงียบสนิทสายลมพัดมาจากด้านหน้า ทำให้ไป๋หยานอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
บทที่ 1162 : ปาฏิหาริย์อีกครั้ง (5)
นางวางมือบนหน้าท้องเพื่อปกป้องทารกในครรภ์โดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็เหลียวมองโดยรอบอย่างระแวดระวัง
“สถานที่เฮงซวยนี่…มันอะไรกัน!”
ฝีเท้าของไป๋หยานนั้นเบาอีกทั้งเชื่องช้า ถึงกระนั้นมันก็ยังคงดังก้องสะท้อนไปทั่วเส้นทางในหุบเขาที่ว่างเปล่า
“สัตว์อสูรห้ามเข้า”
บนกำแพงถัดไปไม่ไกลนักมีตัวอักษรขนาดใหญ่สี่คำเขียนด้วยสีแดงเลือดแลดูดึงดูดใจ
หลังจากเห็นตัวอักษรทั้งสี่ใบหน้าของไป๋หยานก็เปลี่ยนเป็นดำคล้ำ
ผู้ที่สร้างหุบเขาแห่งนี้คงจะเกลียดสัตว์อสูรมากใช่หรือไม่? ประการแรก ห้ามสัตว์อสูรก้าวเข้ามาในหุบเขานี้ และแม้แต่ภายในประตูสำริดก็ยังเขียนคำทั้งสี่นี้ด้วยเลือดอีก
ไป๋หยานไม่ใส่ใจอักขระทั้งสี่นางยังคงก้าวต่อไป ไม่ไกลกันนัก ปรากฏประตูอีกบาน นางยื่นมือออกไปผลักอย่างระมัดระวัง ประตูค่อย ๆ เปิดออก …
ด้านหลังบานประตูปรากฏรูปปั้นมากมาย
เหนือรูปปั้นมากมายเหล่านั้นปรากฏมนุษย์นั่งอยู่สูงสุด
มนุษย์ผู้นี้สวมเสื้อคลุมสีแดงหลวมๆ เรือนผมยาวสลวยสยายอยู่เต็มแผ่นหลัง
เนื่องจากรูปปั้นนี้ไม่ได้ปรากฏเค้าโครงหน้าและแม้แต่เรือนผมก็ไม่ได้เกล้า จึงไม่สามารถแยกแยะได้ว่ารูปปั้นนี้เป็นบุรุษหรือสตรี
ด้านล่างรูปปั้นนี้มีรูปปั้นสัตว์อสูรกลุ่มหนึ่งคุกเข่าอยู่แม้แต่มังกรหลังกระโดงที่ไป๋หยานเคยพบในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคุกเข่าต่อหน้ามนุษย์ผู้นี้ด้วย …
สีหน้าของพวกมันที่มองมนุษย์ผู้นี้มิได้มีเพียงความหวาดกลัวหากแต่ทั้งหวาดกลัว ทั้งอัปยศราวกำลังถูกบังคับ
“คนผู้นี้เป็นใคร”ไป๋หยานลูบคางของนางเบา ๆ พลางหันไปสบตากับมนุษย์ที่นั่งอยู่บนนั้นอีกครั้ง
นางเห็นมนุษย์ใช้มือข้างหนึ่งแตะคางของตนขณะเดียวกันก็เงยศีรษะขึ้นเล็กน้อย แม้ว่าจะไม่เห็นเค้าหน้ามนุษย์ผู้นี้ ทว่าไป๋หยานก็สามารถจินตนาการได้ถึงมนุษย์ที่ทรงอำนาจผู้ซึ่งข่มขู่ได้แม้กระทั่งสัตว์อสูร
“ข้าเดาว่าผู้ที่ปั้นรูปปั้นนี้น่าที่จะเป็นมนุษย์ผู้ซึ่งนั่งอยู่บนนั้นและมนุษย์ผู้นี้ก็เกลียดชังสัตว์อสูรอย่างอธิบายไม่ได้ เช่นนั้นเขาจึงจงใจปั้นให้สัตว์อสูรโบราณเหล่านี้คุกเข่าให้กับเขา”
ไป๋หยานครุ่นคิดสักพักก่อนที่จะได้รับคำตอบ
หากแต่…
นางไม่รู้ว่าสัตว์อสูรพวกนี้ทำอะไรให้เขาเขาถึงได้เกลียดสัตว์อสูรมากมายถึงเพียงนี้ ?
“หรือ… จะถูกสัตว์อสูรข่มขืน ?”
ไป๋หยานคิดว่าเริ่มแรกตี้คังก็เกลียดนางอย่างสุดซึ้ง หากเทียบกันแล้วมนุษย์ต้องทุกข์ทรมานอย่างที่สุดก็น่าจะเป็นเพราะโดนสัตว์อสูรข่มขืน อาจเป็นเช่นนี้ก็ได้ …
“ถึงแม้มนุษย์กับสัตว์อสูรจะมีข้อพิพาทระหว่างกันก็ช่างเถิดข้าต้องหาทางออกจากที่นี่ให้ได้”
ไป๋หยานถอนสายตาจากรูปปั้นเหล่านั้นเพื่อหันมองโดยรอบ ทันใดนั้นเองสายตาของนางก็ปะทะเข้ากับบานประตูซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก …
“นั่นมัน…”
แววตาของนางเป็นประกายร่างของนางรีบพุ่งไปยังประตูที่เห็นอยู่เบื้องหน้า เพียงไม่ช้ามือของนางก็ยื่นเข้าไปใกล้ ๆ บานประตูแล้ว
มีกลไกอยู่เหนือบานประตูนางสัมผัสเพียงเล็กน้อย ประตู พลันเปิดออก ด้านหลังบานประตูตำราโบราณพลันปรากฏต่อสายตาของนาง
หน้าปกตำราเป็นสีเหลืองคร่ำคร่าเห็นได้ชัดว่ามันเก่าแก่มากไป๋หยานปัดฝุ่นบนปกหนังสือเบา ๆ จากนั้นก็เปิดหนังสือในมือของนาง
“นี่มัน… ตำราปรับแต่งปรุงยาใช่หรือไม่ ?”
ไป๋หยานรู้สึกดีใจมากตำราปรับแต่งปรุงยา ที่นางได้รับในแดนมนุษย์นั้นมีเนื้อหาเพียงระดับสิบเท่านั้น ทว่าวิธีการปรับแต่งปรุงยาเหนือระดับสิบขึ้นไปนั้นไม่มี
อย่างไรก็ตามนักปรับแต่งปรุงยาระดับสิบนั้นเทียบเท่าระดับเทพอยู่แล้ว เช่นนั้นเหนือระดับสิบ จึงไม่มีผู้ใดเคยได้เห็นหรือได้ยินมาก่อนเลย
บทที่ 1163 : ปาฏิหาริย์อีกครั้ง (6)
”ตำราปรับแต่งปรุงยาเล่มนี้ดูเหมือนจะไม่สมบูรณ์มากนักมีเพียงระดับสิบถึงสิบสี่สูงกว่าระดับสิบสี่ก็ไม่มีแล้ว”
อย่างไรก็ตามถึงกระนั้นตำราปรับแต่งปรุงยาเล่มนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หัวใจของไป๋หยานมีความสุข
นางค่อยๆ ปิดตำราปรับแต่งปรุงยา บรรจงเก็บมันไว้ในถุงเก็บของ จากนั้นก็ค้นหาสมบัติอื่นต่อไป
อย่างไรก็ตามแม้นางจะค้นหาจนทั่ว ก็ไม่พบสมบัติอื่นใดอีก ทำให้นางกระจ่างใจ
ตำราปรับแต่งปรุงยาเล่มนี้เป็นสิ่งล้ำค่าที่สุดในนี้แล้วแน่นอนว่าไม่มีสิ่งของอื่นใดในที่นี้อีก
และนางก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักพอตำราปรับแต่งปรุงยาเล่มนี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง
ไป๋หยานหันกลับมาพลางก้าวช้า ๆ ไปที่รูปปั้นสูง นางลูบคาง ขณะเดียวกันก็หันมองรอบ ๆ รูปปั้นมนุษย์คนนั้นสองสามรอบ
”ข้ามักรู้สึกว่ารูปปั้นนี้แลดูผิดปกติไปสักหน่อย… ”
แม้ว่ารูปปั้นนั้นจะไม่มีรูปหน้าไม่มีดวงตา หากแต่ไป๋หยานกลับรู้สึกว่ารูปปั้นคนผู้นี้กำลังมองไปที่ใดที่หนึ่งพร้อมคางที่เชิดขึ้นเล็กน้อย
เหนือสถานที่แห่งนั้นมีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่นัยน์ตาของสุนัขจิ้งจอกนั่นก็แลดูองอาจมากเช่นกัน ทั้งยามนี้เขากำลังมองไปที่รูปปั้นนั่นอย่างไม่พึงใจ
ไป๋หยานรู้สึกละอายใจเป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าหุบเขาแห่งนี้มีความเกลียดชังสุนัขจิ้งจอก ?
ทว่าในฐานะภรรยาของสุนัขจิ้งจอกนางยังหยิบตำราปรับแต่งปรุงยาของเขาไปด้วย หากเขารู้เข้านางจะไม่ต้องตายกระนั้นหรือ ?
ไป๋หยานยกมุมปากขึ้นนางกระพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะก้าวไปที่รูปปั้นสุนัขจิ้งจอกโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นมีดชนิดพิเศษก็พลันปรากฏขึ้นในมือของนาง นางพยายามสับขาของรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกหลายต่อหลายครั้ง
ปรากฏเปลวเพลิงลุกโชติช่วงในมือของนางเปลวเพลิงทำให้ขาของสุนัขจิ้งจอกค่อย ๆ หลอมละลาย จากนั้นนางก็หยิบพืชสมุนไพรออกมาจากถุงเก็บของ
ครั้นสมุนไพรตกลงบนปูนปั้นที่ละลายแล้วปูนปั้นก็แปรสภาพกลายเป็นดินหนืด ๆ
ไป๋หยานหลอมปูนปั้นทั้งสี่ขาด้วยมือของนางจากนั้นก็ต่อขาทั้งสี่เข้ากับสุนัขจิ้งจอก แม้ว่ารูปปั้นสุนัขจิ้งจอกจะดูแปลก ๆ เพราะพฤติกรรมของนาง ทว่านางก็รู้สึกโล่งใจมาก
นางปัดมือพลางลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า
”แม้ว่าข้าจะหยิบตำราของเจ้าไปอีกทั้งยังช่วยให้สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ลุกขึ้นยืน ทว่าข้าก็รู้ว่าข้าทำไม่ถูกต้องนัก หากแต่ … ข้าเกิดมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ บุตรชายสุดที่รักของข้าก็เป็นเผ่าจิ้งจอก เช่นนั้นข้าไม่อาจปล่อยให้สุนัขจิ้งจอกตัวนี้คุกเข่า มันต้องยืนเท่านั้น !”
ไป๋หยานไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดนางถึงได้จริงจังกับรูปปั้นมากนัก หากแต่ภาพสุนัขจิ้งจอกคุกเข่าทำให้นางรู้สึกอึดอัดโดยไม่มีเหตุผล กระทั่งนางทนไม่ได้ที่จะช่วยให้เขาลุกขึ้นยืน
นางหันหน้าไปมองมนุษย์ที่นั่งอยู่สูงสุดอีกครั้งแววตาของนางเคร่งขรึมลงเล็กน้อย “ข้าไม่รู้ว่าอาณาจักรอสูรทำอะไรไว้กับเจ้า เจ้าถึงได้เกลียดพวกเขามากนัก หากแต่เจ้าไม่ควรเหมารวมสัตว์อสูรทั้งหมดว่าชั่ว เพียงเพราะพบเจอสัตว์อสูรชั่วร้ายแค่ตัวเดียว”
ไป๋หยานรู้ว่ารูปปั้นนั้นไม่ได้ยินหากแต่นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา นางรู้สึกว่าหากอมพะนำไว้จะยิ่งทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก ๆ
หลังจากกล่าวจบไป๋หยานก็ไม่ลังเลอีกต่อไป นางเดินไปที่ประตูอย่างแช่มช้า
ครั้นนางก้าวผ่านประตูออกไปก็มีเสียงดังขึ้นรูปปั้นในห้องพลันพังทลายลง กลายเป็นกองปูนที่แตกเป็นเสี่ยง ๆ กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
แม้แต่รูปปั้นมนุษย์ที่นั่งสูงสุดก็ไม่ได้รับการยกเว้น…
ไป๋หยานผงะไปชั่วขณะนางหันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว นางมองกองรูปปั้นที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นด้านหลังด้วยสายตาประหลาดใจ
”นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
ไม่มีผู้ใดตอบนางได้รอบกายมีแต่ความเงียบ …
บทที่ 1164 : ปาฏิหาริย์อีกครั้ง (7)
มีเพียงเสียงของนางเท่านั้นที่ดังก้องไปทั่วหุบเขา
ไป๋หยานไม่ได้คิดอะไรมากหลังจากหันไปมองรูปปั้นที่แตกกระจัดกระจายด้านหลังของนางอีกครั้ง นางก็หันหลังกลับเดินออกไปจากเส้นทางนี้
ทันทีที่นางก้าวผ่านประตูออกมานางก็ตระหนักได้ว่าแสงสีขาวที่ปกคลุมหุบเขาในตอนนี้ได้สลายหายไปแล้ว ทั่วทั้งหุบเขาสงบสุขไม่ต่างจากโลกภายนอก
เป็นไปได้หรือไม่ว่า… เหตุการณ์นี้อาจจะเกี่ยวข้องกับประติมากรรมเหล่านั้น ?
”หม่ามี้!”
จู่ๆ น้ำเสียงอ่อนโยนก็ดังมาจากด้านหน้า
ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นจึงเห็นไป๋เสี่ยวเฉินจับมือของเสี่ยวหลงเอ๋อ วิ่งมาหานางอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าสีชมพูของเขาแดงนัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสา
ไป๋หยานกลัวมากกระทั่งหัวใจของนางแทบหยุดเต้น
นางอยากจะตะโกนบอกไม่ให้ไป๋เสี่ยวเฉินเข้ามาแต่ก็เห็นว่าหุบเขากำลังเคลื่อนตัว
ก้อนหินจำนวนนับไม่ถ้วนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งโฉบไปมาในอากาศราวกับวันสิ้นโลก
เสี่ยวหลงเอ๋อเกือบจะล้มลงกับพื้นทว่าโชคดีที่ไป๋เสี่ยวเฉินผู้ซึ่งอยู่ข้าง ๆ ช่วยรั้งร่างของนางไว้ได้ทันท่วงทีป้องกันไม่ให้นางล้มลง
อย่างไรก็ตามหินตรงหน้าก็ปิดกั้นเส้นทางของไป๋เสี่ยวเฉินที่กำลังจะทะยานมาหาไป๋หยานทำให้แม่ลูกต้องมองหน้ากันข้ามหน้าผา
“เฉินเอ๋อ…อย่าเข้ามา!”
ในที่สุดไป๋หยานก็กล่าวประโยคนี้หน้าผากของนางปกคลุมไปด้วยหยาดเหงื่อเย็น นางกล่าวอย่างกระวนกระวาย “ไม่มีผู้ใดสามารถข้ามหน้าผานี้ได้ แม่เองก็ต้องอาศัยดาบยักษ์ถึงข้ามมาได้ ทว่าตอนนี้ดาบยักษ์ก็เปลี่ยนสภาพแล้ว เจ้าไม่สามารถข้ามมาหาแม่ได้”
ไป๋เสี่ยวเฉินจ้องมองไป๋หยานด้วยสายตาที่ว่างเปล่าเนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ ความสุขเมื่อครู่นี้ของเขาจึงเลือนหายไปสิ้น เขาจับมือของเสี่ยวหลงเอ๋อแน่น ขณะเดียวกันก็จับจ้องไป๋หยานผู้ซึ่งอยู่อีกด้านของหน้าผาพร้อมน้ำตาที่เอ่อคลอ
“หม่ามี้…ตอนนี้เราจะทำยังไงกันดี?”
”ไม่ต้องห่วงแม่จะคิดหาวิธีเอง”
ไป๋หยานขมวดคิ้วเล็กน้อยตอนนี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะข้ามหน้าผานี้
แต่ถึงจะข้ามมาได้?
เราจะออกจากสถานที่นี้ได้อย่างไร?
ตูม!
จู่ๆ พื้นดินที่นิ่งสงบไปชั่วขณะพลันสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง แรงสั่นสะเทือนที่หนักหน่วงนี้ทำให้ประตูสำริดที่ไป๋หยานเคยผ่านเข้าไปจมลงสู่พื้นดิน ไป๋หยานรีบคว้ากิ่งไม้ที่อยู่ข้างกาย พร้อมกับร้องตะโกน
”เฉินเอ๋อ…จากนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นอย่าได้แยกจากหลงเอ๋อเข้าใจหรือไม่?”
ไป๋เสี่ยวเฉินพยักหน้าทั้งน้ำตา”หม่ามี้ไม่ต้องกังวล ข้าจะปกป้องน้องหลงเอ๋อเอง”
ไป๋หยานหันไปมองหลงหยันและป้านชิงเฉิงที่ตามมาข้างหลัง
”เจ้าทั้งสองต้องปกป้องเฉินเอ๋อและหลงเอ๋อด้วยชีวิต หากเจ้าทำได้ เมื่อถึงเวลาข้าจะคืนอิสระให้กับพวกเจ้า !”
อิสรภาพสำคัญเพียงใดกับคนทั้งสอง?
ดังนั้นถ้อยคำของไป๋หยานจึงทำให้แววตาของพวกเขาสดใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข
หากพวกเขาเป็นอิสระได้จริงพวกเขาจะออกไปท่องโลกกว้างทันทีเลย !
บริเวณหน้าผาถือเป็นจุดแบ่งแยกปากเหวทั้งสองที่หันหน้าเข้าหากันพลันเคลื่อนห่างออกจากกัน หน้าผาแต่เดิมที่แยกกว้างพอ ๆ กับขนาดของดาบยักษ์เริ่มห่างจากกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็แลดูเล็กลงเรื่อย ๆ กระทั่งเหลือเพียงจุดสีดำ …
”หม่ามี้!”
ไป๋เสี่ยวเฉินยื่นมือเล็กๆ ของเขาออกไป พยายามไขว่คว้ามือของคนที่อยู่อีกด้านของหน้าผา หากแต่เขาทำได้เพียงมองดูคนที่อยู่อีกด้านหนึ่งหายลับไปต่อหน้าต่อตา นัยน์ตาสีดำสนิทนั้นมีหยาดน้ำตาไหลรินออกมารดใบหน้าสีชมพู กระทั่งทั้งใบหน้าถูกปกคลุมไปด้วยหยาดน้ำตา
“เจ้า…ปล่อยข้าข้าจะไปหาหม่ามี้ !”
เขาดิ้นรนอย่างหนักพยายามที่จะหลุดพ้นจากมือของหลงหยันทว่ากลับทำได้เพียงมอง เสียงไร้เดียงสาของเขาสะอึกสะอื้น ใบหน้าของเขาซีดลงเรื่อย ๆ
บทที่ 1165 : ปาฏิหาริย์อีกครั้ง (8)
”ปล่อยเจ้าไปกระนั้นรึ?” มุมปากของหลงหยันปรากฏรอยยิ้มเยาะ “หากขืนปล่อยเจ้าไป แล้วเกิดเจ้าตกอยู่ในอันตราย ข้าจะยกเลิกพันธะสัญญากับนางได้อย่างไร ?”
แท้จริงแล้วหากความแข็งแกร่งของเขาสามารถฟื้นฟูกลับมาดังเดิม เขาก็สามารถบังคับทำลายพันธะสัญญาได้เช่นกัน
ทว่ากระบวนการนั้นกินเวลายาวนานเกินไปเช่นนั้นหากจะเทียบกันแล้ว เป็นการง่ายกว่ามากสำหรับเขาที่จะได้รับอิสระ หากนางจะเป็นฝ่ายยกเลิกพันธะสัญญาเอง
ไป๋เสี่ยวเฉินหยุดเขาหันกลับไปมองหลงหยัน
ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดหลังจากได้เห็นนัยน์ตาสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเด็กคนนี้ หลงหยันพลันรู้สึกขนลุก
เขากลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
”เจ้าต้องการสิ่งใดอีก? ข้าขอเตือนเจ้าก่อนว่า เจ้าหาใช่คู่ต่อสู้ของข้าไม่ ! ต่อให้เจ้าต่อสู้กับข้าเจ้าก็ไม่มีวันชนะ”
ใบหน้าของไป๋เสี่ยวเฉินเย็นชาอีกทั้งไร้ชีวิตชีวา ไม่ไร้เดียงสาเฉกเช่นตอนที่อยู่ต่อหน้าไป๋หยาน
”หม่ามี้บอกว่าตราบใดที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่นั่นก็เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ?”
หลงหยันพยักหน้า”ใช่…นางเคยกล่าวเช่นนั้น”
”งั้นเจ้าก็ห้ามอยู่ห่างจากข้าข้าอยากรู้ว่าแม่ของข้าปลอดภัยดีหรือไม่ ?”
น้ำเสียงของไป๋เสี่ยวเฉินเย็นชาเช่นกันเขาค่อย ๆ เบือนหน้าหันกลับไปมองเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ผิวสีชมพูที่อยู่ข้างกาย
“น้องสาว…ไปกันเถิด! ข้าเชื่อว่าหม่ามี้จะต้องไม่เป็นไร !”
เขากำหมัดแน่นใบหน้าเล็ก ๆ เย็นชา นัยน์ตาดำขลับของเขาแลดูมุ่งมั่น ส่วนนัยน์ตาสีแดงที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาก็ยังคงมืดมน และเย็นชาเฉกเช่นเคย
เสี่ยวหลงเอ๋อพยักหน้า”เสด็จพี่ เราออกไปจากที่นี่แล้วไปตามหาท่านแม่กัน”
”อืม”
มุมปากของไป๋เสี่ยวเฉินยกโค้งขึ้นเล็กน้อย”ไปหาแม่กันเถอะ”
ยามนี้พวกเขารู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่าพื้นดินบริเวณใต้เท้าของพวกเขายกสูงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังค่อย ๆ เพิ่มระดับขึ้น กระทั่งถึงระดับที่สูงมากในป่ามืดมิดแห่งหนึ่ง …
หลังจากนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่ามีเศษดินอยู่เหนือหัวของพวกเขาไป๋เสี่ยวเฉินรีบรวบรวมพลังห่อหุ้มฝ่ามือของตน จากนั้นก็ระเบิดพื้นโลกที่อยู่เหนือศีรษะทันที ชั่วขณะนั้นแผ่นดินพลันระเบิดออก กระทั่งเกิดหลุมขนาดใหญ่
”ฮ่าฮ่า ฮ่า !”
หลงหยันกระโดดขึ้นมายืนบนพื้นจากนั้นก็แหงนเงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้าคราม เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างดุเดือด
”ในที่สุดข้าก็ออกจากสถานที่นรกนั้นได้ในที่สุดข้าก็ได้เห็นท้องฟ้าสีคราม และเมฆสีขาวอีกครั้ง ! ข้า…เทพมังกรเป็นอิสระแล้ว ! ไม่สิ … ” หลงหยันส่ายศีรษะ “ข้ายังไม่เป็นอิสระรอให้หญิงผู้นั้นถอนพันธะสัญญาเสียก่อน เมื่อไม่มีพันธะสัญญาข้าก็จะเป็นอิสระอย่างแท้จริง !”
อย่างไรก็ตามวันนั้นคงจะไม่นานเกินรอ …
ป้านชิงเฉิงกระโดดออกมาจากถ้ำนางกระพริบตาที่สวยงามของตน ความอยากรู้อยากเห็นปรากฏในดวงตาที่มืดมน
”อะแฮ่ม!” หลงหยันไอแห้ง ๆ จากนั้นก็หันกลับไปมองป้านชิงเฉิงด้วยใบหน้าที่เย็นชาพลางเอ่ยถาม “อย่างไรเสีย ข้าก็ยังไม่เคยถามเจ้าเลยว่า เจ้าไปโผล่ที่นั่นได้ยังไง ?”
ป้านชิงเฉิงขมวดคิ้วเอ่ยกล่าวว่า”ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ดูเหมือนว่าข้าจะเกิดในสถานที่แห่งนั้น ทั้งดูเหมือนข้าจะไม่เคยเห็นโลกที่นี่มาก่อนเลย”
”ดูเหมือนหรือ?” หลงหยันทวนคำพูด ก่อนจะเอ่ยกล่าวด้วยเสียงเยาะหยัน “เคยเห็นก็คือเห็น ไม่เคยเห็นก็ไม่เคยเห็น จะพูดว่าดูเหมือนทำไม ?”
ป้านชิงเฉิงรำคาญที่จะโต้เถียงกับหลงหยันนาตะคอกกลับ “ข้าจำเรื่องราวหลายเรื่องก่อนหน้านี้ไม่ได้ ความทรงจำทั้งหมดของข้าดูเหมือนจะถูกฝังไว้ใต้พื้นดิน ข้าจึงไม่รู้อะไรเลย”
สองคนนี้มีเรื่องบาดหมางกันลึกซึ้งหากมิใช่เพราะผูกพันธะสัญญากับไป๋หยานด้วยกันทั้งคู่ พวกเขาอาจจะสู้รบปรบมือกันหลังจากพูดกันได้ไม่กี่คำ
ไป๋เสี่ยวเฉินยืนนิ่งภายใต้สายลมพัด
ร่างที่แลดูโดดเดี่ยวทำให้ผู้คนรับรู้ได้ถึงความทุกข์ทรมานภายในใจ
***จบบทปาฏิหาริย์อีกครั้ง (8)***