จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1256-1260
บทที่ 1256 : โลหิตจิ้งจอกฟ้า (2)
“ปรมาจารย์หลิง ข้าเข้าใจทุกสิ่งที่ท่านพูด ข้าไม่กังวลใด ๆ เลย เพราะ … ข้ากับนางคนละระดับกัน”
หยุนรั่วซีเงยหน้าขึ้นจ้องมองปรมาจารย์หลิงพร้อมกับรอยยิ้มบนริมฝีปากของนาง
รอยยิ้มของนางเต็มไปด้วยความมาดมั่นและเข้าถึงใจผู้คน นัยน์ตาของนางดูเหมือนจะเปล่งประกายสดใส
ใช่…ชาติก่อนหญิงผู้นั้นก็หาใช่ชนชั้นเดียวกับข้าไม่ นางไม่มีวันเอาชนะข้าได้
ไม่ว่าจะเป็นโลกนี้ หรือคนในเทวาคาร หรือเฟิงลี่เฉิน …
ท้ายที่สุด พวกเขาก็จะเข้าข้างข้าทั้งหมด !
“หากเจ้าคิดได้เช่นนั้นก็ดี เจ้าคงเหนื่อยแล้วไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ปรมาจารย์หลิงยิ้มน้อย ๆ “ว่าแต่..เครื่องรางของเจ้ายังไม่มีการตอบสนองอีกกระนั้นหรือ ?”
หยุนรั่วซีถึงกับผงะ นางกำเครื่องรางที่ห้อยอยู่บนคอ พลางยิ้มอย่างไม่เต็มใจ “ปรมาจารย์หลิง ท่านรู้หรือไม่ว่าหญิงผู้นั้นมีลูกชายด้วย ?”
ปรมาจารย์หลิงผงะพยักหน้า เอ่ยกล่าวว่า “ข้าเคยเห็นเด็กนั่นแล้ว”
“พลังของบุตรชายนางแข็งแกร่งขึ้นอย่างฉับพลัน ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ข้าไม่สามารถเอาชนะเด็กนั่นได้ ในตอนนั้นเครื่องรางนี้ปกป้องข้าไว้ ทว่าเครื่องรางของข้าไม่เคยเคลื่อนไหวต่อคนอื่น ทั้งข้าก็ไม่สามารถควบคุมมันได้”
หยุนรั่วซีลดสายตาลง พร้อมกันนั้นในแววตาของนางก็แสดงให้เห็นถึงความเสียใจ
“อย่างไรก็ตาม แต่เดิมเครื่องรางไม่ได้เป็นเช่นนี้ … หากแต่หญิงผู้นั้นได้ทำเลือดหยดลงบนเครื่องรางของข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างที่ท่านรู้ ข้าเป็นถึงธิดาเทพสวรรค์ ส่วนนางเป็นหญิงกาลกิณี ในเมื่อเครื่องรางของข้าเปื้อนเลือดสกปรกของนาง วันหน้าหากอาณาจักรสวรรค์ถูกถล่ม มันก็อาจจะอยู่เหนือการควบคุมของข้า … “
ปรมาจารย์หลิงไม่สงสัยในถ้อยคำของหยุนรั่วซีเลยแม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้วแน่น เจตนาสังหารฉายวาบในแววตาของเขา “สองแม่ลูกไป๋หนิง-ไป๋หยานนี่กาลกิณีโดยแท้ หาไม่ไป๋หยานคงจะไม่เกิดมาเป็นบุตรสาวของไป๋หนิงหรอก แม้ว่า นางจะไม่ได้ทำอะไรเพื่อทำลายดินแดนสวรรค์ หากแต่อาณาจักรสวรรค์ก็จะไม่มีวันละเว้นนางแน่ !”
หากหญิงผู้นั้นไม่ได้ทำลายเครื่องรางของรั่วซี ความแข็งแกร่งของรั่วซีจะไม่เพิ่มขึ้นช้ามากเช่นนี้ !
แต่เขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าหญิงสาวทั้งสองรู้จักกันมาหลายปี ไป๋หยานกลับจำหยุนรั่วซีไม่ได้ ทั้งที่ครั้งหนึ่งไป๋หยานเคยรักและนับถือรั่วซีราวกับพี่น้องเช่นนี้
แล้วนางจะทำอะไรแดนสวรรค์ได้ ?
หยุนรั่วซียิ้มอย่างขมขื่น “ปรมาจารย์หลิง บางคนก็ไม่มีทางพัฒนาให้ดีขึ้น คนบางคนมีนิสัยเลือดเย็น ไม่ว่าข้าจะปฏิบัติต่อนางดีเพียงใด นางก็ไม่แม้แต่จะสำนึกในบุญคุณ ข้าเคยชินเสียแล้ว ครั้งที่เราออกเดินทางท่องโลกด้วยกัน กี่ครั้งแล้วที่นางปฏิบัติต่อข้าราวกับข้าเป็นเกราะป้องกัน เพื่อความปลอดภัยของตัวนางเอง ทว่าตลอดหลายปีที่คบกันมา ข้าก็ยังปฏิบัติกับนางเหมือนเดิมเสมอ”
“ทว่านางดื้อด้านต่ออาณาจักรสวรรค์ ข้าไม่สามารถทนเรื่องนี้ได้ ผู้คนในอาณาจักรสวรรค์ล้วนเป็นผู้บริสุทธิ์ เทวาคารก็ไม่มีความผิดใด นางกลับจงใจที่จะทำลายอาณาจักรสวรรค์ เพื่อผลประโยชน์ของตัวนางเอง ด้วยเหตุนี้ข้าจะไม่มีวันอภัยให้นางแน่ !”
ถ้อยคำที่หยุนรั่วซีกล่าวมานั้นฟังดูยุติธรรมและน่าเกรงขาม สายตาของนางหยิ่งผยอง นางกล่าวอย่างดุดันด้วยน้ำเสียงเย็นชา
นางเปลี่ยนจากที่เคยอ่อนโยน ยามนี้กลิ่นอายของนางทำให้หัวใจที่ตึงแน่นของปรมาจารย์หลิงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
เขายกมือขึ้นตบไหล่หยุนรั่วซี เอ่ยกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “รั่วซี ไปพักผ่อนให้สบายเถอะ ก่อนนั้นนางปฏิบัติกับเจ้าเช่นนี้ สักวันหนึ่งข้าจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับเจ้า !”
“ขอบคุณ…ท่านปรมาจารย์หลิง” หยุนรั่วซีกัดริมฝีปาก เหมือนนางจะลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองปรมาจารย์หลิง “แม้ว่าไป๋หยานจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ทว่านางก็อยู่กับข้ามานาน ข้าหวังเพียงว่าปรมาจารย์หลิงจะให้โอกาสนางกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง”
บทที่ 1257 : โลหิตจิ้งจอกฟ้า (3)
ปรมาจารย์หลิงหรี่ตา แววตาของเขาสั่นไหวด้วยประกายเย็นชา
ให้โอกาสนางกลับชาติมาเกิดกระนั้นรึ ?
หลังจากที่นางเกิดใหม่ นางต้องกลับมาอีกแน่ และเขาจะปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ?
อย่างไรก็ตาม การได้เห็นแววตาที่เต็มไปด้วยความหวังของหยุนรั่วซี จะให้ปรมาจารย์หลิงใจร้ายปฏิเสธหยุนรั่วซีได้เยี่ยงไร เขายิ้มพลางพยักหน้า “หากนางเต็มใจที่จะกลับใจ และอยู่ให้ห่างจากแดนอสูร ทั้งยอมทำลายความแข็งแกร่งของตน ข้าจะให้โอกาสนางก็ได้”
“ขอบคุณ… ท่านปรมาจารย์หลิง”
ใบหน้าของหยุนรั่วซียกยิ้มสดใส นางป้องหมัดให้ปรมาจารย์หลิง ก่อนจะหันหลังเดินออกไปนอกประตู
ทันทีที่นางหันหลังให้ ใบหน้าของนางก็เย็นชาลงอย่างฉับพลัน ร่างของนางถูกปกคลุมไปด้วยแสงที่มืดหม่น และน่ากลัว
“ราชาเทพสวรรค์ยังไม่กลับมาอีกกระนั้นหรือ ?”
หยุนรั่วซีหันกลับไปถามทหารองครักษ์ที่ติดตามนาง
“ยังขอรับ”
องครักษ์ป้องหมัดของเขาด้วยความเคารพ “ราชาเทพสวรรค์ไม่เคยกลับมาอีกเลย นับตั้งแต่เสด็จจากไป”
“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว หากพระองค์เสด็จกลับมาก็อย่าลืมแจ้งข้าด้วย”
ใบหน้าที่นุ่มนวลของหยุนรั่วซียกยิ้มอย่างบิดเบี้ยว
นางรู้ว่า ทันทีที่นางตกหลุมรักชายผู้นั้น ชีวิตของนางก็ถูกลิขิตให้ไม่เหลือความหอมหวานสดชื่นใด ๆ อีก หากแต่นางก็ยินดี
…
เมืองสัตว์อสูร
ในพระราชวังอันหรูหรา ไป๋หยานนอนอย่างเกียจคร้านบนโซฟานุ่ม ๆ เรือนผมสีดำขลับสยายตกลงมาบนอาภรณ์สีแดงเพลิงช่างเปี่ยมเสน่ห์
“อ๊ะ…?”
จู่ ๆ ร่างในอาภรณ์สีขาวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้านาง ไป๋หยานรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่ม ๆ และไล่ตามคนชุดขาวไปอย่างรวดเร็ว
เพราะเวลาที่ไป๋หยานพักผ่อนอย่างสงบสุขนั้น นางมักจะไม่ชอบให้ผู้ใดมารบกวนนาง ด้วยเหตุนี้ตี้คังจึงไม่เคยส่งใครมาดูแลนาง เช่นนั้นที่ลานบ้านกว้างใหญ่แห่งนี้จึงมีนางเพียงลำพัง …
ภายใต้ต้นท้อ
บุรุษในอาภรณ์สีขาวหยุด เขาหันหลังให้หญิงสาวที่กำลังไล่ติดตามหลังมา เส้นผมสีขาวของเขาแลดูพร่างพราวท่ามกลางแสงแดด ทำให้ไป๋หยานที่เดินตามมาชะงักอยู่กับที่
“เหตุใดท่านจึงมาถึงที่นี่ได้ ?” ไป๋หยานเอ่ยถามด้วยความดีใจพลางมองแผ่นหลังของชายผู้นั้น
ตั้งแต่เฟิงลี่เฉินช่วยนางในดินแดนศักดิ์สิทธิ์วันนั้น เขาก็ไม่เคยปรากฏตัวให้นางพบอีกเลย …
ไม่คาดคิดว่าจะได้พบกันอีกครั้งที่นี่ในวันนี้
บุรุษผู้นี้ทั้งหล่อเหลา ทั้งแปลกประหลาด
นัยน์ตาของเขาเย็นชา และเย่อหยิ่ง น้ำเสียงของเขาเฉยเมย เผยให้เห็นความเฉยชาและเหินห่าง
ทว่า…
แววตาของเขาเปล่งประกายแสงที่ดูซับซ้อน ขณะจับจ้องมองไป๋หยาน
“ข้ามาหาเจ้า เพื่อบอกวิธีช่วยไป๋เสี่ยวเฉิน”
“วิธีที่จะช่วยเฉินเอ๋อกระนั้นหรือ ?” แววตาของไป๋หยานตึงเครียดขึ้นทันใด
ริมฝีปากของเฟิงลี่เฉินยกยิ้มน้อย ๆ “ใช่…ข้ารู้อยู่แล้ว ตั้งแต่ตอนที่ช่วยชีวิตเขา หากเจ้าต้องการช่วยเขา มีเพียงสองวิธี วิธีแรกคือทำลายพลังแค้นในร่างของเขา ประการที่สองปล่อยให้ความแค้นนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขาอย่างสมบูรณ์ ทว่าทำเช่นนั้นพลังแค้นนั่นก็ต้องยินยอมด้วย หากแต่…มันต้องการสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสิ่งหนึ่ง “
“อะไร ?”
ไป๋หยานขมวดคิ้วน้อย ๆ พลางถาม
“โลหิตจิ้งจอกฟ้า”
โลหิตจิ้งจอกฟ้า ?
ไป๋หยานตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเฟิงลี่เฉินด้วยความประหลาดใจ เหตุใดนางจึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ?
“ราชาอสูรน่าที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้ชัดเจน เพราะจิ้งจอกฟ้ามีอยู่บนเทือกเขาหยุนซาน ทว่าเทือกเขาหยุนซานนี้อันตรายมาก เขาอาจไม่ต้องการให้เจ้าไปเสี่ยง เขาจึงไม่ได้บอกเจ้า” เฟิงลี่เฉินมองไป๋หยานด้วยสายตาที่ซับซ้อน “หากแต่…ข้าคิดว่าเจ้าควรจะรู้เรื่องนี้”
ไป๋หยานเงียบ
หลังจากนั้นไม่นานมุมปากของนางก็ยกขึ้น นางยิ้มพลางกล่าวว่า “ตี้คัง เป็นห่วงข้ามาก เช่นนั้นโดยปกติแล้วเขาย่อมไม่ต้องการให้ข้าเสี่ยง เขาต้องการใช้ความสามารถของตัวเอง เพื่อช่วยข้าทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ หากแต่ข้าไม่ต้องการยืนอยู่ข้างหลังเขาโดยให้เขาทำทุกอย่างให้ข้า จนชีวิตข้าต้องขึ้นอยู่กับเขาทั้งหมด”
บทที่ 1258 : โลหิตจิ้งจอกฟ้า (4)
“และ … ” ไป๋หยานหรี่ตา พลางหันไปมองเฟิงลี่เฉิน “ข้ารู้สึกขอบคุณท่านมากที่ช่วยชีวิตเฉินเอ๋อ และขอบคุณท่านมากที่ท่านไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เพื่อปกป้องชีวิตของข้าในวันนั้น ข้าเป็นหนี้บุญคุณท่าน ข้าจะจดจำไปชั่วชีวิต”
“อย่างไรก็ตามในใจของข้า ตี้คังครองตำแหน่งสูงสุดเสมอ ทั้งข้าจะไม่ยอมให้ผู้ใดมาว่าเขาไม่ดี !”
นางเข้าใจความหมายในถ้อยคำของเฟิงลี่เฉิน และนางก็รู้ด้วยว่าชายผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นศัตรูกับตี้คัง
หากความเกลียดชังนี้ถูกขจัดไป นางกับเขาก็ยังสามารถเป็นเพื่อนกันได้ แต่หากเป็นในทางกลับกัน … เพื่อเห็นแก่ตี้คังนางจะต้องเว้นระยะห่างจากเขาอย่างแน่นอน !
มือที่ไพล่อยู่ข้างหลังของเฟิงลี่เฉินกำหมัดแน่น ทว่าใบหน้าหล่อเหลาของเขายังคงเฉยเมย
“เจ้าคิดมากเกินไป ข้าเพียงบอกเจ้าในสิ่งที่ข้ารู้ และเจ้าก็ไม่ติดค้างข้า ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายติดค้างเจ้า”
เจ้าไม่เคยติดค้างข้า ข้าต่างหากที่เป็นฝ่ายติดค้างเจ้า …!
จู่ ๆ หัวใจของไป๋หยานก็กระตุก ดูเหมือนว่าจะเคยมีคนพูดเช่นนี้กับนาง
ชั่วขณะนั้นใบหน้าหล่อเหลาที่คล้ายกับเฟิงลี่เฉินก็ปรากฏขึ้นในความคิดของนาง ทำให้ศีรษะของนางแทบระเบิด
ใช่…ฉู่อี้เฟิงก็เคยบอกว่า บางทีเขาอาจจะติดค้างนางในชาติที่แล้ว และเขาจะมาหานาง เพื่อชดใช้หนี้ที่ติดค้างในชีวิตนี้
แล้วชายผู้นี้เกี่ยวข้องอะไรกับฉู่อี้เฟิง ?
ไป๋หยานกำหมัดแน่น “ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกท่านไปแล้วว่า ข้ามีสหายที่มีใบหน้าคล้ายกับท่านมาก ข้าสงสัยเหลือเกินว่าท่านจะบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่ว่า พวกท่านมีความสัมพันธ์กันเช่นไร ?”
เฟิงลี่เฉินเงียบ
สายลมพัดอาภรณ์สีขาวปลิวสะบัดบริสุทธิ์ดั่งเซียนสวรรค์
“ขอโทษ ตอนนี้ … ข้าเกรงว่ายังพูดอะไรไม่ได้”
ไป๋หยานก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “ท่านหมายความว่าเขามีความเกี่ยวพันกับท่านใช่หรือไม่ ?”
“อีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง ทว่าตอนนี้ข้ายังไม่สามารถพูดอะไรได้” หมัดที่กำแน่นของเฟิงลี่เฉินค่อย ๆ คลายออก “นอกจากนี้หากเจ้าต้องการพบจิ้งจอกฟ้าโดยเร็วที่สุด”
“ยังไง ?”
ไป๋หยานหรี่ตา ต่อให้นางจะอยากออกไปตามหาจิ้งจอกฟ้าหากแต่นางก็ต้องรอให้บุตรสาวของนางถือกำเนิดเสียก่อน
เฟิงลี่เฉินกวาดตามองใบหน้าขาวซีดอย่างช้า ๆ “เพราะมีเพียงการถือกำเนิดของเผ่าจิ้งจอกเท่านั้นที่จะสามารถนำไปสู่การตามหาจิ้งจอกฟ้าได้ และลูกในครรภ์ของเจ้าก็มีความพิเศษมาก ยิ่งไปกว่านั้นหากเจ้าให้กำเนิดเด็กใกล้ ๆ กับจิ้งจอกฟ้า เจ้าจะสามารถนำมันออกมาได้อย่างแน่นอน”
ไป๋หยานขมวดคิ้ว จากความเข้าใจของนางเรื่องนิสัยของตี้คัง หากเขารู้ว่านางจะออกไปตามหาจิ้งจอกฟ้าทั้งที่ยังท้องโย้เช่นนี้ เขาย่อมจะไม่มีวันยอมอย่างแน่นอน
บุรุษมองว่าสตรีต้องพึ่งพาเขาเสมอทุกสิ่ง หากรู้ว่านางต้องเจอกับเรื่องอันตราย เขาจะมัดนางไว้ที่บ้าน และไม่ยอมให้นางออกไปไหนแน่
“นอกจากนี้ หากเจ้าต้องการตามหาจิ้งจอกฟ้า เจ้าก็ควรนำไป๋เสี่ยวเฉินไปด้วยจะดีกว่า โลหิตของจิ้งจอกฟ้าต้องใช้เลือดสด ๆ สดที่สุดเท่านั้นที่จะทำให้เกิดผลดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น จิ้งจอกฟ้าเกลียดบุรุษ หากบุรุษปรากฏตัว มันจะไม่ปรากฏตัวออกมา สำหรับไป๋เสี่ยวเฉิน … เขาเป็นเพียงเด็กน้อย คงจะไม่ส่งผลใด ๆ “
หลังจากกล่าวจบแล้ว เฟิงลี่เฉินก็หันไปมองไป๋หยานอีกครั้งพลางกล่าวต่อว่า “อะไรที่ข้าควรพูด ข้าก็ได้พูดหมดแล้ว หากคนของเทวาคารมาตามหาเจ้า เจ้าจงทำลายป้ายหยกนี้ ข้าก็จะรู้ได้ และจะรีบมาปรากฏตัวทันที”
เฟิงลี่เฉินหยิบป้ายหยกออกจากแขนเสื้อของเขา ยื่นส่งไปที่มือของไป๋หยาน
ไป๋หยานตกใจ นางมองป้ายหยกที่เฟิงลี่เฉินมอบให้ และกำลังจะส่งคืน ทว่าชายที่ยืนอยู่เบื้องหน้ากลับหายตัวไปเสียก่อน …
ราวกับว่าเขาไม่เคยปรากฏตัวที่นี่มาก่อนเลย
ไป๋หยานกำป้ายหยกในมือแน่น นางยกมือขึ้นลูบไล้ทารกในครรภ์ของตน นัยน์ตาของนางเปลี่ยนจากความลังเลในตอนแรกมาเป็นความแน่วแน่
โลหิตจิ้งจอกฟ้า (5)
“ข้าเชื่อว่าในฐานะลูกของข้า เจ้าจะต้องรอดออกมาอย่างแข็งแกร่งมาก หากเจ้าเต็มใจที่จะให้ข้าไปตามหาจิ้งจอกฟ้าเพื่อช่วยพี่ชายของเจ้า เจ้าก็เตะข้าสามครั้ง ทว่าหากเจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าก็เตะข้าสองครั้ง ข้าเลือกที่จะเคารพการตัดสินใจของเจ้า”
เฉินเอ๋อเป็นลูกของนางเช่นเดียวกับทารกในครรภ์ของนาง
ครั้งนี้นางต้องเสี่ยงภัย เช่นนั้นนางจึงต้องได้รับความยินยอมจากเด็กคนนี้ด้วย
ตุบ !
ตุบ ตุบ !
ทารกในท้องเหมือนจะเข้าใจคำพูดของไป๋หยาน จึงเตะนางสามครั้งจริง ๆ
หลังจากรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ ไป๋หยานก็สะดุ้ง นางลังเลเพียงครู่ก่อนจะเม้มริมฝีปาก “เตะจริงหรือ ? เจ้าเข้าใจข้าจริง ๆ ใช่หรือไม่ ? หากเจ้าเห็นด้วยก็เตะข้าสองครั้ง หากไม่เห็นด้วยก็สามครั้ง”
ตุบ ตุบ !
ทันทีที่ถ้อยคำเหล่านี้หลุดจากปาก ทารกในครรภ์ก็เตะอีก ครั้นรับรู้ได้เช่นนั้นไป๋หยานก็โล่งใจ
“ในเมื่อเจ้าตกลงใจว่า ข้าสามารถออกไปช่วยพี่ชายของเจ้าได้ เช่นนั้นเราก็ไปหาวิธีตามหาจิ้งจอกฟ้ากัน
ไป๋หยานเงยหน้าขึ้นพลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง
นางต้องไม่ให้ตี้คังรู้ว่านางต้องการจากไป หาไม่เขาต้องไม่ปล่อยนางไปที่เทือกเขาหยุนซานคนเดียวเป็นแน่
เช่นนั้นนางจึงต้องจากไปอย่างเงียบ ๆ
“หม่ามี้”
ทันใดนั้นเองเสียงแผ่วเบาก็ดังมาจากด้านหลัง
ครั้นไป๋หยานหันกลับไปมอง นางก็เห็นไป๋เสี่ยวเฉินวิ่งเข้ามาหาด้วยขาสั้น ๆ ของเขา เขายื่นมือสองข้างออกมาเพื่อกอดเอวของนาง
“เฉินเอ๋อ ตอนนี้บิดาของเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ?”ไป๋หยานกระพริบตาสองสามครั้ง พลางก้มลงมองเด็กน้อยพร้อมกับเอ่ยถาม
ไป๋เสี่ยวเฉินไม่รู้ว่าไป๋หยานกำลังคิดสิ่งใดอยู่ เขาจึงตอบตามความจริง “คืนนี้ป๊ะป๋ากับบรรดาผู้อาวุโสถึงจะกลับมา พวกเขากลัวว่าหากไม่พบพวกเขาแล้วหม่ามี้จะเซ็ง”
“เขาไม่ได้อยู่ที่นี่สินะ ?” ไป๋หยานถอนหายใจอย่างโล่งอก นางจับมือของไป๋เสี่ยวเฉิน “เฉินเอ๋อฟังแม่นะ แม่หาวิธีที่จะจัดการพลังแค้นในร่างของเจ้าให้หายไปได้แล้ว และพลังนั่นจะสามารถรวมเข้ากับเจ้าได้อย่างสมบูรณ์”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบนัยน์ตากลมโตของเขา พลางมองใบหน้าสวยงามของไป๋หยานด้วยนัยน์ตาที่ไร้เดียงสา
“แต่ … ” ไป๋หยานหยุด “แม่ต้องออกไปจากที่นี่ และเจ้าต้องไปกับแม่”
“โอ้ !” ไป๋เสี่ยวเฉินรับคำ พลางยิ้มอย่างว่าง่าย “เฉินเอ๋อเชื่อฟังหม่ามี้ แต่น้องสาวของเฉินเอ๋อกำลังจะเกิด หากหม่ามี้ออกไปตอนนี้มันจะปลอดภัยหรือ ?”
ไป๋หยานหลับตาลง นางนึกถึงถ้อยคำของเฟิงลี่เฉิน ก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้น
“แม่ไม่มีทางเลือก”
นางเชื่อถ้อยคำของเฟิงลี่เฉินมาก ทั้งนางก็รู้สึกว่าชายผู้นั้นจะไม่หลอกลวงนาง
เช่นนั้นเพื่อช่วยเฉินเอ๋อแล้วนางต้องเสี่ยง !
“ได้ เฉินเอ๋อเชื่อหม่ามี้ทุกอย่าง และป๊ะป๋าบอกว่า หากป๊ะป๋าไม่ได้อยู่ที่นี่ เฉินเอ๋อก็ต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว เฉินเอ๋อต้องไม่ปล่อยให้ใครมารังแกหม่ามี้และน้องสาว !”
ไป๋เสี่ยวเฉินตบหน้าอกของตน พลางกล่าวคำปฏิญาน
หัวใจของไป๋หยานพลันอบอุ่น นางรั้งร่างที่อ่อนนุ่มของไป๋เสี่ยวเฉินเข้ามากอด
ร่างกายของไป๋เสี่ยวเฉินหอมมาก กระทั่งทำให้จิตใจของนางสงบลง
“เฉินเอ๋อไม่ต้องกังวลทั้งเจ้า และน้องจะต้องไม่เป็นอะไร !”
ไป๋เสี่ยวเฉินยิ้มอย่างสดใส “ไม่ว่าหม่ามี้ต้องการทำอะไร เฉินเอ๋อก็ยินดีที่จะทำตาม เฉินเอ๋อจะไม่ทิ้งหม่ามี้ไปไหน หาไม่ เฉินเอ๋อก็คงต้องเหมือนเด็กน้อยที่โดดเดี่ยวในนรกแห่งความทุกข์ทรมาน”
ต่อหน้าไป๋หยานเขามักจะเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย และเข้าใจง่าย
ไป๋หยานลูบไล้ไปตามเนื้อตัวของเขาอย่างทรมานใจ เด็กน้อยที่ฉลาดเฉลียว และน่ารักถึงเพียงนี้ นางจะทนเห็นเขาเจ็บปวดได้อย่างไร ?
“เฉินเอ๋อ…ไม่ต้องกังวลนะ เจ้าจะต้องหายดีอย่างแน่นอน !”
บทที่ 1260 : โลหิตจิ้งจอกฟ้า (6)
ศีรษะเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินซุกอยู่กับหน้าอกของไป๋หยาน เขาไม่ได้กล่าวคำใดอีก ทว่ามีรอยยิ้มบนใบหน้าเล็ก ๆ ที่สดใสนั้น
นัยน์ตาของเขาสดใสราวกับดวงดาราสุกใสพร่างพราว
“ไปกันเถอะ ออกจากที่นี่กันก่อนที่บิดาของเจ้าจะกลับมา”
ไป๋หยานปล่อยมือจากเด็กน้อยในอ้อมแขน นางลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเขาพร้อมรอยยิ้ม พลางจับมือน้อย ๆ ของเขาแล้วเดินออกไปนอกลาน
บริเวณประตูลานมีทหารยามสองคนยืนเฝ้าทั้งสองข้าง
หลังจากที่พวกเขาเห็นการปรากฏตัวของไป๋หยาน และไป๋เสี่ยวเฉิน พวกเขาก็ป้องหมัดแน่น เอ่ยถามว่า “ราชินี องค์ชาย ไม่ทราบพระองค์จะเสด็จที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ?”
“อืม” ไป๋หยานตอบอย่างเฉยเมย “ข้ารู้สึกเบื่อนิดหน่อย อยากออกไปเดินเล่นข้างนอกกับเฉินเอ๋อ เจ้าไม่ต้องรายงานตี้คังนะ ไม่ช้าข้าก็จะกลับมา”
ครั้นทุกคนได้ยินคำพูดของไป๋หยาน พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะขวางนาง
ผู้ใดบ้างที่ไม่รู้ว่าราชินีองค์นี้คือยอดรักในหทัยของราชา ทั้งนางยังเป็นอันดับหนึ่งในแดนอสูรนี้ ผู้ใดจะกล้าขัดคำสั่งของนาง ? นั่นไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ ?
คิดได้ดังนั้นบรรดาทหารยามจึงหลีกทางให้ไป๋หยาน
ครั้นไป๋หยานออกจากพระราชวังอสูรมาได้ นางก็ตรงไปที่ประตูเมืองอสูร จากนั้นก็ใช้ข้ออ้างเดียวกันในการสลัดทหารสัตว์อสูรที่เฝ้าประตูเมือง แต่เกรงว่า หากตี้คังรู้เรื่อง พวกเขาก็คงไม่ต่างจากขุดหลุมฝังตนเองอีกครั้ง
…
ในเวลาเดียวกัน…
ตี้คังนั่งอยู่บนบัลลังค์สูง แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้เขารู้สึกว่าเปลือกตาของตนกระตุก เขาเกิดอาการกระสับกระส่ายเล็กน้อย
ทว่า…
เขานึกถึงไป๋หยานที่ยังคงรอเขาอยู่ในพระราชวังอสูร พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ตินั้น
รอยยิ้มของเขางดงามน่าทึ่งมาก ทำให้คนที่คุกเข่าอยู่ต่างก็นิ่งงัน จ้องมองตี้คังที่กำลังยิ้มอย่างตะลึงลาน
“อะแฮ่ม”
ผู้อาวุโสใหญ่กระแอมไอเตือนตี้คัง
หรือราชาไม่เข้าใจว่าเขาน่ะหล่อจนหายนะ ? เขายิ้มต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ มันดึงดูดใจมากไม่รู้หรอกหรือ ? หากราชินีรู้บางทีนางเองก็อาจจะอิจฉาด้วยซ้ำ
ตี้คังกลับมาได้สติ นัยน์ตาของเขากลับมาเย็นชาอีกครั้ง นัยน์ตาที่เย็นชาของเขากวาดไปยังผู้คนที่อยู่ด้านล่าง พลางเอ่ยถามด้วยเสียงนุ่มทุ้ม “มีเผ่าสัตว์อสูรอยู่ใกล้ ๆ เมืองสัตว์อสูรนี้หรือไม่ ?”
ในอาณาจักรสวรรค์นี้ สัตว์อสูรส่วนใหญ่ได้เข้ามาร่วมกับอาณาจักรอสูรแล้ว ทว่ายังมีกลุ่มสัตว์อสูรที่ซ่อนตัวอยู่บางกลุ่มยังไม่ได้รับข่าวสารจากโลกภายนอก เช่นนั้นตี้คังจึงพยายามควบคุมคนเหล่านี้อย่างรวดเร็ว เขาพยายามขยายอำนาจของอาณาจักรสัตว์อสูรออกไปอีก
แม้ว่า
แม้ว่าแดนสวรรค์จะจับสัตว์อสูรที่ทรงพลังมานานหลายปีแล้ว ทว่าสัตว์อสูรจำนวนมากในอาณาจักรสวรรค์ก็ถูกลดสถานะให้เป็นเพียงทาส จึงมีบางส่วนที่ยังซุกซ่อนตัวไม่ยอมพบปะกับคนนอกเผ่า
“ราชา ชนเผ่าสัตว์อสูรรอบ ๆ พวกเราทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว ทั้งพวกเขาก็เต็มใจที่จะกลับไปที่แดนอสูรและทำตามคำสั่งของพระองค์”
สายตาเฉยเมยของตี้คังกวาดไปยังชายชราที่กำลังตอบคำถาม ที่สุดก็หยุดอยู่ที่เด็กสาวผู้สวยงาม
“เทพขั้นกลางระดับต่ำกระนั้นรึ ?”
น้ำเสียงของเขาเย็นชา ทว่าก็ดังไปถึงหูของทุกคน
ชายชรารีบก้าวไปข้างหน้าสองก้าว “กราบทูล…ราชา เด็กหญิงตัวน้อยผู้นี้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมมาก เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนจากแดนสวรรค์สนใจนาง เราจึงเจตนาซ่อนความสามารถของนางไว้ กระทั่งนางทะลุไปถึงเทพขั้นกลางระดับต่ำได้”
“อาวุโสใหญ่… องค์หญิงน้อยกำลังจะถือกำเนิด ข้าต้องการคนสักสองสามคน ไปปกป้ององค์หญิงน้อย อาวุโสใหญ่เจ้าช่วยองค์รักษ์หญิงที่มากด้วยความสามารถไปปกป้ององค์หญิงน้อยเป็นการส่วนตัวด้วย”
ตี้คังเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ บุตรสาวของเขาย่อมต้องได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด นอกจากนี้เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเด็กผู้ชายตัวเหม็นมาเข้าใกล้บุตรสาวของเขา เขาต้องให้ความคุ้มครองนางเป็นการส่วนตัวนับแต่นี้ไป !