จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1311-1315
บทที่ 1311 : แผนยั่วยุของตี้คัง (4)
ยิ่งไปกว่านั้น … ในตอนนั้นอาณาจักรอสูรยังสามารถอยู่รอดจากการโจมตีของอาณาจักรสวรรค์มาได้ ย่อมพิสูจน์ให้เห็นว่าราชาอสูรผู้นี้ร้ายกาจเพียงใด
“เช่นนั้น … ” ปรมาจารย์หลิงเงียบไปชั่วขณะ “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการเอง ปรมาจารย์หยู และปรมาจารย์ซวนพวกท่านไปกับข้า ส่วนคนอื่น ๆ ก็ให้อยู่ในเทวาคารนี้ต่อไป”
คนอื่น ๆ คิดอยู่ครู่หนึ่ง ต่างก็รู้สึกว่าถ้อยคำที่ปรมาจารย์หลิงกล่าวมาชอบด้วยเหตุผล เช่นนั้นพวกเขาจึงไม่เอ่ยปากคัดค้านใด ๆ อีก
ปรมาจารย์ซวนลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ “ปรมาจารย์หลิง แล้วเราจะไปกันเมื่อไหร่ ?”
“เนื่องจากราชาอสูรนัดหมายเรา 3 วันให้หลัง เช่นนั้นเราก็ควรออกเดินทางกันเลย !” ปรมาจารย์หลิงยิ้มเยาะ
หากเทวาคารเอาแต่กลัวจนหัวหด เกรงว่าความน่าเชื่อถือของเทวาคารในอาณาจักรสวรรค์อาจจะสูญเสียไป เขาไม่มีวันปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเป็นแน่
นอกจากนี้ ผ่านมาตั้งหนึ่งพันปี เขายังต้องมาเจอราชาอสูรผู้นี้อีก !
“แต่ … ” ปรมาจารย์ซวนหยุด ก่อนจะกล่าวต่อว่า “หากเรื่องนี้รู้ถึงพระเนตรพระกรรณราชาเทพสวรรค์ล่ะ ท่านจะตอบพระองค์เช่นไร ?”
ราชาเทพสวรรค์…
หลังจากสิ้นสุดคำถามนี้ ทั่วทั้งห้องพลันเงียบลงอีกครั้ง
บรรยากาศดูแปลก ๆ ไป
ปรมาจารย์หลิงกำหมัดแน่น พลางยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่า ราชาเทพสวรรค์ทรงรักสตรีผู้นั้นมากถึงเพียงนั้นจริง ๆ หรือ ?”
แล้วไม่เป็นเช่นนั้นหรือ ?
ปรมาจารย์คนอื่น ๆ ต่างก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน หากมิใช่เพราะนาง เหตุใดราชาเทพสวรรค์จึงไม่ยอมเสด็จกลับมายังอาณาจักรสวรรค์เป็นเวลาหลายพันปีล่ะ ?
“เหอเหอ” ปรมาจารย์หลิงหัวเราะเยาะ “หลายพันปีก่อน ราชาเทพสวรรค์ยอมทอดทิ้งนาง ก็เพื่ออาณาจักรสวรรค์ ตอนนี้ภัยพิบัติกำลังใกล้เข้ามา เช่นนั้นเพื่อเห็นแก่เหล่าเทพสวรรค์ ข้าเชื่อว่าพระองค์ … ก็จะทรงละทิ้งนางเช่นเดิม !”
ราชาเทพสวรรค์ทรงรักแดนสวรรค์มากเพียงใด พระองค์จะทรงเพิกเฉยต่อทุกสรรพชีวิตในโลก เพียงเพื่อสตรีได้เยี่ยงไร ?
ครั้นทุกคนได้ยินถ้อยคำดังกล่าว พวกเขาก็ไม่ได้สนทนาอะไรให้ยืดเยื้อ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาต่างก็เห็นด้วยตาว่าราชาเทพสวรรค์ทรงเสียพระทัยมากเพียงใด
อย่างไรก็ตาม ก็เป็นราชาเทพสวรรค์ที่ทรงผลักไสนางก่อน กระทั่งนางไปอยู่ข้างเดียวกับราชาอสูร
โดยไม่คำนึงถึงผู้ที่อยู่ด้านหลัง ปรมาจารย์หลิงก้าวออกจากห้องทันที นัยน์ตาของเขาสว่างวาบ มุมปากของเขายกโค้งอย่างแดกดัน “ราชาอสูร จากกันตั้งพันปี ข้าอยากเห็นนักว่า ตอนนี้ … เจ้ามีความสามารถอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาบ้าง? !”
ครานี้ต่อให้ราชาเทพสวรรค์ทรงออกโอษฐ์ห้ามเขา เขาก็จะกวาดล้างแดนอสูรให้สิ้นซากอย่างแน่นอน !
*****
การนัดหมายของตี้คัง ไม่ได้ถูกส่งมายังเทวาคารโดยตรง ทว่ากลับถูกส่งเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์เป็นการประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เช่นนั้นแม้ว่า เหล่าปรมาจารย์ในเทวาคารจะเกรงกลัวตี้คัง ทว่าพวกเขาก็ไม่อาจทนต่อการยั่วยุดังกล่าวได้ พวกเขาจึงวางแผนที่จะไปตามนัดหมาย
ในขณะนี้ไม่ไกลจากเทวาคารนัก มังกรเขียวกำลังบินอยู่บนท้องฟ้า และด้านล่างศีรษะของนางก็ปรากฏพยัคฆ์ขาวยืนตระหง่านอย่างท้าทาย
ทั้งสองประหนึ่งเทพแห่งสงคราม แววตาของทั้งคู่เคร่งขรึม การแสดงออกของทั้งคู่เย็นชา
“พยัคฆ์ขาว สถานที่แห่งนี้แหละที่นายหญิงกล่าวถึง … ” ชิงอี้มองลงยังเทือกเขาเบื้องล่างด้วยสีหน้าเฉยเมย “ว่ากันว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของพวกเทวาคาร สาวกที่มากด้วยความสามารถจำนวนนับไม่ถ้วนของเทวาคารกำลังฝึกฝนอยู่ที่นี่ เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่า หากเราทำลายสถานที่นี้เทวาคารจะเป็นเช่นไร ?”
ชิงอี้เม้มริมฝีปาก เสียงของนางชัดเจนราวกับฤดูใบไม้ผลิ ทว่าสายตาของนางกลับทรงอำนาจยิ่ง
“แน่นอน ผู้คนในเทวาคารก็จะต้องตามล่าพวกเราสิ” เสี่ยวมี่เอียงคอมอง เสียงของมันยังคงอ่อนเยาว์ไม่สอดคล้องอย่างยิ่งกับรูปลักษณ์ยิ่งใหญ่ และทรงอำนาจ
“แต่ว่า ข้าเชื่อฟังนายหญิงเสมอ เมื่อนายหญิงให้เราทำลายที่นี่ เราก็ต้องทำลายสถานที่แห่งนี้ !”
หวนคิดถึงเมื่อสองปีที่แล้ว นายหญิงทำลายพันธสัญญาของพวกเขาอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขากลัวแทบตาย ต่อมาเขาจึงได้รู้ว่าเป็นเพราะคนจากเทวาคารทำร้ายนายหญิงกระทั่งได้รับบาดเจ็บสาหัส รู้เช่นนี้แล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟัน
ดังนั้นทันทีที่ไป๋หยานออกคำสั่ง เขาและชิงอี้จึงแทบจะทนรอไม่ไหวที่จะรีบรุดมาที่นี่ โดยหวังว่าจะได้เห็นใบหน้าที่สิ้นหวังของคนที่อยู่ในเทวาคารแห่งนี้
บทที่ 1312 : หลานสาวที่รัก…ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว (1)
“นายหญิงบอกว่าสถานที่นี้น่าจะจำกัดอาณาเขตไว้ หาไม่เทวาคารคงจะไม่กล้าให้ลูกศิษย์มาฝึกฝนที่นี่”
เสี่ยวมี่กะพริบตา พลางครุ่นคิดอยู่เป็นนาน พลันประกายแสงก็วาบผ่านนัยน์ตาของเขา
“แต่ … ข้ามีวิธีที่จะเข้าไป”
*****
เทวาคาร
จู่ ๆ น้ำเสียงร้อนรนก็ทำลายความสงบสุขในสถานที่แห่งนี้
พลันทหารยามคนหนึ่งก็วิ่งเข้าไปในลานเทวาคาร หลังจากได้พบปรมาจารย์สองสามคน เขาก็รีบกล่าวรายงานอย่างเร่งร้อน “ปรมาจารย์ทุกท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้ว … “
ปรมาจารย์ที่กำลังหารือกันพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองทหารยามอย่างช้า ๆ
ชายในอาภรณ์คลุมสีเหลืองเอ่ยถามอย่างเฉยชา “เกิดเรื่องใดขึ้น ไยจึงต้องร้อนรนถึงเพียงนี้ ?”
“คือ…สถานที่ที่ซึ่งใช้ฝึกอบรมเหล่าอัจฉริยะของเรา ถูกมังกรเขียวกับพยัคฆ์ขาวเข้าโจมตี ! ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรทั้งสองนั้นกล่าวได้ว่าอยู่ในขั้นเทพ ! หรือบางทีอาจจะสูงกว่านั้น หากเราไม่รีบไปตอนนี้ เกรงว่าจะสายเกินไป !”
“กระไรนะ ?”
ใบหน้าของเหล่าปรมาจารย์เปลี่ยนไป
มังกรเขียว ? พยัคฆ์ขาว ? นั่นมันนายพลแห่งแดนอสูรมิใช่หรือ ? เหตุใดพวกเขายังมีชีวิตอยู่ในโลกนี้อีกล่ะ ?
ปรมาจารย์ฮวงกัดฟัน “เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นสองคนนั้น ?”
“ขอรับ โปรดรีบตัดสินใจเถิดขอรับ เพราะหากสายเกินไป ข้าน้อยเกรงว่าอัจฉริยะรุ่นเยาว์เหล่านั้นจะถูกสังหารสิ้น !”
ทันทีที่ถ้อยคำของทหารยามผู้นี้จบลง ชายอีกคนก็รีบรุดเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขากล่าวอย่างกระวนกระวายแทบไม่ทันได้หายใจ “เรียนปรมาจารย์ เกิดเรื่องใหญ่แล้วที่ภูเขาโอสถในเทวาคารของเราถูกทำลายแล้วขอรับ !”
ใบหน้าของคนที่แลดูน่าเกลียดในตอนแรกนั้น บัดนี้แลดูซีดเซียวมากขึ้นไปอีก
คนเหล่านี้ช่างใจกล้าจริง ๆ ! คิดหรือว่าเมื่อเทวาคารรับคำท้าราชาอสูรแล้ว จะไม่เหลือผู้ใดอยู่ปกป้องที่นี่ ? ทระนงตัวขนาดนั้นเลยหรือ ?
บนภูเขาโอสถของเทวาคารเต็มไปด้วยสมุนไพรล้ำค่ามากมาย หากไม่มียาเม็ดเพื่อช่วยสนับสนุนพวกเขา เกรงว่าเทวาคารอาจจะไม่ทรงพลังเช่นทุกวันนี้ !
ที่น่าเกลียดก็คือคนพวกนั้นทำลายภูเขาโอสถ ! หากไม่มีภูเขาโอสถ ! พลังอันกล้าแกร่งของเทวาคารจะชะงักงัน ! ทั้งผลที่จะตามมาย่อมเป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดสามารถชดใช้ได้
ใบหน้าชราของปรมาจารย์ฮวงเย็นชา “พวกอาณาจักรอสูรใช่หรือไม่ที่เป็นผู้ทำลายภูเขาโอสถ ?”
ทหารยามตอบอย่างอ่อนแรง “ผู้นำของคนเหล่านั้นเป็นเด็กอายุประมาณเจ็ดหรือแปดขวบ ทว่าผู้คนรอบตัวเขาล้วนเป็นสัตว์อสูรทั้งหมด อีกทั้งยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดก็จัดอยู่ในขั้นเทพ ! ท่านจะส่งยอดฝีมือของเทวาคารเราไปจัดการคนพวกนั้นหรือไม่ขอรับ ?”
ปรมาจารย์ฮวงเงียบ มุมปากของเขายิ้มเยาะ พร้อมกันนั้นเขาก็กวาดตามองไปที่ปรมาจารย์คนอื่น ๆ
“พวกเราทุกคน ในเทวาคารของเรานี้ ชายชราวิปลาสผู้นั้นนับเป็นผู้ที่ทรงพลังมากที่สุด รองลงมาก็ปรมาจารย์หลิง และ ปรมาจารย์ซวน ตอนนี้ปรมาจารย์หลิง และปรมาจารย์ซวนต่างก็ไม่อยู่ที่นี่ เช่นนั้นข้าขอเลือกคนที่จะไปจัดการเรื่องสำคัญนี้ด้วยตนเองก็แล้วกัน “ปรมาจารย์เฮ่า ปรมาจารย์หยัน ท่านสองคนไปจับมังกรเขียว กับพยัคฆ์ขาว ! แม้ว่าทั้งสองคนนี้จะเพิ่งก้าวเข้าสู่เทพขั้นสูง ทว่าตอนนี้ก็อาจจะพัฒนาไปอีกมาก ไม่อาจรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขายามนี้อยู่ในระดับใด … หากมอบหมายให้คนอื่นจัดการก็อาจเป็นการปล่อยให้พวกคนเจ้าเล่ห์เหล่านั้นหนีรอดไปก็เป็นได้ !”
ด้วยเหตุนี้ ปรมาจารย์ฮวงจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจได้ว่า ปรมาจารย์เฮ่า และปรมาจารย์หยันเป็นผู้ซึ่งเหมาะสมที่จะไปจัดการกับสัตว์อสูรเทพทั้งสอง
“นอกจากนี้ ปรมาจารย์เทียน ปรมาจารย์หวู่ และข้า … พวกเราสามคนจะไปจับกุมเจ้าเด็กน้อยนั่นด้วยกัน หากข้าเดาไม่ผิดเด็กน้อยนั่นต้องเป็นโอรสของราชาอสูร เป็นองค์ชายแดนอสูร เมื่อจับเด็กนั่นได้แล้ว เราก็จะใช้เขากดดันราชาอสูร เมื่อนั้นราชาอสูรย่อมไม่กล้าที่จะปฏิเสธอีก ?”
บทที่ 1313 : หลานสาวที่รัก…ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว (2)
ปรมาจารย์ฮวงยิ้มเยาะ แววตาของเขาปรากฏแววสังหาร เขารู้สึกเสมอว่าถ้อยคำของปรมาจารย์หลิงไม่มีอะไรผิด อาณาจักรอสูรนี้ไม่ควรมีอยู่ นับประสาอะไรจะมาเทียบกับอาณาจักรสวรรค์ของพวกเขา !
“ปรมาจารย์หง เจ้ารออยู่ในเทวาคารนี้ !”
ในตอนท้าย ปรมาจารย์ฮวงก็กล่าวประโยคนี้ทิ้งไว้
ในกลุ่มปรมาจารย์มีหญิงชราเพียงคนเดียว นางพยักหน้าช้า ๆ เรือนผมของนางเป็นสีดอกเลา แม้ริ้วรอยบนใบหน้าของนางจะมีไม่มากนัก ทว่าจากผมหงอกขาวของนาง ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าหญิงชรามีอายุยืนยาวมานานหลายปี
หลังจากสิ้นสุดคำสั่งของปรมาจารย์ฮวง พวกปรมาจารย์ที่เหลือต่างก็หันหลังกลับ มุ่งหน้าไปยังภูเขาโอสถอย่างรวดเร็ว …
*****
ยามนี้เหนือภูเขาโอสถปรากฏมังกรบินอยู่บนท้องฟ้า และบนหลังมังกรประหลาดก็มีเด็กชายที่แสนน่ารักน่าเอ็นดูยืนอยู่ เขากำลังมองลงไปยังภูเขาโอสถที่อยู่เบื้องล่าง
เด็กชายมีรูปร่างผอมบาง ใบหน้าเป็นสีชมพู ขนตายาว แม้ว่าเขาจะยังเด็ก ทว่านัยน์ตากลมโตของเขาก็เผยให้เห็นถึงความทรงอำนาจ
ด้านล่าง หลงหยันเป็นแกนนำกลุ่มสัตว์อสูรเหยียบย่ำสมุนไพรใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาโดยไม่คำนึงถึงสายตาของพวกอาณาจักรสวรรค์ …
ยอดฝีมือในเทวาคารเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองขณะจับจ้องมองกลุ่มสัตว์อสูรที่กำลังทำลายภูเขาโอสถ หากมิใช่เป็นเพราะพวกเขาไม่อาจทำอะไรได้ พวกเขาคงจะรีบเข้าไปขวางแล้ว
“เพี้ยะ !”
หลงหยันเห็นคนที่จ้องมองเขาด้วยความขุ่นเคือง ใบหน้าของเขาพลันเคร่งขรึมลงทันที เพียงพริบตาเขาก็ตบคนผู้นั้นกลิ้งไปสิบจ้าง ก่อนจะล้มลงกับพื้น และอาเจียนออกมาเป็นเลือด
“เทพมังกรอย่างข้ายอมให้เจ้ามองข้าด้วยสายตาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? พวกเจ้ามันก็แค่สิ่งมีชีวิตห่วย ๆ ยังต้องการที่จะทำลายล้างอาณาจักรอสูร ตอนนี้ ข้า … เทพมังกรจะให้พวกเจ้าได้รู้ว่า การรุกรานอาณาจักรอสูรนั้นจะส่งผลเช่นไร !”
“นอกจากนี้ เทวาคารแห่งนี้ก็ไร้ประโยชน์มาก ที่ส่งคนไร้ประโยชน์เช่นนี้มาคุ้มกันภูเขาโอสถ !”
ทุกถ้อยคำของหลงหยันราวกับระเบิดลูกใหญ่ ๆ ที่โยนใส่หัวใจของคนเหล่านี้อย่างแรง
พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนหยิ่งผยอง จะทนต่อความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ? สุดท้ายก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็นอนนิ่งอยู่บนพื้นขยับตัวไม่ได้ …
ในอาณาจักรสวรรค์ ด้วยระดับเทพขั้นสูง พวกเขาก็นับได้ว่าดำรงฐานะสูงส่งพอควร แม้เดิมทีพวกเขาจะไม่ใคร่พอใจนักเมื่อต้องถูกส่งมาเฝ้าภูเขาโอสถ ทว่ายามนี้พวกเขากลับถูกสัตว์อสูรเรียกว่าพวกไร้ประโยชน์ พวกเขาจะทนได้อย่างไร ?
“หลงหยัน…คนจากเทวาคารน่าจะมากันแล้ว เรารีบไปกันก่อนเถิด”
ไป๋เสี่ยวเฉินยังจำคำพูดของไป๋หยานได้ดี จุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่ก็เพียงเพื่อดึงดูดคนจากเทวาคารให้มาที่นี่ หลังจากบรรลุจุดประสงค์แล้ว พวกเขาก็ต้องรีบผละจาก ก่อนที่พวกเทวาคารจะมาถึง
หลงหยันเบะปาก เขาเหลือบมองภูเขาโอสถที่อยู่ด้านหลัง ก่อนจะบินเข้าไปที่หาไป๋เสี่ยวเฉิน
“เช่นนั้นเราจะไปที่ใดกันต่อ ?”
“ไปหาหม่ามี้”
ไป๋เสี่ยวเฉินหยิบขวดเครื่องเคลือบดินเผาออกมาจากแขนเสื้อ จากนั้นก็โยนไปให้หลงหยัน “หม่ามี้บอกว่านี่เรียกว่ายาสลาตัน ยานี้สามารถเร่งความเร็วของเราได้ เจ้าจงส่งต่อยานี่ให้กับสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ พวกเราจะออกเดินทางกันตอนนี้เลย”
หากไม่มียาสลาตันนี้ ไป๋หยานก็คงไม่ปล่อยไป๋เสี่ยวเฉินออกมาเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม ตัวตนที่แท้จริงของไป๋เสี่ยวเฉินนั้นเหนือกว่าคนอื่น เพราะเขาเป็นถึงองค์ชายแห่งแดนอสูร เช่นนั้นเขาจึงสามารถดึงดูดยอดฝีมือสัตว์อสูรจำนวนมากมาได้
บรรดาคนในเทวาคารต่างก็ระมัดระวังตัวอย่างมาก เช่นนั้นหากไม่มีไป๋เสี่ยวเฉิน บางทีพวกเขาอาจจะไม่ออกมาเลยด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้ เมื่อมียาสลาตันอยู่ในมือ ไป๋เสี่ยวเฉินก็สามารถหลบหนีได้ทัน ก่อนที่คนจากเทวาคารจะมาถึง …
“อืม…”
หลงหยันหยิบขวดลายคราม ยื่นส่งให้สัตว์อสูรทั้งหมดทีละตัว หลังจากกลืนยาเม็ดลงไป พวกมันต่างก็รู้สึกว่าร่างกายของพวกมันเบาหวิว
บทที่ 1314 : หลานสาวที่รัก…ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว (3)
หลังจากจ่ายยาไปแล้ว หลงหยันก็เลิกคิ้วขึ้น พลางพลิกมือกลับมาจุดไฟ ชั่วขณะนั้นทั่วทั้งภูเขาโอสถก็ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิง รวมถึงบรรดายอดฝีมือของแดนสวรรค์เหล่านั้นด้วย …
ไป๋เสี่ยวเฉินมองภูเขาโอสถที่ปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง พลันความรู้สึกหดหู่ที่ไม่สามารถปิดบังได้ก็ปรากฎขึ้นในดวงตาของเขา
“นายน้อย คนของเทวาคารพวกนี้ไม่ใช่คนดี ทุกคนต่างก็มือเปื้อนเลือดสัตว์อสูรของพวกเรา เช่นนั้นข้าจึงไม่อยากปล่อยพวกมันไว้ !”
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยวิธีนี้จะช่วยประวิงเวลาพวกปรมาจารย์จากเทวาคารเหล่านั้น ให้ล่าช้ามากขึ้นไปอีก …
ไป๋เสี่ยวเฉินจีบปากจีบคอกล่าว “ข้าเข้าใจสิ่งที่เจ้าทำ ทว่า … ภูเขาโอสถแห่งนี้บริสุทธิ์นัก เราทำลายภูเขาโอสถ อีกทั้งยังเผาสมุนไพรเป็นจำนวนมาก ช่างน่าเสียดายนัก ภูเขาโอสถทั้งลูกนั้นมีค่ามากสำหรับหม่ามี้ … “
ครั้นเห็นสีหน้าเสียใจของไป๋เสี่ยวเฉิน ปากของหลงหยันพลันกระตุกสองสามครั้ง
เขาคิดว่านายน้อยทนไม่ได้เพราะเขาเข่นฆ่าผู้คน หากแต่เขาไม่คาดคิดว่านั่นเป็นเพียงเพราะเขาทำลายภูเขาโอสถทำให้นายน้อยไม่สามารถส่งมอบสมุนไพรมากมายให้แก่นายหญิงได้ เพียงแค่นี้เองกระนั้นรึ ?
“แค่ก ๆ” หลงหยันไอแห้ง ๆ พร้อมกับยื่นถุงเก็บของของตนออกมาช้า ๆ “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่หมอปรุงยา ทั้งข้าก็ไม่สามารถบอกคุณภาพของสมุนไพรได้ ทว่าข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสมุนไพรที่ใช้เป็นยาได้ ข้าเลยเลือกสมุนไพรที่มีกลิ่นอายมากที่สุดและเก็บไว้ให้นาง”
ครั้นได้ยินเช่นนี้ใบหน้าซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความไม่พึงพอใจของไป๋เสี่ยวเฉิน พลันเปลี่ยนไปทันที เขาเบิกตากว้างขึ้น พลางรีบหยิบถุงเก็บของในมือของหลงหยันแล้วยิ้มกว้าง “เช่นนั้นพวกเราก็รีบไปกันเถอะ อย่าให้หม่ามี้ต้องรอนาน หลงหยัน…ต่อไปไม่ว่าเจ้าจะทำสิ่งใด เจ้าต้องคิดถึงแม่ของข้า ทั้งต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของนางก่อน”
ใความคิดของไป๋เสี่ยวเฉิน ไป๋หยานเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดเสมอ และในหัวใจของไป๋หยานก็มีเพียงเรื่องของสมุนไพร ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะรู้สึกตื่นเต้นมากหลังจากได้เห็นสมุนไพรที่หลงหยันเก็บมา
อย่างไรก็ตาม หากเขาไม่รีบกลับ ไป๋หยานก็จะเป็นห่วงมาก เช่นนั้นเขาจึงหันหน้าไปมองด้านหลังเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะขี่มังกรยักษ์ออกมาจากเทวาคารอย่างรวดเร็ว …
*****
ในขณะเดียวกันความเงียบสงบก็กลับคืนมาสู่เทวาคารอีกครั้ง ทว่าหัวใจของทุกผู้คนกลับเต็มไปด้วยความคลางแคลง พวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดพวกปรมาจารย์หลายคนถึงต้องออกไปอย่างรีบร้อน
ในขณะที่ทุกคนยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น จู่ ๆ ก็มีเสียงดังขึ้นราวกับฟ้าร้อง พร้อมกันนั้นทุกคนก็วิ่งกรูกันออกจากเทวาคารอย่างรวดเร็ว …
ในอากาศว่างเปล่าปรากฏสาวงามยืนอยู่
หญิงสาวสวมอาภรณ์สีแดงโดดเด่นยืนอยู่กลางอากาศว่างเปล่า จ้องมองผู้คนด้านล่างอย่างเฉยเมย แววตาของนางเต็มไปด้วยความเย็นชา
“ผู้ใดกันที่กล้ามาสร้างปัญหาที่เทวาคารของพวกเรา !”
น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวดังขึ้น หลังจากนั้นก็เห็นกลุ่มคนที่อยู่ในชุดเกราะป้องกันวิ่งกรูกันออกมาด้านหน้า พวกเขาต่างก็ร้องตะโกนออกมาอย่างดุดัน
ทว่า…
ทันทีที่พวกเขาเห็นสตรีที่ยืนอยู่ในอากาศว่างเปล่า ความรู้สึกตกใจพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขา
นาง … เป็นเพียงหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบ ก็แค่เด็กสาวกลับ…กล้ามาหาเรื่องที่เทวาคาร นางบ้าไปแล้วหรือไร ?
ยิ่งไปกว่านั้น หญิงผู้นี้ …เหตุใดจึงดูเหมือนไป๋หนิงนัก ?
“เจ้า … เจ้าเป็นใคร ?”
ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไป๋หนิงเคยทำลายเทวาคาร คราครั้งนั้นเหล่าปรมาจารย์ต่างก็เข้าสันโดษ ไม่อาจออกมารับมือได้ พวกเขาจึงไม่มีวันลืมช่วงเวลาแห่งฝันร้ายนั้นได้เลย
“ข้าเป็นใครกระนั้นรึ ?”
สตรีที่อยู่ในอากาศว่างเปล่ายกยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มของนางกับไป๋หนิงต่างก็ทรงอำนาจเฉกเช่นเดียวกัน ทั้งแววตาของพวกนางก็ยังเต็มไปด้วยประกายเย็นยะเยือกไม่ต่างกันอีกด้วย
“แน่นอน…ข้าก็คือผู้ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้าไง !”
แน่นอน…ข้าก็คือผู้ที่จะมาเอาชีวิตพวกเจ้าไง !
บทที่ 1315 : หลานสาวที่รัก…ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว (4)
หญิงผู้นี้ไม่เพียงแต่ดุร้าย ทว่าน้ำเสียงของนางยังทรงพลังมาก ราวกับค้อนที่หนักหน่วง กระแทกเข้าใส่หัวใจของพวกเขา
ปัง !
อย่างไรก็ตาม…
ครานี้ ไม่รอให้ทุกคนกล่าวคำใดอีกต่อไป สตรีที่อยู่ในอากาศว่างเปล่าก็ยกดาบยาวในมือขึ้น จากนั้นก็ฟาดฉับลงมา
ดาบยาวของนางเปล่งประกายแสง แสงของดาบแหวกผ่านอากาศ ชั่วขณะนั้น บรรดาทหารที่ไม่สามารถหลบหลีกได้ทัน ต่างก็โดนแสงดาบฟาดฟัน บางคนที่มีความแข็งแกร่งน้อยก็กลายเป็นกองเลือดภายใต้พลังแสงดาบ บางคนก็ถูกผ่าออกเป็นสองซีก
คนที่เหลือต่างก็ตกตะลึง พวกเขาจ้องมองสตรีที่อยู่บนท้องฟ้าด้วยอาการพรึงเพริด ชั่วขณะนั้นแรงกดดันอันทรงพลังก็แผ่ออกมาจากอากาศว่างเปล่า ส่งผลให้ทุกคนหน้าเปลี่ยนสีอย่างฉับพลัน
“เทพ … เทพขั้นสูงกระนั้นรึ ?”
หญิงผู้นี้อยู่ในระดับเทพขั้นสูงแล้วหรือ ?
“ไป…ไปเรียกทหารมาเพิ่มเร็วเข้า !”
ทว่า…
กลิ่นอายของไป๋หยานแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งมากเสียจนพวกเขาไม่ต้องตะโกนออกมา ก็มีกลุ่มคนในชุดเกราะรีบกรูกันมาจากที่ไม่ไกลนักอย่างรวดเร็ว
คนเหล่านี้น่าเกรงขาม ทั้งฝีเท้าของพวกเขาก็แข็งแกร่ง ดังนั้นภายในไม่กี่อึดใจพวกเขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าไป๋หยาน
ที่เดินอยู่แถวหน้า คือ ชายวัยกลางคน สีหน้าของเขาเย็นชา ใบหน้าของเขาไร้สิ้นซึ่งการแสดงออกใด ๆ แววตาที่เย็นยะเยือกของเขากำลังมองสตรีที่ยืนอยู่กลางอากาศว่างเปล่าอย่างเย็นชา น้ำเสียงของเขาเฉยเมย “แม่นาง เจ้าเพิ่งทะลุไปถึงระดับเทพขั้นสูง ก็กล้ามาโอหังที่นี่ เหมือนไม่เห็นเทวาคารของเราอยู่ในสายตา !”
แม้ว่า ผู้คนในเทวาคารอาจจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่านางมากนัก หากแต่พวกเขาก็มีจำนวนมากมายกว่า หญิงผู้นี้กล้าโอหังเข้ามาสร้างปัญหาที่เทวาคาร !
“แต่ … ข้า…หวู่หลิง ไม่เคยสังหารคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อ เช่นนั้นขอให้แม่นางแจ้งชื่อตนเองด้วย !”
นัยน์ตาของหวู่หลิงวาววับ หญิงผู้นี้กับไป๋หนิงดูคล้ายกันมากจริง ๆ หากแต่ข้าไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกนางเป็นเช่นไร ?
แต่ครั้นเขาหวนคิดได้ว่า เมื่อหลายปีก่อน เขาเคยพลาดท่าเสียทีให้ไป๋หนิง เขาก็กัดฟันด้วยความเกลียดชัง ยามนี้เขาต้องการฆ่า ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่ดูเหมือนนางให้เกลี้ยง
ไป๋หยานกำลังก้มลงมองหวู่หลิงที่อยู่เบื้องล่าง ดาบล่าเทวดาในมือของนางพลันใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งสูงเสียดฟ้า
“ข้าชื่ออะไรกระนั้นรึ ? เจ้าไม่คู่ควรที่จะรู้ !”
ปัง !
ดาบล่าเทวดาฟันลงไปโดยเป้าหมายก็คือหวู่หลิง ชั่วขณะนั้นใบหน้าของหวู่หลิงพลันเคร่งขรึม แม้ว่าร่างกายของเขาจะก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว หลบการโจมตีนี้ได้สำเร็จ
หากแต่โชคไม่ดีที่คนข้าง ๆ เขา ไม่มีโอกาศเช่นนั้น ภายใต้ดาบใหญ่เล่มนี้ เลือดพลันสาดกระเซ็น จากนั้นศีรษะก็แยกออกจากร่าง
หลังจากได้เห็นภาพฉากนี้ นัยน์ตาของหวู่หลิงพลันตึงเครียดขึ้นทันที คนที่อยู่ข้างกายเขาก็แข็งแกร่งพอ ๆ กับหญิงผู้นี้ คนผู้นั้นก็เป็นเทพขั้นสูงระดับต่ำ ทว่าแม้จะเป็นเทพขั้นสูงระดับต่ำก็ยังถูกสังหารได้ทันทีเลยกระนั้นหรือ ?
ดาบเล่มนี้คืออะไร ? มาจากไหนกัน ?
“สู้ สู้ สู้ !”
ครั้นใบหน้าของหวู่หลิงแลดูไม่ค่อยดีนัก เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็ดังมาจากด้านข้าง
แม้แต่ไป๋หยานยังอดมิได้ที่จะหันหน้าไปมอง
นางเห็นชายชราเนื้อตัวมอมแมมเสียสติหัวยุ่งไม่ต่างจากรังนก ยืนปรบมืออยู่อย่างตื่นเต้น “เจ้าเก่งมาก ฆ่ากระต่ายน้อยพวกนี้ ฆ่าพวกมันให้หมดเลย !”
ไป๋หยานขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางจ้องมองชายชราวิปลาส
ชายชราวิปลาสรับรู้ได้ถึงสายตาของนาง จึงเงยหน้าขึ้นมองนาง
ครั้นเห็นนางเต็มตา ชายชราวิปลาสก็ตกตะลึง ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ลำคอของเขาส่งเสียงคราง “ไป๋ไป๋ ?… หลานสาวที่รักของปู่ เจ้ากลับมาแล้ว ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว …ปู่รู้อยู่แล้ว เจ้าจะเต็มใจไปจากปู่ได้อย่างไร ? เจ้าต้องกลับมาอย่างแน่นอน…”