จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 1331-1335
บทที่ 1331 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (2)
“ราชาอสูรอยู่ที่ใด ? เขาเชิญเรามา เหตุใดเขาจึงไม่ให้เราเข้าไป ?” ปรมาจารย์ซวนขมวดคิ้วน้อย ๆ มีแสงเย็นวาบในดวงตาของเขา เขาเอ่ยถามด้วยเสียงกังวาน
ใบหน้าของปรมาจารย์หลิงที่ยืนอยู่ด้านข้างมืดมน ทั้งดูเหมือนจะมีเมฆดำมืดปกคลุมศีรษะของเขาพร้อมด้วยกลิ่นอายทมิฬอยู่ในตัวเขาตลอดเวลา
แม้ว่า ปรมาจารย์หยูจะไม่ได้กล่าวคำใด หากแต่ใบหน้าของเขาก็แลดูหงุดหงิดเล็กน้อย ราวกับไม่พอใจอย่างมาก
แอ๊ด !
ในที่สุด…ประตูเมืองสัตว์อสูรก็เปิดออก ชายชราเครายาวเรือนผมขาวเดินลูบเคราออกมาจากประตู
ชายชราสวมชุดคลุมสีขาวแลดูราวเซียนอมตะ ใบหน้าของเขายิ้มเยาะ เขาเหลือบมองชายชราทั้งสามที่อยู่เหนือเมืองสัตว์อสูร พร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คนจากเทวาคารนี่เอง
“เจ้าเองกระนั้นรึ ?”
ใบหน้าของปรมาจารย์หลิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ประกายแสงดุร้ายฉายในดวงตาของเขา “ตาเฒ่า เจ้ายังมีชีวิตอยู่อีกหรือ ?
“ฮ่า ๆ “ ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะเยาะ “เจ้ายังไม่ตาย ข้าจะตายก่อนได้เยี่ยงไร ? ย้อนกลับไปตอนนั้น เจ้ากดดันแดนอสูรของข้ากระทั่งจนมุม ตอนนี้เจ้ายังกล้ามาที่นี่อีกกระนั้นหรือ ?”
ปรมาจารย์หลิงหน้าเขียว ขณะที่เขากำลังจะตอบกลับ ปรมาจารย์ซวนที่อยู่ด้านข้างก็กล่าวออกมาก่อนอย่างเย้ยหยัน “อันดับแรกที่นี่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรสวรรค์เรา เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เราไม่มาที่นี่ก็เป็นเพราะราชาเทพสวรรค์ของเราเคยมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับราชินีอสูรของเจ้า เช่นนั้นเพื่อเห็นแก่ราชาเทพสวรรค์ ข้าจึงให้โอกาสแก่พวกเจ้า”
ถ้อยคำของเขาไม่เพียงแต่ชี้แจงความสัมพันธ์ระหว่างไป๋หยาน และเฟิงลี่เฉินเท่านั้น หากแต่ยังบอกด้วยว่าเขาเห็นแก่เฟิงลี่เฉิน จึงไว้หน้าเฟิงลี่เฉิน ไม่มาจัดการที่นี่
“ประการที่สอง … “ ปรมาจารย์ซวนยกยิ้มเล็กน้อย เอ่ยกล่าวอย่างใจเย็น “อาณาจักรอสูรของเจ้าเป็นศัตรูกับอาณาจักรสวรรค์ของเรามานาน เหตุใดพวกเราถึงมาที่นี่ไม่ได้ล่ะ ? นอกจากนี้เจ้าควรถามราชินีอสูรด้วย นางไม่บริสุทธิ์ใจกับราชาเทพสวรรค์ นางทรยศต่อราชาเทพสวรรค์มาลี้ภัยในแดนอสูร เราจึงมาหาผู้ทรยศราชาเทพสวรรค์ที่นี่ เช่นนี้แล้วแดนอสูรควรปฏิบัติเช่นไร ?”
ผู้อาวุโสใหญ่อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ราชินีของเรา และราชาเทพสวรรค์เป็นเพียงคู่รักวัยเยาว์ เจ้าพยายามพูดให้คลุมเครือเพื่อสิ่งใด ? อย่าลืมสิว่าราชาเทพสวรรค์เป็นผู้ทอดทิ้งราชินีก่อน และก็เป็นอาณาจักรสวรรค์ของเจ้าด้วยที่อยากจะสังหารนาง ! ยังมีหน้ามาอ้างว่าราชินีทรยศอีกกระนั้นรึ ?”
“ฮึ !”
ปรมาจารย์หลิงตะคอกอย่างเย็นชา เขาเอ่ยกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ในฐานะคนของอาณาจักรสวรรค์ นางจะต้องถูกฝังไว้ในแดนสวรรค์ของข้า ให้ตายเถอะ ! เทวาคารเป็นคนรับนางมา เช่นนั้นหากเทวาคารของข้าต้องการชีวิตนางแล้วไง ? นางถือสิทธิ์ใดหนีออกจากอาณาจักรสวรรค์ ?”
ความหมายก็คืออาณาจักรสวรรค์ของเขาสามารถสังหารนางได้ ทว่าแม้นางต้องตาย นางก็ต้องตายในอาณาจักรสวรรค์ของพวกเขา นางไม่มีสิทธิ์มาหลบภัยในอาณาจักรอสูร !
ชั่วขณะนั้นใบหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ก็เคร่งขรึม เมื่อหลายพันปีก่อน เขารับรู้ว่าอาณาจักรสวรรค์นี้ไร้ยางอายเพียงใด ดูเหมือนว่าหลังจากผ่านกาลเวลามานับพันปี อาณาจักรสวรรค์ก็ยิ่งไร้ยางอายหนักกว่าเดิมเสียอีก !
“ปรมาจารย์ซวน ปรมาจารย์หลิง อย่าเสียเวลาพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเลย” ปรมาจารย์หยูขมวดคิ้ว หันหน้าไปทางผู้อาวุโสใหญ่ “ตอนนี้ราชาอสูรอยู่ที่ใด ? ที่เรามาครั้งนี้ก็ด้วยคำเชื้อเชิญของเขา เรามีเรื่องที่จะต้องสนทนากับเขา เจ้าให้เขาออกมาพบเราเถิด กลิ่นอายของสัตว์อสูรในเมืองสัตว์อสูรนี้มีมากเกินไปพวกเราไม่ต้องการเข้าไป”
ทันทีที่คำพูดของปรมาจารย์หยูจบลง สายลมที่รุนแรงก็พัดมาจากประตูเมือง
ชั่วขณะนั้นร่างที่งดงามน่าทึ่งก็ลอยมาจากระยะไกลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะปรากฏต่อสายตาของทุกผู้คน
ชายในอาภรณ์สีม่วง พร้อมเรือนผมสีเงินเปี่ยมเสน่ห์น่าทึ่ง แววตาของเขาทรงอำนาจ ริมฝีปากแดงของเขาเหยียดเยาะ
บทที่ 1332 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (3)
ไม่ว่าชายผู้นี้จะปรากฏตัวที่ใด เขามักจะถูกกำหนดให้เป็นจุดดึงดูดสายตาที่นั่น
รูปลักษณ์ของเขาราวกับรวบรวมมวลหมู่ความงาม กระทั่งกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งยากจะหาผู้ใดเทียบได้ในโลก
เขาเป็นดั่งราชาครองโลก นัยน์ตาเรียวคมคู่นั้นมองลงมาโดยไม่สนใจผู้คนที่อยู่ด้านล่าง หากแต่สามารถบงการโลกทั้งใบ
“เจ้า … ตามหาข้างั้นหรือ ?”
แม้ว่าจะผ่านไปนับพันปีแล้ว แม้ว่าตี้คังคนปัจจุบันจะมิใช่ราชาอสูรในเวลานั้น ทว่าตอนนี้เมื่อได้เห็นชายผู้นี้แล้ว หัวใจของปรมาจารย์ทั้งสามกลับสั่นสะท้าน
กลิ่นอายของชายผู้นั้นแข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งราวกับคลื่นที่พลุ่งพล่านซัดสาดไม่หยุดหย่อน
“ตี้คัง !” ปรมาจารย์หลิงสงบอารมณ์ภายในลงได้อย่างรวดเร็ว เขากัดฟันอย่างดุร้าย แววตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาที่โหดเหี้ยม
เขาจะไม่มีวันลืมว่า คราที่พวกเขาต้องการที่จะเผาผลาญไป๋หยาน ชายผู้นี้ก็รีบวิ่งเข้าไปที่แท่นบูชาของเทวคารฝ่าทหาร และม้าหลายพันตัวเพียงลำพัง เพื่อช่วยนาง
ในวันนั้นเทวาคารต้องนองไปด้วยเลือด ทิ้งร่องรอยไว้ในใจของทุกผู้คน ทำให้ตอนนี้พวกเขารู้สึกว่าหัวใจของพวกเขาสั่นสะท้าน
ในตอนนั้น พวกเขาได้ราชาเทพสวรรค์มาช่วย ทว่าตอนนี้ราชาเทพสวรรค์ไม่มาแน่ ๆ
“ราชาอสูร…ท่านเป็นผู้เชิญเรามา และเราก็มาตามคำเชื้อเชิญของท่านแล้ว ตอนนี้ท่านควรบอกเราได้แล้วว่าท่านเชิญเรามามีวัตถุประสงค์ใด ? ข้าไม่เชื่อว่าท่านต้องการพบพวกเราเพื่อรำลึกอดีต” ปรมาจารย์ซวนหัวเราะเยาะ เขากำหมัดแน่นพลางเอ่ยถาม
ตี้คังมองปรมาจารย์ซวนด้วยความประหลาดใจ “ข้าเชิญพวกเจ้ามากระนั้นรึ ? เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องเลยล่ะ ?”
ท่าทางประหลาดใจนี้แลดูเหมือนจะมิใช่การเสแสร้ง ทำให้ปรมาจารย์ทั้งสามยืนตะลึงงัน
ตี้คังไม่ได้เชิญพวกเขากระนั้นรึ ? เช่นนั้นผู้ใดเชิญล่ะ ?
ครั้นเห็นท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปของคนเหล่านี้ ตี้คังก็จิกมุมปากนิ่ง เอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าไม่เคยเชิญพวกเจ้า ข้าสั่งพวกเจ้าต่างหาก”
เชิญกับสั่งต่างกัน เชิญสามารถปฏิเสธได้ แต่สั่งคือต้องมา !
“นี่ท่าน … ” ใบหน้าของปรมาจารย์หลิงซีด ในที่สุดเขาก็รู้ว่าถูกตี้คังต้ม
ไอ้บ้านี่ช่างกล้า จงใจเรียกพวกเขามาฉีกหน้าถึงที่นี่ !
“ปรมาจารย์หลิง !” ปรมาจารย์ซวนนึกถึงเรื่องสำคัญที่พวกเขาต้องเดินทางมาถึงที่นี่ขึ้นได้ จึงรีบคว้าตัวปรมาจารย์หลิงที่กำลังกรุ่นโกรธ พลางหันไปจ้องตี้คังอย่างใจเย็น “ราชาอสูร…คราวนี้ที่พวกเรามาหาท่าน ก็ด้วยพวกเรามีธุระที่จะหารือกับท่าน”
ตี้คังยิ้มเยาะ เขาใช้สายตาดูหมิ่นจ้องมองปรมาจารย์ซวนอย่างเย็นชา
ภายใต้สายตาจ้องมองของตี้คัง ใบหน้าของปรมาจารย์ซวนก็ยิ่งแลดูน่าเกลียดมากขึ้น เขาพยายามสูดลมหายใจเข้าลึก ขณะเดียวกันก็พยายามระงับความโกรธในใจให้สงบลง
“เมื่อหลายพันปีก่อน มีคนเคยบอกพวกเราว่าหายนะกำลังใกล้เข้ามาแล้ว และเมื่อถึงเวลานั้นทั้งแดนอสูร และแดนสวรรค์จะถูกทำลาย !”
ตี้คังเลิกคิ้ว นัยน์ตาเรียวคมของเขายังมีรอยยิ้มเยาะ
“และผู้เดียวที่สามารถกอบกู้อาณาจักรสวรรค์ได้ก็คือหยุนรั่วซี น่าเสียดายที่หญิงสาวผู้นี้ได้รับความเสียหายทางกายภาพ จากการช่วยชีวิตชายาคนปัจจุบันของท่าน ยามนี้นางยังไม่สามารถหายเป็นปกติได้”
ตี้คังมองด้วยสายตามืดมน “แล้ว…เกี่ยวอะไรกับข้า ?”
“นางทำเช่นนี้เพื่อช่วยชายาของท่าน ท่านไม่คิดจะรับผิดชอบบ้างเลยกระนั้นหรือ ?” ปรมาจารย์หลิงโกรธ พลางตวาดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโมโห “และมีเพียงคนโง่อย่างไป๋หยานเท่านั้นที่ยอมแต่งงานกับท่าน ย้อนกลับไปในคราครั้งนั้น สัตว์อสูรของท่านไล่ล่า และพยายามสังหารนาง หากรั่วซีไม่เสี่ยงชีวิตเข้าช่วยนาง นางย่อมต้องตายไปแล้ว ตอนนี้นางยังคิดเนรคุณอีก ต่างอะไรกับหมาป่าตาขาว ?”
“ปากเสีย !”
ที่สุดผู้อาวุโสใหญ่ก็อดไม่ได้ที่จะระเบิดคำผรุสวาทออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
เขาตัวสั่นสะท้านด้วยความโกรธ นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยไฟโทสะพลุ่งพล่าน
บทที่ 1333 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (4)
“สัตว์อสูรของเราไปไล่สังหารราชินีตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? เจ้าอย่ามาสร้างเรื่องหลอกลวงผู้คนที่นี่จะดีกว่า ส่วนหยุนรั่วซี หญิงผู้นั้นทำตัวเองทั้งสิ้น ! หากนางไม่คิดทรมาน ไม่คิดสังหารลูกจิ้งจอกที่เพิ่งเกิดใหม่ในแดนอสูรของเรา นางคิดจะถลกหนังจิ้งจอกน้อยด้วยซ้ำ จะมาโกรธแดนอสูรของเราได้อย่างไร !”
สิ่งเดียวที่เขาเสียใจก็คือ ในตอนนั้นเขาไม่ได้ฆ่าหยุนรั่วซีให้ตาย ๆ ไปซะ เขาเพียงปิดผนึกนาง เพื่อที่นางจะไม่สามารถฝึกฝนได้อีกต่อไป !
หากเขารู้ว่าคนเหล่านี้จะปฏิบัติต่อราชินีเช่นนี้ ในวันนั้นเขาจะไม่ปรานีเลย รวมทั้งจะไม่ใจใส่ต่อความรู้สึกของราชินี ยอมเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งหมด
เวลานั้น เขาคงจะให้ราชาอภิเษกกับราชินีโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งจะเล่าความสัมพันธ์ระหว่างหยุนรั่วซีและราชินีทั้งหมด ไม่ให้ต้องกลายเป็นเรื่องราวค้าง ๆ คา ๆ ครึ่ง ๆ กลาง ๆ กระทั่งก่อให้เกิดความผิดพลาดในภายหลังเช่นนี้
ผู้อาวุโสใหญ่หลับตาลง เมื่อเขาคิดว่าหลายสิ่งหลายอย่างเกิดจากความผิดพลาดของตน เขาก็รู้สึกราวกับว่ามีมดนับพันรุมกัดกินหัวใจของเขา เขาไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เขาเกือบทำร้ายราชินี กระทั่งแทบสิ้นพระชนม์ชีพ ทว่าที่สุดราชินีก็มีน้ำพระทัยอภัยให้เขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่สามารถทนได้ที่จะมีผู้ใดใส่ร้ายพระนาง !
“ฮ่าฮ่าฮ่า !” ปรมาจารย์หลิงเยาะเย้ยถากถาง พลางเอ่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงมืดมน “หยุนรั่วซี เป็นหญิงที่แสนใจดี อีกทั้งอ่อนโยน แต่เจ้ากลับใส่ร้ายนางว่า นางจะไปถลกหนังลูกสุนัขจิ้งจอกทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะเชื่อเจ้างั้นหรือ ? ขอบอกความจริงกับเจ้า เมื่อไม่นานมานี้ เราพบวิธีฟื้นฟูร่างกายของนางแล้ว”
ครั้นกล่าวเช่นนี้ปรมาจารย์หลิงก็เงยหน้าขึ้นมองตี้คัง แล้วกล่าวต่อ “เพียงต้องใช้เลือดของสุนัขจิ้งจอกสาวบริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะทำให้นางฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ หากแต่นางกลับไม่อาจทนรับวิธีการเช่นนี้ได้ นางให้เราล้มเลิกความคิดนี้ นางไม่อยากแลกด้วยเลือดของจิ้งจอกน้อย เช่นนี้แล้วเจ้ายังให้ร้ายว่านางจะถลกหนังจิ้งจอกเป็น ๆ อีกกระนั้นหรือ ?”
ผู้อาวุโสใหญ่ยิ้มเยาะ เขาหยุดโต้เถียง ในภายหน้าคนเหล่านี้จะรู้เองว่าหยุนรั่วซีเป็นคนเช่นไร ? มีจิตใจดำมืดเพียงใดซ่อนอยู่ภายใต้รูปลักษณ์ที่อ่อนแอของนาง
หากไม่ได้เห็นภาพโหดร้ายที่นางต้องการทำกับสัตว์อสูรต่อหน้าต่อตา เกรงว่าผู้อาวุโสใหญ่ก็อาจจะไม่เชื่อว่า สตรีที่เจรจานุ่มนวลผู้นี้จะสามารถถลกหนังลูกสุนัขจิ้งจอกทั้งเป็น ๆ ได้
แม้จะต้องเผชิญหน้ากับถ้อยคำของคนไร้ยางอายเหล่านี้ ตี้คังก็ยังเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่กลางอากาศว่างเปล่า ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย กลิ่นอายที่ทรงพลังมืดมนของเขาค่อย ๆ ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
“ตี้คัง ครั้งนี้ที่พวกเรามาหาท่านก็เพราะเรื่องนี้ด้วย หากท่านต้องการช่วยหยุนรั่วซี ก็ต้องใช้เลือดของจิ้งจอกบริสุทธิ์เท่านั้น อีกทั้งต้องเป็นจิ้งจอกตัวเมียด้วย เช่นนั้นท่านกับไป๋หยานก็ต้องให้กำเนิดบุตรสาวอีกสักคน และหลังจากคลอดก็จงส่งมอบนางให้กับข้า”
น้ำเสียงของปรมาจารย์หยูนั้นแน่วแน่หนักแน่นพอ ๆ กับคำพูดของเขา เขาหมายว่าตี้คังต้องเชื่อฟังเขา
ผู้อาวุโสใหญ่ตกตะลึง
องครักษ์แดนอสูรที่เหลือต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน
คนของเทวคารพวกนี้โง่หรือบ้ากันแน่ ? คนพวกนี้กล้าพูดเช่นนี้ออกมาต่อหน้าราชาของพวกเขาเลยกระนั้นหรือ ? ซ้ำยังกล้าพูดออกมาโต้ง ๆ ด้วยน้ำเสียงเช่นนั้นอีก ?
ปรมาจารย์ซวนขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะคิดว่าต้องบังคับให้ตี้คังส่งมอบบุตรสาวมาให้ได้ อีกทั้งถ้อยคำโน้มน้าวที่เขาเตรียมมาก่อนหน้าก็ค่อนข้างสละสลวย ไม่คาดคิดว่าปรมาจารย์หยูจะกล่าววาจาโผงผางออกมาตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงบีบบังคับเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมีคนพูดออกไปแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เขาจึงหันมาสบตากับตี้คังอีกครั้ง
ชั่วขณะนั้นเองเสียงหัวเราะก็ดังก้องฟ้า
เสียงหัวเราะนี้ทั้งทรงพลัง ทั้งเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเป็นการหัวเราะอย่างผิวเผิน หากแต่กลับกระทบใจทุกผู้คนเสมือนหนึ่งเสียงฟ้าร้องคำราม
“บุตรสาวของข้า … เหตุใดข้าต้องใช้ เพื่อช่วยนาง ?”
บทที่ 1334 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (5)
“นั่นก็เพราะหยุนรั่วซีเป็นคนเดียวที่สามารถต่อต้านหายนะนี้ได้ !” ใบหน้าชราของปรมาจารย์หลิงเคร่งเครียด “ราชาอสูร ไม่คุ้มกันหรือที่จะแลกบุตรสาวของท่านเพื่อความปลอดภัยของแดนอสูร ขอเพียงท่านเต็มใจทำตามที่เราต้องการ ข้าจะให้รั่วซีปกป้องความสงบสุขของแดนอสูรด้วย”
ตี้คังเลิกคิ้วที่ยโสของเขา สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“หากข้าไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องแดนอสูรได้ กระทั่งต้องใช้ชีวิตบุตรสาวของตนเพื่อปกป้องแดนอสูร ข้าก็ควรที่จะจุดไฟเผาตนเองดีกว่า ! เพราะข้าจะเป็นเพียงราชาอสูรผู้ไร้ความหมาย”
“ราชาอสูร นี่ท่านยอมละทิ้งแดนอสูรเพื่อบุตรสาวจริง ๆ กระนั้นหรือ ?” ปรมาจารย์หลิงเอ่ยถามพร้อมกับกัดฟัน
สายตาที่เย็นชาของตี้คังกวาดมองทั่วร่างปรมาจารย์หลิง “ข้าหวงแหนชีวิตของข้ามาก”
หวงแหนชีวิต ?
ปรมาจารย์หลิงผงะนี่หมายความว่ากระไร ? เขาหวงแหนชีวิตตนเอง หากแต่เขาไม่สละชีวิตของบุตรสาว !
“ลูก ๆ คือชีวิตของหยานเอ๋อ หยานเอ๋อคือชีวิตของข้า ! เจ้าต้องการชีวิตของข้า เหตุใดข้าถึงต้องทำในสิ่งที่เจ้าต้องการด้วยล่ะ ?” นัยน์ตาเรียวคมของตี้คังกะพริบ พลันเจตนาสังหารก็พุ่งออกมาจากร่างของเขา
ท้องฟ้าทั้งหมดถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำทะมึน
“หากเจ้าให้ข้าเลือก บุตรสาวคือตัวเลือกเดียวสำหรับข้า !”
แล้วแดนอสูรล่ะ ?
ในใจของเขา มีแต่ไป๋หยานเท่านั้นเป็นดั่งชีวิตจิตใจ !
ใบหน้าของปรมาจารย์หลิงเปลี่ยนเป็นสีเขียว เขาไม่คิดว่าตี้คังจะดื้อด้านถึงเพียงนี้
นัยน์ตาของเขาฉายแววดุร้าย เขาหันไปทางผู้อาวุโสใหญ่ และทุกคนในแดนอสูร
“เจ้าได้ยินหรือไม่ว่า ราชาของพวกเจ้ายอมสละพวกเจ้า เพียงเพื่อสตรีเช่นนั้น สมควรแล้วหรือที่พวกเจ้าจะเสียสละเพื่อเขา ?”
ทุกคนในแดนอสูร ทำราวกับไม่ได้ยินถ้อยคำของปรมาจารย์หลิง ต่างมองปรมาจารย์หลิงด้วยสายตานิ่งเฉย
“ไอ้โง่ ไอ้พวกงี่เง่า !”
ปรมาจารย์หลิงโกรธกระทั่งแทบกระโดด เขาไม่รู้จริง ๆ ว่า เหตุใดในเมื่อตี้คังกล่าวออกมาชัดเจนถึงเพียงนี้แล้ว ทุกคนต่างก็ได้ยินกันถ้วนทั่ว เหตุใดคนพวกนี้ถึงยังยินดีติดตามตี้คัง ?
ในความเป็นจริง ปรมาจารย์หลิงไม่ใช่หนึ่งในสัตว์อสูรแน่นอนว่า เขาย่อมไม่รู้เหตุผลว่าไยพวกสัตว์อสูรถึงได้ยอมติดตามตี้คังเสมอ ไม่ว่าตี้คังจะวางชีวิตของพวกเขาไว้ในตำแหน่งใด
ชั่วขณะนั้นเอง ป้ายเวทในกระเป๋ากางเกงของปรมาจารย์หลิงก็แผ่ความร้อนออกมา กระทั่งทำให้ผิวเขาร้อนแทบไหม้ ส่งผลให้ใบหน้าชราของเขาเปลี่ยนไป
ก่อนจากมา เขามอบป้ายนี้ให้แก่ปรมาจารย์ฮวง พร้อมกำชับให้ปรมาจารย์ฮวงใช้สิ่งนี้ส่งสัญญาณบอกกล่าว หากมีบางอย่างเกิดขึ้นกับเทวาคาร
หรือว่า … เทวาคารจะมีปัญหา ?
ครั้นเห็นปรมาจารย์หลิงหยุดพูด ทั้งเหงื่อเย็น ๆ ยังไหลย้อยลงมาจากหน้าผากของเขา ปรมาจารย์ซวนและปรมาจารย์หยูก็ผงะ พวกเขารีบถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”
ใบหน้าของปรมาจารย์หลิงซีด “น่าจะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเทวาคาร เราต้องกลับเดี๋ยวนี้ !”
เกิดสิ่งใดขึ้นกับเทวาคาร ?
สีหน้าของปรมาจารย์ซวนและปรมาจารย์หยูพลันเปลี่ยนไปเช่นกัน มีปรมาจารย์อีกหลายคนที่อยู่ปกป้องเทวาคาร เทวาคารจะเกิดเรื่องได้เช่นไร ?
แต่เมื่อปรมาจารย์หลิงกล่าวเช่นนั้น ปรมาจารย์ที่เหลือก็ไม่กล่าวคำใดอีกต่างหันหลังกลับ ต้องการถอนตัวออกจาสถานการณ์นี้ทันที
ตี้คังมองปรมาจารย์ทั้งสาม และเมื่อเขาเห็นการแสดงออกของปรมาจารย์หลิง เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาก็รู้ว่าไป๋หยานทำสำเร็จแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้นั้น เขาพยายามยื้อคนเหล่านี้ไว้
“เมืองสัตว์อสูรนี้ ข้าเป็นผู้ดูแลอยู่ เจ้านึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปได้กระนั้นหรือ ?” ริมฝีปากของตี้คังยกขึ้นเยาะเย้ย เสื้อคลุมของเขากะพริบวาบ พริบตาเขาก็ปรากฏกายขวางกั้นด้านหน้าของปรมาจารย์ทั้งหลาย
ก่อนหน้านี้ เหตุที่เขาพยายามสนทนาเรื่องไร้สาระกับคนเหล่านี้ ก็เพียงเพื่อที่จะถ่วงเวลา ตอนนี้นางทำสำเร็จแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ยัง … ขวัญกล้าถึงกับคิดร้ายหลิงเอ๋อ กระทั่งเมื่อครู่เขาแทบจะทนไม่ได้อยุู่แล้ว
“ราชาอสูร ท่านต้องการเป็นศัตรูกับอาณาจักรสวรรค์ของเราจริง ๆ กระนั้นหรือ ?”
ใบหน้าของปรมาจารย์หลิงซีด “น่าจะมีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับเทวาคาร เราต้องกลับเดี๋ยวนี้ !”
เกิดสิ่งใดขึ้นกับเทวาคาร ?
สีหน้าของปรมาจารย์ซวนและปรมาจารย์หยูพลันเปลี่ยนไปเช่นกัน มีปรมาจารย์อีกหลายคนที่อยู่ปกป้องเทวาคาร เทวาคารจะเกิดเรื่องได้เช่นไร ?
แต่เมื่อปรมาจารย์หลิงกล่าวเช่นนั้น ปรมาจารย์ที่เหลือก็ไม่กล่าวคำใดอีกต่างหันหลังกลับ ต้องการถอนตัวออกจาสถานการณ์นี้ทันที
ตี้คังมองปรมาจารย์ทั้งสาม และเมื่อเขาเห็นการแสดงออกของปรมาจารย์หลิง เปลี่ยนไปอย่างมาก เขาก็รู้ว่าไป๋หยานทำสำเร็จแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้นั้น เขาพยายามยื้อคนเหล่านี้ไว้
“เมืองสัตว์อสูรนี้ ข้าเป็นผู้ดูแลอยู่ เจ้านึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปได้กระนั้นหรือ ?” ริมฝีปากของตี้คังยกขึ้นเยาะเย้ย เสื้อคลุมของเขากะพริบวาบ พริบตาเขาก็ปรากฏกายขวางกั้นด้านหน้าของปรมาจารย์ทั้งหลาย
ก่อนหน้านี้ เหตุที่เขาพยายามสนทนาเรื่องไร้สาระกับคนเหล่านี้ ก็เพียงเพื่อที่จะถ่วงเวลา ตอนนี้นางทำสำเร็จแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่านั้น คนเหล่านี้ยัง … ขวัญกล้าถึงกับคิดร้ายหลิงเอ๋อ กระทั่งเมื่อครู่เขาแทบจะทนไม่ได้อยุู่แล้ว
“ราชาอสูร ท่านต้องการเป็นศัตรูกับอาณาจักรสวรรค์ของเราจริง ๆ กระนั้นหรือ ?”
บทที่ 1335 : คิดร้ายกับเสี่ยวหลิงเอ๋อรึ (6)
ปรมาจารย์หลิงกังวลเรื่องที่จะกลับไปยังเทวคาร เช่นนั้นเมื่อเขาเห็นตี้คังขวางทาง สีหน้าของพวกเขาจึงเคร่งเครียดลงทันที
“ราชาอสูรกับอาณาจักรสวรรค์ต่างก็เป็นศัตรูกันมานานนับพันปี หลังจากผ่านมาพันปี … ท่านยังคิดว่าเราจะยังสามารถจับมือ เพื่อสร้างสันติภาพได้อีกกระนั้นหรือ ?”
ความหมายก็คือเมื่อพันปีก่อนเราต่างก็เป็นศัตรูกัน เช่นนั้นเมื่อผ่านมาตั้งพันปีแล้ว เราจะเป็นมิตรกันได้อย่างไร ?
สิ่งนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ !
“ราชาอสูรหากท่านมีความแข็งแกร่งเทียบเท่าเมื่อพันปีก่อน พวกเราอาจจะยังคงกลัวอยู่บ้าง ทว่าตอนนี้ท่านสามารถรับมือได้มากที่สุดก็แค่เพียงสองคนเท่านั้น หากพวกเราสามคนร่วมมือกันท่านก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเรา !”
ตี้คังยิ้มเยาะ พลางกล่าวว่า “แม้ข้าจะไม่อาจสังหารพวกเจ้าทั้งสามคนพร้อมกันในวันนี้ได้ ทว่าหากแค่เพียงให้พวกเจ้าสละแขนสละขาของพวกเจ้าสักข้างสองข้างก็น่าที่จะพอเป็นไปได้ หาไม่พวกเจ้าก็อย่าหวังเลยว่าจะจากไปได้โดยง่าย !”
อยากไปนักใช่หรือไม่ ? เช่นนั้นก็ตัดแขนขามาให้เขา บางทีเขาอาจจะปล่อยคนพวกนี้ไป
“ปรมาจารย์ซวน ปรมาจารย์หลิง เลิกเจรจาไร้สาระกับเขาเสียทีเถิด หากเขาไม่ปล่อยพวกเรา พวกเราก็แค่ฆ่าเขาแล้วก็ไป !” นัยน์ตาของปรมาจารย์หยูเคร่งขรึมลง ขณะเอ่ยกล่าวอย่างเย็นชา
ทว่ากระทั่งถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังไม่ได้นึกเชื่อมโยงเหตุการณ์ในเทวาคารกับแดนอสูรเข้าด้วยกัน ในความคิดของพวกเขาคนเดียวที่สามารถทำอันตรายเทวาคารได้ก็คือตี้คัง แต่ต่อให้เป็นตี้คังก็ไม่สามารถรับมือปรมาจารย์จำนวนมากถึงเพียงนั้น หากบรรดาปรมาจารย์ร่วมมือกัน
และเหล่าเทพปรมาจารย์ที่อยู่ในเทวาคารเหล่านั้นก็ไม่ได้มีจำนวนน้อย ๆ รวมทั้งยังมียอดฝีมืออื่น ๆ ในนั้นด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีผู้ใดในโลกนี้ ที่จะสามารถก่อกวนพวกเขาได้
ยกเว้น … เทพปรมาจารย์จะแจ้งพวกเขาถึงหายนะครั้งใหญ่ !
อย่างไรก็ตาม ในครานั้น เทพาจารย์ก็ได้หายตัวไปนับตั้งแต่กล่าวคำทำนาย ทั้งไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย พวกเขาไม่มีความแค้นใจ อีกทั้งไม่เคยเป็นศัตรูกับผู้ใด เป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้ใดมาโจมตีเทวาคาร
เช่นนั้นพวกเขาจึงไม่เคยคิดว่า ตี้คังจะเชิญพวกเขามาที่นี่เพื่อล่อเสือออกจากถ้ำ
*****
ภายในเมืองสัตว์อสูร เสียงซวบซาบซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ หูของนางตั้งชั้น ทันทีที่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก
นางเหลือบมองชายชราสามคนที่กำลังต่อสู้กับตี้คัง ก่อนจะรีบเดินไปยังตำหนักอสูรอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ในตำหนักอสูร
บนต้นไม้ใหญ่ศีรษะของเสี่ยวหลิงเอ๋อเผยออกมาจากรอยแยกของใบไม้ ใบหน้าเล็ก ๆ ของนางป่องเป็นสีชมพูสวยงามกว่าลูกท้อในมือของนาง
“พี่รอง เอานี่ไป”
เสี่ยวหลิงเอ๋อแค่อยากจะปล่อยลูกท้อที่นางถืออยู่ในมือ ผู้ใดจะรู้ว่านางจะลื่นล้ม ทั้งร่างของนางพลันไถลตกจากต้นไม้
บรรดานางกำนัล และองครักษ์ต่างตกใจกลัวจนหัวใจของพวกเขาแทบจะ