จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 901-905
บทที่ 901 : ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (1)
ภายในตำหนักหลักของตำหนักเซียนพยับหมอก
เหวินหวู่เหว่ยกำลังออกคำสั่งให้คนของเขาทำความสะอาดลานบ้านในเวลานั้นยามก็วิ่งเข้ามาขัดจังหวะการทำงานของเขา “ท่านเจ้าตำหนัก ท่านเจ้าตำหนัก ! เจ้าบ้านเต๋า เต๋าเทียนต้องการพบท่านขอรับ”
เหวินหวู่เหว่ยขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงติดจะรำคาญ“เขาต้องการพบข้าด้วยเรื่องใด ?”
“ดูเหมือน…จะเกี่ยวข้องกับหวังตี้จวินและบุตรชายของเขา” ยามลอบมองปฏิกิริยาของเหวินหวู่เหว่ยอย่างประหม่า
เรื่องที่หวังตี้จวินปล่อยให้คนจากอาณาจักรวิญญาณเข้าสู่ตำหนักเซียนพยับหมอกมากมายกระทั่งก่อให้เกิดการนองเลือดขึ้นที่นี่ ทว่าหลังจากที่ทุกคนรู้แล้วว่าหวังเสี่ยวผาง และไป๋เสี่ยวเฉินเป็นเพื่อนกัน ก็ทำให้ความขัดแย้งต่าง ๆ จบสิ้นลงทันที ความวุ่นวายต่าง ๆ ที่คนตระกูลหวังทำให้เกิดขึ้นในตำหนักเซียนพยับหมอกกลายเป็นเพียงคำนินทาลับหลัง เพราะอย่างไรเสีย ไป๋หยานก็มีสายสัมพันธ์ที่แน่นเเฟ้นยาวนานกับทั้งสำนักเวชโอสถ และดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นจึงมีเพียงคนโง่เท่านั้นที่คิดจะแหย่รังแตน
“ให้เขาเข้ามา”แม้ว่าจะหงุดหงิด ทั้งรำคาญใจเล็กน้อย ทว่าเหวินหวู่เหว่ยก็ยังอยากรู้ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกระทั่งเจ้าบ้านเต๋าต้องมาถึงที่นี่
“ขอรับท่านเจ้าตำหนัก”
ไม่กี่นาทีต่อมาชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาในลานบ้านอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งใบหน้าของเขาเขียวช้ำ กระทั่งแทบจำไม่ได้เลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือใคร
เหวินหวู่เหว่ยยังคงสงสัยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นเป็นใครแล้วเหตุใดหน้าเขาถึงเขียวช้ำปูดโปนได้เพียงนั้น เขาจึงรีบเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดเขาถึงได้มีสภาพเช่นนี้ ?”
”ท่านเจ้าตำหนัก”เต๋าเทียนคว้าตัวบุตรชายของเขา พลางคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมเสียงอ้อนวอน “ท่านเจ้าตำหนักโปรดให้ความเป็นธรรมกับบุตรชายของข้าด้วย เมื่อเช้านี้บุตรชายของข้ายังปกติดีอยู่เลย ทว่าตอนนี้เขากลับกลายเป็นเช่นนี้เพราะโดนทำร้ายอย่างไร้ความปรานี”
เด็กหนุ่มส่งเสียงครวญครางหากไม่รู้จักเขาดี ย่อมคิดว่าเขากำลังเจ็บปวดมากแน่นอน
เหวินหวู่เหว่ยย่นคิ้วเข้าใจสถานการณ์นี้ด้วยความหนักใจ“ผู้ที่ทำร้ายบุตรชายของเจ้ากระทั่งตกอยู่ในสภาพนี้คือหวังเสี่ยวผางสินะ ?”
เรื่องที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับการกระทำอุกอาจของหวังเสี่ยวผางนั้นเหวินหวู่เหว่ยก็พอรับรู้มาบ้างแล้ว ทว่าตอนนี้เมื่อคิดถึงน้ำเสียงของยามที่เข้ามารายงานเมื่อครู่ ตอนนี้เขาเริ่มเชื่อคำเล่าลือที่ได้ยินมาแล้ว
ทว่าอย่างไรเสียหวังเสี่ยวผางก็เป็นเพื่อนของหลานชายของเขาไม่ว่าจะทำถูกหรือผิด เขาก็มีหน้าที่ต้องปกป้อง เพราะอย่างน้อยเขาจะได้ไม่ทำลายสายใยสุดท้ายที่เขามีกับไป๋หยาน และบุตรชายของนาง ยามนี้เรื่องที่เขาเคยสร้างปัญหาให้กับเหวินหยุนเฟิ่งบุตรชายคนโตก็ยังไม่ได้รับการอภัย เช่นนั้นเหวินหวู่เหว่ยจึงไม่ต้องการให้เกิดข้อบาดหมางใด ๆ ในครอบครัวเพราะตัวเขาอีก
เขากำลังอยู่บนสายป่านเส้นสุดท้ายก่อนที่จะถูกครอบครัวทิ้ง…
“ไม่ใช่”เต๋าเทียนกัดฟันกล่าว “ผู้ที่ทำร้ายบุตรชายของข้าก็คือเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ข้าสงสัยว่านางอาจจะลอบเข้ามาที่ตำหนักเซียนพยับหมอกของเรา เจ้าตำหนักท่านต้องจัดการเด็กผู้หญิงคนนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อความปลอดภัยของบุตรชายของข้า หากแต่เพื่อตำหนักเซียนพยับหมอกทั้งหมดด้วย”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเด็กหญิงผู้ที่ทำร้ายเด็กหนุ่มกระทั่งมีสภาพเช่นนี้ในตำหนักเซียนพยับหมอก เด็กหญิงผู้นี้อาจก่อให้เกิดภัยคุกคามมากพอที่จะเป็นอันตรายต่อทุกคนที่นี่… ..
”เด็กหญิงน้อย?” เหวินหวู่เหว่ยนิ่งงันและงุนงง
ตกลงไม่ใช่หวังเสี่ยวผางแต่เป็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ
“เต๋าเทียนเจ้าช่วยบอกให้บุตรชายของเจ้าระบุตัวตนของเด็กหญิงผู้นั้นมาจะได้หรือไม่ ?”
“ขอรับ”ชายผู้นั้นกล่าว “ข้าจะส่งคนออกไปตามหาเด็กผู้หญิงผู้นั้น….”
ทว่าก่อนที่เขาจะทันกล่าวจบน้ำเสียงอ่อนนุ่มของเด็กน้อยก็ดังมาจากระยะไกล จากนั้นก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ กระทั่งเข้ามาถึงลานบ้าน
“ร้านอาหารอันดับหนึ่งของตำหนักเซียนพยับหมอกไม่สมชื่อเลยเมื่อเปรียบเทียบกับการปรุงอาหารของหม่ามี้ข้าแล้วยังห่างไกลกันมาก หากหม่ามี้มีเวลาว่างสามารถปรุงอาหารได้ ข้าจะแบ่งให้เจ้าสักชิ้น”
***จบบทท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (1)***
บทที่ 902 : ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (2)
เด็กหนุ่มรู้สึกว่าเสียงนั้นฟังดูคุ้นเคยมากเขากระโดดตัวลอยด้วยความตื่นเต้นทันที พลันเสียงโวยวาย และหยิ่งผยองจากอีกคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“ลูกพี่ท่านช่างจู้จี้จุกจิกมากเกินไป ข้าคิดว่าอาหารของร้านนั้นก็อร่อยดี หากจะมีที่ติ ก็แค่เรื่องสุนัขตัวนั้นที่ชอบกัดคนอื่นมาทำให้อารมณ์เสียมากกว่า”
“ฮือฮือออ !”
เด็กหนุ่มยังคงส่งเสียงคร่ำครวญต่อน้ำเสียงของเขาฟังคลุมเครือแทบไม่ได้ศัพท์ ขณะเดียวกันสายตาโกรธแค้นก็จับจ้องมองกลุ่มเด็กที่เพิ่งเดินเข้าไปในลานบ้าน
เช่นเดียวกันเด็ก ๆ ก็สังเกตเห็นเต๋าเทียนผู้ซึ่งกำลังคุกเข่าอยู่กับพื้น และเด็กหนุ่มที่มีท่าทางเศร้าโศก พวกเขาชะงักฝีเท้าทันที
“ลูกข้า”เต๋าเทียนระงับความโกรธภายในใจของตน “เด็กพวกนี้คือกลุ่มคนที่โจมตีเจ้าใช่หรือไม่ ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้าทันทีแววตาของเขาเปล่งประกายความโกรธแค้น….
ยามนี้เขามีบิดาคอยหนุนหลังเขายังต้องกลัวเด็กพวกนี้อีกกระนั้นหรือ ?
ครั้นคิดได้ดังนี้แล้วใบหน้าบวมราวหัวหมูของเด็กหนุ่มพลันเผยความภาคภูมิใจออกมา เขาเชิดคางพลางจ้องมองพวกเด็ก ๆ อย่างเย่อหยิ่ง ราวกับว่าเขากำลังจะเหยียบมดตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญใด ๆ
ในทางกลับกันไป๋เสี่ยวเฉินกลับเพิกเฉยต่อท่าทีของเด็กหนุ่ม เขารีบวิ่งไปหาเหวินหวู่เหว่ยพร้อมรอยยิ้มสดใสไร้เดียงสาบนพวงแก้มสีชมพูระเรื่อ เขาวิ่งไปหยุดยืนข้างกายเหวินหวู่เหว่ย จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อของเหวินหวู่เหว่ย
“ท่านปู่ทวด”
คำว่าปู่ทวดทำให้เหวินหวู่เหว่ยหัวใจละลาย น้ำตาเอ่อท้นนัยน์ตาด้วยความปลาบปลื้ม
สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าเขามีความสุขมากเพียงใดนับแต่วันนั้น วันที่มีปัญหาเรื่องเทพธิดาลวงโลก ทั้งเมียเขา จุนเทียนเยว่ ทั้งบุตรชายทั้งสองก็ยังไม่สนใจเขา แม้แต่ไป๋หยานเองก็ยังไม่ยอมรับเขาเป็นปู่ของนาง
เช่นนั้นเมื่อไป๋เสี่ยวเฉินเรียกเขาว่า “ท่านปู่ทวด” เหวินหวู่เหว่ยก็ตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น
โชคดีที่ยังมีคนในครอบครัวจำเขาได้…
เดิมเต๋าเทียนต้องการจัดการกับกลุ่มเด็กให้สาสมกระทั่งเขาได้ยินไป๋เสี่ยวเฉินเรียกท่านปู่ทวด เต๋าเทียนพลันตัวแข็งเป็นหินขึ้นมาทันทีทันใด เขาจ้องมองเด็กชายที่ถลาเข้าไปในอ้อมอกของเหวินหวู่เหว่ยด้วยความสยดสยอง
ท่าน… ท่านปู่ทวด ?
หรือว่ามารดาของเด็กคนนี้จะเป็นหลานสาวแท้ๆ ของท่านเจ้าตำหนักที่เกิดจากเหวินหยุนเฟิงผู้ซึ่งมีข่าวร่ำลือมากมายก่อนหน้านี้ ?
เด็กหนุ่มเองก็เบิกตากว้างเขาแทบจะตะคอกออกมา ทว่าเพราะฟันหน้าของเขาโดนเลาะออกมาทั้งแถบ ซ้ำใบหน้าก็บวมยังกับหัวหมู ทำให้คำพูดของเขาอู้อี้อยู่เพียงในปาก
เอ่อ!!!
มารดาของเด็กชายเป็นบุตรสาวของเหวินหยุนเฟิงกระนั้นรึ? นี่เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า ? เขาเพียงต้องการหาเรื่องไอ้อ้วนเสี่ยวผาง เหตุใดจึงกลายเป็นไปมีเรื่องกับกลุ่มคนอันตรายไปเสียได้เล่า ?
“เฉินเอ๋อเด็กดี”
เหวินหวู่เหว่ยเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียดเขาก้มหน้าลงมามองเด็กชายพร้อมรอยยิ้มกว้าง พลางลูบศีรษะเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินอย่างอ่อนโยน
“บอกปู่สิว่าเกิดอะไรขึ้นตอนที่เจ้าอยู่ข้างนอก”
ไป๋เสี่ยวเฉินกระพริบตาอย่างไร้เดียงสา“ก็ก่อนหน้านี้คนตระกูลเต๋า มาดูถูก เสี่ยวผาง และครอบครัวของเสี่ยวผาง เขาบอกว่า เสี่ยวผางเป็นหมาเฝ้าบ้าน….”
ใบหน้าของเหวินหวู่เหว่ยดำคล้ำลงทันทีสายตาเย็นชากวาดมามองเต๋าเทียน และบุตรชาย นัยน์ตาของเขาทั้งมืดมนทั้งเคร่งเครียด
“เนื่องจากหวังเสี่ยวผางเป็นลูกน้องของเฉินเอ๋อทั้งเฉินเอ๋อก็เป็นหัวหน้าของเขา เช่นนั้นเฉินเอ๋อจึงไม่อาจทนนั่งฟังเฉย ๆ ได้ เมื่อเขากล้าพูดหยาบคายกับเฉินเอ๋อ เสี่ยวหลงเอ๋อเลยอดไม่ได้ที่จะสั่งสอนเขาแทนเฉินเอ๋อ”
แม้ว่าหวังเสี่ยวผางจะมีอายุมากกว่าไป๋เสี่ยวเฉินหากแต่ก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ตราบใดที่หวังเสี่ยวผางยอมรับไป๋เสี่ยวเฉินในฐานะลูกพี่ เสี่ยวผางก็นับเป็นลูกน้องของไป๋เสี่ยวเฉิน
เรื่องของความแข็งแกร่งไม่เกี่ยวกับอายุ นั่นเป็นกฎที่ทุกคนในโลกนี้ยอมรับ
“เรื่องเป็นเช่นที่หลานของข้าพูดหรือไม่?” เหวินหวู่เหว่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ และสายตาเย็นยะเยือก เมื่อมองไปยังสองพ่อลูกตระกูลเต๋าสายตาของเขาไม่ต่างจากคมดาบบนใบหน้าที่ไร้อารมณ์
เต๋าเทียนตกใจจนตัวสั่นเทาเขารีบบังคับลากตัวบุตรชายมาอยู่ข้าง ๆ จากนั้นก็คำนับลงแทบพื้นทันที
***จบบทท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (2)***
บทที่ 903 : ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (3)
“เจ้าตำหนักข้า…ข้าไม่รู้ว่าคุณชายน้อยท่านนี้เป็นบุตรชายของนายน้อยหยุนเฟิงที่เพิ่งพบกันเมื่อเร็วๆ นี้ ข้าขอร้องท่านได้โปรดเมตตา ให้อภัยในความไม่รู้ของพวกเราด้วย”
เขาโขกศีรษะของเขาลงกับพื้นพลางจ้องมองเด็กหนุ่มข้างกายที่ยังตกอยู่ในอาการงงงวย จากนั้นก็รีบกดหัวบุตรชายของเขาให้ทำเช่นเดียวกัน
“เด็กเลวเจ้ากล้าไปมีเรื่องกับนายน้อยไป๋ รีบขอขมานายน้อยไว ๆ เลย”
หลังจากบังคับบุตรชายตนเองแล้วชายผู้นั้นก็หันมามองไป๋เสี่ยวเฉิน เขาเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม พยายามจะเอาอกเอาใจ
“นายน้อยไป๋ท่านสอนเจ้าสอนลูกชายของข้าก็ดีแล้ว ลูกชายของข้าชอบสร้างปัญหาไม่เว้นแต่ละวัน ต้องขอบคุณนายน้อยไป๋ด้วยซ้ำที่ให้สาวใช้ของท่านสั่งสอนเขา !”
เดิมทีเต๋าเทียนก็ต้องการเพียงประจบประแจงเด็กน้อยหากแต่ไม่คิดเลยว่าถ้อยคำของเขากลับทำให้เขาโดนตวาดกลับ
“เสี่ยวหลงเอ๋อไม่ได้เป็นสาวใช้ของข้านางเป็นน้องสาวของข้า !” ไป๋เสี่ยวเฉินขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจชัดเจน “หากเจ้ากล้าพูดจาไร้สาระอีก ข้าจะให้ท่านปู่ทวดฉีกปากของเจ้าซะ !”
เต๋าเทียนตัวสั่นหน้าขาวซีดด้วยความตกใจเขาไม่เคยได้ยินว่าไป๋หยานมีบุตรสาว เขาได้ยินแค่นางมีบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น
“ข้าน้อยสมควรตายข้าพูดผิดไปแล้ว นายน้อยไป๋โปรดอภัยด้วย” เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของตน ชายผู้นั้นตบปากตนเองค่อนข้างแรง ใบหน้าของเขาบวมขึ้นทันตาเห็น ทั้งยังปรากฏรอยช้ำไม่ต่างจากบุตรชายของตน
ไป๋เสี่ยวเฉินพ่นลมหายใจอย่างดูหมิ่นก่อนจะหันหลังกลับ ไม่ต้องการเห็นคนทั้งคู่อีก
“อะแฮ่ม!” เหวินหวู่เหว่ยทำท่าไอแห้ง ๆ เพื่อล้างคอ “ใช่แล้ว เต๋าเทียน เจ้าไม่ได้มาหาข้า เพื่อให้มอบความยุติธรรมให้กับเจ้าหรอกหรือ ? ตกลงเจ้าต้องการให้ข้าช่วยอะไรรึ ? ไหนเจ้าบอกว่าเสี่ยวหลงเอ๋อจะเป็นภัยคุกคามต่อทุกคนในตำหนักเซียนพยับหมอก ทั้งต้องการให้ข้ากำจัดนางด้วยใช่หรือไม่ ? นั่นคือสิ่งที่เจ้าต้องการใช่หรือไม่ ?”
ใบหน้าของเต๋าเทียนแข็งค้างเขาขุดหลุมฝังตัวเองไปแล้วจะขึ้นมายังไง ? เขาหัวเราะแฮะ ๆ “ข้าเข้าใจผิด เป็นข้าที่เข้าใจผิดไปเอง…”
เวลานั้นเขาไม่รู้เลยว่าไป๋เสี่ยวเฉินเป็นหลานชายของเหวินหยุนเฟิง หากเขารู้ เขาคงไม่กล้าทำเช่นนี้ ผู้ใดจะกล้ามาเรียกร้องความยุติธรรมจากปู่ทวดของเด็กน้อยกันเล่า
”เข้าใจผิด?” เหวินหวู่เหว่ยหัวเราะเยาะเบา ๆ “ความเข้าใจผิดของเจ้าถือเป็นเรื่องใหญ่โตมากเลยนะ เจ้าบอกว่าเด็กหญิงที่เฉินเอ๋อพามาจะทำให้ตำหนักเซียนพยับหมอกของเราตกอยู่ในอันตราย นั่นแสดงว่าเจ้าเข้าใจว่าบ้านของข้าก็เป็นภัยคุกคามของที่นี่ด้วยเช่นกัน ?”
เต๋าเทียนทรุดตัวลงไปกองกับพื้นและไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก เขารู้สึกสิ้นหวัง สิ่งที่เจ้าตำหนักกล่าวมาโดยเฉพาะประโยคสุดท้ายนั้น นับเป็นประโยคสังหารสำหรับพวกเขา ต่อไปหากพวกเขามีเรื่องมีราวใด ๆ ผู้ใดจะให้ความช่วยเหลือพวกเขาได้อีกเล่า ? ไม่ว่าใคร ! ก็ไม่อยากทำงานร่วมกับตระกูลเต๋าอีกแล้ว !
“เฉินเอ๋อ”เหวินหวู่เหว่ยหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉินอีกครั้ง เขาเปลี่ยนสีหน้าพลางเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม “เจ้าต้องการลงโทษพ่อลูกคู่นี้เช่นไร ?”
ไป๋เสี่ยวเฉินกัดเล็บราวกำลังครุ่นคิดพลันนัยน์ตาของเขาก็ส่องประกาย “ข้าต้องการให้เด็กหนุ่มตระกูลเต๋าคนนั้นเป็นผู้ติดตามของหวังเสี่ยวผาง”
“ก็ดีแล้วอีกคนหนึ่งล่ะ?”
“ท่านปู่ทวดบอกว่าชื่อของเขาคือเต๋าเทียนงั้นหรือ? เฉินเอ๋อว่ามันดูยิ่งใหญ่เกินไปยังไงไม่รู้สิ เฉินเอ๋อว่าไม่ค่อยเหมาะกับเขาเท่าไร” ไป๋เสี่ยวเฉินหันไปกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
หมายเหตุ:เต๋าเทียน ในภาษาจีนหมายถึงการท้าทายสวรรค์
เหวินหวู่เหว่ยลูบศีรษะเด็กชายพลางเอ่ยถามอย่างเอ็นดูว่า“แล้วชื่อใดที่เหมาะกับเขาล่ะ ?”
“เรียกเขาว่า…เต๋าปู้เก้วฉงในเมื่อกระทั่งหนอนเขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะได้ เขาจะเอาชนะสวรรค์ได้อย่างไร ? เขาไม่คู่ควรกับชื่อเต๋าเทียนหรอก ?” ร่างเล็ก ๆ ของไป๋เสี่ยวเฉินภายใต้ดวงอาทิตย์นั้นแลดูยิ่งใหญ่ราวราชาครองโลก
เหวินหวู่เหว่ยไม่เข้าใจตรรกะของเด็กน้อยเขาได้แต่อึ้ง ว่าเหตุใดชื่อนี้จึงได้ฟังดูแปลกจัง ?
อย่างไรก็ตามในเมื่อหลานเขาเป็นผู้ตั้งเขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะคัดค้าน
***จบบทท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (3)***
บทที่ 904 : ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (4)
หากไม่ใช่เพราะไอ้เด็กเหลือขอนั่นเขาคงจะไม่ตกอยู่ในฐานะรันทดเช่นนี้ !
“เต๋าปู้เก้วฉงเจ้าได้ยินคำพูดของข้าชัดเจนมั้ย ?” ไป๋เสี่ยวเฉินเลิกคิ้วที่น่ารักของตนขึ้น “ต่อไปเขาต้องมาเป็นผู้ติดตามของเสี่ยวผาง เขาไม่ใช่คนตระกูลเต๋าของเจ้าแล้ว เขาจะไม่กลับไปที่บ้านเต๋าอีกเข้าใจมั้ย ?” ไป๋เสี่ยวเฉินหันไปหาเพื่อน “เสี่ยวผางตั้งชื่อให้เขาหน่อย !”
“เอ่อ…”ใบหน้าอ้วนกลมของหวังเสี่ยวผางยับย่น เห็นได้ชัดว่าการตั้งชื่อให้คนอื่นเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับเด็กอย่างเขา
ทว่าหลังจากผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ลูบหัวแหลม ๆ ของตนเอ่ยกล่าวขึ้นว่า “อ้อ…ข้ารู้แล้ว ! เขาเคยดูถูกข้า งั้นข้าก็จะใช้ชื่อนั้นกับเขา จากนี้ไปเขาชื่อ หวังเสี่ยวเก๋า (หมาเฝ้าบ้าน)”
หวังเสี่ยวเก๋าสะอึกสะอื้นเด็กหนุ่มต้องการวิงวอนต่อบิดา เพื่อให้ช่วยเหลือ เขาไม่ต้องการติดตามเด็กอ้วน เขาอยากกลับบ้าน
ทว่าน่าเสียดายที่ชายผู้ซึ่งได้ชื่อใหม่ว่าเต๋าปู้เก้วฉงกลับไม่สนใจสายตาอ้อนวอนของเขาเลยชายคนนั้นรีบผละออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว
อย่างไรเสียเขาก็ยังมีบุตรชายอีกตั้งหลายคนเรื่องอะไรจะยอมสละทุกอย่างเพื่อเด็กคนนี้คนเดียว
ครั้นเห็นบิดาหายลับตาไปหวังเสี่ยวเก๋าก็ทรุดตัวร่วงลงไปกองกับพื้น ร่างของเขาแข็งค้างราวกับเป็นอัมพาตจากการถูกทอดทิ้ง หลังจากนั้นไม่นานน้ำตาสองสายก็ค่อย ๆ ไหลรินลงมาอาบแก้มช้ำ ๆ ก่อนที่จะหันไปเผชิญหน้ากับเด็กชายทั้งสอง
“เจ้ามองข้าหาอะไร?” เด็กอ้วนจ้องกลับ “ข้าไม่ได้ชอบผู้ชาย อย่ามาใช้สายตาเว้าวอนเช่นนั้นกับข้า ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ใช่จะรูปหล่ออะไรนัก หัดส่องกระจกเสียบ้าง หากเจ้ายังขืนมองข้าแบบนั้นอีก ข้าจะควักดวงตาของเจ้าออกมาซะ”
หวังเสี่ยวเก๋าสะดุ้งทันทีกับสายตาข่มขู่นั้นไม่กล้าที่จะสบตาหวังเสี่ยวผางอีก อดีตนายน้อยบ้านสกุลเต๋านั่งตัวสั่นสะท้านก้มหัวห่อไหล่ไม่ต่างกับลูกสุนัขที่กำลังหวาดกลัว….
แน่นอนว่าหวังเสี่ยวผางเพียงต้องการระบายความโกรธที่เด็กหนุ่มเคยดูถูกเขามาก่อน ไม่ใช่ว่าเขาจะควักลูกตาของใครจริง ๆ หรอก นั่นก็มากเกินไป
สำหรับเขาเพียงได้ข่มขู่อีกหน่อยก็น่าจะพอแล้ว
“หวังเสี่ยวเก๋าจากนี้ไปเจ้าเป็นผู้ติดตามของข้า หากข้าว่าตะวันออกเจ้าก็ต้องไปทางตะวันออก หากข้าว่าตะวันตกเจ้าก็ต้องไปทางตะวันตก หากข้าบอกว่าหัวเราะเจ้าก็ห้ามร้องไห้ เข้าใจหรือไม่ ?”
ว่ากันว่าเมื่ออยู่บ้านใครก็ต้องก้มหัวให้เจ้าบ้าน เช่นนั้นเมื่อได้ยินคำสั่ง หวังเสี่ยวเก๋าก็รีบพยักหน้าเพื่อแสดงว่าเขาเข้าใจ
“ดีมากดีมาก ตอนนี้ยิ้มให้ข้าดูหน่อยสิ” หวังเสี่ยวผางมองหวังเสี่ยวเก๋าที่อยู่ต่อหน้าตนราวกับมองสัตว์เลี้ยง
หวังเสี่ยวเก๋าเงยหน้าขึ้นแล้วฉีกยิ้ม รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าบวมเป่งเหมือนหัวหมูของเขา ทำเอาหวังเสี่ยวผางตกใจจนกระโดดถอยหลังไปสองสามก้าว
“เอ่อ…ลืมไปเถอะ เจ้าควรจะร้องไห้ดีกว่า ใบหน้าของเจ้าอาจจะดูไม่น่ากลัวเช่นนี้”
หวังเสี่ยวผางตบอกอ้วนๆ ของตน ทำสีหน้าราวกับว่าเขายังไม่หายตกใจ
ไป๋เสี่ยวเฉินหันไปมองเหวินหวู่เหว่ยนัยน์ตากลมโตของเขาสดใส “ ท่านปู่ทวด หม่ามี้ของข้าอยู่ที่ไหน ?”
“โอ้! นางอยู่ในลานหลังบ้านกับท่านย่าทวดของเจ้า”
“อ้อ”ไป๋เสี่ยวเฉินพยักหน้ารับ จากนั้นก็หันไปจับมือเสี่ยวหลงเอ๋อ “หลงเอ๋อ ไปหาหม่ามี้กันเถอะ”
เด็กหญิงเดินตามไป๋เสี่ยวเฉินไปอย่างว่าง่ายทิ้งหวังเสี่ยวผางมองตามพวกเขาทั้งสองกระทั่งหายลับตาไป
หวังเสี่ยวผางรู้สึกเหมือนถูกลูกพี่ทอดทิ้ง
*****
ด้วยฐานะฮูหยินของเจ้าตำหนักงานเลี้ยงวันเกิดของจุนเทียนเยว่ย่อมยิ่งใหญ่ไม่แพ้ไป๋ฉางเฟิ่ง และเนื่องจากตอนนี้พวกเขาได้รู้เกี่ยวกับความเป็นมาในอดีตของไป๋หยาน และผู้ที่นางใกล้ชิดสนิทสนม บ้านสกุลหลานจึงได้รับเชิญมาด้วย
ดังนั้นฐานะของบ้านสกุลหลานจึงถูกผลักดันให้สูงส่งยิ่งขึ้นทำให้เป็นที่อิจฉาของผู้คนทั้งโลก
***จบบทท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (4)***
บทที่ 905 : ท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (5)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยเยาะเย้ยหลานเยี่ยแม่บุญธรรมของไป๋หยาน คนพวกนี้ก็ยิ่งไม่ต่างจากคนเซ่อ หากมิใช่เพราะหลานเยี่ยมีจิตใจดีรับหญิงสาวกำพร้ามาชุบเลี้ยง บ้านสกุลหลานคงจะไม่รุ่งโรจน์เช่นในวันนี้ และพวกเขาคงจะไม่ได้รับประโยชน์จากความสัมพันธ์นี้ด้วย
โลกนี้ได้เห็นเพียงส่วนที่ดีของความสัมพันธ์นี้หากแต่ไม่มีผู้ใดสนใจที่จะนึกถึงช่วงเวลาที่คนสกุลหลานต้องทนยอมรับชะตากรรม เมื่อไป๋รั่วทำลายชื่อเสียงไป๋หยานจนย่อยยับ
และผู้ใดจะทำได้เช่นบ้านสกุลหลานที่ไม่สนใจความเสื่อมเสียของไป๋หยานเมื่อนางต้องตั้งท้องไม่มีพ่อ ทั้งยังต้องไปให้กำเนิดบุตรโดยลำพังในป่า
*****
”ท่านตาทวด!”
แม้จะมองจากที่ไกลๆ ไป๋หยานและบุตรชายของนางก็สามารถเห็นสมาชิกของตระกูลหลานได้อย่างรวดเร็ว ไป๋เสี่ยวเฉินอดใจรอไม่ไหว เขาวิ่งไปหาท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน และคนอื่นทันที
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานที่ปกติมักมีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่เสมอทันทีที่เห็นไป๋เสี่ยวเฉิน เขาก็อ้าแขนพลางยิ้มรับ จากนั้นก็กอดเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน “เฉินเอ๋อ ไม่เจอกันแค่ครึ่งปีเท่านั้น เจ้าสูงขึ้นมากเลย”
ไป๋เสี่ยวเฉินกอดแขนของชายชราพร้อมรอยยิ้มบริสุทธิ์บนใบหน้าอมชมพู“ท่านตาทวด ถึงแม้ว่าตอนนี้ เฉินเอ๋อจะมีตาทวดหลายคน แต่เฉินเอ๋อก็ยังคิดถึงท่านมากเลย”
แววตาของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคำหวาน“โอ้…ตอนนี้เจ้าไม่เพียงแต่จะสูงขึ้นเท่านั้น ปากของเจ้ายังหวานขึ้นอีกด้วย ตาทวดจะไม่หลงเจ้าได้อย่างไร ?”
แม่เฒ่าหลานยิ้มและมองคนทั้งสองที่อยู่ตรงหน้านางอย่างอบอุ่นในหัวใจ
นางเบือนหน้าเล็กน้อยไปมองไป๋หยานผู้ซึ่งยืนอยู่ตรงหน้านางเช่นกัน จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หยานเอ๋อ ไยเจ้าถึงไม่ไปเยี่ยมยายบ้างเลยล่ะ ?”
หัวใจไป๋หยานพลันอบอุ่นนางก้าวไปข้างหน้าช้า ๆ “ ท่านยาย เหตุใดข้าถึงไม่เห็นพี่ใหญ่กับเสี่ยวหยุนเลย ?”
“อ้อพี่ชายของเจ้ามีเหตุบางอย่างทำให้มาไม่ได้ ส่วนเสี่ยวหยุนก็ไปกับเขา”
ไป๋หยานลูบคางพลางครุ่นคิด เพียงครู่นางก็สามารถเดาได้
นี่พี่ใหญ่คงกำลังติดตามจักรพรรดินีแห่งอาณาจักรเฟิงฉีซึ่งตอนนี้นางน่าที่จะยังคงอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พี่ใหญ่คงจะมุ่งหน้าไปที่นั่น เช่นนั้นการมีหลานเสี่ยวหยุนติดตามไปด้วย ก็คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงนัก
“เฉินเอ๋อพาท่านตาทวดกับทุกคนเข้าไปพักข้างในก่อน แม่จะรอคนอื่น ๆ ที่นี่ก่อน”
“ไม่ต้องห่วงหม่ามี้ เฉินเอ๋อจะดูแลท่านตาทวด ท่านยายทวด และทุกคนเป็นอย่างดี….”
ไป๋เสี่ยวเฉินตบหน้าอกน้อยๆ แสดงความมั่นใจ
“ไปเถอะ”
ไป๋หยานลูบหลังบุตรชายเอ่ยกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ในขณะที่ไป๋เสี่ยวเฉินแนะนำคนตระกูลหลานต่อเจ้าตำหนักเซียนพยับหมอกไป๋หยานก็ลอบเป็นกังวล ทั้งหนักใจเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ฉู่หรานบอกนางว่าตี้คังไปที่สำนักเวชโสถเพื่อช่วยนาง หากเขารู้ว่านางไม่ได้อยู่ในสำนักเวชโอสถ เขาก็น่าจะรีบตามมาที่นี่
อย่างไรก็ตามนี่ก็ผ่านมาได้สองสามวันแล้วหากออกมาจากที่นั่นแล้ว ตี้คังก็ควรจะมาถึงที่นี่นานแล้ว ทว่าเหตุใดนางยังไม่เห็นเขาเลย ?
หรือจะเกิดอะไรเกิดขึ้นกับเขา?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ไป๋หยานก็ขมวดคิ้ว พลันเสียงที่คุ้นเคยก็ดังกระทบโสตประสาท ทำให้นางตัวแข็งทื่อ
“หยานเอ๋อเจ้ากำลังรอข้าอยู่ใช่หรือไม่ ?”
ชั่วขณะนั้นมือทรงพลังคู่หนึ่งก็ดึงนางเข้าไปสวมกอด โดยไม่ให้โอกาสนางโต้ตอบแต่อย่างใด
อ้อมกอดอบอุ่นแสนสบายทำให้นางค่อย ๆ รู้สึกโล่งใจ ริมฝีปากของนางยกยิ้ม “ท่านไปที่ใดมา เหตุใดจึงมาช้า ?”
***จบบทท่านต้องให้ความยุติธรรมแก่พวกเรา (5)***