จิ้งจอกจอมซ่าส์ กับหม่ามี้หมอเทวดาพลิกสวรรค์ - บทที่ 926 -930
บทที่ 926 : ผู้คุ้มกันระดับเทพ (3)
เขาจะไม่ยอมให้ผู้ใดทำร้ายลูกรักของเขา
”แค่ก!” ไป๋ฉางเฟิ่งกระแอมไอ
เหวินหยุนเฟิงคนนี้คู่ควรที่จะเป็นพ่อเพราะเขาเองก็เคยไม่พอใจอย่างมากเช่นกันที่ตี้คังขโมยหลานสาวของเขา หากแต่เขาก็ไม่กล้าทำอย่างที่เหวินหยุนเฟิงทำ
”หยานเอ๋อเจ้ามาทันเวลาพอดี วันเกิดท่านย่าของเจ้าจบลงแล้ว พวกเราก็ควรร่ำลากันได้แล้ว”
”ช้าก่อน”ไป๋หยานปล่อยมือไป๋เสี่ยวเฉิน “ก่อนที่พวกท่านจะจากไป ข้ายังมีบางสิ่งที่จะมอบให้พวกท่าน”
”อะไรรึ?”
ทุกคนจ้องมองไป๋หยาน
ไป๋หยานโบกมือขึ้นทันใดนั้น แก่นแท้สัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสีเหลือง กองรวมกันมีขนาดเทียบเท่าเนินเขาย่อม ๆ พลันปรากฏขึ้นบนพื้นเบื้องหน้าพวกเขา
เนื่องจากนางได้ทะลวงถึงระดับเชิงเจี่ยแล้วแก่นแท้สัตว์อสูรเหล่านี้จึงให้ผลได้ไม่ดีเหมือนเดิมอีกต่อไป เว้นแต่นางจะได้สัตว์อสูรระดับสูงกว่านี้จึงจะสามารถช่วยให้นางพัฒนาไปไกลกว่านี้ได้
สำหรับการฝึกฝนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แท้นั้นสัตว์อสูรเหล่านั้นมีระดับความแข็งแกร่งต่ำกว่าระดับเฉินเจี่ย เช่นนั้นย่อมไม่มีแก่นแท้ที่ทรงพลังสำหรับนางอีกต่อไป
ด้วยเหตุนี้นางจึงเก็บรักษาแก่นแท้เหล่านี้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับญาติ ๆ ของนางแทน …
”นี่… นี่มัน … ” ไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่น ๆ เบิกตากว้างขณะมองจ้องแก่นแท้สัตว์อสูรที่ไป๋หยานนำออกมาด้วยความประหลาดใจ พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง “ก็ไหนเจ้าบอกว่ามีเหลือเพียงแก่นเดียวมิใช่หรือ ?”
”เพราะตอนนั้นมีผู้คนจำนวนมากเกินไปข้าจึงไม่สามารถนำสิ่งเหล่านี้ออกมาได้ ทว่าตอนนี้มีเพียงพวกเรา ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป แก่นแท้สัตว์อสูรเหล่านี้ข้าเก็บไว้ให้พวกท่าน”
ถ้อยคำของไป๋หยานทำให้หัวใจของไป๋ฉางเฟิ่งสั่นสะท้านการแสดงออกของพวกเขาเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหวนนึกถึงประสิทธิผลของแก่นแท้เหล่านี้ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายกันคนละเอื๊อกสองเอื้อก…
”ผู้อาวุโสพวกท่านรีบกลับไปแจ้งข่าวว่าข้าจะยังไม่กลับดินแดนศักดิ์สิทธิ์อีกสักพักใหญ่ ยามนี้ข้าต้องการอยู่ในตำหนักเซียนพยับหมอก เพื่อบุกทะลวงเข้าสู่ขั้นสูง”
ฉู่หรานกุมหัวใจที่ตื่นเต้นกระทั่งแทบจะโลดออกจากอก ขณะออกคำสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง
เจิ้งฉียิ้มน้อยๆ “ท่านประมุข ของเหล่านี้ศิษย์ของข้านำมาให้ พวกเราเป็นอาจารย์ก็ต้องมีส่วนในการได้ปัน ข้าเกรงว่าข้าไม่อาจทำเช่นที่ท่านว่าได้”
ใบหน้าของฉู่หรานแลดูเขินอายเล็กน้อยเขาหัวเราะหึ ๆ “ข้าตื่นเต้นมากไปหน่อย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ส่งคนกลับไปแจ้งให้พวกเขาทราบ หากข้ายังย่อยแก่นแท้เหล่านี้ไม่หมด ข้าจะไม่ออกจากตำหนักเซียนพยับหมอก”
ไป๋ฉางเฟิ่งมองแก่นแท้สัตว์อสูรในห้องจากนั้นก็งอนิ้วของตน พลางกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “เสียดาย เสียดายจริง ๆ มีคนสี่คนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ และอีกสี่คนของตำหนักเซียนพยับหมอก ส่วนสำนักเวชโอสถมีข้าเพียงคนเดียว หากเราแบ่งเท่า ๆ กันสำนักเวชโอสถของเราย่อมต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ ไม่…หยานเอ๋อเจ้าต้องช่วยท่านลุงของเจ้าด้วยนะ … ”
ไป๋หยานมองชายชราเหล่านี้พลางหัวเราะ”ไม่ต้องห่วงข้าเก็บไว้ให้ท่านลุงแล้ว แต่ท่านตา ท่านต้องจำไว้ว่า มีเพียงผู้ที่ขึ้นถึงระดับซุนเจี่ยเท่านั้นจึงจะสามารถซึมซับแก่นแท้เหล่านี้ได้ หาไม่ร่างกายอาจจะบาดเจ็บได้”
”ไม่ต้องห่วงท่านลุงของเจ้าได้ทะลวงไปถึงระดับซุนเจี่ยแล้ว”
ไป๋ฉางเฟิ่งโกรธตนเองมากที่ไม่อาจให้กำเนิดลูกหลาย ๆ คน หาไม่เขาคงสามารถแบ่งแก่นแท้สัตว์อสูรเหล่านี้ได้มากขึ้น
“ท่านเจ้าสำนักไป๋ท่านกล่าวเช่นนั้นเห็นทีจะไม่ถูกต้อง ตำหนักเซียนพยับหมอกของเราไม่ใช่สี่แต่เป็นห้า” เหวินซุนฮวนยื่นฝ่ามือออก “หยานเอ๋อ เจ้าอย่าลืมข้าสิ เราสองคนต่างก็มีสัมพันธภาพลึกซึ้ง อีกทั้งตอนนี้ข้ายังมีศักดิ์เป็นอาของเจ้าอีกด้วย เช่นนั้น ข้าย่อมต้องได้รับส่วนแบ่ง”
สัมพันธภาพอันลึกซึ้ง?
ตี้คังจับถ้อยคำอ่อนไหวเหล่านี้ได้ทันทีคิ้วทรงอำนาจของเขาเลิกขึ้นน้อย ๆ เขายกมือขึ้นรั้งไป๋หยานเข้าสู่อ้อมแขน
***จบบทผู้คุ้มกันระดับเทพ (3)***
บทที่ 927 : ผู้คุ้มกันระดับเทพ (4)
”หยานเอ๋อเจ้ามีสัมพันธภาพลึกซึ้งแบบไหนกับเขา ?”
เมื่อกล่าวถึงสองคำนี้ตี้คังก็จงใจเพิ่มระดับเสียงขึ้น
”อ้อ! ตอนนั้นเขาพยายามเกี้ยวข้า ทว่าถูกข้าทุบกระทั่งเกือบเป็นอัมพาตไปครึ่งซีก” ไป๋หยานกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
หลังจากไป๋หยานจบประโยคเหวินซุนฮวนก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ไป๋หยานเปิดโปงเขา ชั่วขณะนั้นสายตาที่ราวกับคมมีดก็พุ่งไปที่เหวินซุนฮวน
“เหวินซุนฮวน…นี่…เจ้ากล้าแตะต้องบุตรสาวของข้างั้นหรือ?”
เหวินหยุนเฟิงกำหมัดแน่นกระดูกและข้อต่อของเขาหักดังเปร๊าะ ๆ สายตาของเขาไม่ต่างจากคมดาบ ราวกับจะสับเหวินซุนฮวนให้แหลกเป็นชิ้น ๆ
”พี่ใหญ่ฟังข้าก่อน ตอนนั้นข้าไม่รู้นี่ว่าหยานเอ๋อเป็นบุตรสาวของพี่ หากข้ารู้ข้าคงไม่แตะต้องหลานสาวของข้าเป็นแน่”
เหวินซุนฮวนอยากจะร้องไห้ทว่าไม่มีน้ำตา
”ไม่สำคัญว่าหยานเอ๋อจะเป็นบุตรสาวของข้าหรือไม่ ? อย่างไรเสียคนเส็งเคร็งเช่นเจ้าก็ไม่คู่ควรกับนาง” เหวินหยุนเฟิงตะคอกด้วยน้ำเสียงกระด้าง
เหวินซุนฮวนร้องออกมาอย่างสำนึกผิด”พี่ชาย ท่านจะไม่ดูถูกข้าเกินไปหรือ ? นี่ข้ายังเป็นน้องชายของพี่อยู่หรือไม่ ?”
“ประการแรกข้าพูดความจริง เจ้าหลอกล่อสตรีหลายคนข้างนอกนั่น เจ้าทำลายเกียรติของเจ้าไปหมดแล้ว มาตอนนี้เจ้าถือสิทธิใดมาแตะต้องหยานเอ๋อของข้า ประการที่สอง นางเป็นบุตรสาวคนสำคัญของพี่ชายเจ้า ซึ่งคนอย่างเจ้าไม่อาจเทียบได้เลย”
เหวินซุนฮวนปาดน้ำตาแลดูเขาเสียใจมาก เขารู้สึกเสมอว่าในครอบครัวนี้เขาเป็นคนไร้ค่าอย่างที่สุด …
เป็นเช่นนี้มานานแล้วและยังคงเป็นอยู่เช่นนั้น
ช่างเถิดไว้เขาค่อยออกไปแสวงหาสาว ๆ จากโลกภายนอกมาปลอบประโลมใจเอาก็ได้
”ไปซะ”เหวินหยุนเฟิงไม่ให้โอกาสเหวินซุนฮวนได้แก้ตัว เขาคว้าสาบเสื้อของเหวินซุนฮวนพลางลากออกไปด้านนอก
”พี่ใหญ่จะให้ข้าไปไหน ?”
”เจ้าไม่ได้ต้องการล่วงเกินบุตรสาวของข้าหรอกหรือ? มาเช่นนั้นตอนนี้ เรามาฝึกซ้อมกันเถอะ”
ความจริงแล้วเรียกได้ว่าเป็นการซ้อมอย่างเดียวเสียมากกว่า เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ไป๋หยานก็ได้ยินแต่เสียงเหวินซุนฮวนร่ำไห้คร่ำครวญ ร้องขอความเมตตาดังมาจากภายนอกประตู
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากแบ่งแก่นแท้สัตว์อสูรให้เขาหรอกนะ ทว่าความแข็งแกร่งของเขายังอ่อนด้อยเกินไป” ไป๋หยานยักไหล่ พลางหันไปมองไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่น ๆ “อย่างไรก็ตามหลิวชิงหยูบอกข้าว่า เหตุที่นางมาที่แผ่นดินใหญ่นี้ก็เพราะ … สำนักใหญ่ทั้งสามมีกุญแจไขสู่ปาฏิหาริย์สามดอก ?
เหวินหวู่เหว่ยตกตะลึงเขาหันไปมองฉู่หราน และไป๋ฉางเฟิ่ง พลางถอนหายใจเล็กน้อย
”หยานเอ๋อข้าเคยบอกแล้วไงว่า ข้าจะรอให้ไป๋ฉางเฟิ่งและคนอื่น ๆ มารวมตัวกัน ก่อนที่จะบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตอนนี้ก็ควรถึงเวลาที่จะพูดเรื่องนี้แล้ว หลิวชิงหยูพูดถูก มีกุญแจสามดอกฝังอยู่ในสถานที่ทั้งสามแห่งนี้”
ไป๋หยานหัวใจเต้นแรงนางเงยหน้าขึ้นมองคนที่อยู่เบื้องหน้านาง
”ทว่า… ” ไป๋ฉางเฟิ่งกล่าวต่อ “เราไม่รู้แน่ชัดว่ากุญแจถูกฝังไว้ที่ใด หากแต่บรรพบุรุษมีกฎว่า อย่าได้ริค้นหากุญแจตราบใดที่เจ้ายังเข้าไม่ถึงระดับสูงสุดของเชิงเจี่ย”
ระดับสูงสุดของเชิงเจี่ยกระนั้นรึ?
นัยน์ตาของไป๋หยานหรี่ลง”ข้าเข้าใจแล้ว”
ดูเหมือนว่านางจะต้องรอจนกว่าจะเข้าถึงระดับสูงสุดของเชิงเจี่ยได้เสียก่อนจึงจะสามารถไล่ตามปาฏิหาริย์นั้นได้ …
เนื่องจากนางได้ทะลวงเข้าสู่ระดับเชิงเจี่ยแล้วการก้าวไปสู่ระดับสูงสุดของเชิงเจี่ยย่อมอยู่อีกไม่ไกลนัก เช่นนั้นตำแหน่งเทพเจ้าก็คงไม่ไกลเกินเอื้อม !
”ท่านปู่ท่านตา พวกท่านแบ่งแก่นแท้สัตว์อสูรให้เท่า ๆ กันนะ ข้าต้องไปหาท่านตาหลานก่อน”
ครั้นไป๋หยานได้คำตอบที่ต้องการแล้วนางก็หันหลังเดินออกไปนอกประตู
หลังจากครอบครัวทั้งสามคนจากไปความโกลาหลแย่งชิงกันก็เกิดขึ้นในห้องทันที
”อย่าแย่งข้าในฐานะตาของหยานเอ๋อ ข้าต้องได้ก่อน … ”
แน่นอนว่าไป๋ฉางเฟิ่งเป็นคนแรกที่พูด และเขาก็ถูกผลักทันทีทั้งที่ยังพูดไม่ทันจบ
”ไปให้พ้น! ข้าเป็นอาจารย์ของหยานเอ๋อ และเป็นคนแรกที่หยานเอ๋อรู้จัก เช่นนั้นต้องให้ข้าเลือกก่อน !”
***จบบทผู้คุ้มกันระดับเทพ (4)***
บทที่ 928 : ผู้คุ้มกันระดับเทพ (5)
”อะแฮ่ม! ผู้อาวุโสทั้งสาม ข้าเป็นประมุขดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นข้าควรต้องได้ก่อนพวกเจ้า … ”
ฉู่หรานเพียงอยากจะพูดสักสองสามคำทว่าเสียงอื้ออึงก็ดังขึ้นทำให้เขาต้องปิดปาก เขานิ่งไปสองสามวินาที จากนั้นก็เข้าร่วมการแย่งชิงอย่างเมามัน …
ราวกับจะลืมคำว่า“แบ่งเท่า ๆ กัน” ที่ไป๋หยานพูดเมื่อครู่ไปแล้ว
*****
แน่นอนว่าไป๋หยานไม่สนใจชายชราพวกนี้อีกนางออกจากห้องโถง และมุ่งหน้าตรงไปยังห้องรับรองแขก
ตระกูลหลานยังไม่ได้จากไปไหนพวกเขายังรอพบไป๋หยาน ทันทีที่เห็นคนทั้งสามปรากฏตัวที่ประตู พวกเขาก็โล่งใจ
”หยานเอ๋อเจ้ามาแล้วหรือ ?” ตงรั่วหรานกล่าวทักทายไป๋หยานพร้อมรอยยิ้ม นางรีบเข้าไปจับมือของไป๋หยาน
“ท่านป้า…น้องชายของท่านที่ตระกูลตงยังสร้างปัญหาให้ท่านร้อนใจอีกหรือไม่?”
ครั้นได้ยินถ้อยคำของไป๋หยานตงรั่วหรานก็นิ่งอึ้ง นางส่ายศีรษะ “หลังจากการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก่อนหน้านี้ เขาก็โตขึ้นมาก เขาถูกขับออกจากบ้านตระกูลตง เช่นนั้นเขาจึงไม่เคยกลับไปสร้างความยุ่งยากอีก นอกจากนี้ทุกครั้งที่ป้ากลับไปเยี่ยมบ้านพ่อกับแม่ ป้าก็มักหลีกเลี่ยงที่จะพบเขา ป้าจึงแทบไม่เห็นเขาเลย”
”ดีจัง”ไป๋หยานกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อย ๆ “ครานี้ ข้ามีบางอย่างจะให้ท่านป้า”
หลังจากกล่าวจบไป๋หยานก็เดินเข้าไปในห้องโถงของห้องพักอย่างช้า ๆ
ครั้นท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานแลเห็นไป๋หยานเขาก็อยากจะรีบลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นเต้น แต่เพื่อรักษาท่าทีเช่นเคยมา เขาจึงพยายามบังคับควบคุมแรงกระตุ้นภายในของตน และนั่งเงียบ ๆ อยู่ที่โต๊ะ
”ท่านตา…”
เสียงเรียกที่นุ่มนวลนี้ทำให้หัวใจของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานสั่นไหวน้อย ๆ แม้ว่าหญิงผู้นี้จะไม่ใช่หลานสาวแท้ ๆ ของเขา ทว่าความรักที่เขามอบให้นางนั้นก็ไม่น้อยไปกว่าหลานเสี่ยวหยุนเลย
หากมิใช่เป็นเพราะสิ่งที่หลานเยี่ยเคยทำเขาคงจะไม่เพิกเฉยต่อไป๋หยาน และไป๋เซียวมานานหลายปี โดยไม่รู้ว่านางได้รับความเดือดร้อนมากมาย …
แรกๆ เขามักจะโทษว่าไป๋หยานไม่กลับมาบอกเล่าความทุกข์ใจใด ๆ ของนางกับเขา ทว่าตอนนี้เขากลับโทษตนเองว่า เหตุใดเขาถึงได้หยิ่งยโส เหตุใดจึงไม่เคยไปเยี่ยมพวกเด็ก ๆ ด้วยตนเอง ?
เป็นเขาเองที่ทำให้ไป๋หยานต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก !
”หยานเอ๋อเอ่อ…” ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานถอนหายใจอย่างหนัก “แท้จริงแล้ว ข้าควรจะขอบใจที่เจ้าไม่ใช่บุตรสาวแท้ ๆ ของเยี่ยเอ๋อ เช่นนั้นเจ้าจึงไม่ได้สืบทอดความเรียบง่าย และความอ่อนแอของนางมา”
ไป๋หยานเดินเข้าไปหาท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานพลางย่อตัวลง”ท่านตา อย่าคิดมาก เซียวเอ๋อก็เป็นบุตรชายแท้ ๆ ของท่านแม่ เขาก็ยังมีความคิดเป็นของตัวเองเลย”
เมื่อกล่าวถึงหลานชายของเขาไป๋เซียว ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานก็เชิดริมฝีปากขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “นั่นแหละ เจ้าต้องดูก่อนว่าเซียวเอ๋อสืบเชื้อสายมาจากผู้ใด หลานชายของข้าจะอ่อนแอได้อย่างไร ?”
มุมปากของไป๋หยานกระตุก
กล้าหาญเพราะสืบเชื้อสายมาจากเขา ทว่าอ่อนแอเพราะหลานเยี่ย ?
หลานฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ยังรู้สึกว่าสามีของนางพูดเกินไปมากใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ “นี่ท่านกำลังพูดถึงเรื่องใด ? ท่านตัดสินบุตรสาวของท่านว่าเป็นเช่นไรงั้นรึ ? ไม่ว่าเยี่ยเอ๋อจะเลวร้ายสักเพียงใดก็ตาม อย่างไรเสียนางก็เป็นบุตรสาวของท่าน”
”อืมในตอนนั้นหากนางเชื่อข้า นางจะได้รับอันตรายจากคนชั่วไป๋เฉิงเซียงได้อย่างไร ? ทั้งยังปล่อยให้คนผมขาวส่งศพคนผมดำ”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานกำหมัดแน่นร่างของเขาสั่นเทิ้มเล็กน้อย ใบหน้าชราของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
เรียกว่ารักสุดซึ้งและแค้นฝังลึก หากไม่รักหลานเยี่ยมาก เหตุใดเขาถึงไม่อาจลืมความเจ็บช้ำนั่นทั้งที่ผ่านมานานหลายปีแล้วเล่า ?
เพราะนางเป็นบุตรสาวที่เขารักมากตั้งแต่เด็กทว่าถูกสัตว์เดรัจฉานปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างก็เป็นเพราะบุตรสาวของเขาเลือกเอง และเพราะบุตรสาวโง่ ๆ คนนี้ ทำให้หยานเอ๋อกับน้องชายต้องทุกข์ทนอย่างมากเช่นกัน
***จบบทผู้คุ้มกันระดับเทพ (5)***
บทที่ 929 : ผู้คุ้มกันระดับเทพ (6)
เกรงว่าชั่วชีวิตนี้เขาคงยากจะลืมเรื่องนี้
”ท่านตา”ครั้นไป๋หยานเห็นว่าบรรยากาศเริ่มไม่ดี นางจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “คราวนี้ที่ข้ามาพบท่าน เป็นเพราะข้ามีบางอย่างจะมอบให้ท่าน”
นางหันไปมองไป๋เสี่ยวเฉิน”เฉินเอ๋อ นำสิ่งที่แม่เตรียมไว้ออกมาสิ”
ไป๋เสี่ยวเฉินหยิบกระเป๋าเก็บของพลางก้าวไปด้านหน้าท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลาน
“ท่านตาทวดนี่…เป็นยาที่หม่ามี้ปรุงเพื่อท่าน มันอร่อยมาก ๆ เลย ท่านรับไปไว ๆ เถอะ”
”นี่มัน…”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานผงะถุงเก็บของของไป๋หยานกระนั้นรึ ? มียาจำนวนมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ?
เขาขมวดคิ้ว”หยานเอ๋อ ตารู้ดีว่าเจ้าสามารถปรุงยาได้ ทว่าการปรุงยาแต่ละเม็ดนั้นเหนื่อยมาก ตาเดาว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะปรุงยาเม็ดเหล่านี้ เจ้าเก็บไว้ใช้เองเถิด”
“ท่านตา…อย่าลืมสิว่าข้าสร้างห้องปรุงยาไว้ในหอบุปผาข้าไม่จำเป็นต้องปรุงยาพวกนี้ด้วยตนเองหรอก ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังเปรียบเสมือนจุดอ่อนของข้า ต้องให้ท่านแข็งแกร่งข้าถึงจะเร่งรุดไปข้างหน้าด้วยความสบายใจ”
การแสดงออกของไป๋หยานจริงจังขณะที่นางเอ่ยกล่าวอย่างช้า ๆ
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานนิ่งงันเขานิ่งคิดอยู่เพียงครู่ ที่สุดก็พยักหน้า : “เอาล่ะ เช่นนั้นข้าจะรับยาพวกนี้ไว้”
ครั้นเห็นท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานยอมรับยาเม็ดเหล่านั้นแล้วไป๋หยานก็ยกริมฝีปากขึ้นยิ้ม “ในถุงยานี้ มียาเม็ดจำนวนมากที่ช่วยในการฝึกฝน ทั้งสามารถใช้เพิ่มความแข็งแกร่งโดยรวมของตระกูลหลานขึ้นไปได้อีกหลายระดับอย่างน้อยก็เป็นเวลาห้าปี และเมื่อท่านเข้าถึงระดับที่เหมาะสม ข้าก็จะมีของขวัญอื่นอีกสำหรับท่าน”
ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานถอนหายใจโชคชะตาดี ๆ ของหลานเยี่ยคงหมดไปกับการรับไป๋หยานเป็นบุตร เช่นนั้นหลานเยี่ยจึงต้องพบกับเศษสวะ เช่น ไป๋เฉิงเซียง
”หยานเอ๋อ”ไม่รู้ว่าตี้คังเดินไปหยุดอยู่ข้างกายไป๋หยานตั้งแต่เมื่อใด เขาโอบแขนรอบเอวนาง “แท้ที่จริง… เพื่อปกป้องท่านตาแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องลำบากก็ได้ ไว้ให้เหล่าสัตว์อสูรที่เข้าไปฝึกตนในดินแดนลับกลับออกมาเสียก่อน ข้าจะส่งผู้ซึ่งอยู่ในระดับเฉินเจี่ยสักสองคนมาปกป้องพวกเขา”
กริ๊ง!
ขณะที่ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาหมายจะจิบเขาก็ตกใจกับคำพูดของตี้คัง กระทั่งมือสั่นสะท้าน
มือของเขาสั่นดูเหมือนว่าเขาจะตกใจมาก
นี่หลานเขยของข้าพูดอะไรออกมา?
ส่งสัตว์อสูรระดับเฉินเจี่ย(ระดับเทพ)สองตัวมาปกป้องเขา?
นี่… ไม่จริง ? ต้องไม่ใช่เรื่องจริง !
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการมีอยู่ของสัตว์อสูรระดับเทพแม้ว่าพวกมันจะมีอยู่จริง ทว่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะปกป้องมนุษย์ผู้ซึ่งมีความแข็งแกร่งต่ำเช่นเขา !
“ก็ดี”ไป๋หยานพยักหน้า “หากท่านยังพอมีสัตว์อสูรระดับเทพเหลืออยู่อีก ก็ช่วยส่งมาอีกสองสามคนไปช่วยปกป้องสำนักทั้งสามจะได้หรือไม่ ? ข้าห่วงกังวลว่าคนในอาณาจักรวิญญาณจะมาอีก …”
”ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากข้าก็ย่อมต้องหาให้ได้”
แม้ว่ามันจะไม่เพียงพอทว่าเขาก็ต้องหาให้พอ เพื่อที่นางจะได้หมดกังวล
”แค่กแค่ก !” ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานไอแห้ง ๆ “หยานเอ๋อ.. ขอบใจที่เจ้ามีน้ำใจ ทว่าการให้สัตว์อสูรระดับเทพมาคุ้มกันบ้านตระกูลหลานของเรานั้น ตาว่าไม่จำเป็น … ตระกูลหลานของเราต้องพัฒนาความแข็งแกร่ง เพื่อปกป้องตัวเองด้วย”
ไป๋หยานรู้ว่าท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานไม่เชื่อถ้อยคำของตี้คังนัก เช่นนั้นนางจึงไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมอีก
สำหรับท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานแล้วการให้คนระดับเทพมาดูแลคุ้มกันพวกเขาเป็นเรื่องเกินจำเป็น แต่หากเป็นไป๋ฉางเฟิ่ง แน่นอนว่ารายนั้นจะรีบยอมรับอย่างรวดเร็ว …
“ท่านตาท่านยาย สมัยที่ข้ามีชื่อเสียงข้าฉาวโฉ่นั้นท่านทั้งสองก็ยังยินดียอมรับข้า ยามนี้ข้าเองก็ต้องการตอบแทนท่านทั้งสอง โดยการช่วยยกฐานะของตระกูลหลาน”
ในคราครั้งนั้น…แม้ว่านางจะเป็นเจ้าของหอบุปผาทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ทว่าตระกูลหลานก็ไม่รู้อะไรเลย นอกจากนี้ในสายตาชาวโลกก็ยังมองว่านางเป็นเพียงเศษสวะ
นางเป็นเพียงดอกไม้ประดับให้คนเชยชมไม่ต่างจากถ่านดำในหิมะขาว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ตระกูลหลานก็ยังเต็มใจที่จะยอมรับนาง แม้ว่าจะต้องเป็นศัตรูกับราชวงศ์ก็ตามที บุญคุณนี้นางต้องชดใช้ไปชั่วชีวิต
***จบบทผู้คุ้มกันระดับเทพ (6)***
บทที่ 930 : จิ้งจอก (1)
ลำคอของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานตีบตันเขาไม่สามารถกล่าวคำใดออกมาได้ ทว่าดวงตาชราภาพของเขานั้นเต็มไปด้วยความสุขใจ
”ท่านตาทวดหนานกงซุ่นเป็นยังไงบ้าง ?” ไป๋เสี่ยวเฉินหวนนึกถึงเพื่อนตัวเล็กที่ไม่ได้เห็นหน้ากันมานาน เขาจึงเงยหน้าอวบอิ่มกลมอมชมพูขึ้นเอ่ยถาม
ในครานั้นครั้งที่เขาเดินผ่านไปเห็นหนานกงซุ่นถูกอันธพาลอ้วนรังแกอยู่ภายในวัง เขาอดไม่ได้จึงช่วยหนานกงซุ่นไว้ และครั้งนั้นมารดาของเขาก็เห็นความสามารถของหนานกงซุ่น จึงรับหนานกงซุ่นเข้าไปเป็นเด็กฝึกงาน นับแต่นั้นมาหนานกงซุ่นก็มาอยู่ร่วมกับเขา
เพียงทว่าเมื่อพวกเขาออกจากอาณาจักรหลิวฮั่ว พวกเขาก็ไม่เคยกลับไปเยี่ยมหนานกงซุ่นอีกเลย เช่นนั้นไป๋เสี่ยวเฉินจึงไม่ได้พบเพื่อนคนนี้นานมากแล้ว
”นี่…เจ้าไม่รู้อะไรเลยหรือ?” ท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานประหลาดใจ “เมื่อครั้งที่เซียวเอ๋อจากไป เขาก็นำหนานกงซุ่นไปด้วย หนานกงซุ่นออกจากอาณาจักรหลิวฮั่วไปแล้ว และข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด”
ชายชราขมวดคิ้วสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่ปรากฏบนใบหน้าเหี่ยวย่นของเขา
”เซียวเอ๋อจากไปนานมากแล้วทั้งไม่มีข่าวคราวเลย ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปที่ใด … ?”
”ท่านตา…ข้าวางแผนว่าเมื่อพ้นวันเกิดของท่านย่าข้าจะออกไปตามหาเซียวเอ๋อ แล้วข้าจะพาเขากลับมาที่นี่ !”
ในโลกนี้นอกเหนือจากตี้คังและไป๋เสี่ยวเฉินแล้ว ไป๋เซียวเป็นคนเดียวที่นางเป็นห่วงมากที่สุด
คิ้วที่เคยขมวดของท่านผู้เฒ่าเจ้าบ้านหลานค่อยคลายลงเขาหัวเราะหึ ๆ “เช่นนั้นตาก็โล่งใจ”
ไป๋หยานยิ้มทว่าหัวใจของนางกลับตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย เมื่อนางนึกขึ้นได้ว่า ตอนนี้นางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าไป๋เซียวอยู่ที่ใด
หากไป๋เซียวออกไปฝึกฝนเขาก็ควรที่จะกลับมานานแล้ว เหตุใดเขาถึงยังไม่ปรากฏตัวอีก ?
เหมือนตี้คังจะรู้ถึงความกังวลในใจของไป๋หยานเขายกมือขึ้นโอบไหล่ของนาง “ไม่ต้องกังวล ไป๋เซียวจะต้องสบายดี หากเจ้าเป็นห่วงมากนัก ข้าจะไปหาเขาพร้อมกับเจ้า คงใช้เวลาไม่นาน”
”ก็ดี”
ไป๋หยานพยักหน้าเล็กน้อยใบหน้าของนางยิ้มเล็กน้อย “ท่านตา ท่านยาย ข้าอาจจะไม่มีโอกาสรอส่งพวกท่าน ทว่าคนจากตำหนักเซียนพยับหมอกจะช่วยส่งพวกท่านกลับบ้านตระกูลหลาน”
หลานฮูหยินผู้เฒ่าจับมือไป๋หยานอย่างไม่เต็มใจนัก”หลานรัก ยายไม่ได้เจอเจ้านานมากแล้ว นี่ก็เพิ่งได้เจอ ครู่เดียวก็ต้องแยกกันอีก หากวันหน้าเจ้าพอมีเวลา ก็อย่าลืมกลับไปเยี่ยมยายบ้างนะ”
”แน่นอน”
ไป๋หยานค่อยๆ ดึงมือออกอย่างนุ่มนวล นางหันไปมองตี้คัง จากนั้นนางก็จับมือไป๋เสี่ยวเฉินไว้ข้างกาย เพื่ออำลาตระกูลหลาน ก่อนจะก้าวออกนอกประตู
จู่ๆ ไป๋หยานก็หยุด “ตี้คัง ท่านมีสิ่งใดต้องทำหรือไม่ ?”
ตี้คังพยักหน้า”เฉินเอ๋อ ต้องการเข้าฝึกในดินแดนลับ เช่นนั้นข้าจึงวางแผนที่จะส่งเขาเข้าไปก่อน จากนั้นข้าจึงจะพาเจ้าไปตามหาไป๋เซียว”
ไป๋หยานนิ่งเงียบนางเป็นห่วงไป๋เซียวจริง ๆ จัง ๆ หากนางไม่ออกไปตามหาเขา นางก็คงจะไม่สบายใจเลย
ราวกับตี้คังสามารถมองทะลุหัวใจของไป๋หยานริมฝีปากสีแดงของเขาเผยอขึ้นเป็นรอยยิ้มปลอบประโลม “หยานเอ๋อ…หากเจ้ารีบร้อนต้องการออกตามหาเขาจริง ๆ เจ้าก็ล่วงหน้าไปก่อนได้เลย แล้วข้าจะตามไปทีหลัง ทว่า … เจ้าต้องพาเสี่ยวหลงเอ๋อไปด้วย”
”เสี่ยวหลงเอ๋องั้นหรือ?” ไป๋หยานอึ้ง นางเงยหน้าขึ้นมองตี้คัง
แววตาของตี้คังลึกล้ำ”ตัวตนแท้จริงของเด็กน้อยคนนั้นไม่ธรรมดา ข้าจะอุ่นใจมากขึ้น หากเจ้ามีนางอยู่ข้างกาย”
เขารู้ดีว่าแม้เขาจะห้าม ทว่าไป๋หยานก็จะแอบหนีไปจนได้ เช่นนั้นเขาก็ควรยอมรับการตัดสินใจของนาง หลังจากเขาส่งเฉินเอ๋อเข้าสู่ดินแดนลับแล้ว เขาก็ค่อยรีบติดตามนางไป
”หม่ามี้”นัยน์ตากลมโตของไป๋เสี่ยวเฉินเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาแลดูเหมือนแมวตัวน้อย เขาดึงแขนเสื้อของไป๋หยานอย่างน่าสงสาร “เฉินเอ๋อ..
ทนไม่ไหวที่จะต้องจากหม่ามี้… ”
***จบบทจิ้งจอก (1)***