ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 14
บทที่ 14 ยังมีชีวิตอยู่
ตามตำนานกล่าวไว้ว่าทุกคนจะมีตะเกียงสามดวงฉายแสงอยู่บนร่างของพวกเขา แต่ละดวงเป็นตัวแทนของวิญญาณในแต่ละส่วน คือแสงแห่งกำเนิด วิญญาณแห่งชีวิต และแก่นแท้ของชีวิต
สิ่งเหล่านี้เรียกกันว่าโคมไฟวิญญาณทั้งสาม…
เมื่อใดที่ตะเกียงสามดวงนี้…หรือไฟในตะเกียงทั้งสามดับสนิท วิญญาณของคนคนนั้นจะออกจากร่างและพวกเขาจะเสียชีวิตโดยแท้จริง คนธรรมดาควรมีไฟลุกโชนในตะเกียงแต่ละดวง หากไฟดวงใดดวงหนึ่งอ่อนกำลังลงหรือดับไป ก็จะเป็นที่รู้กันว่าคนคนนั้นมีพลังหยินมากเกินไป หรือปนเปื้อนพลังหยิน หากปล่อยไว้โดยไม่ทำอะไร คนคนนั้นก็จะพบกับประสบการณ์ไม่น่าอภิรมย์ติดต่อกัน รวมถึงการถูกถอดถอน การสิ้นเนื้อประดาตัว การงานมีปัญหา และอื่น ๆ อีกมากมาย
หากหนึ่งในเสาชะตาทั้งสี่ ของคนคนนั้นเอนสู่ขุมพลัง หยิน เขาก็จะเริ่มสัมผัสได้ถึงสิ่งลี้ลับสิ่งอสุภะ ตำนานอื่นกล่าวว่าเมื่อใดที่คนคนนั้นเดินไปบนถนนตอนเที่ยงคืนหรือแม้แต่การเดินไปในเส้นทางเปลี่ยวในยามค่ำ เขาจะต้องไม่หันหน้าตอบรับเสียงเรียกใด ๆ ก็ตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเสียงนั้นไม่คุ้นหู เมื่อใดที่คนคนนั้นหันหน้าไป ผีก็จะดับไฟดวงหนึ่งบนไหล่ของเขา
นี่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดคำพูดที่ว่า “คนจุดไฟ ผีดับไฟ” เป็นคำกล่าวที่กล่าวขวัญกันมากในหมู่ทหารเช่นกัน
บางทีนี่อาจเป็นผลที่ฉินเย่ได้เดินทางท่องไปในนรกสำเร็จครั้งหนึ่ง แต่ทั้งหมดที่เขาต้องทำก็คือคิดว่าทำอย่างไรที่จะยื้อตะเกียงสามดวงเหนือร่างของหวังเฉิงห่าวไว้ ตอนนี้เขาไม่เข้าใจเลยว่าเพียงวันเดียวที่ไม่เจอหน้ากันนับตั้งแต่ครั้งล่าสุด ตะเกียงที่ลอยอยู่เหนือร่างของเขาจะถูกดับเกือบหมดเช่นนี้
นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีเลย ความจริงที่ว่าเด็กหนุ่มร่าเริงเลือดร้อนคนหนึ่งสามารถมีสภาพหม่นหมองน่าอนาถได้ถึงขนาดนี้ในวันเดียวมันหมายความว่าผีตนนี้จะต้องมีฝีมือไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!
“โลกนรกกับโลกมนุษย์คือสองมิติแยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง วิญญาณทั่วไปจะไม่สามารถมีผลกระทบกับมนุษย์ได้มากขนาดนี้” ฉินเย่แขวนลูกบอลผนึกไว้บนกระเป๋าราวกับเครื่องประดับน่ารัก ๆ ชิ้นหนึ่ง อาร์ทิสเอ่ยเสริมอย่างระมัดระวัง “ครั้งหนึ่งข้าเคยแกล้งทำหน้าที่ในโลกมนุษย์เมื่อหลายร้อยปีที่แล้วเหมือนกัน ผีพวกนั้นถูกบรรยายเอาไว้ในหนังสยองขวัญของมนุษย์โลก เช่นซาดาโกะ จูเหรินเหมย และเจสันต่างเป็นผีที่อยู่ในระดับอย่างน้อยห้าสิบปี”
“ตอนนี้ข้าสามารถบอกได้อย่างแน่ใจมากว่าผีที่เรารับมือกันอยู่จะต้องมีชิ้นส่วนผนึกเหยียนลั่วหวังไม่เกินครึ่งปีที่แล้ว ไม่อย่างนั้นมนุษย์ธรรมดาอย่างเพื่อนของเจ้าก็คงจะถูกกำจัดไปแล้ว”
“นี่เป็นข่าวดีสำหรับเจ้าเลยล่ะ”
ฉินเย่พยักหน้าขณะมองหวังเฉิงห่าวที่ดูใจลอย จากนั้นทันทีที่หวังเฉิงห่าวเริ่มเหงื่อแตกพลั่กอีกครั้ง ฉินเย่ก็เริ่มพูดเสียงเรียบ “นายรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”
หวังเฉิงห่าวกัดริมฝีปากล่าง เขาเปิดโทรศัพท์มือถือและโชว์รูปที่ปรากฏอย่างลึกลับให้ฉินเย่ดู
สายตาของเขาจับจ้องที่ฉินเย่ พินิจดูทุกสีหน้าของเขา เมื่อฉินเย่หันกลับไปมองโทรศัพท์ของหวังเฉิงห่าว และก่อนที่เขาจะเริ่มพูดอะไรออกมา หวังเฉิงห่าวก็ได้ยึดแขนของฉินเย่ไว้แน่นพลางอ้อนวอนเสียงสั่นพร่า “ก่อนหน้านี้…ฉันขอโทษกับสิ่งที่ทำต่อนายทั้งหมด! ฉันจะไม่ทำมันอีกแล้ว…ได้โปรด…ช่วยฉันด้วยแค่ครั้งนี้ครั้งเดียว!”
นี่คือเด็กหนุ่มร่างสูงกำยำคนหนึ่งที่เคยวางท่าอวดเบ่งพลังของตัวเองต่อหน้าคนอื่น แต่ตอนนี้กลับมีแข้งขาอ่อนปวกเปียกอย่างเห็นได้ชัด และยังมีแผลที่ริมฝีปากที่บอกชัดเจนว่าเมื่อคืนเขากัดปากตัวเองแรงขนาดไหน ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงในตอนนี้เขาอยู่บนถนนสาธารณะ เขาก็คงคุกเข่าอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากฉินเย่ไปแล้ว หากเพื่อนร่วมชั้นเรียนคนอื่นๆมาเห็นหวังเฉิงห่าวเกาะติดฉินเย่ราวกับปลิงและอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ พวกเขาก็คงจะพากันตะลึงงันไป
“เราไปคุยกันที่อื่นเถอะ” ฉินเย่เงยหน้าขึ้นและเอ่ยอย่างเฉียบขาด
ทันทีที่ฉินเย่พูดจบ หวังเฉิงห่าวก็ลากเขาออกจากรถจักรยาน “ไปกันเถอะ…นายยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนี่นะ? ฉันเลี้ยงเอง! ฉันจะซื้อทุกอย่างที่นายอยากได้! ทิ้งจักรยานไว้ที่นี่เถอะ เมื่อไหร่ที่เรากลับมา ฉันจะให้จักรยานพินาเรลโลกับนายเลย!”
นักเรียนทั้งสองเรียกแท็กซี่ เมื่อพวกเขาขึ้นรถแล้ว อาร์ทิสถึงกับเอ่ยเยาะ “มีเมตตาขึ้นมางั้นเหรอ? นี่เป็นความรู้สึกที่มีแค่คนอ่อนแอเท่านั้นถึงจะมีนะ”
“ท่านคิดว่าผมจะมีความรู้สึกไร้สาระแบบนี้กับคนที่เพิ่งร่วมทางเดียวกันน้อยกว่าสามปีหรือไง?” ฉินเย่มองไปทางหน้าต่างพลางเอ่ยเสียงเรียบ “เขาเป็นได้ไม่มากไปกว่าคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตผมเท่านั้นแหละ นั่นก็คือ ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขา มันก็…ไม่เห็นเป็นไรหากจะช่วยเขา”
นักเรียนสองคนมุ่งตรงไปที่ร้านเล็กๆ ในย่านนี้ที่เต็มไปด้วยเหล่านักเรียนมัธยมที่ใช้มันเป็น “สรวงสวรรค์แห่งการนัดพบ” ดีไซน์ของร้านเห็นชัดว่าได้แรงบันดาลใจมาจากซีรีส์อนิเมะยอดนิยมหลายเรื่อง แม้ร้านนี้จะยืนหยัดมาได้มากกว่าสิบปีแล้ว แต่ก็ยังรักษาราคาสบายกระเป๋าไว้และคงคุณภาพสินค้าไว้ได้อย่างคงที่ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือที่นั่งภายในคาเฟ่แห่งนี้ที่ออกแบบเป็นบูธไว้อย่างชาญฉลาด และความเป็นส่วนตัวนี้ก็ดึงดูดความสนใจของคู่รักหลายคู่ โดยเฉพาะคู่ที่เพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของความสัมพันธ์
เมื่อพวกเขานั่งลง หวังเฉิงห่าวก็ยื่นเมนูมาให้ฉินเย่และเอ่ยกุลีกุจอ “สั่งตามที่นายอยากกินได้เลยนะ”
ฉินเย่สั่งอาหารทอดเสียบไม้คู่กับเครื่องดื่มเย็น มันเป็นเวลาเช้าตรู่ที่ร้านยังไม่คึกคักนัก อาหารที่เขาสั่งจึงมาเสิร์ฟถึงโต๊ะในทันที ฉินเย่จิบชามะนาวเย็นแล้วก็เอ่ยขึ้น “เล่าให้ฉันฟังมากกว่านี้สิ”
เขาบอกอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกฟังดูก้าวร้าว
รูปลักษณ์ของฉินเย่แตกต่างจากที่เขาเป็นเมื่อตอนอยู่ในโรงเรียนอย่างชัดเจน แต่หวังเฉิงห่าวก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรผิดแผกไป เขากุมแก้วชานมไว้แน่นขณะที่ดวงตาของเขาสั่นระริกและเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เขาใช้เวลาสูดหายใจนานหลายครั้งก่อนจะเรียบเรียงความคิดได้และอธิบายสถานการณ์ออกมาในที่สุด
หวังเฉิงห่าวเริ่มอธิบายด้วยเสียงสั่นเครือ “นายสังเกตไหม ว่าไม่กี่เดือนมานี้ฉันกินข้าวที่โรงเรียนทุกวัน?”
ฉินเย่คิดตามก่อนจะพยักหน้า
หวังเฉิงห่าวหดตัวกลับไปเล็กน้อยพลางเอ่ยพึมพำ “มันก็เพราะว่า…อาหารที่บ้านฉันกินไม่ได้เลยสักอย่าง! ฉันไม่รู้ว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ แต่ล่าสุดพ่อฉันเกิดมีความชอบกินของดิบขึ้นมา ตอนแรกเขาชอบกินอาหารญี่ปุ่น ฉันก็ชอบความสดใหม่ของมันเหมือนกัน แต่พฤติกรรมการกินของเขาเริ่มย่ำแย่ลงเรื่อย ๆ เหมือนเสียสติไปแล้ว! เขาเริ่มชอบ สเต๊ก จากสุกพอดี เป็นสุกกลาง จากนั้นก็เป็นค่อนข้างดิบ…แล้วในที่สุดก็กลายเป็นดิบโคตร ๆ”
“เนื้อทุกอย่างที่บ้านมันดิบชนิดที่กัดเข้าไปทีเลือดสาดเลย! กินไม่ได้เลยล่ะ! ยังไม่แค่นั้นนะ พ่อฉันยังดูแปลกไปมาก เมื่อสิบวันที่แล้วหรือประมาณนั้น ฉันเริ่มได้กลิ่นโคโลญจน์ฉุนจัดจากตัวเขา แต่…ที่แปลกที่สุดก็คือเขาไม่เคยใช้โคโลญจน์มาก่อนเลย! ใช่แล้ว…ใช่แล้วล่ะ! ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว พ่อฉันถึงกับไม่ได้ทานข้าวด้วย!”
เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องที่สามารถมองได้ไม่มากไปกว่านิสัยเฉพาะตัวอันพิกลเท่านั้น แต่ภายใต้อิทธิพลความระแวงของหวังเฉิงห่าว เขาก็เริ่มจับพวกมันมายำรวมกันแล้วเอ่ยอย่างเปิดใจ
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยคิดมากเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ฉันแค่คิดว่ามันเป็นเรื่องประหลาด ไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านั้น จนกระทั่งเมื่อคืนนี้…เมื่อคืนนี้…” ร่างกายของเขาเริ่มสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่อยู่พร้อมกับกุมมือฉินเย่ไว้แน่น มือของเขาชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ “ฉันล็อกประตูห้องนอนของฉันแล้ว แต่ยังมีผู้หญิงนั่งอยู่ นั่งอยู่ที่ปลายเตียงของฉันตอนตีสาม! ตอนที่เธอเดินออกไป รอยเท้าของเธอมีเลือดด้วย! มะ…มากกว่านั้น”
เขาตัวสั่นสะท้านอีกครั้งพร้อมกับน้ำเสียงแหบพร่ามากขึ้น “ฉัน…ฉัน…ฉันเห็นเธอ…เธอกินหมาลาบราดอร์ของครอบครัวฉัน! ตอนที่ฉันออกจากบ้านเมื่อเช้านี้ ฉันก็ลองเหลือบมองบ้านหมา แล้วฉันก็เห็นว่ามันว่างเปล่า! ว่างเปล่า!”
ทั้งร่างของเขาสั่นราวกับเครื่องสีข้าว และเสียงของเขาก็แตกพร่า “เธอเป็นผี…เธอไม่ใช่มนุษย์! เธอต้องเป็นวิญญาณร้ายแน่!”
ฉินเย่หยิบช้อนในถ้วยขึ้นแล้วคนเครื่องดื่มของเขาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยแทรก “พ่อนายอยู่ที่ไหน?”
หวังเฉิงห่าวอึ้งไป
“งานศพของเขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉินเย่ย่นคิ้ว
หวังเฉิงห่าวจ้องมองฉินเย่ด้วยความประหลาดใจ “นายพูดเรื่องอะไรน่ะ?”
ฉินเย่ดูผิดหวังเล็กน้อย “ฉันพูดถึงงานศพพ่อนายน่ะ แม่นายเป็นคนจัดงาน หรือว่านายจัดงานให้เขา?”
“งานศพ…พ่อฉันเหรอ?” ริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวสั่นระริกขณะที่เขาบีบมือฉันเย่แน่น “ฉ…ฉ…พี่ฉิน อยะ…อยะ…อย่าทำให้ฉันกลัวแบบนี้สิ…”
“พะ…พ่อฉัน…น่าจะมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขสิ…”
ฟึ่บ…ดวงตาของฉินเย่เป็นประกายวับวาวขณะจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหวังเฉิงห่าว
ในตอนนี้เสียงที่ได้ยินมีเพียงเสียงใบไม้ปลิวเบา ๆ ในสายลมอ่อนยามเช้า
มันเงียบงัน
เงียบงันเสียจนรู้สึกขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย
หวังเฉิงห่าวเหงื่อแตกท่วมตัวและหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาต่อสายไปหาพ่อของเขา หวังเจ๋อหมิน
“เฮ้ อาห่าว…ตอนนี้พ่อกำลังยุ่งอยู่น่ะ…อืม…ตั้งใจเรียนนะ…พ่อวางสายล่ะ…”
มันเป็นบทสนทนาสั้น ๆ แต่ชัดเจนว่าเป็นเสียงของหวังเจ๋อหมิน
แต่นั่นก็ยังมีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับเสียงของเขา คำพูดของเขาฟังดูขาดตอน และเนื้อความก็ดูไม่เป็นไปในทางเดียวกัน เหมือนคำพูดของคนที่ไม่ได้พูดมาเป็นเวลานาน
ริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวสั่นระริกรุนแรง คำพูดของฉินเย่สร้างความตกตะลึงมากนัก คำพูดของเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
สายตาของเขาจับจ้องที่ฉินเย่ ขณะที่ฉินเย่ย่นคิ้วเล็กน้อยยามคนชามะนาวในแก้ว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขารับมือกับสิ่งเหนือธรรมชาติในฐานะยมทูตปฏิบัติการเต็มตัว แต่ว่าเขากลับตกอยู่ในสถานการณ์พิกลเช่นนี้
หวังเจ๋อหมินยังไม่ตายงั้นหรือ? เป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางที่ผีตนนี้จะทรงพลังอย่างยายเมิ่ง วิญญาณของหวังเจ๋อหมินถูกยายเมิ่งสยบด้วยตัวเองตั้งแต่ที่สะพานกระดูกแล้ว มันไม่มีเรื่องผิดพลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้!
ดังนั้นแล้ว…ฉินเย่สูดลมหายใจเย็น ดังนั้นแล้ว…ใครคือคนที่แอบอ้างเป็นพ่อของหวังเฉิงห่าวในบ้านของเขากันแน่? เขามีชีวิตอยู่งั้นหรือ? หรือว่า…เขาเป็นอะไรบางอย่างด้วยเหมือนกัน?
“ฉันเข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ มันไม่กล้าปรากฏตัวตอนกลางวันหรอก มาที่ร้านฉันคืนนี้หลังหกโมงเย็น”
ลูกกระเดือกของหวังเฉิงห่าวเคลื่อนที่เล็กน้อย แผ่นอกของเขาสะท้อนขึ้นลงอย่างแรงยามเขาพยักหน้าอย่างแข็งขัน แต่เขาไม่ได้ลุกจากไป เขากลับจ้องมองฉินเย่ด้วยอาการร้อนรนต่อ
“กลัวที่จะออกไปเหรอ?” ฉินเย่ชี้ไปที่บูธที่อยู่ติดกัน “งั้นนั่งตรงนั้นนะ”
“ฉัน…” หวังเฉิงห่าวขอร้องด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ฉัน…ฉันจะไม่รบกวนสิ่งที่นายจะทำหรอก…อย่าจากฉันไปนะ…”
“ไปนั่งตรงนั้น!”
หวังเฉิงห่าวขบฟันอย่างจนใจขณะลุกขึ้นเตรียมจะจากไป แต่ทันใดนั้นฉินเย่พลันกุมที่หัวใจและเอนพิงเก้าอี้อย่างอ่อนแรงด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ฉินเย่! พี่ฉิน! เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้นกับนาย?!” หวังเฉิงห่าวเกือบจะสะดุ้งเมื่อเห็นดังนั้น ในช่วงเวลาวิกฤต เขาไม่ทันรู้ตัวเลยว่าเขาได้ยกระดับฉินเย่ไว้สูงขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัวขนาดไหน
ฉินเย่ไม่ตอบ ใต้ฝ่ามือของเขา หัวใจของเขา…ค่อย ๆ หยุดเต้นไปแล้ว!
นี่คือความรู้สึกที่กายเนื้อของเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน มันเป็นความรู้สึกที่เส้นด้ายชีวิตดำเนินมาถึงจุดจบอย่างช้า ๆ
รอบตัวของเขาพลันเงียบสงบ ตึก ๆ ๆ ๆ เสียงเดียวที่เขาได้ยินก็คือเสียงหัวใจที่สูบฉีดเลือดเข้าสู่เส้นเลือดทุกสายในร่างของเขาด้วยความยากเย็นขณะมันใกล้หยุดนิ่งเพียงนิดเดียว
นาฬิกาชีวิตของเขาเริ่มนับถอยหลังแล้ว
“ไป…” ใบหน้าของฉินเย่ซีดเผือดอย่างยิ่ง แต่เขายังยืนยันคำสั่งเมื่อก่อนหน้านี้กับหวังเฉิงห่าว
“ฉัน…” หวังเฉิงห่าวทั้งหวาดกลัวทั้งละล้าละลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร
“ไปซะ!!” ฉินเย่ตวาดเสียงทุ้มขณะที่เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของเขาเริ่มเต้นตุบ ๆ
ครั้งนี้หวังเฉิงห่าวคว้ากระเป๋านักเรียนของเขาแล้ววิ่งไปโดยไม่จำเป็นต้องกล่าวคำใด ๆ “ถ้านายต้องการอะไรก็บอกฉันได้นะ”
ทั้งร้าน ตกอยู่ในความเงียบในที่สุด ฉินเย่รู้สึกได้ว่าอาร์ทิสกำลังเรียกเขา แต่การได้ยินของเขาอ่อนด้อยลงในทุกขณะ
ช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอคงอยู่ห้านาทีเต็ม ก่อนที่หลังจากนั้นหัวใจของเขาจะค่อย ๆ กลับมาเต้นตามปกติ และใบหน้าของเขาก็กลับมีสีเลือดฝาดอีกครั้ง
“ฮ่า…” หลังจากห้านาทีต่อมา เขาก็ถอนหายใจอย่าง โล่งอกและจิบชา
นั่นมันแย่มากเลย…
เขาเพิ่งจะประสบกับความรู้สึกกำลังจะตาย และเขาก็ไม่เคยอยากที่จะประสบความรู้สึกแบบนี้เป็นครั้งที่สอง
“จิตสำนึกก่อนตาย” เสียงของอาร์ทิสขรึมลง “ความไม่สมดุลในนรกทำให้แหล่งความเป็นอมตะของเจ้าสลายลง ชื่อของเจ้า…ปรากฏอีกครั้งบนสมุดแห่งความเป็นความตาย แม้นรกจะล่มสลายและสมบัติพื้นฐานจะแตกออกเป็นเศษเสี้ยว แต่บางสิ่งบางอย่างเหล่านี้ยังคงทำหน้าที่ของมันอยู่ อย่างเช่นหนังสือแห่งความเป็นความตาย”
“ไม่อย่างนั้นแล้วโลกนี้คงเต็มไปด้วยปีศาจอมตะนับไม่ถ้วน เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับทัณฑ์จากสวรรค์แล้ว”
ฉินเย่พยักหน้า ความตายมาเยือนตรงหน้าเขาแล้ว เวลาของเขา…กำลังหมดลง
“เจ้าแน่ใจได้เลยว่าทุกคนในบ้านของเขาล้วนเป็นปริศนา” อาร์ทิสไม่แจงรายละเอียดต่อไป และให้คำแนะนำอย่างรวบรัด “สิ่งที่เรายังไม่รู้ตอนนี้ก็คือปัญหานี้เริ่มสำแดงออกมาอย่างไร ไม่ว่าการเป็นเจ้าของ…หรืออย่างอื่น สิ่งที่เรารู้ก็คือพ่อของหวังเฉิงห่าวเป็นกุญแจไขความลี้ลับนี้ เขาตายแล้วอย่างแน่นอน แต่มันเป็นแค่วิญญาณของเขาเท่านั้นที่ตายไป แต่ร่างของเขายังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งมันก็มีทางเป็นไปได้ไม่กี่ทางสำหรับสถานการณ์นี้”
“ให้ข้าบอกกฎถาวรข้อแรกของเหล่ายมทูตนรกให้เจ้าฟังในตอนนี้เถอะ ไม่ว่าสถานการณ์จะดูพิกลขนาดไหนก็ตาม ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับอัตตาของผีตนนั้นก่อนที่เขาหรือเธอจะตาย”
“ผีทุกตนล้วนเกิดจากอัตตา ไม่ว่าคนคนนั้นจะตายอย่างอนาถ หรือตายอย่างไม่ยุติธรรม หรือเป็นจากหลาย ๆ อย่างรวมกัน มันเป็นอัตตาก่อนตายที่ยึดติดอยู่ที่เป็นตัวทำให้วิญญาณของพวกเขายังคงอยู่และรั้งไม่ให้พวกเขาได้ไปผุดไปเกิด นานวันเข้าวิญญาณเหล่านี้ก็จะกลายเป็นผีร้าย เมื่อเกิดเรื่องเช่นนั้น เจ้าก็แน่ใจได้เลยว่าทุกความผิดปกติหรือเรื่องประหลาดในพื้นที่หรือบุคคลที่มันหลอกหลอนนั้นสามารถอธิบายได้ด้วยอัตตาของผีในชีวิตก่อนหน้าของมัน เพราะว่าผีจะกระทำเรื่องสนองอัตตาของตัวเองซ้ำไปซ้ำมาโดยสัญชาตญาณหลังตายไปแล้ว
“รายละเอียดเหล่านี้อาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่พวกมันจะเป็นกุญแจสำคัญที่สุดในการปลดปล่อยวิญญาณนี้ให้ได้ไปผุดไปเกิด” นางสรุปอย่างหนักแน่น “คืนนี้ เมื่อเข็มนาฬิกาตีที่เลขสิบสอง ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับวิธีเรียกวิญญาณ เราจะปลุกวิญญาณของหวังเจ๋อหมินขึ้นมา และคงจะได้รับความกระจ่างจากเขา”
[1]วิธีปรุงอาหารที่ดิบยิ่งกว่าค่อนข้างดิบ ซึ่งก็คือโคตรดิบ