ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 3
บทที่ 2 การเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ
หวังเฉิงห่าวจับกระเป๋าของฉินเย่อย่างแรง ขณะที่มองหน้าอีกฝ่าย “นายจะไปไหน? อยากให้ครูมาว่าพวกฉันพรุ่งนี้หรือไง? นายยังไม่ได้ทำความสะอาดโต๊ะเรียนอีกสองแถวเลย รีบกลับมาเดี๋ยวนี้ เสร็จแล้วนายถึงจะกลับได้!”
อี้หลงพ่นควันบุหรี่ออกมาอีกรอบ “จะเอายังไงกันแน่? พวกเราก็พูดกับนายดี ๆ แล้วไม่ใช่เหรอ? หรือว่าคำพูดของพวกเรามันไม่มีความหมาย?”
แต่เย่ฉินเย่กลับไม่ได้รู้สึกพึงพอใจกับคำพูดของอีกฝ่ายเลยสักนิด เขารู้สึกว่าความเย็นรอบ ๆ ตัวได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น…ขนแขนของเขาลุกชัน เหมือนกับหูของกระต่ายที่มักจะตั้งขึ้นเมื่อมันได้ยินเสียงของเสือที่กำลังใกล้เข้ามา
มันเป็นความกลัวที่เกิดจากสัญชาตญาณเอาชีวิตรอด
ใช่แล้ว เขาเชื่อในสิ่งนี้
ไม่ว่ามันจะเป็นเพียงจินตนาการของเขาหรือว่าเรื่องจริงก็ตาม เขาก็เชื่อสุดใจว่าความรู้สึกของตัวเองค่อนข้างไวกับการเปลี่ยนแปลงพวกนี้ ทันทีที่สัมผัสความกลัวที่ไม่สามารถหาแหล่งที่มาได้ เขาคิดก็เพียงแต่ต้องหนีเท่านั้น และต้องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วย!!
“ปล่อยนะเว้ย!” ด้วยการกระชากอย่างสุดแรง ในที่สุดฉินเย่ก็สามารถแย่งกระเป๋าเรียนของเขาออกมาจากการจับกุมของอีกฝ่ายได้ สีหน้าของหวังเฉิงห่าวเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียมก่อนจะเตะร่างคนตรงหน้าอย่างโมโห
เพราะว่าไม่ทันได้ระวังตัว ฉิงเย่จึงร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อถูกเตะอย่างแรง จนกระเด็นไปชนกับโต๊ะเรียนที่อยู่ด้านหลัง ครืนนน! หนังสือที่ถูกเรียงอย่างเป็นระเบียบบนโต๊ะร่วงเกลื่อนกลาดพื้นอีกครั้ง ความพยายามก่อนหน้านี้ของเขาช่างสูญเปล่า
“ไอ้เวรนี่!” หวังเฉิงห่าวเตะอีกครั้งพร้อมเอ่ยด้วยใบหน้าที่บูดเบี้ยว “ฉันอุตส่าห์ให้เกียรตินายแต่นายกลับทำลายมัน!! คงจะได้ใจเกินไปสินะ!! ไปตายซะ!!”
โครม! โต๊ะอีกตัวหนึ่งล้มลงกับพื้น ทันใดนั้นท้องฟ้าก็สว่างวาบขึ้นพร้อมกับเสียงฟ้าผ่า
เปรี้ยง!
จู่ ๆ ท้องฟ้าที่เคยสดใสก่อนหน้านี้ก็ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ราวกับด้านล่างของหม้อชา ในขณะที่สายฟ้าสีขาวอมเขียวก็ผ่าลงมาราวกับการเต้นรำของมังกร เงาของเด็กหนุ่มทั้งสามทอดยาวขึ้นอย่างน่ากลัว
พรึบ…พรึบ…ราวกับมีไฟฟ้ารัดวงจร หลอดไฟภายในห้องเรียนกะพริบอยู่สองสามครั้ง หวังเฉิงห่าวไม่สามารถควบคุมความโกรธของตัวเองได้ และมันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อเห็นว่าฉินเย่ยืนใช้มือบีบนวดหลังของตัวเอง เขารีบหันไปคว้าหนังสือที่อยู่ใกล้ที่สุดและทำท่าจะพุ่งเข้าหาฉินเย่อีกครั้ง
ทันใดนั้นเสียงของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
เสียงโทรศัพท์ทั้งสามเครื่องดังขึ้นพร้อมกันและดังติดต่อกันเป็นจำนวนสามครั้ง
หวังเฉิงห่าวผง่ะถอยหลังไปอย่างตกใจ อี้หลงชะงักไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ฉินเย่ก็แน่นิ่งไปเช่นกัน
ปัง! ปัง! ปัง! ทันใดนั้น ประตูและหน้าต่างทุกบานที่เปิดอยู่ก็ถูกปิดลงพร้อมกัน ราวกับว่ามีมือที่มองไม่เห็นผลักมันปิดอย่างรุนแรง
วินาทีนั้น.. ภายในห้องเรียนตกอยู่ในความเงียบ
ในโรงเรียนที่ไร้ผู้คน…ห้องเรียนที่ว่างเปล่า…หน้าต่างและประตูที่ปิดเองอย่างกะทันหัน…และแสงสลัวภายในห้อง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนเสียงของระฆังที่ได้บ่งบอกถึงจุดสิ้นสุดของชีวิตใครบางคน
ความเงียบที่เกิดขึ้นนั้นทำให้เด็กทั้งสามรู้สึกบีบคั้นเป็นอย่างมาก แม้แต่เสียงหายใจของตัวเองก็แทบจะทำให้หูอื้อไปหมด
วินาทีนั้นหวังเฉิงห่าวและอี้หลงก็เหลือบไปมองหน้ากันและกัน ทั้งสองกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
อึก!….เสียงกลืนน้ำลายที่ดังออกมาทำให้พวกเขาแทบตกใจกระโดดจนตัวโยน หวังเฉิงห่าวรีบเปิดหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองดู ในครู่ต่อมา เขาก็ร้องครวญครางออกมาและแทบจะทำโทรศัพท์ของตัวเองร่วงลงพื้น
ฉินเย่เองก็เปิดโทรศัพท์ของตัวเองและมองไปที่หน้าจอ
โทรศัพท์ที่เขาใช้เป็นโทรศัพท์โนเกียรุ่นเก่าที่สามารถใช้แทนอิฐสร้างบ้านได้ ตอนนี้…หน้าจอขาวดำของมันปรากฏตัวเลขเจ็ดตัว “4444444”!
ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย ตาย (ผู้เขียน: ในภาษาจีน คำว่า 4 ออกเสียงคล้ายกับคำว่าตาย)
“นะ..นี่มัน…นี่มันเรื่องล้อเล่นแบบไหนกัน…” อี้หลงเอ่ยเสียงสั่น มือของเขาคลายออกอย่างอ่อนแรง ทำให้โทรศัพท์ที่อยู่ในมือร่วงลงกับพื้น
“วิ่ง!!” หวังเฉิงห่าวขนลุกชันไปทั่วทั้งตัว นี่มันแปลกเกินไปแล้ว….เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?! โดยปราศจากความคิดอื่นในหัว เขารีบหมุนตัวและเตรียมจะวิ่งหนี
แต่ขณะที่กำลังจะหนี เขาก็ถูกอี้หลงคว้าแขนเสื้อเอาไว้
“ระ ระ รอฉันด้วย!” ท่าทางหยิ่งยโสก่อนหน้านี้หายไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าซีดเผือด จากนั้นเขาก็หันหน้าไปมองฉินเย่ “นะ..นาย!! เก็บโทรศัพท์ฉันขึ้นมาเดี๋ยวนี้!!”
“แล้วทำไมนายไม่เก็บเองล่ะ?!” ฉินเย่ยังคงบีบนวดสะโพกของตัวเองขณะที่พยายามลุกขึ้นมาจากพื้น วิ่งตรงไปที่ประตูและคว้าเข้าที่ลูกบิด ก่อนที่จะหมุนมัน….กึกกึก
โชคร้าย…หลังจากที่เขาเขย่าประตูก็แล้ว ทุบประตูก็แล้ว นอกเหนือจากเสียงทุบที่ดังขึ้นจากการกระทำของตัวเอง บานประตูยังคงปิดสนิทเหมือนเดิม
“ฉะ ฉินเย่..นี่นายกำลังหลอกให้ฉันกลัวใช่ไหม?” ริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวสั่นระริก ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถก้าวเท้าเดินได้แล้ว แต่เขาก็ยังพยายามอยู่ใกล้กับอี้หลงเหมือนเดิม
“ใครจะไปแกล้งนาย?!” ฉินเย่หันไปพูดกับอีกฝ่ายด้วยดวงตาที่แดงก่ำ “ประตูมันไม่ขยับเลยเนี่ย!”
“เราจะทำยังไง?! เราจะทำยังไงกันดี?!” น้ำเสียงของหวังเฉิงห่าวโหยหวนกว่าเดิม เขาไม่เคยเจออะไรที่แปลกประหลาดขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ความโกรธที่เกาะกินหัวใจของเขาก่อนหน้านี้หายไปในทันที รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่ไล่ลงไปตามกระดูกสันหลัง
รู้สึกสยองขวัญเหรอ?
ก็อาจจะใช่ แต่ส่วนมากมันจะเป็นความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้มากกว่า มัน….มันจะมีเรื่องเหนือธรรมชาติอยู่จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?
“เลิกพล่ามสักที!” ฉินเย่กุมศีรษะอย่างหมดหวัง แต่หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็พูดออกมาเสียงดัง “ไปพังหน้าต่าง!”
อีกสองคนที่เหลือต่างผงะถอยหลังไป จากนั้นดวงตาของหวังเฉิงห่าวก็เบิกกว้างขึ้นขณะที่เขากำลังรีบเดินไปหยิบเก้าอี้ที่อยู่ใกล้ที่สุดและเตรียมจะทุ่มมันกับหน้าต่าง ทันใดนั้นเอง…!
พรึ่บ!! ไฟทุกดวงในห้องดับลง
เงียบกริบ…
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบ…
ทั่วทั้งโรงเรียนถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด ไม่มีใครกล้าส่งเสียงเล็ดลอดออกมา มันเหมือนกับว่ามีใครบางคนเอามือมาบีบหัวใจของพวกเขาเอาไว้ และสิ่งเดียวที่ได้ยินตอนนี้ก็คือเสียงของลมหายใจของเด็กสามคนที่กำลังยืนอยู่ในห้อง
“พังมันซะ!!” ฉินเย่กัดฟันตะโกนออกไปอีกครั้ง “พวกนายอยากจะนอนที่โรงเรียนหรือไง?!”
ริมฝีปากของหวังเฉิงห่าวกระตุกเล็กน้อย ฟันของเขาส่งเสียงกระทบกันไม่หยุดหย่อน จากนั้นก็ตะโกนออกมาเสียงดังเพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงในการจะลุกขึ้นยืน แต่ขณะที่เขาหันไปคว้าเก้าอี้ขึ้น เด็กหนุ่มก็กรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน ก่อนที่ร่างของเขาจะล้มลงอีกครั้ง
“อ๊ากกกกกกก!!” เสียงร้องของเขาดังก้องไปทั่วทั้งห้องเรียน ขณะที่เจ้าตัวยกมือปิดตาทั้งสองข้างของตัวเอง ฉินเย่รีบไปกระชากคือเสื้อของคนตรงหน้าและถาม “เป็นบ้าอะไรขึ้นมา?! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฉันแรงน้อยกว่านาย ฉันก็คงจะพังหน้าต่างออกไปด้วยตัวเองนานแล้ว! แค่พังหน้าต่างบานหนึ่งมันยากขนาดนั้นเลยหรือไง?!”
“มะ…มีผี…มีผีอยู่ตรงนั้น!!” หวังเฉิงห่าวตะโกนตอบเสียงดัง เห็นได้ชัดเลยว่าเขาแทบจะคุมสติของตัวเองไม่อยู่ “ฉะ ฉันเห็น…ฉันเห็นมัน! ฉันเห็นมันจริง ๆ นะ!!”
“พูดบ้าอะไรของนาย?!” ฉินเย่พยายามแกะมือของอีกฝ่ายออกจากตน
แต่สิ่งที่เขาได้กลับมามีเพียงเสียงครวญครางอย่างหวาดกลัวเท่านั้น เด็กนักเรียนตัวใหญ่ใบหน้าราวกับนักเลง กลับนั่งร้องไห้น้ำมูกไหลอย่างหมดสภาพ มันต้องใช้เวลาถึงสองนาทีเต็มในการที่หวังเฉิงห่าวจะรวบรวมสติและพูดด้วยเสียงสั่นเครืออีกครั้งว่า “ฉะ ฉัน…ตอนที่ฉันยกเก้าอี้ขึ้นมา…ฉะ ฉัน ฉันเห็นจากนอกหน้าต่าง…มะ มีเด็กสวมชุดขาวกะ..กำลังจ้องมองมาที่ฉัน…อึก อ๊าาาาา!!!”
กลางเดือนเจ็ด เหล่าวิญญาณออกอาละวาด
ฉินเย่ปล่อยมือจากหวังเฉิงห่าว ตอนนี้เขาเกือบจะแน่ใจแล้วว่าเรื่องประหลาดที่เขากำลังเจออยู่ในตอนนี้ มีต้นเหตุมาจากอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น
ไม่อย่างนั้นทางโรงเรียนจะเอ่ยประกาศเตือนซ้ำ ๆ ทำไม?
ปี๊บ!ปี๊บ!ปี๊บ!
ทันใดนั้นเสียงของอะไรบางอย่างก็ดังขึ้นมาในความมืด หวังเฉิงห่าวและอี้หลงที่กำลังนั่งตัวสั่นถึงขั้นร้องออกมาอย่างตื่นตระหนก ในขณะเดียวกัน แสงไฟอ่อน ๆ ก็สว่างวาบขึ้นมาจากที่พื้น
ปรากฏว่ามันคือโทรศัพท์ของอี้หลงที่ตกพื้นก่อนหน้านี้นี่เอง
ไม่มีใครกล้าก้มลงไปหยิบมันขึ้นมา
โทรศัพท์ของเขาตกอยู่บนพื้นที่ห่างจากตำแหน่งปัจจุบันของพวกเขาออกไปสี่แถว และตอนนี้…ความรู้สึกปลอดภัยเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาสัมผัสได้ก็มาจากไอความร้อนที่แผ่ออกมาจากร่างกายของกันและกันเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น….
ความจริงที่ว่าถึงแม้ไม่มีใครเดินไปรับโทรศัพท์ก็ไม่ได้หมายความว่าเสียงโทรศัพท์จะหยุดลง
หนึ่งนาที….สองนาที….สามนาที!
เสียงโทรศัพท์ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แทรกผ่านความเงียบเชียบที่แสนจะบีบคั้นภายในห้องเป็นระยะ ๆ เด็กวัยรุ่นทั้งสามยืนเกาะกลุ่มกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องด้วยสีหน้าหวาดกลัว
นี่มันไม่ใช่เรื่องปกติ
นะ…นี่มันไม่ใช่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ที่ดังตามปกติ
ไม่ว่ามันจะเป็นโทรศัพท์รุ่นไหน ไม่ว่าผู้ที่โทรเข้ามาจะเป็นใคร แต่เสียงของมันก็ต้องเงียบลงครู่หนึ่งก่อนที่จะดังขึ้นอีกครั้ง…แต่นี่ โทรศัพท์เครื่องนี้กลับดังติดต่อกันเป็นเวลาสามนาทีโดยไม่หยุดเลยสักนิด
“นะ…นี่ไม่ใช่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของฉัน….อึก อ๊ากก…ฮึ่ก อึก!” อี้หลงเอ่ยออกมาอย่างยากลำบากก่อนที่เขาจะเสียสติและกรีดร้องออกมา
ถ้าพวกเขารู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้ขึ้น พวกเขาคงกลับบ้านไปตั้งแต่ 17.30 แล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องแบบนี้มันจะเกิดขึ้น?!
เวลานี้ พวกเขาได้เห็นความลึกลับของโลกที่ถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี
พวกเขาได้ประสบกับสิ่งที่แทบจะคล้ายกับปาฏิหาริย์ แม้ว่าจะน่ากลัวมากกว่านั้นก็ตาม
แต่นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น ทันทีที่อี้หลงร้องไห้ออกมา ฉินเย่และหวังเฉิงห่าวก็รีบเอามือไปปิดปากอีกฝ่ายเอาไว้ทันที จนดวงตาของอี้หลงเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ
เสียงเรียกเข้าที่ยังคงดังอยู่ดูเหมือนจะเบาลงเล็กน้อย ภายนอกหน้าต่างมีพายุฝนกระหน่ำ แต่ท่ามกลางเสียงฝนตกพรำ ๆ กลับมีเสียงของบางอย่างก็ดังแทรกขึ้นมาในความมืด ส่งผ่านความเย็นไปตามกระดูกสันหลังของเด็กหนุ่มทั้งสาม
“หึหึหึ…ฮี่ฮี่ฮี่ฮี่…..”
เสียงหัวเราะ!
เสียงหัวเราะของเด็ก..
เสียงแปลกประหลาดดังก้องไปทั่วทั้งห้องเรียนหวังเฉิงห่าว อี้หลงและฉินเย่ต่างตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว
ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ หวังเฉิงห่าวร้องไห้จนน้ำหูน้ำตาไหลไปหมด เขากัดปากตัวเองอย่างแรงจนซีดเผือด ยกมือกำผมของตัวเองอย่างคนเสียสติ ในอีกด้านหนึ่ง อี้หลงเหลือบสายตาไปมองเพื่อนของตน ร่างกายของเขาสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ดวงตาของเขาแดงก่ำ ทั้งคู่ยืนกอดกันแน่น ดูเหมือนว่าฉินเย่จะเป็นเพียงคนเดียวที่ยังมีสติอยู่ในตอนนี้
ตึกตัก…ตึกตัก…มันรู้สึกราวกับว่าหัวใจจะทะลุออกมาจากอก ฝ่ามือของฉินเย่เหงื่อออกจนชื้นไปหมด และตอนนี้เสื้อตัวในของเขาก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อแล้วเหมือนกัน นี่….พวกเขาควรจะไปรับโทรศัพท์หรือเปล่า?
ปี๊บ!ปี๊บ!ปี๊บ! เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ยังคงดังแทรกความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง ประมาณสิบวินาทีต่อมา ฉินเย่กัดฟันแน่นก่อนจะก้มลงไปมองโทรศัพท์ที่ดังอยู่บนพื้น แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็ต้องรีบลุกยืนตามเดิมและรีบยกมือปิดปากตัวเองเอาไว้
พระเจ้า! นี่เขาเกือบจะร้องออกไปแล้ว!
เมื่อครู่นี้…ท่ามกลางเสียงฟ้าผ่า ท่ามกลางความมืดที่ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องเรียน และท่ามกลางแสงสว่างจากหน้าจอโทรศัพท์…ขะ เขาเห็นขาขาวซีดของเด็ก…ตึก ตึก ตึก…เดินตรงไปที่โทรศัพท์
ผี…
…
ผี มันคือผีจริง ๆ!
มีผีอยู่ในห้องนี้! อยู่กับพวกเขา!
และมันก็พยายามจะสื่อสารกับพวกเขาในความมืด!
ราวกับว่ารู้ถึงสายตาของฉินเย่ โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเริ่มสั่นเล็กน้อย ฉินเย่ยกมือทาบเข้าที่อกของตัวเอง พยายามกำหนดจังหวะการหายใจ และหลังจากที่ตั้งสติได้ เขาก็โน้มตัวลงอีกครั้งและค่อย ๆ เดินไปตามทางเดิน
ถ้าหากไม่มีใครเดินไปปิดเครื่องสักที พวกเขาก็คงจะเป็นบ้าตายเพราะเสียงเรียกเข้านี้แน่!
มันเป็นแค่ที่นั่งสี่แถวเท่านั้น แต่สำหรับเขาที่ค่อย ๆ เดินไปตามทางรู้สึกว่ามันผ่านไปแล้วกว่าสิบนาที และเมื่อมาถึงจุดที่โทรศัพท์ตกอยู่ ร่างของฉินก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ และทันทีที่เขาก้มไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา หน้าจอของมันก็ดับไป….
ในวินาทีนั้น ภาพสะท้อนบนหน้าจอสีดำสนิทได้เผยให้เห็นใบหน้าของเด็กเจ้าของขาคู่นั้นเป็นครั้งแรก!
ผมยาวปกคลุมใบหน้า จุดที่ควรจะเป็นดวงตาและปากกลวงเป็นรูโบ๋ดำมืดที่ดูเหมือนจะขยายใหญ่ขึ้นเมื่อมันกรีดร้องใส่เขา
หัวใจของฉินเย่แทบจะหยุดเต้น เหงื่อไหลซึมออกมาตามร่างกาย เด็กหนุ่มรีบหันหลัง เปิดไฟฉายของโทรศัพท์และส่องไปยังพื้นที่ด้านหลังของตัวเองทันที
ว่างเปล่า….
มือของเขาสั่นระริกขณะที่เปิดข้อความในโทรศัพท์ด้วยลมหายใจที่ติดขัด ข้อความที่ถูกส่งมาประกอบด้วยคำแค่สองคำเท่านั้น
“ข้างบน”
แหมะ….ทันใดนั้น ของเหลวบางอย่างก็หยดลงมาบนศีรษะของเขา ไหลผ่านลำคออย่างเย็นยะเยือก ก่อนจะหยดลงพื้น
วินาทีนี้ ฉินเย่ยังคงเดินย่องไปตามทางเดินระหว่างโต๊ะเรียนมากมาย
ของเหลวที่หยดลงมาเมื่อครู่…สีแดง…
และมันก็…ข้น
เลือด…ร่างของเด็กหนุ่มสั่นระริก…มี..บะ บางอย่างอยู่เหนือ..หะ หัวของเขา!