ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 52
บทที่ 52 บันทึกนรก
ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบ เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จนตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสองครึ่งแล้ว
ฉินเย่ขมวดคิ้ว เขานั่งครุ่นคิดเงียบ ๆ คำพูดที่ไม่ไว้หน้าของอาร์ทิส จนถึงตอนนี้เขายังรู้สึกหัวร้อนอยู่เลย
“รอข้าจัดการกับเจ้าเชาโยวเต๋าก่อนเถอะ ข้าจะให้แกเข้ามาคุกเข่าแทบเท้า และเขียนชื่อข้าให้จงได้!!”
“เชาโยวเต๋าคือใคร” หวังเฉิงห่าวถามอย่างระมัดระวัง ฉินเย่กลับจ้องมองไปที่หวังเฉิงห่าวด้วยสายตาอาฆาตทันที จนหวังเฉิงห่าวต้องหดคอกลับไปราวกับเต่า
ฉินเย่จ้องมองเขาหลายครั้ง ความโกรธเกรี้ยวในใจยังคงลุกโชน
ร่างกายของเรารู้สึกเหมือนกำลังจะละลายด้วยความเดือด… เราควรมองหาที่ระบายไม่ใช่หรือ
ช่างบังเอิญเสียจริง ทำไมชายแซ่หวังคนนี้ถึงมีรูปร่างที่ดูเหมาะสมกับความคิดนี้เสียจริง …
“…พี่ฉิน…พี่หักนิ้วทำไม? เดี๋ยว แล้วนั่นจะยืนทำไม…นั่งเถอะนะ… มีอะไรค่อย ๆ พูด ค่อย ๆ จา… “
หลังจากหายใจเข้าลึก ๆ อีกหลายครั้ง ฉินเย่ก็สงบสติอารมณ์และนั่งลงอีกครั้ง จากนั้นเขาก็กัดฟันอธิบาย “เชาโยวเต๋า … เป็นคนชั่วที่สมควรเฉือนร่างมันออกเป็นพัน ๆ ชิ้น!!”
เขาจุดบุหรี่และสูดมันเข้าจนเต็มปอด ก่อนจะปล่อยควันสีเทา ให้ล่องลอยไปในอากาศ
โมโหไปก็เปล่าประโยชน์ สุดท้ายเขาก็ต้องเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นแทนที่จะหนี
“คิดดูถูกข้างั้นเหรอ?!” ถึงกระนั้นในใจของฉินเย่ก็ยังคงคิดถึงเหตุการณ์เมื่อเย็นนี้อยู่ดี
อาร์ทิสไม่ได้บอกว่ามันจบสิ้นแล้ว นั่นหมายความว่ามันมีทางออก!
แต่ … ทางออกคืออะไร?
เขาใช้นิ้วเคาะโต๊ะ ถ้าจะคิดแบบอาร์ทิส ก่อนอื่นเขาต้องมองเรื่องนี้จากมุมมองใหม่ทั้งหมด
ออกจากที่ที่ปลอดภัยของตัวเอง เปลี่ยนเป็น…ฆ่าเชาโยวเต๋า!
“ก่อนข้าจะฆ่ามันได้ อันดับแรกข้าต้องได้รับตำแหน่งนักล่าวิญญาณเสียก่อน”
“ไม่ … บางทีแค่การตำแหน่งนักล่าวิญญาณคงยังไม่พอเชาโยวเต๋าเป็นผู้ดูแลเมืองเป่าอันในช่วงร้อยปีที่ผ่านมา เขาจะมีวิญญาณหยินรับใช้กี่ตน พัน? หมื่น? หรืออาจจะ …เป็นแสน?”
“ตราบใดที่พวกเขาปกป้องเชาโยวเต๋า ก็ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้เลย”
ฉินเย่พูดเองตอบเองอยู่อย่างนั้น พลังหยินลอยออกมาจากนิ้วชี้ ก่อนที่เขาจะเขียนมันลงไปบนโต๊ะ “อันดับสองคือ … โอกาส”
“ข้าต้องหาโอกาสเข้าไปในรังของมัน ตอนที่มันอยู่คนเดียว นั่นแหละโอกาสที่ข้าจะสามารถเข้าใกล้มันได้!”
พลังหยินที่นิ้วชี้รวมกันเป็นคำว่า “สำเร็จ” บนพื้นโต๊ะด้านหน้าเขามีคำว่า การค้นหาให้ทั่วเมือง โอกาส ความแข็งแกร่งจนถึงตัวอักษรสุดท้ายเขากลับหยุดชะงักอย่างกะทันหัน
เขาจ้องมองไปที่คำสองสามคำที่เขียนอยู่บนโต๊ะหลายวินาที ไม่นานใบหน้าของเขาก็ดูมีหวัง เขาลุกขึ้นยืนอีกครั้ง หน้าอกกระเพื่อมไหวอย่างตื่นเต้น
“ที่แท้เป็นอย่างนี้ นี้เอง…” เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพูดต่อพร้อมกับประกายแวววาวในส่วนลึกของดวงตาเขา “ตรงกันข้าม…ใช่แล้วตรงกันข้าม! นี้แหละโอกาส … มันอยู่ตรงหน้าเรามาตลอด!”
หวังเฉิงห่าวไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป “พี่ฉิน พี่กำลังพูดถึงโอกาสอะไร? ฉันพอจะเข้าใจคร่าว ๆ ว่า มีผู้ชายที่ทรงพลังมากกำลังตามล่าพี่อยู่ใช่ไหม และเขามีวิญญาณหยินอยู่ในมือมากมายด้วยสินะ?”
ฉินเย่ไม่ตอบ ความคิดบางอย่างผ่านเข้ามาหัว เหมือนมีอะไรบางอย่างที่คล้ายจะจับสัมผัสได้แล้ว แต่เหมือนจะขาดไปอย่างหนึ่ง
ในทางตรงกันข้าม…. เป็นไปไม่ได้ที่เชาโยวเต๋า จะปล่อยทุกซอกทุกมุมของเมืองชิงซีให้หลุดรอดไปได้! แต่การจะทำอย่างนั้น เขาต้องใช้วิญญาณหยินมากแค่ไหนกัน?
และหากเขาระดมวิญญาณหยินทั้งหมดเพื่อสิ่งนี้ … จะมีวิญญาณหยินอีกกี่ดวงที่อยู่เฝ้ารังของอีกฝ่าย?
“ถ้า … ถ้าข้าสามารถเลื่อนตำแหน่งนักล่าวิญญาณได้ในตอนนี้ …” นิ้วชี้ของเขาหยุดกะทันหัน นัยน์ตาเปล่งประกาย
ภายในอันตรายมักจะมีโชคตามมาเสมอ ช่วงเวลาที่เชาโยวเต๋าระดมพลังวิญญาณหยินทั้งหมดก็เป็นช่วงเวลาที่การป้องกันของเขาจะอ่อนแอที่สุด! อีกฝ่ายเคยประมือกับฉินเย่มาก่อน ย่อมรู้ว่าเขาไม่มีทางเผชิญกับเขาซึ่งหน้าแน่!
แต่นั่นเป็นฉินเย่ในระดับยมเทพ
แต่…ถ้าเป็นนักล่าวิญญาณฉินเย่ล่ะ?
ฉินเย่กำหมัดแน่น เขากลับมาที่ประเด็นสำคัญของปัญหา เขาต้องการแต้มกุศลอีก 180 แต้ม เพื่อที่จะได้รับตำแหน่งนักล่าวิญญาณ เขาต้องใช้เวลาประมาณครึ่งปีจึงจะสามารถรวบรวมแต้มทั้งหมดนี้ได้
“ไม่ …” ขณะที่เขาจ้องเพดานดวงตาเบิกกว้างเมื่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะหยิบลูกบอลผนึกออกมาอย่างรวดเร็วและตะโกนใส่ “นี้ท่านคิดเรื่องนี้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม!”
ไม่มีการตอบสนอง
“เลิกแกล้งตายได้แล้ว!” ฉินเย่เก็บลูกบอลผนึกกลับไป เขาพึมพำเสียงต่ำ“ใช่ … ข้าต้องการเวลาอีกครึ่งปี แต่คืนนี้… วิญญาณหยินทั้งเมืองกำลังเคลื่อนไหวเต็มกำลัง! และต้องเป็นจำนวนที่ไม่น้อยแน่!”
“ตราบใดที่ข้าสามารถดึงความกล้าออกมาได้ … คืนนี้ … ถือเป็นโอกาสสำคัญที่สุดในการเลื่อนขั้นเป็นระดับนักล่าวิญญาณ!”
“ แค่ก ๆ … ” อาร์ทิสก็พูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา“ ในที่สุดเจ้ามีท่าทางที่ยมทูตควรจะมีได้แล้วสินะ ไม่ว่ายังไง …แค่ก ๆ… เจ้าคิดว่าเชาโยวเต๋าจะไม่ได้คิดถึงความเป็นไปได้ที่เจ้าจะใช้คืนนี้เป็นโอกาสสำคัญในการเก็บเกี่ยวแต้มกุศลสำหรับการเลื่อนตำแหน่งของเจ้าหรือ?”
ฉินเย่หยุดชั่วขณะและเริ่มขมวดคิ้วอีกครั้ง
ถูกต้อง …เชาโยวเต๋าก็เป็นทูตนรกเช่นกัน นอกจากนี้เขายังไตร่ตรองถึงความเป็นไปได้ที่การระดมวิญญาณหยินทั้งหมดของเขา ในครั้งนี้เหมือนเปิดทางให้เขาเก็บแต้มกุศลเลยไม่ใช่หรือ?
“น้องใหม่ … ” เสียงของอาร์ทิสฟังดูอ่อนลง “เจ้า… ใหม่เกินไปสำหรับงานจริงๆ … เจ้ายังใหม่มากจนข้าไม่สามารถสอนอะไรเจ้าได้เลยหากไม่บอกตรง ๆ … ”
ฉินเย่ใบหน้าดำทะมึน งั้นเจ้าก็ช่วยเมตตาบอกข้าตรง ๆ สักครั้งไม่ได้หรือ
ข้ารู้ว่าข้ามือใหม่ งั้นเจ้าให้เวลาข้าปรับตัวหน่อยไม่ได้หรือ?
อาร์ทิสไม่ได้รู้ความในใจของฉินเย่ เธอพูดต่อว่า “ทำไมเชาโยวเต๋าจะคิดไม่ถึงน่ะหรือ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ…ทำไมเขาไม่กลัวว่าเจ้าจะเก็บแต้มกุศล? เพราะว่าเจ้ามีปัญหาใหญ่หนึ่งอย่าง…”
“แค่ก ๆ … และนั่นก็คือ … ถ้าเชาโยวเต๋ามีชิ้นส่วนตราจ้าวนรกอยู่ในความครอบครอง พวกเจ้าทั้งสองแท้จริงสื่อสารกันได้ตั้งนานแล้ว… แค่ก ๆ …เรื่องก็เป็นเช่นนี้… ”
“แต่… ทำไมเจ้ามองไม่เห็นเขา?”
“ทำไม … เขาถึงหาตัวของเจ้าผ่านจางเปากัวได้?”
ตูม!
เป็นเสียงระเบิดในหัวฉินเย่ ฉินเย่สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดขึ้น“ถ้าอย่างนั้น ของในหลุมนั้นไม่ใช่ชิ้นส่วนตราจ้าวนรกหรือ?”
“ไม่!” อาร์ทิสตอบ“ขุมทรัพย์แห่งนรกไม่ได้จำกัดอยู่แค่สามชิ้น …แค่กๆ… ยังมีสมบัติอื่น ๆ ปกติแล้วผู้ที่อยู่ระดับจ้าวนรกจะดูแลนรกเป็นเวลานาน ทำให้พวกมันน่ากลัวเช่นกัน … ”
“จากบทสนทนาก่อนหน้านี้ระหว่างเจ้ากับเชาโยวเต๋า ถ้าข้าเดาไม่ผิด … สมบัติในหลุมนั้นไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของตราจ้าวนรกเลย แต่เป็นสมบัติที่มีชื่อเสียง …แค่ก ๆ … บันทึกนรก!”
มันบันทึกบัญชีรายชื่อทั้งหมดของยมทูตรวมถึงอันดับชั้นและแต้มกุศล! ตราบเท่าที่พวกเขาได้รับแต้มกุศลตามจำนวนที่กำหนดและเขียนลงในบันทึก … พวกเขาจะได้รับการเลื่อนลำอันดับหนึ่งขั้น!”
“ เพราะฉะนั้น … แค่ก ๆ… ในสายตาของเขา เขาเป็นคนเดียวที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ไม่ว่าเจ้าจะสังหารวิญญาณอาฆาตมากแค่ไหนก็ตาม! ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงไม่สนอะไรและส่งวิญญาณหยินทั้งออกไปทั่วเมืองเพื่อหาตัวเจ้า มนุษย์มองไม่เห็นเขา … และนั่นหมายความว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่สามารถขวางทางเขาได้ เขาเชื่อมั่นว่าตำแหน่งของเขาในตอนนี้ปลอดภัยพอ ๆ กับภูเขาไท่ซาน…ใครจะรู้ นี่อาจจะเป็นโอกาสสำคัญที่เจ้าจะทำให้เขาเกิดหายนะ!”
บันทึกนรก!
ฉินเย่ดวงตาเป็นประกาย ราวเป็นมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ “อีกนัยหนึ่ง … เขาไม่เคยคิดว่าข้าเป็นยมทูตตัวจริงใช่หรือไม่”
“และในขณะนี้เขาก็คิดว่าข้าก็เหมือนกับเขา ผู้รอดชีวิตจากการล่มสลายครั้งใหญ่ของนรกโดยอาศัยการครอบครองสมบัติชิ้นส่วนของนรก กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขายังคงไม่รู้เรื่องที่ว่าข้าถือหลักฐานยืนยันตัวตนครั้งสุดท้ายในฐานะยมทูต ที่สามารถทำให้ข้าเลื่อนตำแหน่งโดยอัตโนมัติ!”
เสียงของอาร์ทิสแผ่วเบาราวกับเทียนในสายลมอีกครั้ง“ อย่าหลงเชื่อคำอวดอ้างของเขา … แค่ก ๆ … สิ่งที่เขามีมันเป็นเรื่องโกหก! ชื่อทั้งหมดที่เขียนไว้ในบันทึกนรก ถูกทำลายไปแล้วเมื่อ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้รับการตรัสรู้ ชื่อของยมเทพไม่ได้เขียนไว้ในบันทึกนรก เฉพาะผู้ที่อยู่ในระดับนักล่าวิญญาณขึ้นไปเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้รับการบันทึกชื่อ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือบันทึกนรกทั้งหมดตอนนี้ต้องว่างเปล่า เจ้าเท่านั้น … ที่มีสิทธิ์ใส่ชื่อลงในบันทึก”
“และเขา … เขาไม่ใช่ยมทูตแต่เป็นเพียงผีร้ายที่มีความทะเยอทะยาน!”
เป็นอย่างนั้นเอง!
ราวกับว่าประตูแห่งความสับสนในใจของฉินเย่ในที่สุดก็ถูกเปิดออก!
ในที่สุดเราก็เข้าใจ … มีทางออก … มีทางออกจากความบ้าคลั่งนี้จริง ๆ!
“ข้าเข้าใจแล้ว” ฉินเย่หลับตาและหายใจเข้าลึก ๆ “ โอกาส ความแข็งแกร่ง ถ้าเตรียมพร้อมแล้ว งั้นก็เหลือแค่ปัญหาสุดท้ายแล้ว”
“เวลา!”
“ ทันทีที่เขาเห็นข้า เขาจะเรียกวิญญาณให้กลับไปทั้งหมด … แม้ว่าข้าจะได้รับตำแหน่งนักล่าวิญญาณแล้ว แต่ข้าก็ไม่สามารถจัดการกับวิญญาณหยินเป็นพันหรือหมื่นตนได้ ดังนั้นข้าต้องการผู้ช่วยในการควบคุมพวกเขา ผู้ช่วยคนนี้ต้องแข็งแกร่งพอที่จะกดดันเขาและมีพลังแข็งแกร่งเพียงพอที่จะซื้อเวลาให้ข้าได้รับตำแหน่งนักล่าวิญญาณทัน คนที่ทำได้… ข้าคิดถึงเพียงคนคนเดียวเท่านั้น… “
หวังเฉิงห่าวไม่สามารถระงับความสงสัยได้อีกต่อไป เขากะพริบตาถามฉินเย่ “ใคร?”
ฉินเย่หลับตาและประกาศว่า“หน่วยสอบสวนพิเศษ!”
“อะไรนะ?!” หวังเฉิงห่าวแทบจะกระโดดออกจากที่นั่ง “ พี่ฉิน! บะ…บ้าไปแล้วเหรอ! ลืมไปแล้วเหรอถ้าพวกเขาเห็นเรา พวกเขาได้จับพวกเราทดลองแน่!”
“ผิดแล้ว” ฉินเย่มองตัวอักษรบนโต๊ะด้วยสายตาซับซ้อน เขาอาจจะเปลี่ยนใจเมื่อค้นพบเป้าหมายใหม่
มันเหมือนสะพานไม้ที่ผุพังและอันตราย
แม้ว่ามันจะอันตราย แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่จะข้ามเรื่องเล่านี้ไปได้
“สัญญาณมาแล้ว” ฉินเย่ผ่อนลมหายใจของเขาและอธิบายสถานการณ์ “คืนนี้ทันทีที่เชาโยวเต๋าระดมกองกำลังของเขาเป็นจำนวนนับหมื่นหรือแสนวิญญาณหยินเพื่อที่จะกวาดล้างเมืองเป่าอัน … แผนกสืบสวนพิเศษต้องไม่อยู่เฉยแน่!”
“อย่าดูถูกแผนกสืบสวนพิเศษ ตั้งแต่แรกฉันคิดว่าฉันได้เห็นทุกสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้แล้ว แต่ยิ่งฉันเรียนรู้เกี่ยวกับพวกเขามากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งยอมรับความสามารถของพวกเขามากขึ้นเท่านั้น คืนนี้เราจะไม่ขอความช่วยเหลือจากพวกเขา แต่พวกเขาจะช่วยเราไม่ว่าเราจะขอหรือไม่ก็ตาม!”
“หยินและหยางเป็นพลังที่ต่อต้านกันโดยธรรมชาติ ตอนที่นรกยังอยู่ นรกจะเป็นตัวกลางที่ยึดเหนี่ยวพลังทั้งสองนี้ไว้ด้วยกัน แต่ตอนนี้ … ”ฉินเย่ยิ้ม“ฉันคิดว่าแม้แต่เชาโยวเต๋าก็ต้องคิดว่าจะใช้คืนนี้เป็นโอกาสในการวัดความสามารถของแผนกสืบสวนพิเศษ เขาคิดจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแน่!”
หวังเฉิงห่าวพูด “นายจะบอกว่าคืนนี้แผนกสืบสวนพิเศษและชายที่ชื่อว่าเชาโยวเต๋าจะเผชิญหน้ากันเหรอ? และด้วยเหตุนี้กรมสืบสวนพิเศษจึงเป็นพันธมิตรที่สำคัญของเราใช่มั้ย”
ฉินเย่พยักหน้า นี่เป็นครั้งแรก … เมืองเป่าอันกำลังจะเป็นพรมแดนแรกของการเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างกองกำลังใต้พิภพกับโลกมนุษย์
คืนนี้การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และผีอาจถูกฉีกออกจากกัน!
รัฐบาลจะทำยังไงต่อไปล่ะ?
ผลกระทบครั้งนี้ต้องร้ายแรงกว่าเหตุการณ์ก่อนหน้าในเมืองชิงซีมากนัก! ที่เมืองชิงซีถือได้ว่าเป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ แต่ที่เมืองเป่าอัน….คือผีที่ที่รอดชีวิตจากการล่มสลายของนรก และพวกมันคิดจะประกาศศักดาบนโลกมนุษย์ในคืนนี้!
ใครจะต้านทานพวกเขาได้?
ใครจะใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปได้?
หลังจากเหตุการณ์นี้ … ไม่สิ ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้น กำลังพลทั้งหมดของแผนกสืบสวนพิเศษในมณฑลอันฮุ่ยและเมืองอื่น ๆ โดยรอบจะแห่กันมาที่เมืองเป่าอัน น่ากลัวว่า…อาจมีผู้ตรวจสอบระดับยมทูตขาวดำอยู่รอบ ๆ เลยด้วยซ้ำ!
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานึกถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นภายหลัง
“ เชาโยวเต๋า … เจ้าทำตัวอวดดีเพียงเพราะแค่มนุษย์มองไม่เห็นเจ้า …” ฉินเย่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างและจ้องมองท้องฟ้าสีเทา เขาหัวเราะเยาะ“เอาล่ะ คืนนี้ข้าจะไปหาเพื่อมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้เจ้าเอง…”
“ของขวัญที่เจ้าจะไม่มีวันลืมตลอดกาล”