ฉันนี่แหละจ้าวนรก - ตอนที่ 57
ฉันนี่แหละจ้าวนรก [我要做阎罗] – บทที่ 57 การเปลี่ยนรูปของกระบี่ (1)
บทที่ 57 การเปลี่ยนรูปของกระบี่ (1)
ชายสวมแว่น ชายตัวสูง และชายหนุ่มผู้มีใบหน้าราวกับรูปแกะสลักเดินออกมาจากชั้นล่างของอาคารในเขตไล่ล่าที่ 1
เมื่อครู่นี้ พวกเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังมหาศาลที่ปะทุมาจากด้านบนของอาคาร โชคดีที่การระเบิดของพลังหยินนั้นถูกปกปิดด้วยเศษตราจ้าวนรก และไม่มีใครรับรู้ได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น สิ่งเดียวที่พวกเขาสัมผัสได้ก็คือแรงสั่นสะเทือนจากด้านบนสุดของตัวอาคาร ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
“จบแล้วเหรอ?” ชายสวมแว่นตาเงยหน้ามองไปด้านบนอย่างเหลือเชื่อ “ง่าย ๆ แบบนี้เนี่ยนะ?”
“ไม่มีทาง…นี่คือเขตไล่ล่าที่ 1 นะ ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ นี่คือเขตไล่ล่าเขตแรกที่ปรากฏขึ้นภายในเมืองเป่าอัน เมื่อ 15 ปีก่อน อาจารย์คนหนึ่งที่ชื่อจางซิงเยวี่ยถูกข่มขืนและถูกทำร้ายที่นี่ แต่ศพของเธอกลับหายไปหลังจากที่ถูกนำไปไว้ที่ห้องเก็บศพได้เพียงหนึ่งวัน และหลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวของฆาตกรถูกสังหารทั้งหมด และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ถูกจัดให้เป็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติระดับ E นี่….นี่เรากำลังพูดถึงวิญญาณอาฆาตที่มีอายุมากถึง 15 ปีอยู่นะ….”
หากอาร์ทิสอยู่ที่นี่ นางคงจะตบหน้าชายผู้นี้ด้วยคำพูดไปแล้ว เจ้าแน่ใจหรือว่าตัวเองเข้าใจความหมายของคำว่า ‘แก่’ จริง ๆ?
เพียงเพราะข้านิ่งเงียบมาตลอดไม่ได้หมายความว่าพวกผีชั้นต่ำที่อยู่ขั้นยมเทพจะมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นวิญญาณเก่าแก่ได้ ไม่เช่นนั้นข้ามิต้องเรียกตัวเองว่าวิญญาณโบราณเลยหรือ?
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของพวกเขาก็ดังขึ้น
“ผมเอง” เสียงจางเชิงไห่ดังออกมาจากปลายสาย “ตอนนี้พวกคุณอยู่ที่ไหน?”
“ที่ใต้อาคารของเขตไล่ล่าที่ 1 ครับ…”
“พวกเราพอจะรู้สถานการณ์คร่าว ๆ แล้ว คนที่เพิ่งมาถึงคือใคร? เขาได้ลงทะเบียนอยู่ในระบบของเราหรือเปล่า?”
“ไม่ครับ!” ทั้งสามเอ่ยตอบพร้อมกัน ก่อนจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้ทางปลายสายฟังอย่างละเอียด จางเชิงไห่พิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “นึกให้ดี ๆ เขามีลักษณะเด่นอะไรอีกหรือเปล่า?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายทั้งสามจึงมองหน้ากันและกัน จากนั้นจึงส่ายหน้าไปมา
ข้อเท็จจริงที่ว่าเขามาจากเนบิวลา M78 นี่นับหรือเปล่า?
“เดี๋ยวครับ!” ทันใดนั้นชายสวมแว่นก็พูดขึ้นอย่างรีบร้อน “พอดีผมเพิ่งนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ไม่แน่ใจนักว่ามันจะเป็นประโยชน์หรือเปล่า แต่เครื่องแบบลายพรางของเขาดูเหมือนจะไม่ใช่ชุดที่ถูกออกแบบมาโดยกองทัพครับ”
“มัน…ดูคล้ายกับของลอกเลียนแบบที่ขายตามท้องถนน”
ในอีกด้านหนึ่ง ริมฝีปากของจางเชิงไห่กระตุกเล็กน้อย เยี่ยม…เยี่ยมมาก…ตอนนี้เรามีใครก็ไม่รู้ที่สวมชุดลอกเลียนแบบเราและกำจัดพวกวิญญาณร้ายอยู่? นี่มันไม่รู้สึกเหมือนกับว่าอีกฝ่ายได้ขโมยความน่านับถือของเหล่าผู้ฝึกตนไปใช้หรอกหรือ? หากชายผู้นั้นน่าสงสารอย่างที่บอก ทำไมเขาถึงไม่รีบมาเข้าร่วมกองกำลังแห่งชาติกันล่ะ?
“จากการคาดคะเนของผม พวกคุณคงไม่สามารถไปยังเขตไล่ล่าถัดไปได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะมอบหมายงานอื่นให้พวกคุณแทน พวกคุณทั้งสามจะต้องไล่ตามผู้เชี่ยวชาญคนนี้ไป และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเมืองเป่าอันให้เขาฟังทันทีที่มีโอกาส พยายามให้ดีที่สุดที่จะดึงเขามาเข้าร่วมกับเรา เพราะผู้ที่สามารถปัดเป่าวิญญาณขั้นยมเทพที่อยู่ในเขตไล่ล่าที่ 1 ได้ในทันทีแบบนี้…จะต้องอยู่ไม่ไกลจากขั้นนักล่าวิญญาณแน่นอน!”
“ความสามารถของเขาคือสิ่งที่เมืองเป่าอันของเราต้องการมากที่สุดในตอนนี้!”
“รับทราบ!”
ฉินเย่ไม่ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นลับหลังของตนเลยสักนิด ในเวลานี้ เขาเพียงมุ่งหน้าไปยังเขตไล่ล่าต่อไปเท่านั้น
เมื่อใดก็ตามที่เขาเคลื่อนที่ผ่านย่านที่อยู่อาศัยที่มีประชากรหนาแน่น เขามักจะเห็นดวงวิญญาณหยินจำนวนนับไม่ถ้วนและโคมไฟสีแดงของพวกมันกำลังล่องลอยผ่านที่พักอาศัยพวกนั้น ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องอย่างหวาดกลัวดังขึ้น และมันก็ถี่มากขึ้น เพราะจำนวนดวงวิญญาณหยินที่ได้มารวมตัวกันในแต่ละละแวกนั้นมีจำนวนไม่ต่ำกว่าพันตน! การรวมตัวที่มากขนาดนี้มันเพียงพอที่จะสร้างแม่น้ำและทะเลได้เลยด้วยซ้ำ คืนนี้ถือว่าได้ว่าเป็นค่ำคืนแห่งวิญญาณนับพันดวงจริง ๆ!
อย่างไรก็ตาม ฉินเย่ไม่ได้จัดการดวงวิญญาณหยินพวกนี้แต่อย่างใด เขามีสิ่งที่สำคัญกว่านี้มากจะต้องทำ เด็กหนุ่มเคลื่อนตัวผ่านถนนและซอกซอยอย่างรวดเร็ว และไม่นานเขาก็พบว่ายิ่งตนเข้าใกล้ย่านใจกลางเมืองเท่าไหร่ กองกำลังต่อต้านวิญญาณ หยินก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น
กองกำลังของฝ่ายตรงข้ามนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากกองทัพที่เข้มงวดของแดนมนุษย์นั่นเอง
ภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง ดวงวิญญาณหยินจำนวนมากต่างเคลื่อนไหวราวกับแม่น้ำที่เชี่ยวกราก ในขณะที่กองกำลังของกองทัพยังคงยืนนิ่งราวกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่ขัดขวางการไหลของกระแสน้ำ พวกเขายืนหยัดอย่างมั่นคงในรูปแบบที่ได้วางมา ประจำที่ของตนราวกับโล่อันงดงามที่ไม่สามารถทำลายได้!
กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ กองทัพ และตำรวจต่างร่วมมือกันในการสร้างเขื่อนเหล็กขึ้นมา เบื้องหน้าของพวกเขา ดวงวิญญาณหยินจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมกับโคมไฟสีแดงของพวกมันห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มพลังหยินที่มืดมน ดูคล้ายกับภูเขาขนาดใหญ่ที่สูงเมตร! ขณะที่พวกมันค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาข้างหน้า พวกมันดูคล้ายกับคลื่นยักษ์ที่พร้อมจะปะทะเข้ากับกองกำลังทั้งหมดในทุกวินาที
ไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมาสักคำ
แม้แต่เสียงขยับตัวก็ไม่มีให้ได้ยิน
พวกเขาเป็นเหมือนกับมังกรที่หลับไหล นิ่งสงบและเลือดเย็น ค่ายกลมนุษย์กว่าร้อยคนยืนนิ่งเงียบและมั่นคงราวกับฐานที่มั่นที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
ถึงอย่างนั้น ทหารทั้งหมดนี้ไม่ได้ถืออาวุธปืน กลับกัน พวกเขากลับถือหน้าไม้ขนาดพอดีมือและยังคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นราวกับเป็นรูปปั้นเหล็ก ลูกศรที่ถูกติดตั้งอยู่บนด้ามเปล่งประกายเย็นวาบในความมืด
กองทัพวิญญาณพร้อมกับคลื่นพลังหยินขนาดมหึมา ทำให้ชุดคลุมลายพรางของคนทั้งหมดกระพืออย่างรุนแรง ฉินเย่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าบริเวณหน้าผากของทหารบางนายมีเม็ดเหงื่อเย็นผุดพรายขึ้นมา ในขณะที่คนอื่น ๆ ต่างตัวสั่นเล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ไม่มีใครถอยหลังเลยสักคน
ในตอนแรกเหล่าทหารทั้งหมดไม่รู้เลยว่ามีสิ่งใดที่กำลังเข้ามาใกล้พวกตนในกลุ่มพลังหยินที่หนาแน่นนั้นคืออะไร ทว่าเมื่อคลื่นพลังหยินดังกล่าวอยู่ห่างออกไปเพียง 50 เมตร ในที่สุดพวกเขาก็ได้เห็นด้วยตาของตัวเองว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายในความมืดนั้นคืออะไร
มันกำลังใกล้เข้ามา
ใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ…40 เมตร 30 เมตร…จากนั้นทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามอยู่ห่างออกไปแค่ 20 เมตร เสียงตะโกนก็ดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่ตึงเครียด “ยิง!” หน้าไม้ถูกยิงออกไป ลูกศรนับร้อยดอกถูกยิงไปในอากาศ
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ! ในเวลานั้น ดวงวิญญาณหยินจำนวนมากที่อยู่ด้านหน้าของขบวนถูกกำจัดไป เมื่อกลุ่มวิญญาณด้านหลังเคลื่อนที่มาด้านหน้า เปลวไฟลุกโชนขึ้นมาในอากาศ เผาไหม้วิญญาณหยินจำนวนมากเป็นเถ้าถ่านท่ามกลางเสียงกรีดร้องที่น่าสังเวช
และก็เป็นวินาทีนั้นเองที่ฉินเย่สังเกตเห็นเชือกทองแดงโบราณที่ทอดยาวจากปลายจรดปลาย ครอบคลุมระยะความยาวประมาณสิบเมตรอยู่ด้านหน้าของค่ายกลทหาร นอกจากนี้ตัวเชือกยังถูกหุ้มอย่างแน่นหนาด้วยยันต์ทุกประเภท
“พลังปราณไม่ได้แข็งแกร่งนัก และมันก็คงจะไม่ได้ส่งผลกับวิญญาณอาฆาตที่อยู่ระดับเดียวกันกับยมทูตขั้นยมเทพ แต่มันก็ถือว่ามากเกินพอแล้วถ้าใช้กับพวกชั้นต่ำแบบนั้น” เมื่อได้รับรู้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความสามารถของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ เด็กหนุ่มจึงละสายตาและเดินทางผ่านบริเวณนี้ไปอย่างระมัดระวัง เขตไล่ล่าต่อไปอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่ 500 เมตรเท่านั้น
ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็มาถึงหน้าโรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง
บริเวณโดยรอบล้วนอยู่ในความยุ่งเหยิง เศษซากสิ่งก่อสร้างเกลื่อนกลาดไปทั่ว และไม่มีสถานที่พักอาศัยอยู่โดยรอบเลยแม้แต่แห่งเดียว
ฉินเย่ก้าวเท้าเข้าไปในตัวอาคารอย่างใจกล้า หลังจากตรวจสอบแล้วว่าไม่มีใครอยู่โดยรอบ เขาก็ปลดปล่อยพลังงาน หยินที่ปกปิดเอาไว้ออกมาทันที ท่ามกลางคลื่นพลังที่แปรปรวน ฉินเย่เปลี่ยนกลับไปอยู่ในร่างยมทูตอีกครั้ง
เครื่องแบบยมทูต และกระบี่ปีศาจ เปลวไฟนรกสีเขียวลาดยาวเป็นทางเมื่อตัวกระบี่ถูกลากไปกับพื้น ด้วยเสียงกระทบที่ไม่ระมัดระวัง ฉินเย่มุ่งหน้าไปที่ชั้นที่สามของอาคารอย่างรวดเร็ว
“กรรร!!” ทันทีที่เขาเดินขึ้นมาถึงชั้น 2 ภูตผีจำนวนมากที่สวมชุดพยาบาลต่างร้องขู่ขณะที่พุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มอย่างบ้าคลั่ง ฉินเย่กระชับมือที่จับกระบี่ปีศาจของตนแน่และแกว่งกระบี่ไปด้านหลังอย่างแรง เกิดเป็นองศาโค้งที่สวยงามของเปลวไฟสีเขียวหยกสาดซัดไปทั่วห้องที่มืดสนิท ในเสี้ยววินาทีต่อมา เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นพร้อมกัน ดวงวิญญาณหยินมากกว่า 20 ตนสลายกลายเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินไปในทันที
“พอดีข้าเป็นพวกที่เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยน่ะ”
ครืดดดดด….กระบี่ปีศาจถูกลากไปตามพื้นจนเกิดเป็นเสียงลากยาวขณะที่ฉินเย่เอ่ยออกมาเสียงดัง “ทำไมพวกเราไม่มาคุยกันดูล่ะ? มันจะพอมีความเป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะยอมแพ้และออกมาให้ข้าจัดการด้วยตัวเอง? นี่จะช่วยข้าประหยัดแรงไปได้มากเลยทีเดียว”
“กรร….” เสียงคำรามขู่ที่เจือปนไปด้วยความโกรธดังขึ้น ให้ได้ยินมาจากชั้นที่สาม “ประชา…ธิปไตย?”
“กรร… เจ้า… ต้อง… ตาย!!”
ฉินเย่เดินขึ้นไปบนชั้น 3 อย่างช้า ๆ “สิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่ข้าหมายถึงก็คือเจ้าคือประชาชน และข้าคือประธานาธิบดี นอกจากนี้เจ้าจะมาบอกว่าข้าไม่ได้ถามเจ้าดี ๆ ไม่ได้นะ….”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ กระบี่ปีศาจก็เปล่งประกายเจิดจ้า และแสงสว่างของใบมีดก็ส่องไปยังทางเข้าบนชั้นสาม
ตู้ม! ทันทีที่แสงสว่างจากใบมีดจางหายไป ทุกอย่างที่อยู่โดยรอบพลันสั่นไหวเล็กน้อย และคลื่นพลังหยินก็เริ่มพัดอย่างรุนแรง
ร่างที่บิดเบี้ยวก้าวออกมาจากใจกลางการระเบิดนั้น ร่างตรงหน้าสวมเสื้อคลุมแล็บสีขาวและมีเครื่องตรวจฟังของแพทย์ ร่างทั้งร่างเต็มไปด้วยจ้ำเลือดมากมาย และมันก็ส่งเสียงร้องดังลั่นขณะที่พุ่งตัวเข้าหาฉินเย่!
———————————–
เวลา 20.00 น.ในชั้นใต้ดินของศาลากลาง จางเชิงไห่มองดูจอภาพมอนิเตอร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ภาพที่ฉายในมอนิเตอร์เผยให้เห็นว่า ณ บริเวณใจกลางเมืองได้เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเหลืองอย่างช้า ๆ ในขณะที่พื้นที่โดยรอบที่ห่างออกไปจากรัศมีสามเมตรล้วนเป็นสีแดงเข้มทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม พื้นที่สีเหลืองใจกลางเมืองจะต้องขยายตัวๆออกไปเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน!
“ไม่…มันยังเร็วไม่พอ!” แววตาของเขาหม่นลง การต่อสู้ครั้งนี้มีความสำคัญมากกว่าแค่ได้ชัยชนะและพ่ายแพ้ เขาไม่ต้องการที่จะเห็นจุดสีแดงปรากฏขึ้นบนแผนที่ของเมืองเป่าอันอีกต่อไปในเช้าวันพรุ่งนี้ หรืออย่างน้อยที่สุด เขาก็ต้องการให้ทั่วทั้งแผนที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีเหลืองเท่านั้น และถ้าเป็นไปได้ ใจกลางเมืองก็ควรจะเป็นสีเขียวเลยด้วยซ้ำ!
“หากถึงเวลา 21.00 น. แล้วสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้น เตรียมพร้อมสำหรับการใช้งานอาวุธปัดเป่าวิญญาณทันที” เขาเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
เหล่าเจ้าหน้าที่ที่อยู่โดยรอบทั้งหมดต่างพยักหน้ารับทราบอย่างพร้อมเพรียงกัน ทว่าทันใดนั้นเอง ชายในชุดเครื่องแบบสีขาวที่กำลังนั่งจ้องหน้าจอมอนิเตอร์ตรงหน้าของตนอยู่ก็ต้องขยี้ตาอย่างเหลือเชื่อ จากนั้นก็ลุกพรวดขึ้นอย่างกะทันหัน
“ท่านครับ!!!” น้ำเสียงที่เอ่ยออกมานั้นสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด “เขตที่ 7 ครับ….เขตที่ 7!”
เขตที่ 7 มันทำไม?
ทุกคน รวมทั้งจางเชิงไห่ขมวดคิ้วเข้าหากันและมองไปที่คนคนนั้นทันที
ใบหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความตื่นเต้น “ที่เขตที่ 7….เขตไล่ล่าที่ 7 ถูกทำลายแล้วครับ!!”
“ว่าไงนะ?!” จางเชิงไห่ถามด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ เขารีบเดินไปที่หน้าจอมอนิเตอร์จอนั้นเพื่อดูด้วยตัวเองทันที
ภาพบนหน้าจอแสดงให้เห็นโรงพยาบาลจิตเวชร้างแห่งหนึ่ง ในเวลานี้ จุดสีแดงเข้มขนาดใหญ่ได้หายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง!
“ใคร…ใครเป็นคนทำ?” เขาลุกขึ้นยืนและมองไปรอบ ๆ “ใครเป็นคนขอกำลังเสริม?”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างมึนงง แต่ไม่มีใครเอ่ยตอบคำถามนี้เลยสักคนเดียว
ทันใดนั้น ดวงตาของจางเชิงไห่เป็นประกายขึ้นราวกับนึกได้ถึงบางอย่าง นิ้วมือของเขารัวลงบนแป้นพิมพ์ทันที และแผนที่บริเวณนั้นพลันปรากฏขึ้นมาให้เห็น
“เขตไล่ล่าที่ 7…อยู่ห่างจากเขตไล่ล่าที่ 1 ออกไปอีกสี่กิโลเมตร และผู้ฝึกตนขั้นยมเทพก็จะต้องใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีในการเดินทางไปที่นั่น แต่….นี่! ค่ายกลทหารที่สองกำลังปะทะกับดวงวิญญาณหยินนับ 700 ตนที่ถนนฟางเฉา….หากเขาไม่ต้องการที่จะถูกพบเห็น เขาก็ต้องอ้อมซึ่งนั่นจะยิ่งทำให้ช้าเข้าไปอีก แต่ในเมื่อเขาไม่คิดที่จะเข้าร่วมกับกองกำลังของทางรัฐบาล เขาก็ต้องไม่อยากถูกพบเห็นแน่! ศาสตราจารย์หวัง! ผมขอดูภาพจากกล้องบริเวณถนนซุนเฉิงไปจนถึงถนนฟางเฉาที!”
แม่ชีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “คุณกำลังจะบอกว่านี่เป็นฝีมือของผู้ฝึกตนคนเดียวกับที่ทลายเขตไล่ล่าที่ 1 อย่างนั้นหรือ?”
“มันจะต้องเป็นเขาแน่ครับ!” จางเชิงไห่ทุบโต๊ะและเอ่ยออกมาอย่างตื่นเต้น “เขาใช้เวลาปัดเป่าวิญญาณอาฆาตไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ!! คุณแม่ซุยเยวีย คุณคิดว่าตัวเองจะสามารถทำได้อย่างนั้นหรือครับ? แล้วคุณล่ะ ผู้เฒ่าเม่ย?”
นักบวชหญิงส่ายศีรษะ “แม้แต่ฉันเองก็ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ชายผู้นี้…หรือว่าเขาพยายามที่จะบรรลุการฝึกตนโดยการจัดการกองกำลังวิญญาณในคืนนี้?”
“เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว ข้อเท็จจริงที่ว่าเขาสามารถปัดเป่าวิญญาณอาฆาตได้ภายในทันทีนั่นย่อมหมายความว่าเขาน่าจะอยู่ห่างจากขั้นนักล่าวิญญาณอีกไม่มาก”
จางเชิงไห่สูดหายใจเข้าจนเต็มปอด “มีความเป็นไปได้สูงมากครับ…กระจายคำสั่งไปให้ทุกหน่วยที่เผชิญหน้ากับอะ … อุลตร้าแมนจะต้องหลีกทางให้กับเขาทันทีโดยปราศจากคำถามใด ๆ ทั้งสิ้น!”
มันไม่ใช่เพราะว่าเขาไม่สามารถเข้าไปรวมในเขตไล่ล่าพวกนี้ไม่ได้
แต่…มันเป็นเหมือนกับจำใจมากกว่า
เชาโยวเต๋าไม่เคยฆ่าประชาชนธรรมดามาก่อนจางเชิงไห่เชื่อว่ามันจะต้องมีตัวตนขั้นนักล่าวิญญาณที่คอยสั่งการภูตผีเหล่านี้อยู่อย่างแน่นอน แต่ตราบใดที่เขายังไม่สามารถระบุตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ เขาก็ต้องกลืนความภาคภูมิใจของตัวเองและยอมรับโดยปริยายเกี่ยวกับการมีอยู่ของเขตไล่ล่าพวกนี้ ซึ่งกัดกินชีวิตของผู้คนไปแทบจะทุกอาทิตย์
เขาต้องทำแม้กระทั่งปกปิดการมีตัวตนของเชาโยวเต๋า!
เขาทั้งกลัวและกังวลเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น หากเขาทำลายเขตไล่ล่าพวกนี้ที่อยู่ภายใต้คำสั่งการของอีกฝ่าย ถ้าเชาโยวเต๋าเกิดบ้าขึ้นมาและสร้างความหายนะให้กับพลเมืองเป็นการตอบโต้ เขาจะต้องทำอย่างไร?
ไม่มีใครสามารถแบกรับความรับผิดชอบของความหายนะที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนั้นได้ และมันก็ไม่มีใครที่จะกล้าคิดถึงเรื่องนั้นด้วยซ้ำ
ในฐานะของเจ้าหน้าที่พิเศษของหน่วยสอบสวนพิเศษแห่งชาติ การเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดพวกนี้แทบจะเหมือนกับการตบหน้าเขาฉาดใหญ่! แต่ตัวเลือกเพียงอย่างเดียวของเขาในตอนนี้ก็คืออดทนต่อความทรมานที่ไร้ที่สิ้นสุดนี้จนกว่าจะหาทางออกได้
และคืนนี้ ในที่สุดเขาก็เจอทางออก แต่เขาก็ยังไม่กล้าที่จะลงมือทำอะไรทั้งสิ้น
เพราะอย่างไรเสีย ฝ่ายตรงข้ามก็ยังไม่ได้ลงมืออะไร ดังนั้นเขาจึงต้องเตรียมตัวและพร้อมที่จะเคลื่อนไหวทันทีที่คู่ต่อสู้เริ่มลงมือ
แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีใครบางคนเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว…
อุลตร้าแมนทีก้าได้เดินทางมาจากเนบิวล่า M78 อันห่างไกลกำลังก้าวเข้าสู่แนวหน้าของสนามรบแล้ว!