ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 109: นำร่อง
บทที่ 109: นำร่อง
และนั่นคือทั้งหมดที่มี
มันจบลงตั้งแต่ตรงนั้น
อ้อ! ยังไม่หมด! มันยังมีต่ออีกบรรทัดหนึ่ง เนื้อหาอื่น ๆ สามารถอ่านต่อได้ที่ช่องแสดงความคิดเห็น
ฉินเย่ย่นคิ้วเข้าหากันและเลื่อนลง ไม่ว่ามันจะแปลกประหลาดหรือพิลึกมาแค่ไหน แต่โพสต์ที่ได้รับการปักหมุดให้อยู่อันดับต้น ๆ ย่อมต้องได้รับความสนใจจากผู้ชมกลุ่มหนึ่ง และก็เป็นจริงอย่างที่คาด จำนวนความคิดเห็นด้านล่างมีอยู่มากกว่าร้อยความคิดเห็น
“นี่มันโพสต์บ้าบออะไรกัน? ”
“เจ้าของโพสต์บ้าไปแล้วเหรอ? ทำไมโพสต์แบบนี้ถึงได้รับการปักหมุดกัน?”
“มีข้อความอยู่แค่สี่บรรทัดเอง ฮ่า ๆๆๆๆ นี่เป็นโพสต์ปักหมุดที่สั้นที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลย”
“แมวของนายมันเกี่ยวอะไรกับฉันล่ะ?”
“เอาเวลาไปทำงานทำการไป…แล้วก็ไปติดตาม qq438125732 ซะ เผื่อจะได้ไปใช้ชีวิตที่แตกต่างจากที่เป็นอยู่ตอนนี้”
“แมวคือสัตว์วิเศษ” อาร์ทิสพึมพำ “นี่คือสิ่งที่ทางตะวันออกและตะวันตกเห็นพ้องต้องกัน ในฝั่งจีนตะวันตก แมวนับเป็นเหมือนกระบอกเสียงของเทพแห่งความตาย และมันสามารถมองเห็นยมบาลทุกตนได้ ส่วนทางฝั่งตะวันออก มีความเชื่อกันว่าแมวมีเก้าชีวิต และแมวทุกตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวดำ สามารถมองเห็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้”
ฉินเย่ยังคงเงียบ เขาไถหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองต่อไป และเปิดดูกระทู้บันเทิงของเมืองไดซานอย่างรวดเร็ว แม้ว่าแหล่งข่าวและกลุ่มผู้ชมที่เป็นเป้าหมายจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่โพสต์ที่ถูกปักหมุดอยู่ด้านบนสุดก็ยังคงเป็นโพสต์เดียวกัน “มีใครเห็นแมวของผมบ้าง?”
ความคิดเห็นทั้งหมดก็คล้าย ๆ กับความคิดเห็นในกระทู้ท้องถิ่นเมืองของไดซาน “พระเจ้า ทำไมโพสต์นี้ปรากฏอยู่ทุกที่เลย?! นี้พวกเขาได้รับเงินจากเจ้าของโพสต์นี้มากเท่าไหร่กันเนี่ย?”
“นี่พิสูจน์แล้วว่าแมวนั้นดีกว่ามนุษย์ การหายไปของแมวเพียงตัวเดียวกลับถูกปักหมุดไว้บนสุด แต่การหายไปของคนคนหนึ่งกลับถูกปฏิบัติราวกับน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร”
“เจ้าของโพสต์ คุณช่วยเล่าเรื่องราวให้เราฟังที”
“มีใครลองตอบโพสต์นี้ดูหรือยัง?”
ไม่มีความคิดเห็นเชิงสร้างสรรค์เลยแม้แต่ความคิดเห็นเดียว
นิ้วมือของเขาจ่ออยู่ที่ปุ่มตอบกลับอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจเข้าดูฟอรัมอื่น ๆ
หลังจากผ่านไปหลายนาที ในที่สุดเขาก็พบความจริงบางอย่าง
ฟอรัมทุกฟอรัมที่เชื่อมโยงกับเมืองไดซานไม่ทางใดก็ทางหนึ่งต่างมีข้อความนี้ปักหมุดเอาไว้ด้านบนสุดทั้งสิ้น!
“เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?” อาร์ทิสมึนงงเล็กน้อย
“นี่คือเหตุผลที่ข้าบอกว่าระหว่างเรายังมีช่องว่างระหว่างวัยอยู่” นิ้วของฉินเย่ยังคงจ่ออยู่ที่ปุ่มตอบกลับ “ท่านสังเกตเห็นไหมว่าของเจ้าโพสต์ไม่ตอบข้อความเลย?”
อาร์ทิส: “???”
ฉินเย่ยังคงอธิบายต่อไป “จำนวนเข้าชมสูงถึงหลายแสน แต่กลับไม่มีการตอบกลับเลยแม้แต่ข้อความเดียว การปักหมุดแบบนี้ย่อมได้รับการสนใจจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก แต่ทั้งหมดที่มีกลับเป็นเพียงความคิดเห็น ไม่มีใครตอบกลับเลย”
“….ที่จริง เจ้าไม่เห็นต้องพูดจาอ้อมค้อมก็ได้นะ”
ฉินเย่ที่ได้ยินเช่นนั้นกระแอมเสียงแห้ง “ขอโทษที…มันอดไม่ได้น่ะ สิ่งที่ข้าพยายามจะบอกก็คือปุ่มตอบกลับอาจมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็พิมพ์ “1” ลงไปและแตะไปที่ปุ่มตอบกลับ
ทันใดนั้น หน้าจอโทรศัพท์ของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับมีแถวข้อความสีดำปรากฏขึ้น
“คำเตือน: หน้าต่อไปนี้อาจมีข้อมูลที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต การเข้าถึงหมายความว่าคุณตกลงที่จะยอมแบกรับความเสี่ยงทั้งหมดต่อชีวิตของตัวเอง ใช่/ไม่ใช่”
ฉินเย่คลิกลงไปบนปุ่มใช่ทันที
สัญลักษณ์กำลังโหลดปรากฏขึ้นกลางหน้าจอ หลังจากผ่านไปสามวินาที ข้อความก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง “กรุณากรอกหมายเลขลงทะเบียนของคุณ”
“ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนได้รับหมายเลขลงทะเบียนสำหรับการทำงาน ข้ามั่นใจ 100% เลยว่าโพสต์นี้จะต้องเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติแน่นอน และข้าก็เกรงว่ามันอาจจะเป็นปัญหาเล็กน้อยด้วย” ฉินเย่เลียริมฝีปากของตัวเอง เขาเริ่มรู้สึกตื่นเต้นเกี่ยวกับแมวที่ถูกพูดถึงในโพสต์นี้เสียแล้ว
วิญญาณกลายพันธุ์ชนิดใดกันที่ได้รับความสนใจจากทั้งผู้อำนวยการสวี่อันกั๋วและรองผู้อำนวยการหลี่เทา?
นอกจากนี้ นี่ยังดูเหมือนจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ยังไม่ได้รับแก้ไขของเมืองไดซานอีกด้วย ไม่ใช่ว่านี่หมายความว่าแม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นนักล่าวิญญาณหรือแม้แต่ขั้นยมทูตขาวดำก็ไม่สามารถจัดการปัญหานี้ได้หรอกหรือ?
“S9527” ฉินเย่พึมพำและพิมพ์เลขรหัสทะเบียนของตนลงไป สัญลักษณ์กำลังโหลดก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง หลังจากผ่านไปหนึ่งวินาที หน้าเว็บที่ดูธรรมดา ๆ ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับข้อความสีแดงบริเวณมุมบนด้านขวา
“ข้อมูลต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เหนือธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายในเมืองไดซาน
ขอบเขต: เล็กมาก
ผลกระทบ: น้อยมาก
เขตไล่ล่า: ซ่อนเร้น
ความอันตราย: สูงมาก”
“การชันสูตรศพเผยให้เห็นว่ามีรอยกัดมากมายอยู่บนร่างของศพ เหยื่อบางรายถูกพบว่าร่างกายถูกแยกเป็นส่วน ๆ จนถึงตอนนี้ เจ้าหน้าที่ขั้นยมเทพจำนวนเจ็ดคนได้เข้าไปในเขตไล่ล่า แต่กลับไม่มีใครสักคนที่สามารถออกมาได้โดยยังมีชีวิต เจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณสี่คนกลับมาโดยไม่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จ หน่วยสอบสวนพิเศษจึงได้ประเมินระดับความอันตรายของวิญญาณด้านในว่าไม่เกินกว่าขั้นยมเทพ ด้วยเหตุนี้เขตไล่ล่าดังกล่าวจึงถูกประเมินให้เป็นเขตไล่ล่าระดับ C”
เขาไล่ดูเนื้อหาทั้งหมดและพบข้อมูลที่ถูกซ่อนไว้ในโพสต์ทันที
“ในเวลาเที่ยงตรงของทุกวัน ผมจะรอคุณอยู่ที่ร้านกาแฟหมายเลข 4 โต๊ะเบอร์ 4”
มันเป็นข้อความเพียงบรรทัดเดียว และมีการแสดงความคิดเห็นเพียงแค่สิบความคิดเห็นด้านล่างเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความคิดเห็นทั้งหมดนั้นให้ข้อมูลและความสร้างสรรค์มากกว่าโพสต์อื่น ๆ ในฟอรัมเป็นอย่างมาก
“จงระวังตัว สหายฝึกตนทุกท่าน โปรดระวังตัวให้ดี เขตไล่ล่าแห่งนี้แปลกประหลาดอย่างน่าเหลือเชื่อ ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในช่วงทะลวงคอขวดสู่ขั้นนักล่าวิญญาณ แต่ผมยังไม่ได้รับข่าวคราวจากเขาอีกเลยตั้งแต่ที่เขาเข้าไปในเขตไล่ล่านี้”
“สหายทุกท่าน ไม่นับเจ้าหน้าที่ขั้นยมเทพ ผมได้ยินมาว่าผู้ตรวจการเจียงที่อยู่ขั้นนักล่าวิญญาณได้เข้าไปสำรวจเขตไล่ล่านี้ด้วยตัวเองเช่นกัน แต่เขาก็กลับมาพร้อมกับร่างที่เต็มไปด้วยรอยกัดและรอยข่วน หากไม่ใช่เพราะข้อเท็จจริงที่ว่าวิญญาณขั้นยมเทพตนนั้นไม่สามารถเจาะการป้องกันของเจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณได้ ผมค่อนข้างมั่นใจเลยว่าแม้แต่ผู้ตรวจการเจียงเองก็คงตายในเขตไล่ล่านั้นเหมือนกัน และเพราะเหตุนี้ เขตไล่ล่าดังกล่าวถึงถูกจัดให้เป็นเขตไล่ล่าขั้นยมเทพ มันน่าจะเป็นเขตที่แปลกกว่าเขตไล่ล่าอื่น ๆ”
เด็กหนุ่มไม่ได้ใช้เวลาอ่านความคิดเห็นทั้งหมดนานนัก ทว่าก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมา เสียงของอาร์ทิสก็ดังขึ้น “น่าสนใจ”
“อะไร?”
“เจ้าไม่สังเกตหรือ?” อาร์ทิสหัวเราะเบาๆ “ภูตผีที่เป็นเจ้าของเขตไล่ล่าแห่งนี้…มีกายเนื้อ”
“ภูตผีที่เจ้าเคยเผชิญมาก่อนหน้านี้ทั้งหมดไม่มีกายเนื้อเลยสักตน แม้แต่เทพประจำตระกูลที่เจ้าเคยเจอก็เป็นเพียงร่างมายาเท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงจุดนี้นั้นหมายความว่าการมีอยู่ของวิญญาณไม่สามารถทลายช่องว่างระหว่างภาพมายากับของร่างที่แท้จริงได้แน่นอน แต่เขตไล่ล่านี้กลับต่างออกไป ข้อเท็จจริงที่ว่าภูตผีที่เป็นเจ้าของเขตไล่ล่าแห่งนี้สามารถสร้างรอยบนร่างกายของเหล่าผู้ฝึกตนได้หมายความว่ามันจะต้องมีกายเนื้ออย่างไม่ต้องสงสัย”
ฉินเย่หลี่ตาลง “มีกายเนื้อ…แต่กลับสามารถหลบซ่อนตัวได้โดยไม่ถูกพบเจอเนี่ยนะ? นี่มันอะไรกัน?”
“มันมีความเป็นไปได้หลายอย่าง แต่มันก็ช่างน่าบังเอิญที่สิ่งนี้ค่อนข้างเกี่ยวข้องกับการบรรยายที่เจ้าจะต้องบรรยายเมื่อเริ่มภาคการศึกษา สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นไปยากมาก แม้แต่เมื่อตอนที่ยมโลกแห่งเดิมยังคงอยู่ก็ตาม น่าเสียดายที่เราไม่สามารถระบุถึงสาเหตุของเรื่องนี้ได้จากข้อมูลเพียงแค่นี้ ข้าควรพูดต่อหรือไม่?”
“แน่นอนสิ” ฉินเย่ปิดหน้าจอโทรศัพท์ของตน “ข้าจะเป็นเทพแห่งการเรียนรู้หากท่านไม่บอกแล้วข้าจะรู้ได้อย่างไร!”
“…เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าชอบทำอวดเก่งกับผู้ที่อ่อนแอกว่ากันนะ… แต่เอาเถอะข้าแค่ยังไม่ชินกับท่าทีกระตือรือร้นของเจ้าไปหน่อย”
………………………………………..
ในขณะเดียวกัน แถบข้อความแจ้งเตือนก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอโทรศัพท์ของโจวเซียนหลง
“รหัส S9527 ได้เข้าถึงภารกิจของเขตไล่ล่าระดับ C ‘เขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว มันยังคงมีความเสี่ยงสำหรับเจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณอยู่ ค่าพลังหยินที่อ่านได้ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในตลอดสามปีที่ผ่านมา ต้องการคุ้มกันเขาหรือไม่?”
“เร็วขนาดนี้เลยหรือ?” โจวเซียนหลงเลิกคิ้วขึ้น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเลือกคลิกไปที่ปุ่ม ‘ไม่’
ไม่มีความจำเป็น
แม้ว่าเขาจะเกลียดความไร้วินัยและนิสัยที่ไร้กฎระเบียบของ รหัส S9527 แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าอีกฝ่ายคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอาจารย์ทั้งหมดในรุ่นนี้
เขาวางโทรศัพท์ลง ครั้งนี้ข้อความที่ถูกส่งออกไปไม่ได้เป็นข้อความเสียง กลับกัน เขาเพียงพิมพ์ข้อความส่งไปยังกลุ่มของเหล่าอาจารย์ของสำนักฝึกตนแห่งแรก
“รหัส S9527 ได้รับภารกิจ ‘เขตไล่ล่าที่สาบสูญ’ อย่างเป็นทางการ ความยาก: ระดับ C รับเพิ่ม 5 คะแนนการสอน คะแนนการสอนสะสม: 10 คะแนน อันดับ 1”
แม้เป็นเพียงข้อความสั้น ๆ แต่กลับสามารถดึงความสนใจจากสายตานับร้อยคู่ได้ในคราวเดียว
“ให้ตายเถอะ…” หลินฮั่นจ้องมองโทรศัพท์ของตัวเองพร้อมกับกัดฟันแน่น “นี่เขาทำสำเร็จเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?!”
“แทนที่จะมามัวแต่อิจฉาคนอื่น ทำไมไม่ลองนึกถึงสิ่งที่เราพลาดไป และทำไมเราถึงยังหาด่านเพิ่มคะแนนไม่เจอไม่ดีกว่าหรือไง?” ซู่เฟิงปรับระดับแว่นตาของตัวเอง “อีกฝ่ายคือ S9527 นะ….นายไม่ควรดีใจกับอันดับ 1 ที่ตัวเองได้มาเพียงเพราะเขายอมปล่อยให้นายได้มาตอนการแข่งขันก่อนหน้าด้วยซ้ำ”
ณ ที่แห่งหนึ่ง ในอาคารของโรงงานร้าง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งคุยกับผู้รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งอยู่ ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็สั่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาหยิบมันขึ้นมาดูข้อความที่แจ้งเตือนนั้น แล้วก็ต้องขมวดคิ้วแน่น “เขาอีกแล้ว….”
“นี่ฉันควรยอมรับหรือเปล่าว่าเขาคือผู้ที่คู่ควรกับการถูกเรียกว่าอาจารย์ที่เก่งที่สุดของรุ่นนี้ ผู้ที่สามารถทำลายเขตไล่ล่าทั้งเก้าแห่งได้ภายในคืนเดียว?” บนถนนที่ดูเก่าแก่ ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่ออกและจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเองก่อนที่จะเก็บมันกลับเข้าไปในกระเป๋าอีกครั้ง
บัดนี้ทุกคนรับรู้อย่างชัดเจนแล้วว่าการแข่งขันคัดเลือกได้เริ่มขึ้นแล้ว
ถึงแม้ว่าฉินเย่จะได้นำไปก่อนชั่วคราว แต่อาจารย์คนอื่น ๆ เองก็ไม่น้อยหน้า หากการแข่งขันยังไม่จบก็อย่าเพิ่งนับศพทหาร
“เวลา… ยังอยู่ฝั่งเดียวกับเรา…”
ฉินเย่เองก็เห็นข้อความนี้เช่นกัน แต่ปฏิกิริยาของเขานั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง อันที่จริง เขารู้สึกอยากจะกระอักเลือดออกมาใส่หน้าของโจวเซียนหลงแทบจะทันที!
นี่นายรู้สึกไม่พอใจที่เห็นฉันทำได้ดีขนาดนี้เลยหรือไง?
แถมยังต้องส่งข้อความนี้ให้ทุกคนรู้ด้วย?!
เขาอุตส่าห์จะไม่ทำตัวโดดเด่น จะได้ขโมย…แค่ก ๆ จะได้ทำภารกิจง่าย ๆ แต่อีกฝ่ายกลับประกาศออกไปอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เนี่ยนะ?!
นายเป็นเจ้าหน้าที่ขั้นตุลาการนรกนะ! ช่วยลดความเกลียดชังที่มีต่อข้าและปล่อยให้ข้าแข่งขันกับเจ้าหน้าที่ขั้นนักล่าวิญญาณคนอื่น ๆ แบบปกติไม่ได้หรือยังไง? จะไปบอกเหล่าสาวกของตัวเองแบบนั้นด้วย?! แล้วนายไม่มีอะไรทำจนมาจับตาข้าแบบนี้เพื่ออะไรกัน?!
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อน จากนั้นจึงเรียกแท็กซี่และมุ่งหน้าตรงไปที่ร้านกาแฟหมายเลข 4
ขณะที่รถขับเคลื่อนไปตามถนน เขาก็ยิ่งรู้สึกคุ้นเคยภาพที่เห็นและเสียงที่ได้ยินมากขึ้น ฉินเย่จึงถามคนขับรถทันที “ขอโทษนะครับ ร้านกาแฟหมายเลข 4 นี่…ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยหรือครับ?”
ใช่แล้ว พวกเขากำลังมุ่งไปยังทิศที่ตั้งของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ย
“เธอไม่รู้หรือ?” ราวกับคนขับแท็กซี่ทุกคนจะมีอัธยาศัยที่ดี คนขับรถหัวเราะเบา ๆ “เมื่อประมาณสิบปีที่แล้ว สถานที่แห่งนี้เคยถูกเรียกว่าถนนเทียนซีที่ 4 มันเคยเป็นย่านชุมชนที่ถูกสร้างขึ้นรอบ ๆ ตลาดอาหารทะเลที่เจริญรุ่งเรืองซึ่งตั้งอยู่ในอาคารเก่า จากนั้นมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยก็สร้างวิทยาเขตหลักขึ้นที่นี่และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม พวกเขายังคงเหลืออาคารเก่าที่อยู่บริเวณทางเหนือของมหาวิทยาลัยไว้ดังเดิม ตอนเดินผ่านไปผ่านมาคุณไม่ได้กลิ่นคาวของปลาบ้างเลยหรือ?”
ฉินเย่ส่ายหน้า เขาไม่สังเกตเรื่องเล็กน้อยพวกนี้เลยสักนิด
“จากนั้นเมื่อปีที่แล้ว พวกเขาก็เริ่มงานรื้อถอนในพื้นที่ในที่สุด แต่จู่ ๆ พวกเขาก็หยุดงานลงอย่างกะทันหัน และคำสั่งหยุดงานก็ยังมีผลไปเป็นเวลาเกือบจะหนึ่งปี บุหรี่สักหน่อยไหม?” คนขับรถยื่นซองบุหรี่ให้ ซึ่งฉินเย่ก็รีบปฏิเสธอย่างสุภาพทันที คนขับรถจุดบุหรี่และพ่นควันออกมา เขาก็เอ่ยต่อว่า “เธอ…คงจะเพิ่งมาเรียนที่นี่สินะ? เด็กปี 1 เหรอ?”
“คุณรู้ได้ยังไงครับ?” ฉินเย่ถามกลับ
อีกฝ่ายเพียงสูดลมหายใจเข้าช้า ๆ และเอ่ยเสียงเอื่อย ๆ “พี่ชายคนนี้จะบอกอะไรให้นะ ถ้าหากไม่มีธุระสำคัญอะไรที่นั่น เธอควรพยายามหลีกเลี่ยงการไปที่นั่นให้ได้มากที่สุด ที่นั่น…มีบางอย่างไม่ปกติ”
จากนั้น ราวกับนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมาได้ เขากัดก้นบุหรี่เบา ๆ “พวกเราที่เป็นคนท้องถิ่นของที่นี่ต่างรู้ดีว่าไม่มีแท็กซี่คันไหนที่จะขับเข้าไปในนั้นหลังจากหกโมงเย็น ในทุก ๆ หนึ่งเดือนหรือสองเดือน ที่นั่นจะมีคนหายตัวไปอย่างลึกลับ! อันที่จริง ตลาดอาหารทะเลที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมหาวิทยาลัยอันฮุ่ยเองก็ได้ถูกขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน ‘สามความลึกลับที่ยิ่งใหญ่’ ไปแล้วเช่นกัน เอาล่ะ…ถึงที่หมายของเธอแล้ว”
บทสนทนาสั้น ๆ ของพวกเขาจบลงทันทีที่รถจอด ฉินเย่จ่ายค่าโดยสารและลงจากรถ จากนั้นจึงกวาดสายตาไปรอบ ๆ ย่านที่อยู่อาศัยตรงหน้า
มันคือย่านที่อยู่อาศัยเก่า ๆ ถูกรายล้อมไปด้วยร่องรอยของความเจริญรุ่งเรืองที่ผู้คนในละแวกนั้นเคยจับจ่ายใช้สอย เสาสำหรับสายโทรศัพท์ถูกสร้างขึ้นไปทั่วทุกมุมของถนนจนทำให้ดูเหมือนกับหลุมฝังศพที่ผุพัง สายไฟห้อยลงมาจนทำให้รู้สึกอึดอัด ป้ายโฆษณาจำนวนมากถูกแปะไว้ตามเสาโทรศัพท์จนเต็มไปหมด ถังขยะเต็มไปด้วยกลิ่นขยะเน่าเหม็นทำลายประสาทสัมผัสรับกลิ่นคนเป็นอย่างมาก ทุกอย่างต่างชี้ชัดถึงข้อเท็จจริงที่ว่าย่านที่อยู่อาศัยดังกล่าวได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุดของมันมาแล้ว และในตอนนี้ก็คือช่วงตกต่ำที่สุดของมัน
ที่หัวมุมของถนนมีป้ายเปื้อนฝุ่นที่ยื่นออกมาอย่างเฉียง ๆ ข้อความจำนวนหนึ่งถูกเขียนด้วยตัวอักษรหวัด ๆ ว่า ร้านกาแฟหมายเลข 4