ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 186 การต่อสู้ของเหล่ายมทูต (3)
บทที่ 186: การต่อสู้ของเหล่ายมทูต (3)
สายฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักหน่วง
ตึก ตึก ตึก ตึก…เสียงฝีเท้าดังก้องไปทั่ว รถทหารและรถตำรวจจำนวนนับไม่ถ้วนพร้อมกับไซเรนที่ดังลั่นขับผ่านพวกเขาไปยังทางออกต่าง ๆ ของเมืองเป่าอัน
ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยเท้าบนพื้นเลยสักนิด บางทีนี่อาจจะเป็นร่องรอยที่เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวของยมทูตนอกอาณาเขตที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถตรวจจับได้ในตอนนี้
“เอาอย่างไรต่อ?” เสียงของผู้หญิงกระซิบเป็นภาษาอังกฤษดังขึ้นเบา ๆ
“เอาอย่างไรต่อ? นี่เจ้ากำลังหลอกถามว่าข้ายังซ่อนกลเม็ดอื่น ๆ ไว้อีกหรือไม่อย่างนั้นใช่ไหม?” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งตอบกลับขณะที่หัวเราะอย่างโหดเหี้ยม “ไม่ต้องห่วง สหายของข้าหลายตนต้องตายไปเพราะเรื่องนี้ หากข้าไม่สามารถนำวิญญาณของกู่ชิงกลับไปด้วยได้ ข้าจะตอบคำถามของท่านเฮดีสได้อย่างไร?”
บรรยากาศเปลี่ยนเป็นตึงเครียดทันที จนคล้ายจะได้ยินเสียงปะทะกันของอาวุธดังขึ้นเบา ๆ ในอากาศ
การสงบศึกชั่วคราวจบลงแล้ว และมันก็เป็นเวลาของการแบ่งผลประโยชน์สักที
“ตรงนี้?” เสียงหนึ่งถามขึ้นอย่างดูถูกเป็นภาษาอังกฤษ “ตรงนี้เลยหรือ? ภายใต้สายตาของขั้นตุลาการนรกนี่น่ะหรือ?”
ไม่มีใครตอบ
ครู่ต่อมา เสียงทุ้มดังขึ้นอย่างเย็นชา “ไปกันเถอะ…เราจะพูดเรื่องนี้กันหลังจากเราข้ามเทือกเขาฉินหลิงไปแล้ว”
“จุดนับพบของเจ้าอยู่ทางทิศตะวันตกหรือไม่?”
“มีพวกขนนกทมิฬมีอยู่ทั้งทางตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ ไม่ว่าเราจะเข้าแคชเมียร์ผ่านทางตะวันตกเฉียงใต้ หรือเข้าคีร์กีซ [1] ผ่านทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทั้งสองทางก็เป็นทางที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน”
เสียงหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นว่า “เจ้าสามารถเข้าสู่ยมโลกได้ทั้งสิ้นสามทางในแคชเมียร์ แม่น้ำแดง ยอดเขาเฉียวเกอหลี่ เทือกเขาคาราโครัม จะมีพวกขนนกทมิฬเฝ้าอยู่ทั้งสามจุด และทางเข้านี้ก็จะนำพวกเจ้าไปสู่สหพันธ์ยมโลก เส้นทางทางตะวันตกเฉียงเหนือจะยาวกว่าเส้นทางอื่นเล็กน้อย แต่ที่นั่นจะมีทั้งสิ้นห้าทางเข้า ทางเข้าหนึ่งคือ ‘ยอดแห่งชัยชนะ’ ทางเทือกเทียนซาน หรือจะเข้าทางพื้นที่พิพาททั้งสี่แห่ง ด่านพรมแดนกุนจีราบ เปี๋ยเอ๋อเคอเหนี่ยวและอื่น ๆ”
“ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ” เสียงที่ดูมีอายุเอ่ยขึ้น “เจ้าจำไม่ได้หรือ…เราได้ใช้เส้นทางตะวันตกเฉียงใต้ในการเข้ามาในจีน และที่นั่น…ก็มีสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวพอ ๆ กับตัวเฮดีสเองอาศัยอยู่…ความเข้มข้นของพลังหยินที่นั่น แทบจะสามารถเรียกว่ารังของวิญญาณนับหมื่นตนเลยก็ว่าได้ มันคือ…ราชาผีแห่งพิภพเดรัจฉาน พวกนั้นสังหารสหายร่วมรบของข้าไปกว่า 20 ตน แม้แต่ผู้บังคับบัญชาของข้าก็ไม่กล้าสู้กับมัน ไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าการเดินทางครั้งนี้มันจะยุ่งยากขนาดนี้ไปอย่างไรกัน?!”
“การมีอยู่ของเขาเป็นส่วนหนึ่งของยมโลกหรือไม่?”
“ไม่น่าจะใช่ เขาอยู่ขั้นภูตผีคลุ้มคลั่งเป็นอย่างน้อย วิญญาณที่น่าสะพรึงกลัวมากกว่าผู้ฝึกตนขั้นตุลาการนรก! ข้าไม่อยากเสี่ยงในการเผชิญหน้ามันอีกเป็นครั้งที่สอง….ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ!”
“ข้าไม่เห็นมัจจุราชแห่งยมโลกอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเลยสักตน ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันโดยนักเชิดหุ่นศพแล้ว มันน่าจะปลอดภัย”
เสียงผู้หญิงคนแรกเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้น…เราจะกลับโดยผ่านทางยอดเขาเทียนซานปลดปล่อยนกกางเขนและบอกให้พวกเขามารับเรา ส่วนตอนนี้….เราต้องออกไปจากมณฑลอันฮุ่ยโดยเร็วที่สุด…ให้ตายเถอะ เหตุใดจีนถึงกว้างใหญ่เช่นนี้?! ด้วยความเร็วของเรา มันต้องใช้เวลาอย่างต่ำหนึ่งวันกว่าจะถึงขอบมณฑล”
ไม่มีใครเอ่ยอะไรอีกหลังจากนั้น ครู่ต่อมา รอยเท้าบนพื้นได้เปลี่ยนไปยังที่รอบทะเลทรายที่หุบเขาอันฮั่ว สถานที่ซึ่งอยู่บริเวณชายขอบของเมืองเป่าอัน
ทันทีที่รอยเท้าเปลี่ยนทิศทางไป ร่างทั้งห้าก็กระจายตัวไปโดยรอบ เข้าสิ่งร่างของเหล่านกตัวน้อยที่บินขึ้นไปบนฟ้าและบินไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน
เมื่อพวกเขาข้ามหุบเขาอันฮั่วไป พวกเขาก็จะถึงที่ขอบต่อระหว่างเมืองเป่าอันและเมืองอื่น ๆ
ทั้งหมดบินผ่านกลุ่มรถตำรวจ กองกำลังทหาร และแม้แต่ด่านตรวจ แต่กลับไม่มีใครสามารถตรวจจับถึงการมีอยู่ของพวกเขาได้เลยสักนิด ขณะที่เหล่าเจ้าหน้าที่ของเมืองเป่าอันกำลังยุ่งอยู่กับการพลิกทั้งเมืองเพื่อตามหาพวกเขา ยมทูตนอกอาณาเขตทั้งห้าตนก็เข้าสู่เขตของหุบเขาอันฮั่วเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังเคลื่อนไหวภายใต้ผลของศาสตร์แห่งความมืด ฝีเท้าสัมผัสกับพื้นอย่างรวดเร็ว และพวกเขาก็มุ่งหน้าด้วยความเร็วที่เหนือมนุษย์ [2] จากนั้น เมื่อเวลา 06.30 น. ฝีเท้าของพวกเขาก็หยุดลงในที่สุด
ท้องฟ้ายังคงถูกปกคลุมด้วยความมืดเนื่องจากฝนตกลงมาตลอดทั้งคืน และพื้นดินบนหุบเขาก็เต็มไปด้วยโคลน สายฝนยังคงกระทบกับชั้นใบที่อ่อนนุ่มของใบไม้ที่ตกลงบนพื้น และอากาศโดยรอบก็ให้ความรู้สึกที่เหนื่อยล้าเต็มทน
ขณะที่พวกเขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ดูเหมือนจะไม่รู้จบ เงาราง ๆ ของวิหารโบราณก็ปรากฏขึ้นห่างไกลออกไป
“เราพักกันก่อนดีหรือไม่?” เสียงหนึ่งดังขึ้นเบา ๆ “พวกเรายังอยู่ในเส้นตรวจจับตัวตนเหนือธรรมชาติของจีน การใช้ย่ำตะวันนั้นยังไม่สามารถใช้ได้ในตอนนี้”
“ดีเหมือนกัน” อีกเสียงหนึ่งเอ่ยเรียบ ๆ “คืนนี้…มันนานเกินไปแล้ว”
ความเร็วของพวกเขาลดลง และเสียงเหยียบใบไม้ก็ดังขึ้นเบา ๆ จากนั้น เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้กับวิหารโบราณ รอบตัวของพวกเขาก็พลันสว่างขึ้น
เหล่ายมทูตนออกอาณาเขตหยิบอาวุธของตนออกมาและบรรยากาศโดยรอบก็กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง เสียงทั้งห้าเอ่ยขึ้นอย่างหวาดระแวง “นั่นใคร?!” “ออกมาเดี๋ยวนี้!” “ใครอยู่ตรงนั้น?!”
ไร้ซึ่งเสียงตอบรับ
เสียงของพวกเขาดังก้องไปทั่วหุบเขาลึกและถูกกลบลงด้วยเสียงของสายฝนที่ตกกระหน่ำ
ความมืด ความหดหู่ และความหวาดกลัวเริ่มแพร่ไปทั่วจิตใจ ทันใดนั้นเอง เสียงระฆังก็ดังมาจากวิหารร้าง
เต้ง….
ในเขตหุบเขาที่รกร้างและมืดสนิท พร้อมกับเสียงฝนห่าใหญ่ แม้แต่ยมทูตอย่างพวกเขาก็รู้สึกขนลุกชันขึ้นทันที
“นี่มันบ้าอะ–…” หนึ่งในยมทูตทั้งหมดเอ่ยขึ้น ทว่าก่อนที่เขาจะพูดจบ เสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นแทรก “ดูนั่น…นี่มัน…ยมทูต! ยมทูต!!”
ต้นไม้บริเวณหุบเขาอันฮั่วสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมกับเสียงระฆังที่ดังก้อง ราวกับว่าเทพแห่งความตายได้มาเยือนวิหารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากผ่านไปสักพักพวกเขาก็เผยร่างจริงของตัวเองออกมา!
หนึ่ง ยมทูตญี่ปุ่นที่สวมหมวกไม้ไผ่ทรงกรวย หนึ่ง ยมทูตหัวหมาป่า หนึ่ง ยมทูตหญิงครึ่งคนครึ่งแมงมุมที่ถือตะเกียงอยู่ในมือ หนึ่ง ยมทูตสวมหน้ากากที่คลุมร่างด้วยเสื้อคลุมสีดำ และตนสุดท้ายคือยมทูตถือเคียว เป็นตนเดียวกันกับที่โจมตีฉินเย่เมื่อคืนก่อน
สิ่งเดียวที่ทำให้ยมทูตยอมเผยร่างจริงของตนอกมาได้ก็คือยมทูตอีกตนหนึ่ง
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร?!” ยมทูตญี่ปุ่นกำดาบคาตานะในมือของตนแน่นขณะที่พลังหยินพุ่งออกมาจากเสื้อคลุมของเขา ส่งผลให้มันกระพืออย่างรุนแรง ยมทูตตนอื่นๆเองก็จับอาวุธในมือของตนแน่นขณะที่จ้องไปยังทางเข้าของวิหาร
ยังคงไร้เสียงตอบ
ยมทูตทั้งห้าไม่ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย มันรู้สึกเหมือนกับพวกเขาเป็นเพียงกระต่ายน้อยที่ถูกสะกดรอยตามโดยอสูรนักล่าขนาดใหญ่ หัวใจของยมทูตทั้งห้าเต้นรัว และพวกเขาก็มองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง แต่ทันทีที่ทำเช่นนั้นรูม่านตาของพวกเขาก็หดตัวอย่างตกตะลึง
สะ…ศีรษะ…ศีรษะของยมทูต…ศีรษะของยมทูตจำนวนนับไม่ถ้วน!
ทางที่นำไปสู่วิหารถูกเรียงรายไปด้วยต้นไม้จำนวนมาก แต่ ‘โคมไฟ’ ที่ห้อยลงมาจากต้นไม้พวกนี้…แท้จริงแล้วคือศีรษะของเหล่ายมทูต!
หรือหากจะพูดให้ถูกก็คือ…นี่คือศีรษะของยมทูตนอกอาณาเขต!
ผมสีทอง สีแดง และอีกมากมาย สีผมเพียงสีเดียวที่ไม่มีก็คือสีดำ!
บางตนหน้าสวมหน้ากาก บางตนเผยให้เห็นส่วนที่เป็นกะโหลกอย่างน่ากลัว ในขณะที่มีบางตนมัดผมยกสูงเป็นทรงซามูไร…ความหลากหลายของศีรษะทั้งหมดนั้นไม่มีที่สิ้นสุด! มันคือทะเลแห่งโคมไฟศีรษะ!
สิ่งเดียวที่ศีรษะทั้งหมดมีเหมือนกันก็คือปากของพวกเขาอ้าออกกว้าง
และแสงสว่างโดยรอบก็มาจากเทียนที่ยื่นออกมาจากปากของพวกเขา เทียนดังกล่าวลุกโชนอย่างต่อเนื่องด้วยไฟนรกที่สุกใส ส่งผลให้ส่วนนี้ของหุบเขาดูเหมือนกับส่วนหนึ่งของขุมนรกแห่งการลงทัณฑ์ทั้ง 18 ขุมไม่มีผิด!!
“!!…” ยมทูตครึ่งคนครึ่งแมงมุมอ้าปากค้างอย่างหวาดกลัว ขนของนางลุกชันขณะที่เอ่ยด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “จะ เจ้า…เจ้าเป็นใคร…”
“พวกเจ้าชอบหรือไม่?” ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยตอบในที่สุด แต่คำตอบของอีกฝ่ายกลับทำให้ยมทูตนอกอาณาเขตทั้งห้าต้องเบียดตัวเข้าชิดกันมากกว่าเดิม ริมฝีปากของพวกเขาสั่นเทา ดวงตาเบิกกว้าง หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงพร้อมกับลมหายใจที่ขาดห้วง
ทั้งหมดนี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว…
“เจ้านี่เอง…” ยมทูตหัวหมาป่าคำรามออกมาด้วยเสียงแหบพร่า “เจ้าคือผู้ที่วาดอาณาเขตเวทที่สำนักฝึกตนแห่งแรก…ใช่หรือไม่?”
ฟึ่บ!
ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ การโจมตีอย่างเป็นธรรมดาก็ลอยมาตามอากาศ ตามมาด้วยเสียงอู้อี้เบาๆ ในเสี้ยววินาทีต่อมา ยมทูตทั้งห้าตนก็ต้องอ้าปากร้องเสียงดัง!
“เวรเอ๊ย!!” “นรกช่วย! นี่มันบ้าอะไรกัน?!!” “เป็นไปได้อย่างไร…”
ยมทูตทั้งห้าตนที่ยืนเบียดอยู่ด้วยกันกระจายตัวออกจากกันทันที ความรู้สึกหวาดกลัวแผ่ซ่านไปทั่วร่างขณะที่อ้าปากค้างมองสิ่งที่เกิดขึ้น
ศีรษะของยมทูตหัวหมาป่าหายไปแล้ว!
มันกระเด็นออกไป
การโจมตีที่ดูเหมือนจะธรรมดาเมื่อครู่ตัดหัวเขาจนกระเด็นออกไป!
ตุลาการนรก…
ยมทูตที่เหลืออยู่ตัวสั่นเทา และหัวใจของพวกเขาก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าตนจะถูกขวางเอาไว้ได้หลังจากที่หนีมาได้ไกลขนาดนี้!
ฟึ่บ…ร่างของยมทูตหัวหมาป่ากลายเป็นเพียงกลุ่มก้อนพลังหยินที่สลายตัวไปอย่างรวดเร็ว เสียงพูดที่คมชัดทว่าไม่สามารถแยกได้ว่าชายหรือหญิงดังขึ้นอีกครั้ง “ข้าถาม เหตุใดจึงไม่ตอบ?”
“พวกเจ้าชอบการตกแต่งพวกนี้หรือไม่?”
ไม่มีใครเอ่ยตอบ
ทว่าในเสี้ยววินาทีต่อมา ทั้งหมดก็รีบตอบด้วยเสียงที่สั่นเทา “ชะ ชะ ชอบ!”
“นั่นสิ…” อีกฝ่ายถอนหายใจออกมา “ข้าก็ชอบมันเช่นกัน”
“เมื่อพูดถึงการฆ่าคน ข้าอาจไม่สามารถเทียบกับโจวเซียนหลงได้ แต่ถ้าพูดถึงการกำจัดวิญญาณ ตาแก่นั่นสิบคนก็ไม่สามารถเทียบข้าได้”
เสียงที่เอ่ยออกมานั้นราวกับสายฝนในฤดูใบไม้ร่วง ทว่ากลับหนาวลึกเข้าไปถึงกระดูก
เสียงฝีเท้าที่ไม่เร่งรีบนั้นแสดงให้เห็นถึงความไม่แยแสดังก้องอยู่ในหัวใจอยู่ยมทูตนอกอาณาเขตที่เหลืออยู่ เชื่องช้าทว่าทำให้สติของพวกเขาลดลงเรื่อย ๆ
แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้สนใจพวกเขาเลยสักนิด และยังเอ่ยต่อ “พวกนี้…คือยมทูตนอกอาณาเขตที่ข้าเคยสังหารมา ในตอนนั้น พวกมันทุกตนดูสิ้นหวังไม่ต่างอะไรกับสัตว์ที่อยู่ในโรงฆ่าสัตว์ แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา พวกเจ้าเองก็พัฒนาขึ้นไม่น้อย…”
“ผู้ที่กระทำผิดจะต้องชดใช้ด้วยชีวิต พวกเจ้า…ลืมกฎข้อนี้ไปแล้วหรือ?”
“วิ่ง!!!” ความกลัวของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นจนเสียสติ และยมทูตนอกอาณาเขตทั้งสี่ก็วิ่งกระจายตัวไปคนละทิศคนละทาง บ้าคลั่งและสิ้นหวัง พวกเขาต้องหนีเพื่อเอาชีวิตรอด ไม่มีใครสนใจวิญญาณของกู่ชิงอีกต่อไป
“หึหึ…” เสียงหัวเราะเบา ๆ ดังขึ้นให้ได้ยิน จากนั้นใบไม้ที่อยู่บนพื้นและหยาดฝนในหุบเขาลอยย้อนกลับขึ้นเป็นบนอากาศราวกับว่าดินแดนทั้งหมดไม่ได้อยู่ภายใต้กฎแห่งแรงโน้มถ่วงอีกต่อไป! ยมทูตนอกอาณาเขตที่เหลือรอดและได้เห็นภาพที่เกิดขึ้นต่างจมลงสู่หุบเหวของความสิ้นหวังทันที และก่อนที่พวกเขาจะตอบสนองได้ทันเวลา กระแสพลังสีดำสนิทก็พุ่งออกมาจากวิหารโบราณ แบ่งออกเป็นสี่สายและตรงเข้ารัดข้อเท้าของยมทูตทั้งสี่เอาไว้ จากนั้นก็ค่อย ๆ ลากกลับมาที่ทางเข้าของวิหาร แม้ว่าพวกเขาจะพยายามขัดขืนและกรีดร้องออกมาก็ตาม!
“อ๊ากกกกก!!!” พวกเขากรีดร้องออกมาสุดเสียง พลังหยินของพวกเขาไหลเวียนอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่มีผู้ใดสามารถหลุดจากการจับกุมของกระแสพลังสีดำไปได้ ตุบ ตุบ ตุบ ตุบ! ยมทูตทั้งสี่ถูกลากเข้าไปในวิหารพร้อมกับเสียงครางอู้อี้เบา ๆ พวกเขารีบลุกยืนขึ้นและหยิบอาวุธของตนออกมาขณะที่สัญชาตญาณการป้องกันตัวเริ่มทำงานทันที
และมันก็เป็นตอนนั้นเองที่พวกเขาค้นพบว่า กระแสพลังสีดำเมื่อครู่นี้แท้จริงแล้วคือกลุ่มผมสี่กลุ่ม
วิหารโบราณแห่งนี้ใหญ่มาก
พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในนี้สูงห้าเมตร แต่มันกลับแตกเป็นเสี่ยง ๆ ส่วนเศียรและไหล่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอย มีเพียงมือขวาเท่านั้นที่เหลืออยู่ ตะเกียงน้ำมันภายในวิหารที่ถูกปกคลุมไปด้วยใยแมงมุมและสว่างไสวด้วยเปลวไฟนรกที่ริบหรี่ ราวกับสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตที่เปราะบางของเหล่ายมทูต
ชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนมือขวาของพระพุทธรูปองค์นั้น
เป็นชายหนุ่มที่ค่อนข้างหน้าตาดี แต่…เขากลับนั่งไขว่ห้าง และใช้นิ้วโป้งและนิ้วกลางของตัวเองลูบไปตามแก้มของตนอย่างแผ่วเบา ในขณะที่มืออีกข้างหนึ่งวางอยู่บนเข่านิ่งๆด้วยท่าทางที่ดู…คล้ายกับผู้หญิง…อย่างอธิบายไม่ถูก
ใช่
คำนั้นแหละ
ริมฝีปากของยมทูตญี่ปุ่นแห้งผาก ภาพตรงหน้ามันแปลกเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่ม แต่คำที่เข้ามาในหัวของเขาตอนนี้คือ “ผู้หญิง” และยังเป็นผู้หญิงที่สง่างามมากเสียด้วย
“จะ เจ้า…เจ้าเป็นใครกัน?!” ยมทูตทั้งสี่ยืนอยู่คนละมุมของวิหาร มือของพวกเขาสั่นเทาขณะที่หันอาวุธไปที่เด็กหนุ่มตรงหน้าของตน ทว่าไม่มีใครกล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย
ฉินเย่หยิบพัดกระดาษออกมาและพัดเบา ๆ อย่างสง่างามพร้อมกับรอยยิ้มบางที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ข้าเป็นใคร?…ข้าก็คือยมทูตเฉกเช่นพวกเจ้า”
“หรือหากพวกเจ้าต้องการจะถามชื่อ….” เขากระโดดลงมาจากซากพระพุทธรูป หมุนตัวในอากาศก่อนจะถึงพื้นอย่างงดงาม จากนั้นจึงเดินเข้าไปให้ยมทูตนอกอาณาเขตตนที่อยู่ใกล้ที่สุด อีกฝ่ายไม่กล้าขยับตัวเลยแม้แต่น้อย เหงื่อแตกจนเปียกโชกไปทั้งตัว
ฉินเย่หยิบพัดกระดาษทรงกลมออกมาและใช้มันเชยคางของยมทูตตรงหน้าขึ้นพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “ข้าคือสุริยันแห่งทิศประจิมผู้ไร้พ่าย [3]”
[1] ชื่อเดิมของคีร์กีซสถาน
[2] ผู้แปลคาดว่าพวกเขาน่าจะเปลี่ยนกลับสู่สถานะยมทูตหลังจากที่ผ่านพวกด่านตรวจมาแล้ว
[3] แปลมาจาก 日出东方,唯我不败, ซึ่งอ้างอิงถึงนวนิยายจีนที่มีชื่อเรื่องเดียว โดยเมื่อแปลจากภาษาจีนจะมีความหมายว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และข้าคือผู้ที่ผู้ได้รับชัยชนะเพียงหนึ่งเดียว