ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 381 คิดบัญชี
บทที่ 381: คิดบัญชี
ฉินเย่ยังคงลอยคว้างอยู่กลางอากาศ หมวกของเขาไม่ใช่หมวกทรงสูงที่เขาใส่ในตอนเป็นขั้นยมทูตขาวดำอีกแล้ว กลับกัน ตอนนี้มันดูไม่ต่างอะไรกับหมวกของจงขุยที่ถูกสวมในละคร เขาสวมเสื้อคลุมราชสำนักสีดำที่มีรูปของตี้ทิงและเซี่ยจื้อปักอยู่บนแขนเสื้อข้างซ้ายและขวาตามลำดับ เขาถือสิ่งที่ดูคล้ายกับปากกาแห่งการพิพากษาอยู่ในมือข้างซ้าย และสิ่งที่คล้ายกับสมุดแห่งความเป็นตายอยู่ในมือข้างขวา ในขณะที่ภาพของวิญญาณร้ายถูกปราบปรามถูกปักไว้ที่กลางอกของเสื้อคลุม เข็มขัดที่คาดอยู่ถูกทำขึ้นจากหยกที่หรูหรา และรองเท้าของเขาก็เป็นสีดำสนิท ภาพลักษณ์โดยรวมของเขาดูงดงามกว่าขั้นยมทูตขาวดำเป็นอย่างมาก
“ข้าอยู่ขั้นตุลาการนรกแล้วอย่างนั้นหรือ?” เขายกมือขึ้นมาและมองดูปากกาและสมุดในมือของตัวเอง
เขาสัมผัสได้ว่าวัตถุหยินเหล่านี้เคยเป็นกระบี่ปีศาจและไม้ขกสังปั๊งที่เขาเคยใช้มาก่อน พวกมันเพียงแค่เปลี่ยนรูปร่างเท่านั้น และแน่นอนว่ามันมาพร้อมกับรูปแบบการใช้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ปากกาด้ามนี้…มีพลังมากกว่ากระบี่เสียอีก!
หากพูดกันตามความจริง มันมีพลังมากกว่าไม้ขกสังปั๊งที่เขาเคยใช้เสียด้วยซ้ำ!
เขาหยิบปากกาขึ้นมาและขีดเขียนมันกลางอากาศ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่น และอากาศตรงหน้าปากกาแห่งการพิพากษาก็ส่งระเบิดคลื่นเสียงออกไป ราวกับเขาเพิ่งปลดปล่อยเพลงดาบที่ทรงพลังที่สุดออกไป และผลของแรงกระแทกดังกล่าวก็ทำให้เส้นผมของอาร์ทิสปลิวไสวอย่างรุนแรง
“โว่ววว–…” เขาอ้าปากค้าง นี่คือพลังของขั้นตุลาการนรกอย่างนั้นหรือ? แสดงว่า…อาร์ทิสก็ปกปิดพลังที่แท้จริงของนางมาโดยตลอดเลยสินะ นางคงยังใช้พลังไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ
บางสิ่งบางอย่างบอกเขาว่าหากเขาปล่อยพลังออกไปทั้งหมด แม้แต่กำแพงหนาที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรก็จะต้องถูกทำลายจากการปล่อยพลังของเขาในตอนนี้!
อาร์ทิสหัวเราะ “ปากกาแห่งการพิพากษาและสมุดแห่งความเป็นตาย สองสิ่งนี้เป็นเพียงการเลียนแบบวัตถุศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นรากฐานของการสร้างยมโลก ในฐานะของตุลาการนรก ระยะการรับรู้ของท่านจะขยายจนครอบคลุมระดับของมณฑล ดังนั้นตราบใดที่ท่านต้องการ มันจะไม่มีสถานที่มีขนาดของมณฑลใดในยมโลกที่ท่านมองไม่เห็น และเมื่อท่านปรารถนาที่จะเรียกวิญญาณตนใดให้มาปรากฏอยู่ตรงหน้า สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือแค่เขียนชื่อของวิญญาณตนนั้นลงบนสมุดแห่งความเป็นตายกับปากกาแห่งการพิพากษาที่ถูกสร้างเลียนแบบขึ้นนี้เท่านั้น”
ฉินเย่พยักหน้า จากนั้น เขาก็ปิดเปลือกตาลงและเริ่มสัมผัสถึงพลังหยินที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกาย มันค่อนข้างแปลก…ตอนนี้เขาสามารถมองเห็นและรับรู้ถึงการไหลของพลังที่อยู่ภายในอวัยวะและกระดูกของตัวเองได้อย่างชัดเจน
ทุกสิ่งทุกอย่างดูโปร่งใสต่อประสาทสัมผัสของเขา สิ่งที่ดูเหมือนจะไหลเวียนอยู่ภายในไขกระดูกของเขาไม่ใช่เลือดอีกต่อไป นอกจากนี้ กระดูกของเขายังถูกชำระล้างจนตอนนี้ดูใสราวคริสตัล เหมือนกับหินวิญญาณที่เขาใช้เพื่อการบรรลุก่อนหน้านี้
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยอะไรมาก ร่างกายของเขาสามารถทนต่อการโจมตีที่รุนแรงได้มากขึ้นกว่าเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากที่ผ่านไปหลายนาที ในที่สุดเขาก็ลืมตาขึ้นและข่มความตื่นเต้นภายในใจขณะที่กระดิกนิ้วให้อาร์ทิสอย่างท้าทาย “ตีข้าเลย ข้าอยากจะสู้กับเจ้า!”
อาร์ทิสแย้มยิ้มอย่างน่าสะพรึงกลัว “เช่นนั้น…ท่านก็จงระวังให้ดี”
“ครั้งนี้ ข้าจะทุ่มสุดกำลัง”
ทันทีที่นางพูดจบ ลูกไฟนรกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นด้วยพลังของนาง ภาพศาสตร์ที่นางใช้ได้ดีคุ้นเคยอย่างไม่น่าเชื่อ… วินาทีนั้น ขณะที่ริมฝีปากของฉินเย่สั่นเทา อาร์ทิสก็พึมพำออกมา “หมื่นภูตผีกลืนกินดวงวิญญาณ”
“ไม่… ไม่! อย่าเพิ่ง! เดี๋ยวก่อน! นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าหมายถึง…”
น่าเสียดาย แต่เขาไม่มีเวลาที่จะมาจมอยู่กับความเสียใจของตัวเอง คลื่นวิญญาณพุ่งเข้ามา พร้อมกับลูกไฟนรกที่เป็นตัวแทนของดวงวิญญาณที่ดุร้าย พวกมันกรีดร้องและระเบิดพลังหยินที่รุนแรงออกมา ฉินเย่ร้องออกมาอย่างตกใจและรีบห่อตัวเป็นลูกบอลและยกมือคลุมศีรษะของตัวเองทันที
ให้ตายเถอะ!!!
นี่เจ้าไม่เข้าใจความหมายของคำว่าตีหรืออย่างไร?!
ได้คืบจะเอาศอกอย่างนั้นหรือ?! นี่เจ้าพยายามจะฆ่าข้ารึ–… หืม? เดี๋ยวก่อนนะ…
พลังหยินปริมาณมหาศาลระเบิดออกรอบร่างของเขา หลังจากผ่านไปกว่าสามนาทีเต็ม เด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ ลดมือลงด้วยความประหลาดใจเป็นอย่างมาก จ้องมองศักดิ์ศรีแห่งอำนาจที่ห่อหุ้มอยู่รอบตัวของตน
นี่มันใหญ่กว่าตอนที่เขาอยู่ขั้นยมทูตขาวดำเสียอีก ศักดิ์ศรีแห่งอำนาจในตอนนี้กลายเป็นโล่ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าซึ่งเป็นลูกบอลทรงกลมที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณสิบเมตร การโจมตีอันทรงพลังของอาร์ทิสปะทะเข้ากับการป้องกันที่แข็งแกร่งของเขาเข้าอย่างจัง แต่มันกลับแทบจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เลย
อ่าาา… ในที่สุดเด็กหนุ่มยกมือขึ้นและสางผมที่ไม่ค่อยเป็นทรงของเขา เขากระแอมออกมาเบา ๆ “ท่านก็ไม่เท่าไหร่นี่…”
มันสามารถพูดได้เลยว่าการกระทำของเด็กหนุ่มดูธรรมชาติจนทำให้แม้แต่อาร์ทิสก็ต้องนึกสงสัยขึ้นมาว่าคนตรงหน้าใช่ฉินเย่ผู้ที่ห่อตัวเป็นก้อนกลม ๆ ก่อนหน้านี้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม อาร์ทิสเพียงกลอกตา “มันคงน่าเชื่อถือกว่านี้มากหากขาทั้งสองข้างของท่านมันไม่สั่นเทาขนาดนี้”
ฉินเย่กระแอมเบา ๆ และไม่สนใจประโยคที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมาขณะที่เริ่มหันความสนใจไปที่พลังหยินที่ไหลผ่านร่างของเขาอีกครั้ง หากเขาต้องการ ตอนนี้เขาก็สามารถฉายร่างของตัวเองอย่างที่อาร์ทิสเคยทำได้ วิชานี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อของนักบุญ
เด็กหนุ่มมองไปรอบ ๆ ด้วยสัมผัสของตัวเอง ไม่มีส่วนใดของยมโลกที่จะสามารถเล็ดลอดผ่าน ‘ดวงตา’ ของเขาไปได้ หากพูดกันตามตรง เมื่อเขาหันไปสนใจกลุ่มก้อนเมฆพลังหยินที่พรมแดนยมโลก เขายังสามารถบอกได้ด้วยว่าสายตาของเขาสามารถมองไปได้ไกลมากกว่านี้ แต่มันเพียงแค่ถูกจำกัดโดยขอบเขตของพรมแดนเท่านั้น
สิบนาทีต่อมา เขาดึงสัมผัสของตัวเองกลับมาและลืมตาขึ้นอีกครั้ง “นี่คือความสามารถของขั้นตุลาการนรกสินะ… มันแตกต่างจากขั้นยมทูตขาวดำอย่างสิ้นเชิง” จากนั้น…ฉินเย่ก็หันไปมองอาร์ทิสด้วยสายตาที่ดุดันและโหดเหี้ยม
อาร์ทิสสัมผัสได้ทันที แต่ถึงกระนั้น นางก็เชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจและปรายตามองฉินเย่ด้วยความดูถูก
ตาต่อตา ฟันต่อฟัน มันถึงเวลาชดใช้แล้ว
ฉินเย่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ “เจ้ามาแล้ว”
อาร์ทิสชะงักไปครู่หนึ่ง และไม่นานก็เข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร “ใช่ ข้ามาแล้ว”
ฉินเย่: “เจ้าไม่ควรมา”
อาร์ทิส: “แต่ข้าก็มาแล้ว”
ฉินเย่: “และข้าก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องมา
อาร์ทิส: “แน่นอนว่าข้าต้องมา และท่านเองก็คงรู้เรื่องนี้เช่นกัน มิเช่นนั้น เหตุใดเมื่อหนึ่งปีก่อนท่านจึงปล่อยข้า?”
อาร์ทิสหลุบตาลงและจ้องมองยังเล็บสีดำยาวที่ค่อย ๆ ยื่นออกมาจากนิ้วของตนเอง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็เอ่ยขึ้นว่า “มันผ่านมาหนึ่งปีแล้ว…หนึ่งปีเต็ม”
“ช่างเป็นปีที่ยาวนาน”
ฉินเย่ถอนหายใจ “ช่างเป็นปีที่สั้นเสียจริง”
อาร์ทิส: “….นี่ท่านเสพติดมันแล้วใช่หรือไม่? ท่านคิดว่าตัวเองไม่เกินไปหรอกหรือที่ล้อเลียนบทสนทนาอันโด่งดังของฟู่หงเสียะ และหยานหนานเฟยอยู่? เราจะเริ่มกันได้เสียที?” [1]
ฉินเย่ลอบกลืนน้ำตาของตนอย่างเป็นกังวล “ไม่ใช่ว่าพวกเรา…กำลังจ้องมองไปยังการต่อสู้ข้างหน้าอย่างนั้นหรอกหรือ? การต่อสู้เพื่อจบความโกรธแค้นระหว่างพ่อลูกควรจะถูกตัดสินโดยการต่อสู้ที่ดุเดือด==…”
เขารีบเปลี่ยนร่างเป็นกลุ่มก้อนพลังหยินที่พุ่งเข้าหาอาร์ทิสก่อนที่ตนจะเอ่ยจบ
มันเป็นการลอบโจมตีเพื่อเปิดศึก – ตามสไตล์ของท่านจ้าวนรกฉิน
อาร์ทิสหัวเราะเสียงเย็นและเปลี่ยนร่างเป็นสิ่งเดียวกัน คลื่นพลังหยินทั้งสองปะทะกันอย่างรุนแรง มันเหมือนกับการต่อสู้กันของงูเหลือมขนาดใหญ่สองตัว และถ้ำที่อยู่ใต้ดินก็สั่นสะเทือนด้วยพลังหยินที่หนาแน่นทันที
ฉินเย่ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ “แย่งแล็ปท็อปของข้าอย่างนั้นหรือ?!!”
“เรียกข้าว่าโก่วต้านอย่างนั้นหรือ?!!”
“ดูถูกข้าอย่างนั้นหรือ?!!”
“ต่อว่าข้าและตบตีข้าตามที่ตัวเองต้องการ! และบาปที่หนักที่สุดของเจ้าก็คือตอนเจ้าใช้ตุ๊กตายางในการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า!!!”
สิบวินาทีต่อมา พร้อมกับเสียงที่ดังก้อง กลุ่มก้อนพลังหยินทั้งหมดกระจัดกระจายไปโดยรอบ เผยให้เห็นภาพของอาร์ทิสที่กำลังดึงหูของฉินเย่ และเด็กหนุ่มก็ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เล็บมือยืดยาวออกมาหนึ่งนิ้ว และเขาก็ข่วนมันไปที่อีกฝ่ายอย่างรุนแรง แต่มันกลับเปล่าประโยชน์ “นี่… นี่เจ้า… เจ้ายังกล้าทำร้ายข้าอีกอย่างนั้นหรือ?!!”
มันเป็นภาพของความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมห้องดี ๆ นี่เอง
“ปากดีไม่เบาเลยนี่?” อาร์ทิสพึมพำเสียงเย็นขณะที่บิดหูของฉินเย่อย่างแรง ส่งผลให้เด็กหนุ่มร้องออกมาราวกับหมูในโรงเชือด
“ตุลาการนรกมือใหม่อย่างท่านที่ไม่มีศาสตร์หรือวิชาใด ๆ ให้ใช้ กล้าดีอย่างไรถึงมาท้าทายหนึ่งใน 50 ตุลาการนรกที่แข็งแกร่งที่สุดของยมโลกแห่งเก่า? ท่านไม่คิดหรือว่าท่านกำลังประเมินตัวเองสูงเกินไป?” นางสะบัดมือ และฉินเย่ก็ล้มลงกับพื้น
สามวินาทีต่อมา ฉินเย่ลุกยืนขึ้นและเอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด!!! ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าควรจะไม่ต่างอะไรกับวิญญาณทั่วไปหรืออย่างไร? ข้าเองก็อยู่ขั้นเดียวกัน เหตุใดข้าจึงไม่สามารถสังหารเจ้าได้?!!!”
อาร์ทิสอ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่าย “ข้ารู้มานานแล้วว่าท่านทนเก็บความแค้นที่มีต่อข้าเอาไว้ ด้วยเหตุนี้…ข้าจึงตัดสินใจที่จะดูแลเรื่องการเลื่อนขั้นของท่านด้วยตัวเอง”
“ท่านรู้อะไรหรือไม่? ผู้ที่คอยเฝ้าคุ้มกันการเลื่อนขั้นของผู้อื่นย่อมได้รับประโยชน์ไปด้วย ต้องขอบคุณท่าน ตอนนี้ ครึ่งหนึ่งของข้าได้ถือว่าเป็นข้าราชการของยมโลกแล้ว และก็ถือว่าเป็นยมทูตของยมโลกแห่งใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย ข้าอาจจะยังไม่เป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ แต่ชื่อของข้าก็คงจะปรากฏขึ้นในบันทึกนรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านมีสิทธิ์อะไรมาสังหารข้า? วู้…. ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ารอคอยวันนี้มานานเพียงใด? 365 วัน 365 คืน! ข้ารู้อยู่แล้วตั้งแต่ต้นว่าท่านจะจัดการกับข้าทันทีที่ท่านเลื่อนขึ้นมาอยู่ขั้นเดียวกันกับข้า!”
จะสู้กับข้าอย่างนั้นหรือ?
ท่านยังเด็กและอ่อนต่อโลกเกินไป!
อ๊ากกกก… เขาพลาดแล้ว! ฉินเย่กัดฟันกรอดและเก็บความคิดที่จะแก้แค้นเอาไว้ ไม่เป็นไร…อีกไม่นานข้าก็จะเลื่อนเป็นขั้นฝู่จวิน… เด็กหนุ่มนำบันทึกนรกออกมาและพลิกไปที่ชื่อของตัวเอง และก็พบว่าเขายังต้องการแต้มกุศลอีก 5 ล้านแต้มเพื่อที่จะเลื่อนไปสู่ขั้นต่อไป
ไม่เป็นไร…การแก้แค้นจะยิ่งสะใจกว่าเมื่อปล่อยให้เวลาผ่านไป… ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะทำให้ท่านต้องร้องขอความเมตตาจากข้าให้ได้…
“แววตาแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไร?” อาร์ทิสไม่พอใจเป็นอย่างมาก “หากไม่มีอะไรแล้วก็จงไปทำหน้าที่ของตัวเองเสีย! ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีให้ผู้อื่นเสียบ้าง! โนบูนางะได้นำกองกำลังของท่านไปทำการต่อสู้ที่ยมโลกแห่งเก่าแล้ว แต่เหตุใดท่าน ผู้เป็นจ้าวนรก กลับลีลาและไม่ยอมปักตะเกียงหวนหยางเสียที?! ท่านไม่คิดหรือว่าตัวเองกำลังเป็นตัวถ่วงของยมโลก?!”
อดทนไว้… เขายังไม่สามารถสู้กับนางได้ในตอนนี้… ฉินเย่สะบัดแขนเสื้อและจัดระเบียบเสื้อคลุมของตน “มันยังมีอีกเรื่องหนึ่ง… ข้าเพิ่งพบกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มา”
“อืม” อาร์ทิสตอบอย่างไม่แยแส
“…นี่มันปฏิกิริยาแบบใดกัน? ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะตกใจกับเรื่องแบบนี้หรอกหรือ? สีหน้าความตกตะลึงอยู่ที่ใด? เหตุใดท่านจึงมีใบหน้าที่เรียบเฉยเช่นนั้น?”
อาร์ทิสโบกมืออย่างทนไม่ไหว “ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าคำพูดของท่านมันไม่มีสิ่งใดที่นำไปสู่ข่าวที่น่าเหลือเชื่ออย่างไรเล่า อย่างน้อยท่านก็ควรจะหุบยิ้มและเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังเสียก่อน ดูสีหน้าของท่านตอนนี้สิ มันไม่ต่างอะไรกับผู้ที่เพิ่งถ่ายเสร็จใหม่ ๆ เลยสักนิด แล้วท่านจะต้องการให้ข้าตอบสนองอย่างเหมาะสมได้อย่างไรกัน?”
อ่าาา… ยายเฒ่านี่… มือของฉินเย่ขยับเล็กน้อย และกระดิ่งอสูรวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในมือ
“กระดิ่งของท่านตี้ทิง?” อาร์ทิสอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงขณะที่จ้องไปที่ฉินเย่ “นี่ท่าน…ไปพบกับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มาจริง ๆ อย่างนั้นหรือ?!”
“ข้าก็เพิ่งพูดไปไม่ใช่หรือ? นี่เจ้าคิดว่าข้าพูดโกหกหรืออย่างไร?!”
“… แต่การพูดคุยของเราก่อนหน้านี้… มันทำให้ข้าคิดว่าท่านเพียงพยายามที่จะทำให้ข้ารำคาญใจเท่านั้น…”
ฉินเย่รู้สึกอยากจะอาเจียนออกมา นี่อีกฝ่ายคิดว่าเขาจะมาล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้หรืออย่างไร? หาเรื่องมาทำให้นางรำคาญใจ? นี่นางรู้ตัวหรือเปล่าว่าตนเองกำลังทำให้เขารำคาญใจมากเพียงใด?!
อดทน… อดทนเอาไว้… ฉินเย่สูดหายใจเข้าช้า ๆ เพื่อระงับอารมณ์ที่พุ่งพล่านของตน จากนั้นจึงนึกถึงคำพูดที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ทิ้งเอาไว้ และสีหน้าของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนเป็นจริงจังอีกครั้ง
“เอาไว้ข้าจะเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้เจ้าฟังหลังจากนี้” ฉินเย่หุบยิ้มและเอ่ยต่อ “เจ้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเมืองกู่เฉิงมาก่อนหรือไม่? มันเคยถูกจดบันทึกไว้ในพงศาวดารของยมโลกบ้างหรือไม่?”
อาร์ทิสส่ายหน้าโดยไม่แม้แต่จะคิด “ไม่”
“เจ้าแน่ใจนะ?” ฉินเย่ขมวดคิ้วเข้าหากันมากกว่าเดิม
“ข้าแน่ใจ” อาร์ทิสพยักหน้า “นอกเหนือจากเมืองเฟิงตู พวกเราล้วนจดจำเมืองและนครอื่น ๆ ที่มีความสำคัญในยมโลกได้ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น เมืองอาร์เกิ่นที่เป็นที่รู้จักในฐานะของป้อมปราการที่คอยป้องกันการรุกรานของโลกใต้พิภพจากตะวันออกกลาง หรือเมืองหยินเฉิงที่คอยจับตาดูโลกใต้พิภพแห่งฮันยาง เมืองกู่เฉิง…ไม่มีอยู่ในรายชื่อเหล่านี้ นอกจากนี้ ข้ายังมั่นใจด้วยว่านี่เป็นพื้นที่ที่ขั้นฝู่จวินผู้ยิ่งใหญ่เคยประจำการอยู่ เพราะไม่ว่าอย่างไรแล้ว พวกเราทั้งหมดต่างเคยได้ยินเกี่ยวกับการถือกำเนิดและการใช้ชีวิตของขั้นฝู่จวินผู้สูงศักดิ์ในยมโลกทั้งสิ้น”
ฉินเย่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาของอาร์ทิสก่อนจะถามอย่างตั้งข้อสังเกต “เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าถึงรีบกลับมาที่นี่ ขอให้เจ้าช่วยให้ข้าเลื่อนเป็นขั้นตุลาการนรก? ตอนนี้มีภูตผีคลุ้มคลั่งอยู่ในแดนมนุษย์ไม่มาก และมันก็คงใช้เวลาไม่เกินครึ่งเดือนก่อนที่ข้าจะไปถึงที่เมืองหวู่หยาง ดังนั้น มันจึงไม่น่ามีเหตุผลที่ข้าต้องรีบร้อนขนาดนี้”
อาร์ทิสเอ่ยตอบออกมาโดยไม่แม้แต่จะคิด “แน่นอนว่ามันเป็นเพราะว่าท่านสัมผัสได้ถึงภัยคุกคาม… ข้าต้องขอยอมรับเลย… จมูกของท่านนั้นดีกว่าจมูกของสุนัขวิญญาณที่ข้าเคยเห็นเสียอีก และท่านยังวิ่งหนีจากอันตรายได้เร็วกว่ากระต่ายตัวใดในยมโลกอีกดะ–… เดี๋ยวก่อนนะ!”
นางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะจ้องฉินเย่ด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง “ภัยคุกคาม?”
“ตัวตนใดกันที่สามารถคุกคามท่านได้? ข้าไม่คิดว่าท่านจะเป็นพวกที่กล้าสร้างความไม่พอใจให้กับพวกภูตผีคลุ้มคลั่งหรอกนะ…”
“หรือว่าท่านกำลังจะบอกว่า…มันอาจมีบางอย่างที่เป็นภัยต่อชีวิตของท่านอยู่ในเมืองกู่เฉิง?”
[1] บทสนทนาในนิยายกำลังภายในที่ถูกแต่งขึ้นโดยโกวเล้งชุดเซียวลี้ปวยตอ มีดบินไม่พลาดเป้า