ฉันนี่แหละจ้าวนรก - บทที่ 86: ควาฟู่
บทที่ 86: ควาฟู่
ครืดดด….ทันทีที่กำแพงโลหะผสมค่อย ๆ เปิดออก ล็อกและสลักกลอนหลุดพ้นจากธารสายตา หลุมทรงสี่เหลี่ยมที่มีความกว้างสิบเมตรก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของคนทั้งหมด
เมื่อประตูเปิดออก สัญลักษณ์จำนวนมากก็ส่องสว่างขึ้นในเวลาเดียวกัน เมื่อลองสังเกตดูดี ๆ เขาก็พบว่ามันคือสัญลักษณ์รูนที่ดูเหมือนจะถูกสลักลงบนกำแพงโลหะผสม
“มหาอาณาเขตการจุติของปีศาจผู้เฝ้าประตูสวรรค์” ชางซุนอธิบาย “นี่คือหนึ่งในอาณาเขตเวทที่ทรงพลังที่สุดในประเทศจีนของเรา ไม่ว่าพลังหยินจะรุนแรงเพียงใด มันก็จะไม่สามารถส่งผลกระทบอะไรต่อผู้ที่ยืนอยู่ภายในขอบเขตของอาณาเขตเวทนี้ได้ และผลของมันสามารถคงตัวอยู่ได้นานถึงสิบนาที”
“SRC ทั้งหมดเองก็อยู่ในอาณาเขตของมหาอาณาเขตการจุติของปีศาจผู้เฝ้าประตูสวรรค์เช่นกัน พวกคุณคิดจริง ๆ หรือว่าแค่ประตูโลหะผสมธรรมดา ๆ จะสามารถสกัดกั้นพลังหยินที่ทรงพลังขนาด 30 ล้านหยินได้? เหตุผลเดียวที่พวกคุณยังไม่ได้รับผลกระทบจนเกือบทรุดลงก็เพราะว่าอาณาเขตเวทนี้ถูกเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา และที่ที่พวกเรายืนอยู่นี่ก็คือจุดใจกลางของอาณาเขตเวทนั่นเอง”
ทันทีที่เขาเอ่ยจบ พายุสีดำสนิทก็พุ่งตรงมาที่พวกเขา!
ในที่สุดประตูโลหะผสมก็ถูกเปิดออกจนสุด และทุกอย่างที่อยู่ด้านในก็ล้วนมีแต่สีทอง!
“การสำแดงพลังหยินในรูปแบบของสายลม…”ซู่เฟิงมองไปรอบ ๆ อย่างตกตะลึง เสื้อผ้าของพวกเขา รวมถึงเครื่องแบบพรางตัวและชุดปฏิบัติการสีขาวของชางซุนเองกระพืออย่างรุนแรงราวกับว่ากำลังต่อสู้กับพายุไต้ฝุ่น
“พลังหยินที่เปลี่ยนเป็นกระแสลม…นี่คือผลของราชาวิญญาณค่าพลังหยิน 30 ล้านอย่างนั้นหรือ?” ฉินเย่สูดหายใจเข้าขณะที่จ้องมองหลุมตรงหน้า
แต่นอกจากสีทองแล้ว เขากลับไม่เห็นอะไรอื่นเลย
สีทองดังกล่าวไม่ได้ส่องประกายหรือมันวาว กลับกัน มันเป็นการก่อตัวของวัตถุบางอย่าง เกือบจะเหมือนกับมีเยื่อสีทองบาง ๆ ถูกวางปิดบริเวณปากหลุม
“นี่คือ…ราชาวิญญาณ?” หลินฮั่นอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ค่าพลังหยินที่วัดได้กว่า 30 ล้านมาจากเศษทองพวกนี้เนี่ยนะ?
วูบบบ…พายุพลังหยินที่สงบลงส่งผลให้อุณหภูมิโดยรอบของพวกเขาลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ชางซุนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าเดิมว่า “อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของมันเท่านั้น ไม่มีใครรู้ร่างที่แท้จริงของมัน และไม่มีใครกล้าขุดชั้นหินนั้นลงไปเหมือนกัน เพราะหากตัวตน 30 ล้านถูกปลุกขึ้นมา…ผลที่ตามมาคงไม่สามารถจินตนาการได้!”
“โลกเบื้องหลังทั้งหมดถูกปิดกั้นโดยชั้นพลังหยิน และไม่มีเครื่องมือชิ้นไหนของเราสามารถเข้าถึงได้ มันเป็นมาหลายสิบปีแล้ว นี่คือนักวิจัยกลุ่มที่สาม แต่พวกเราก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไรเลยสักนิด และควาฟู่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยเหมือนกัน หน่วยสอบสวนพิเศษเคยส่งนักโทษประหารให้มาที่นี่เพื่อทดลอง แต่ทันทีที่พวกเขาสัมผัสกับเยื่อบาง ๆ นั้น นักโทษบางคนก็ตัวซูบผอมและเหี่ยวเฉาไปในทันที ในขณะที่บางคนกลับล้มลงกับพื้นโดยที่ไฟทั้งสามดวงดับลงในทันที….เดี๋ยวนะ…นี่มัน…”
ขณะที่ชายวัยกลางคนกำลังพูดอยู่นั้น เยื่อสีทองตรงหน้าก็เริ่มสั่นไหว
เงียบ
ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบทันที
ก่อนหน้านี้ชางซุนเพิ่งพูดไปว่าควาฟู่ไม่มีความเคลื่อนไหวมาหลายสิบปีแล้ว แต่เมื่อครู่มันกลับ…ขยับ!
ทุกคนในที่นั้นรวมทั้งฉินเย่ต่างคิดว่าดวงตาของพวกเขากำลังเล่นตลก ทว่าในเวลาต่อมา ด้านหลังของกำแพงหินพลันเกิดเสียงดังก้อง ส่งคลื่นที่ทำให้เยื่อสีทองกระเพื่อมคล้ายระลอกน้ำจนเกิดริ้วรอยขึ้นอย่างชัดเจน และในท้ายที่สุด…ผมเส้นหนึ่งที่ยาวประมาณหนึ่งเมตรก็ถูกพ่นออกมาจากเยื่อนั้น
คนทั้งหมดยังคงนิ่งเงียบและจ้องมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยดวงคาที่เบิกกว้างขณะที่ตั้งท่าป้องกันขึ้นตามสัญชาตญาณ ในทางกลับกัน ใบหน้าของชางซุนในตอนนี้กลับแดงก่ำและแขนทั้งสองข้างของเขาก็เริ่มสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้!
มันขยับ… มันขยับแล้ว!
ตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดและมีค่าพลังหยินสูงที่สุดในประวัติศาสตร์…ขยับแล้ว!
ฟิ้ว~….คนทั้งหกเผลอกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ขณะที่มองดูเส้นผมสีขาวราวหิมะตกลงกับพื้น ทันทีที่มันสัมผัสกับพื้นโลหะผสมด้านล่าง การสัมผัสที่บางเบากลับทำให้เกิดเสียงแผ่นดินสั่นไหว! ราวกับว่ากระดูกของมังกรยักษ์ชนเข้ากับโลหะผสม! ผมเพียงเส้นเดียวกลับทิ้งรอยแตกขนาดเท่าเส้นผมที่ลึกลงไปอย่างไม่สามารถวัดได้ไว้บนพื้น!
ไม่ใช่สิ…ในความเป็นจริงแล้ว แรงสั่นสะเทือนนั้นรุนแรงจนผู้คนใน SRC ทั้งหมดรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวที่รุนแรงนั้น!
วินาทีนี้…เจ้าหน้าที่ทั้งหมดที่ประจำอยู่ในพื้นที่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน
ครืนนนน….บ้านพักคนชราทั้งหลังสั่นไหวราวกับเกิดแผ่นดินไหวขึ้นในบริเวณนั้น จากนั้น กำแพงที่ทรุดโทรมก็เริ่มพังทลายลง รอยร้าวปรากฏขึ้นบริเวณโครงสร้างของตัวบ้าน และสุดท้าย ด้วยเสียงที่ดังสนั่น บ้านพักคนชราทั้งห้าชั้นได้ถล่มลงมาในชั่วพริบตา
ณ ห้องใต้ดิน
แรงสั่นสะเทือนจากการถล่มของบ้านพักคนชราทำให้ชางซุนกลับมาได้สติ จากนั้นจึงรีบเดินออกไปจากห้องทันที “เร็วเข้า! ระดมพลผู้ฝึกตนทั้งหมดภายในเมืองเป่าอันเดี๋ยวนี้! ดร.เฉิน ดร.หลี่ ดร.จ้าว และทีมวิจัยทั้งหมด รีบไปหยิบเครื่องมือมาที่ห้องของควาฟู่ให้เร็วที่สุด!! ต่อให้เราต้องขุดลึกลงไปอีกสามเมตร เราก็ต้องหาผมเส้นนั้นให้เจอให้ได้!”
“ผู้กองลู่!!” เขาตะโกนสุดเสียง ขณะที่ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ เจ้าหน้าที่ในชุดลายพรางรีบก้าวออกมาข้างหน้าทันทีพร้อมเอ่ยว่า “โปรดสั่งการมาได้เลยครับท่าน”
“ปิดกั้นสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดซะ!! ไม่อนุญาตให้ใครเข้าและออกจากที่นี่ทั้งนั้น! ผู้ฝ่าฝืนจะถูกยิงทันที! รายงานรองอัยการสูงสุดโจวและขอให้เขามาที่นี่ทันที! นี่เป็นเรื่องด่วนที่สุด!”
ชายวัยกลางคนไม่สนใจฉินเย่และคนอื่น ๆ เลยสักนิด ศูนย์วิจัยทั้งศูนย์ตกอยู่ในความวุ่นวาย เครื่องมือมากมายถูกใช้ในการยืดแขนของพวกเขาเข้าไปในที่ซ่อนของควาฟู่ เครื่องฉายไฟหลายเครื่องถูกเปิดขึ้นแทบจะทันที ในขณะที่บนหน้าจอขนาดใหญ่ทั้งหมดมีข้อมูลมากมายปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
ไม่นานนัก ชายที่อยู่ในชุดปฏิบัติการอีกคนหนึ่ง ก็นำฉินเย่และพวกไปที่ยังห้องห้องหนึ่งซึ่งแยกหนึ่งห้องต่อหนึ่งคน และเดินจากไปโดยไม่เอ่ยอะไรเลยสักคำ
บานประตูของทุกห้องถูกปิดสนิท และพวกเขาก็ไม่สามารถมองเห็นได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นด้านนอก แต่สิ่งที่พวกเขายังคงได้ยินก็คือเสียงของการเดินที่ไม่หยุดหย่อน แววตาของฉินเย่วูบไหวขณะที่เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “เกล็ด”
เขาเอ่ยยืนยันกับตัวเอง
ก่อนหน้านี้ เขาเห็นว่าเกล็ดชิ้นหนึ่งหลุดออกมาจากหลุม ในตอนที่ควาฟู่ขยับร่างของมัน
และเยื่อสีทองที่ปิดกั้นหลุมทั้งหลุมอยู่ ก็ไม่ใช่สิ่งใดอื่นนอกจากเกล็ดที่อยู่บนร่างของควาฟู่!
เห็นได้ชัดว่าฉินเย่กำลังคิดอย่างหนัก ข้อศอกของเขาวางอยู่บนหัวเข่า ในขณะที่นิ้วมือทั้งสองข้างประสานกันไว้เหนือริมฝีปาก
ในอีกด้านหนึ่ง อาร์ทิสเองก็ไม่ได้ลอยออกมา นางรู้ดีว่าในที่แห่งนี้…กล้องวงจรปิดถูกติดไว้จนทั่ว
“เกล็ด” น้ำเสียงของอาร์ทิสเข้มขึ้น “นี่จะต้องเป็นสิ่งที่หลุดมาจากนรกเป็นแน่…ค่าพลังหยิน 30 ล้านแสดงให้เราเห็นว่ามันน่าจะอยู่ขั้นพระยมแล้ว! แต่มันจะเป็นอะไรไปได้? ข้ารู้สึกคุ้นกับสีของมันมาก แต่ข้ากลับจำไม่ได้ว่าเคยเห็นมาจากที่ใด!”
“เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไร?” อาร์ทิสหยุดพูดและถามฉินเย่ “บางสิ่งบอกข้าว่าการเคลื่อนไหวของมันก่อนหน้านี้เกี่ยวข้องกับเจ้า เพราะแม้แต่ข้าเองยังสัมผัสได้ถึงพลังหยินที่แปรปรวนขณะที่เข้าไปใกล้มัน และในเมื่อข้าไม่ได้ทำอะไร มันก็จะต้องเป็นเจ้า”
ฉินเย่ยังคงนิ่งเงียบ
เมื่อครู่นี้…เขาทำอะไรบางอย่างจริง ๆ
เขาแค่อยากรู้ว่าหลักฐานยืนยันตัวตนยมทูตของเขา จะส่งผลอะไรต่อควาฟู่บ้างหรือเปล่า แต่ทันทีที่เขายกมือสัมผัสกับอกของตัวเอง อสูรตรงหน้าก็มีการเคลื่อนไหว
อันที่จริง นั้นยังไม่ใช่ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะเขายังได้ยินเสียงบางอย่างอีกด้วย!
โฮกกก….มันคล้ายกับเสียงคำราม แต่ฉินเย่รู้ดีว่ามันมากกว่านั้น มันเป็นเสียงร้องของความเจ็บปวด ในเสี้ยววินาทีนั้น ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้เชื่อมต่อกับเขาอย่างสมบูรณ์ และเขาแทบจะสามารถรู้สึกถึงความทรมานของมัน
มันไม่ใช่ผนึก
มันไม่ได้อยู่ในสภาวะหลับใหล
กลับกัน…มันได้รับบาดเจ็บสาหัส!
ที่มันไม่เคลื่อนไหวก็เพราะมันกำลังดูดซับพลังหยินโดยรอบ เพื่อรักษาบาดแผลของมันหรือพูดอีกอย่างก็คือมันยังคงรับรู้ถึงการกระทำทุก ๆ อย่างของพวกมนุษย์!
“จู้หรงหรือ?”
“ไม่ใช่!” อาร์ทิสปฏิเสธ “อยากที่ยายเมิ่งได้เคยพูดเอาไว้ จู้หรงได้จากไปจากโลกนี้แล้ว และข้าเองก็ได้เฝ้ามองจากส่วนลึกของนรก ขณะที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ปัดเป่ามันไป แม้ว่าจู้หรงจะมีพลังหยินที่อยู่ในระดับเดียวกันกับสิ่งที่อยู่ในหลุมนั่น แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่!”
ฉินเย่พยักหน้ารับรู้ แต่คิ้วของเด็กหนุ่มยังคงขมวดเข้าหากันแน่นอยู่ดี เขาไม่คิดที่จะระบุแล้วว่าสิ่งมีชีวิตในหลุมคืออะไร กลับกัน เขากำลังสงสัย…ทำไมอสูรพิทักษ์ตนนี้ถึงตัดสินใจที่จะแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดของมันกับเขา?
มันไม่ใช่เรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยบังเอิญ อาการบาดเจ็บของมันแสดงให้เห็นว่ามันพยายามดิ้นรนมากเพียงใด ในการหลบหนีมายังโลกมนุษย์เมื่อครั้งที่พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์บรรลุการตรัสรู้ เป็นเวลากว่าหลายสิบปีแล้วที่มันใช้ชีวิตราวกับรูปสลักหิน นอนแน่นิ่งไม่ขยับไหน ซึ่งเขาเองก็สามารถจินตนาการได้เลยว่า หากมันขยับตัวแม้เพียงเล็กน้อยมันจะต้องเจ็บเพียงใด ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์พวกนี้ มันจะสามารถแบ่งปันความรู้สึกนึกคิดของมันกับเขาโดยบังเอิญได้อย่างไร?
20 นาทีต่อมา ฉินเย่ก็ส่ายศีรษะไปมาอย่างจำยอม
เขาคิดไม่ออก
“แต่ตอนนั้น ยมโลกก็ทรงพลังอย่างแท้จริง…”
“พระยมแห่งพระตำหนักทั้งสิบเอง ก็มีพลังเทียบเท่ากับตัวตนลึกลับค่าพลังหยิน 30 ล้าน และหากเรานับรวมจู้หรงและควาฟู่ด้วย มันก็จะมีตัวตนขั้นพระยมอยู่ถึง 12 ตัวตน นอกจากนี้ยังมีฝู่จวินอีกกว่าร้อยคนและตุลาการนรกอีกหลายพันคน…มันเป็นไปได้จริง ๆหรือที่จะสร้างอะไรพวกนั้นขึ้นมาใหม่ได้?”
ฉินเย่พึมพำกับตนเองเบา ทว่าอาร์ทิสกลับได้ยินทุกอย่าง นางจึงสะกิดฉินเย่จากในกระเป๋าของเด็กหนุ่มและเอ่ยว่า “อย่าถอดใจไป อำนาจของนรกในยุครุ่งเรืองนั้นเกิดจากความพยายามและการบ่มเพาะนับพันปี เจ้ายังไม่ได้เริ่มต้นเลยสักนิด เจ้าไม่คิดหรือว่าตัวเองควรตั้งสมาธิทั้งหมดไปที่จุดเริ่มต้นแทน?”
ฉินเย่ชะงักไม่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงแค่นยิ้มขมขื่นออกมา
หากเขาทำตามแผนเดิมมันก็หมายความว่าเขาต้องเข้า SRC และเจาะทะลุกำแพงหินเพื่อหาทางเข้าใกล้ราชาวิญญาณที่นอนแน่นิ่งนั้น และนั่นก็เป็นเงื่อนไขเบื้องต้นสำหรับการสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่
แต่นั่นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!
ความเป็นไปได้ที่เหลืออยู่ก็คือ การคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้อาจจะผิดพลาด ที่บอกว่ามันได้รับบาดเจ็บสาหัสและใกล้จะตายนั้นที่แท้จริงกลับตื่นอยู่ นอกจากนี้ยังมีการรักษาความปลอดภัยที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ของ SRC ที่อยู่รอบ ๆ ควาฟู่อีก เขาจะเข้าไปที่นั่นภายใต้การจับตาดูของ SRC ได้อย่างไร?
“ไปหาจุดอื่นกันเถอะ” เขาถอนหายใจและพึมพำ “ที่นี่มันไม่เหมาะเลยสักนิด…เมืองเป่าอันนั้นกว้างใหญ่มาก มันยังมีภูเขาลึก และมีแม้กระทั่งทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 5 ของจีนอย่างทะเลสาบเป่าถาทั้งสองที่ก็เหมาะกับจุดประสงค์ของเราไม่ใช่หรือ?”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงตอบว่า “เจ้าคิดว่าการที่ข้าแนะนำที่นี่เป็นเพราะแค่เรื่องของความปลอดภัยอย่างนั้นหรือ? หากเป็นเช่นนั้นจุดประสงค์ในการมาถึงที่นี่ในคืนนี้คืออะไรกัน? เพื่อคะแนนความดีอันน้อยนิดที่เจ้าอาจได้รับอย่างนั้นหรือ?”
ท่านอาจจะต้องการทำให้ข้าเสียชีวิต ‘โดยบังเอิญ’ ก็ได้นี่ ฉินเย่กะพริบตาปริบอย่างไม่เข้าใจ ทว่าก่อนที่เขาจะได้เอ่ยอะไรออกมา อาร์ทิสก็เอ่ยต่อว่า “นั่นเป็นหนึ่งในเงื่อนไขที่ข้าพิจารณาเท่านั้น ส่วนเรื่องเงื่อนไขอื่น ๆ เจ้าจะต้องทำความเข้าใจก่อนว่ายมโลกแท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่”
“ข้อแรก เจ้าจำเป็นจะต้องรู้ว่ามันเป็นสถานที่ขนาดใหญ่ที่เทียบได้กับประเทศจีนไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงในโลกใบนี้ และจำเป็นจะเชื่อมต่อกับโลกนี้ผ่านทางเข้าหลัก ซึ่งมันก็คือจุดที่แดนมนุษย์และนรกเชื่อมต่อกัน หากปราศจากสิ่งนี้ เหล่าดวงวิญญาณจะไม่สามารถเข้าสู่ยมโลกได้”
ฉินเย่ขมวดคิ้ว “แต่นรกได้สลายไปแล้ว เขื่อนสามหุบเขาแตกและทำให้ที่ราบด้านล่างน้ำท่วมไปหมดไม่ใช่หรือ? ดวงวิญญาณหยินยังสามารถไปที่นรกได้ระหว่างช่วงเทศกาลสารทจีนนี่?”
เขาเป็นคนที่เห็นมากับตาในครั้งแรกที่ได้ท่องไปในยมโลก
“ผู้ใดบอกว่าสลายไป? ได้รับความเสียหายก็คือได้รับความเสียหาย แต่นครวิญญาณยังคงอยู่รอบ ๆ! อิทธิพลของมันที่มีต่อโลกมนุษย์สามารถคงอยู่ได้อีกอย่างมากที่สุด 50 ปี ก่อนที่ทุกอย่างจะหายไปอย่างสมบูรณ์”
“และภาพที่เจ้าเห็นในแดนมนุษย์…ฮ่า ๆ ๆ เจ้าหนู หากเจ้ามีเวลา เจ้าสามารถมุ่งหน้าไปยังใต้น้ำลึกของเขื่อนสามหุบเขา และดูเสียว่านครวิญญาณในอดีตนั้นหน้าตาเป็นเช่นไร ทุก ๆ คืน ดวงวิญญาณนับหมื่นจากทั่วทั้งประเทศจะมารวมตัวกัน และลอยเร่ร่อนอยู่แถวนั้น ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่งเกิดน้ำท่วมไป แต่มันก็ยังอยู่ที่เดิม”
“แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ทางเข้าที่อยู่ภายใต้มหาวิทยาลัยอันฮุ่ยก็จะทำหน้าที่เป็นทางเชื่อมต่อระหว่างยมโลกและโลกมนุษย์ให้กับเจ้า มันจะทำหน้าที่เป็นแสงสว่างที่จะนำพาวิญญาณหยินทั้งหมดกลับสู่ยมโลก”
“ข้อที่ 2 พลังหยินในยมโลกทั้งหมดนั้นมาจากที่ใด?” อาร์ทิสสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่งก่อนจะอ่ยต่อว่า “ทางหวงเฉวียน!”
“ทันทีที่เจ้าสามารถรวบรวมเศษตราเจ้านรกทั้งหมด ทางหวงเฉวียนก็จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงบอกว่าวันที่เจ้ารวบรวมเศษตราเจ้านรกครบจะเป็นวันที่ยมโลกเปิดดำเนินการอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไม่สามารถฟื้นฟูนรกได้โดยปราศจากทางหวงเฉวียน”
ฉินเย่กระแอมออกมาแห้ง ๆ “นั่นฟังไม่เหมือนกับสิ่งที่ท่านพูดกับข้าครั้งที่แล้วเลยนะ…”
อาร์ทิสที่ได้ยินเช่นนั้นจึงระเบิดความโกรธของตนเองและตะคอกเสียงดัง “ครั้งที่แล้วก็คือครั้งที่แล้ว! ตอนที่ข้าพูดครั้งก่อนสมองของเจ้ามันจำได้ทุกสิ่งหรืออย่างไร? และช่วยนึกถึงความรู้สึกของผู้อ่าน เมื่อถูกป้อนข้อมูลมากมายในคราวเดียวบ้างไม่ได้หรือ? หุบปากและฟังเงียบ ๆ เจ้าคนขี้เกียจที่ไม่รู้เรื่องของยมโลกเลยสักนิด!”
ข้าจะอดทน!
“เอาล่ะ อย่างที่ข้าเคยพูดไปก่อนหน้านี้ ยมโลกเป็นเหมือนกับเครื่องจักร และทางหวงเฉวียนก็คือแรงขับเคลื่อนของมัน หากจะพูดให้เห็นภาพมากกว่านี้ก็คือพลังหยินคือแรงขับเคลื่อนธรรมชาติของมัน ในขณะที่ทางหวงเฉวียนคือยานพาหนะที่ใช้ส่งพลังหยินไปที่เครื่องจักร แต่ตอนนี้…”
ทันใดนั้น ราวกับปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้ ฉินเย่จึบเอ่ยแทรกขึ้นว่า “ท่านได้ใช้สิ่งของบางอย่างเพื่อหลอกล่อให้ข้าลงมาที่นี่ และยังพยายามคะยั้นคะยอให้ข้ารับภารกิจนี้ ทั้ง ๆ ที่ความจริงก็คือ ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงเรื่องตลกเพื่อที่ท่านจะได้ประเมินว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะสามารถใช้พลังจากควาฟู่เพื่อขับเคลื่อนยมโลก?”
“แม้ว่านั่นจะเป็นความจริงของเรื่องนี้ แต่ข้าก็ยังรู้สึกแปลกประหลาดกับน้ำเสียงที่เจ้าใช้พูดอยู่ดี…” อาร์ทิสกลอกตาให้ฉินเย่และเอ่ยต่อว่า “ใช่ พลังหยิน 30 ล้านนั้นทรงพลังมาก แข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็ยังเป็นเพียงหยดน้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทรอยู่ดีเมื่อเทียบกับความรุ่งโรจน์ของยมโลกในอดีต สำหรับผู้ที่ต้องสร้างนรกขึ้นมาใหม่ ความช่วยเหลือที่เจ้าจะได้รับจากหน่วยงานป้องกันของประเทศก็เหมือนการส่งถ่านในหน้าหนาว! หากเจ้าพึ่งพาพลังของอสูรตนนี้ และยังได้รับหินวิญญาณจากแดนมนุษย์ไปเรื่อย ๆ แบบนี้ เจ้าก็อาจจะสร้างนรกขึ้นมาใหม่ได้ในเวลาไม่นานก็ได้!”
“และอย่าเกรงใจไป จำเอาไว้ว่าทำไมยายเมิ่งถึงตามหาตัวเจ้า? นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าเคยพูดไปแล้วเช่นกัน เจ้าเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่มีแนวโน้ม ว่าจะสามารถบรรลุหน้าที่นี้ได้! ไม่มีใครเหมาะสมกับหน้าที่นี้มากกว่าเจ้า!”